ย้อนกลับมาว่า บทบาท ของมุสลิมในรัฐสยาม
ที่ผมกล่าวก็คือ มีบทบาท อยู่สามกลุ่ม คือ 2 กลุ่มมาจากใต้ 1 กลุ่มมาจากชีอะห์สายอิหร่าน
สายจากสุลต่านสุไลมาน และสายชีอะห์ จะถูกยึดโยง ด้วยมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ต่างๆในสมัยอยุธยา
สายจากปัตตานี จะเป็นชาวไร่ ชาวนา ในอยุธยา
ด้วยความต่างทางฐานันดร นั่นเอง จึงทำให้เกิดการเหยียด ชนชั้นกันขึ้น ระหว่าง ชนชั้นที่นับถือศาสนาพุทธ กับชนชั้น ในสายสุลต่านสุไลมาน และสายชีอะห์
ช้างสารชนกันหญ้าแพรกแหลกราญ
สามชนชั้นใหญ่ ปีนเกลียวกันเอง ชาวบ้านตาสีตาสา ชาวไร่ชาวนา ชาวบ้าน ก้เดือดร้อน จึงเป็นประเด้นให้ เจ้าผู้ครองนครปัตตานี นำมาเป้นประเด้นในการแข็งเมือง
กาลเวลาผ่านไป ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ผลัดกันเสนอหน้า กันในราชสำนัก จนมาถึงการผลัดแผ่นดิน ไทยเสียกรุงครั้งที่สอง ปัตตานีก็แข็งเมืองขึ้นมาอีก
แม่ทัพคู่กาย พระเจ้าตากสิน ก็มาจากสายสุลตานสุไลมาน ก็ไปปราบปราม ปัตตานี
พอผลัดแผ่นดินพระเจ้าตากสิน ปัตตานีก็แข็งเมืองอีก ส่วนในราชสำนักก็ยึดโยงมุสลิม ด้วยการ บรรณาการ ลุกเจ้าเมืองนนทบุรี เจ้าจอมมารดาเรียม ให้เป็นพระสนม ของรัชกาล ที่ 2 และกลายเป็นพระมารดา ของรัชการที่ 3
ก็ส่งแม่ทัพมุสลิมร่วมกับแม่ทัพพุทธ ลงไปปราบปรามอีก
การปราบปรามทุกครั้ง ไม่แตกต่างกับ นาลันทา
ท่านผู้อ่านลองไปศึกษา การปราบปรามเมืองปัตตานี โดยละเอียด จะทราบดี ในที่นี้เพื่อเป้นการประหยัดเวลา ผมขอให้ท่านลองไปหาอ่านดู กัน
ด้วยประการดั่งนี้ นั่คือแรงจูงใจ ในการแข็งเมือง
การปราบปรามครั้งสุดท้าย นี่แหละคือ สิ่งสำคัญ
ด้วยพรมหากษัตรร์ในรัฐสยามเกรงเมือง ปัตตานี จะแข็งเมืองขึ้นมาอีก
จึงได้เผาตำหรับตำราทางศาสนา เสียสิ้น และนำ นักวิชาการศาสนาอิสลามมาเป็นเชลย จนไม่มีเหลือในปัตตานีอีก
วิชาการทางศาสนาอิสลามนั้นจะถูกบันทึกด้วยการท่องจำ และความเข้าใจ
ดังนั้นการเผาอัลกรุอาน การเผาคัมภีร์ใดๆ จึงไม่เกิดผลกับศาสนาอิสลามแต่อย่างใด
นักวิชาการเหล่านี้เมื่อมาอยู่ในรัฐสยาม ในส่วนกลางก้มาเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ให้กับชาวบ้าน เยาวชน รุ่นลูกรุ่นหลาน กันเป็นจำนวนมาก ทำให้การปฏิบัติศาสนกิจเข็มแข็ง ผู้เข้ารับศาสนามีเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคนออกแทบจะไม่มี
ความหวาดระแวงของคนในราชสำนัก เหล่าอำมาตย์ยิ่งไม่พอใจ ก็เพิ่มการปลุกฝังการแบ่งแยกเพื่อปกครองลงไปในระดับชาวบ้าน สร้างความรังเกียจในชาติพันธ์ จนคำว่าแขก นั้นหมายถึงประชาชนชั้นสอง ของรัฐสยาม
หลังจากสมัย ร.3 การแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไม่มีขึ้นมาอีก เนื่องจาก ร.5
ได้ทำนุบำรุง และประกาศความเป็นทศพิศราชธรรม ใช้หลักการ ความเข้าถึงใจพัฒนา ควบคุ่กันไป กับการแบ่งการปกครอง ในรัฐปัตตานี ให้คานอำนาจกันเอง
ลองไปหาอ่านกันดูนะครับว่าแบ่งอย่างไร
เรื่องมันก็พอเงียบๆไป เพราะมีความเข้าใจในระดับเจ้า และมีการแบ่งแยกเพื่อปกครอง ในระดับอำมาตย์ แลในหลวงทุกพระองค์ทรงดำเนินนโยบายนี้ มาจนถึงทุกวันนี้ เข้าถึงเข้าใจพัฒนา
ทว่าในส่วนอำมาตย์ก็ใช้นโยบายแบ่งแยกเพื่อปกครองกันต่อไป
เรื่องมันมาเกิดประทุอีกครั้งเล็กๆ ก้ตอนล่าเมืองขึ้น
และมาประทุใหญ่ๆ ก็หลังเปลี่ยนการปกครอง 2475 และตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นแหละครับ
ตอนต่อไปผมจะมาบอกว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในเวอร์ชั่น 2475 นั่นมันศาสนาหรือการเมือง กันแน่
แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 55 11:01:05