Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กระทู้ส่งการบ้านรายทางคุณ chaosy เพิ่งกลับมาจากวิปัสสนากรรมฐานที่วัดวังหลวงค่ะ ติดต่อทีมงาน

สวัสดีค่ะ

วัดวังหลวงเป็นวัดแถวบ้านค่ะ เขาเปิดวิปัสสนากรรมฐาน11วัน แต่ดิฉันว่างไปได้ในวันที่30 ก.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่งสึกวันนี้ค่ะ

วัดนี้เป็นวัดป่า เน้นวิปัสสนากรรมฐาน คือมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง น่าจะประมาณนั้นนะคะ ก่อนบวชก็ได้คุยกับหลวงพ่อ หรือพ่อท่านใจ เจ้าอาวาส ท่านก็จะถามว่าเราเคยนั่งสมาธิหรือปฏิบัติเป็นยังไงบ้าง ซึ่งพอเล่าให้ท่านฟังแล้วท่านก็บอกว่าเรามีสมถะเยอะ ถ้ามีเยอะไปจะไม่ถึงไหนเพราะอาจจะติดสุขติดสมถะได้  จึงให้เราเดินจงกรมเจริญสติให้มาก  ท่านก็ให้การบ้านมาว่าให้เดินจงกรมติดต่อกันไม่พักเป็นเวลา5ชั่วโมงให้ได้ ส่วนเรื่องนั่งสมาธิก็ให้ทำไปตามปกติค่ะ  

ที่นี่จะสวดมนต์เดินจงกรมนั่งสมาธิ อย่างละ1ชั่วโมง วันละ4เวลา คือเช้าตี3-6นาฬิกา สาย8-11นาฬิกา บ่าย13-16 นาฬิกา และ 18-21นาฬิกา

วันแรกก็นั่งตามปกติค่อนข้างทำได้ดี รู้สึกว่าการเดินจงกรมทำให้นั่งสมาธิได้นานขึ้นด้วยค่ะเพราะนั่งแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า1ชั่วโมงครึ่ง ถึง2ชั่วโมง มีเมือวานที่เป็นวันอาสฬหบูชาที่นั่งตอนค่ำได้4ชั่วโมงค่ะ

จากการโค้ชของคุณ chaosy ทำให้การนั่งสมาธิเป็นไปอย่างเชี่ยวชาญขึ้น555 คือจะเป็นไปตามลำดับขั้นค่ะ นั่งกำหนดรู้ว่านั่งท่าไหนอย่างไร กำหนดลมหายใจเข้าออก นั่งฟุ้งซ่านไปมาสักพักก็จะมีความรู้สึกวูบๆ บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวหดลง  แล้วก็จะเป็นการเหมือนสลัดหลุดแล้ววิปัสนา ซึ่งจิตเป็นไปเองไม่ได้บังคับนะคะ(ลองบังคับแล้วค่ะมันทำไม่ได้ง่ะ-_-")

เรื่องที่จิตสอนจะเป็นเรื่องของ กาย และเวทนา แค่สองอย่างเองค่ะ จะเล่าแบบรวมๆนะคะ ว่าจิตสอนให้ดูการเกิดดับของเวทนา การที่ตอกย้ำว่าสังขารไม่ใช่ของเรา ไม่มีตัวตน เวทนาก็ไม่มีตัวตนเหมือนกายเพราะเวทนาเกิดกับกาย ประมาณนี้ค่ะ
รู้ถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ทุกครั้งจะเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความรู้ว่าการดำรงอยู่ตามวัฏสงสารเป็นเรื่องที่ไม่สนุกไม่ดีเป็นเรื่องน่ากลัวน่าเบื่อ ร่างกายของเราก็เป็นสิ่งไม่ดีไม่เที่ยง มีเน่าเหม็นมีเสื่อมมีปวดมีหายปวด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปค่ะซึ่งเห็นได้รู้สึกได้จริงจากของจริงที่กำลังปฏิบัติอยู่เลยค่ะ เหมือนว่าร่างกายเราเป็นบทเรียนที่ใช้สอนเราน่ะค่ะ  จะเป็นแบบนี้แทบทุกวันสลับกันไปค่ะเหมือนย้ำคิดย้ำทำ แต่เข้าใจค่ะเหมือนกับว่าเป็นการขัดเกลาอะไรบางอย่างประมาณนั้นค่ะ  

จากนั้นก็จะนิ่งเนียนไปเรื่อยๆเย็นละเอียดลมหายใจเนียนนุ่มเหมือนปุยนุ่นและสุข จากนั้นก็จะกลับไปพิจารณากายใหม่ จะเกิดขึ้นไปอัตโนมัตินะคะไม่ได้สั่งให้คิด แล้วก็กลับไปวูบ แล้วก็รู้สึกถึงตัวตนขึ้นมาใหม่ สามารถสลับไปมาได้แต่จะเป็นลำดับไปอย่างนี้ตลอด(เว้นเมื่อวานที่มีอะไรพิเศษเข้ามา)

วันที่2 เดินจงกรมทำการบ้านค่ะ คือจะไม่สวดมนต์จงกรมและนั่งสมาธิตอนบ่าย คือเที่ยงปุ๊บก็ปลีกวิเวกไปเดินจงกรมคนเดียวเลยค่ะ 5ชั่วโมง เวทนาสังขารเกิดมากเกิดเยอะ แต่ก็สลับกับจิตที่เหมือนถูกยกขึ้นค่ะ จะมองเห็นลายของพื้นชัดขึ้นเหมือนตัวเราเตี้ยติดพื้นและพื้นสูงขึ้นน่ะค่ะ

จากนั้นก็จู่ๆก็กลายเป็นพิจารณากายซึ่งจิตเป็นไปเองเราไม่ได้บังคับนะคะ คือจะเหมือนรู้สึกถึงชิ้นส่วนของร่างกายหลุดไปจากตัวค่ะ  ผม หนัง เหลือแต่เนื้อแดงๆ ความเวทนาของกายทำให้เราเห็นเหมือนกล้ามเนื้อเอ็นที่น่องหลุดไปเป็นก้อนเหลือแต่กระดูก สุดท้ายกระดูกก็คือเราเราก็คือกระดูกที่เดินได้แอบขำเล็กๆค่ะไม่มีเนื้อไม่มีหนัง ตอนนั้นจะรู้สึกเหมือน เราเป็นคนดู ความทรมานของสังขารจะเหมือนเลือนๆไป

คือมันคงอยู่แต่เหมือนไม่ได้สำคัญกับเราแล้วน่ะค่ะ แล้วกระดูกก็ค่อยๆกร่อนๆๆไปจนเป็นผุยผงแล้วก็สลายหายไปเลย เหมือนว่าความเจ็บปวดก็ยังไม่มีตัวตนเลย เพราะกายไม่ใช่ตัวตน เวทนาก็ไม่ใช่ตัวตน แล้วความปวดจะมีตัวตนไปได้อย่างไรประมาณนั้นเลยค่ะ

ความรู้สึกนี้จะไม่ได้อยู่ตลอดเวลานะคะ มันจะสลับๆกับการปวดเท้ามากกับการพิจารณาของจิตเราเอง จน30นาทีสุดท้ายความปวดพุ่งกระฉูดเลยค่ะแทบไม่อยากยกเท้าเลยงัดไม้สุดท้ายขึ้นมาคือยอมตายให้มันรู้ไปว่าจะตายเพราะเดิน5555555หนังสือพิมพ์เอาขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ^^" ก็สวดอิติปิโส 9จบสวดช้าๆประกอบการเดินไปเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะ 555 สวดไป 3 รอบ ก็คือ27จบค่ะ ตอนสวดความปวดก็เหมือนเป็นร่างกายที่ปวดคือรู้ว่าปวดแต่ไม่ใช่เราปวดสบายไปค่ะ 5ชั่วโมง สำเร็จในวันแรกที่ทำและเป็นวันที่2ของการเข้าวัดครั้งนี้

ทีนี้จะเล่าถึงความพิเศษที่ได้มาในวันอาสาฬหบูชานะคะ  การนั่งสมาธิก็เป็นไปตามลำดับค่ะก็เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือจิตวิปัสสนาค่ะ ที่นอกจากจะมีการระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยง การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป คราวนี้สอนถึงการละค่ะ คือเหมือนแสดงให้รู้ว่าไม่ละแล้วเป็นอย่างไร ละแล้วเป็นอย่างไร เล่ายากอ่ะมันเป็นเรื่องเฉพาะตนมากๆอธิบายยากสุดๆ แต่สรุปได้ว่าเรารู้แล้วว่า รู้แล้วไม่ละจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ารู้แล้วละจะดีอย่างไรน่ะค่ะ

นอกจากนั้นพอเกิดความรู้สึกหน่าย ตอนนี้ก็เกิดความรู้ว่าเราต้องพยายามให้หลุดไปจากวนเวียนชีวิตสุขทุกข์ เกิดดับค่ะ ในตอนนี้เราก็ถามจิตเราว่าแล้วทำยังไงล่ะให้พ้น ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้ กับกายและเวทนาที่เกิด

แล้วจู่ๆลมหายใจของเราละเอียดขึ้นมีความเย็นละเอียดซึ่งปกติที่นั่งๆมาแล้วจะไม่มีอะไรนอกจากความเย็นความปิติที่ละเอียดจนสะอื้นคราวนี้เหมือนจะเย็นกว่าเดิมละเอียดกว่าเดิมสะอื้นชัดกว่าเดิมเหมือนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมแก้วที่มีลมเย็นๆหมุนวน แต่คราวนี้จิตตอบเราได้ด้วยค่ะในความว่างเย็นฉ่ำนั้นว่า ปล่อยวาง ค่ะ วางแล้วจะสบายจะเบาจะหลุดจากบ่วงได้ค่ะ เขาบอกว่าให้วางแบบใจเย็นๆ เหมือนหยดน้ำหยดเล็กๆที่ค่อยๆสะสมให้เป็นธารน้ำใสเย็นซึ่งเขาเคยบอกเรามาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นเรานึกว่าเป็นเรื่องของเราและจิต แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ค่ะ

เขาแสดงให้เห็นเป็นดวงแก้วค่ะที่จากขุ่นแล้วค่อยๆใสขึ้น ดูเราก็ถามอีกว่าแล้วทำยังไงล่ะคือรู้ว่าต้องวางเข้าใจว่าต้องวาง แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง วางยังไง  เขาให้ค่อยๆขัดค่ะค่อยๆขูดกิเลสออกแบบไม่ต้องรีบแต่ทำให้สม่ำเสมอ แล้วสุดท้ายจะวางได้เอง คำตอบก็คือการย้ำเรื่องกายและเวทนาในการนั่งแต่ละครั้งนั่นล่ะค่ะคือเครื่องมือในการปล่อยวางของเรา

แล้วจู่ๆเราก็รู้ว่า แม้แต่จิตก็ยังไม่มีตัวตนเลยค่ะ คือไม่มีอะไรจริงๆไม่มีอะไรยึดเหนียว เหมือนเราก็ไม่มีแต่เป็นกลางอากาศว่างๆไม่มีบ้านเรือนไม่มีโลกใบนี้เหมือนศาลาที่นอนอยู่ไม่เกาะเกี่ยวกันเป็นศาลา โลกไม่เกาะเกี่ยวกันเป็นโลกที่เราอาศัย เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับเรามากค่ะคือมันน้อยนิดแต่ยิ่งใหญ่ยิ่งใหญ่กว่าจักรวาลอีกค่ะ ชื่นบาน สดเฟรชชชช อย่างบอกไม่ถูก  
เรารู้ค่ะว่าเราวางไม่ได้ในตอนนี้หรือเร็วๆนี้แน่มันยังเป็นแค่หยดน้ำสองสามหยดเองค่ะ แต่อะไรที่ขุ่นๆในดวงแก้วของเรากำลังถูกขัดออกแล้วค่ะซึ่งคงใช้เวลาอ่ะนะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใสปิ๊ง

4คืนที่ผ่านมาเรานอนน้อยค่ะ คือไม่ง่วงไม่หาวนอนเวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรมทุกอย่างแจ่มชัด สดใสมากค่ะ มี2คืนที่เราไม่นอนเลยสักชั่วโมง แผ่ส่วนกุศลไปได้เรื่อยๆ การนั่งสมาธิเหมือนการชาร์ตแบตกุศลพอเต็มก็ออกจากสมาธิมาส่งพลังงานไปสู่ชาวโลก55555 ที่ได้นอนเยอะสุดก็วันละ3ชั่วโมง เมื่อคืนเราก็นอนแค่1ชั่วโมงนิดๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่ง่วงเลยค่ะสดชื่นมากมาย กำลังจะปั่นงานแล้วค่ะอู้ไปบวชซะ5วัน อิอิ

ปล.การเดินจงกรมเราจะกำหนดรู้กายเราเหมือนตอนนั่งค่ะ ไม่ได้กำหนดลมหายใจ แต่สติมาเต็มมากเพราะกำหนดรู้ท่าเดินทุกอย่างก้าวทุกการขยับด้วย ดังนั้นการเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิเป็นเรื่องที่ดีมากๆๆๆๆๆสำหรับเราค่ะ สติเราเต็มมาก ชัดมาก เจิดค่ะ แนะนำอย่างแรงค่ะ ^^

จากคุณ : จอมนาง
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 55 10:37:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com