มีเรื่องเล่าว่า ในยุคสมัยที่โลกยังว่างจากบวรพุทธศาสนา ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดเสด็จมาอุบัติในโลกนี้
สมัยนั้น มนุษย์ชั้นปัญญาชน มีจิตปรารถนาจะพ้นจากภัยในวัฏสงสาร จึงได้สละบ้านเรือนเข้าป่าไป แล้วได้บวชเป็นโยคี ฤาษีและดาบส ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติพรตพรหมจรรย์บำเพ็ญตบะ กระทำการบริกรรมในวาโยกสิณ พยายามอยู่จนได้สำเร็จจตุตถฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็รำพึงในใจว่า
"โอหนอ จิตนี้ นักปราชญ์พึงติเตียนเป็นแน่แท้ ด้วยว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องไปทนทุกขเวทนาในอบายภูมิทั้ง ๔ ก็เพราะจิตนี่แหละเป็นต้นเหตุ ความทุกข์ทั้ง หลายที่เกิดขึ้น ก็เพราะอาศัยจิตนี่เอง
เมื่อถึงคราวถูกลงทัณฑกรรม ถูกโบยถูกตี เพราะมีจิต จึงให้รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวด เมื่อไม่มีจิตเสียอย่างเดียว ความทุกข์ทั้งปวงก็ไม่มี หากจิตนี้หายไปจากตน ไม่นึกไม่คิดก็คงจะเป็นการดี”
เมื่อเฝ้าคิดรังเกียจจิตของตัวเองอย่างนี้แล้ว อาศัยความเป็นผู้ที่ได้ฌานที่แก่กล้า เฝ้าชอบใจในกิริยาที่ไม่มีจิตของตัวเอง หมั่นประคับประคองรักษาจตุตถฌานไว้มิให้เสื่อมคลาย
ครั้นออกจากฌานแล้วก็ยังคงเฝ้าเกลียดชังจิต ให้เกิดความเบื่อหน่ายจิตของตัวเอง ด้วยความชอบใจในภาวะที่ไม่มีจิตนี้ จึงเฝ้าคิด เฝ้าปรารถนา เฝ้าภาวนาอยู่ ตามตำราที่กล่าวสอนต่อๆ กันมาว่า "อสญฺญีปิ อสญฺญีปิ" ขอเราจงอย่ามีสัญญา ขอเราจงอย่าได้เป็นผู้มีจิตเลย
การเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่อย่างนี้เป็นประจำจนตลอดชีวิต ครั้นละโลก ก็ตรงมาอุบัติในพรหมโลกชั้นอสัญญีสัตตาภูมิ ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติ และด้วยแรงอธิษฐาน หากนักบวชท่านใด เมื่อถึงคราวจะละสังขาร ตายด้วยอิริยาบถใด นักบวชท่านนั้นก็จะตรงไปอุบัติเป็นพรหมอสัญญีสัตตาในอิริยาบถนั้นๆ เช่น ถ้านั่งตาย ก็ตรงไปอุบัติเกิดเป็นองค์พรหมนั่งนิ่ง ถ้ายืนตาย ก็ตรงไปอุบัติเป็นองค์พรหมยืนนิ่ง ถ้านอนตาย ก็ตรงไปอุบัติเกิดเป็นองค์พรหมนอนนิ่งอยู่ในอิริยาบถนั้นๆ ตลอดไป
ป.ล. ผู้ที่จะไปเกิดเป็นพรหมลูกฟักนั้น ไปเกิดด้วยอำนาจของรูปาวจรวิบากอันเป็นมหัคคตกุศล และอีกประการหนึ่งไปเกิดด้วยอำนาจของ นิกันติกตัญหา และ เจโตปณิธิ
นิกันติกตัญหาในที่นี้คือ สัญญาวิราคะ คือความยินดีพอใจที่จะไม่มีจิต ไม่อยากให้จิตเกิด ไม่อยากมีจิตไว้คอยรับรู้อะไร
ส่วนเจโตปณิธิในที่นี้คือ การหมั่นเฝ้าอธิษฐานจิตหลังออกจากฌาน 4 ว่า ขอจงอย่าได้มีจิต ขออย่าได้มีสัญญา ขออย่าให้จิตเกิด
ซึ่งต่างจากฌานลาภีหรือผู้ได้ฌานทั่วๆไป ที่ยินดีในมหัคคตารมณ์ ยินดีที่จะมีจิตไว้คอยรับอารมณ์อันเป็นมหัคคตารมณ์
ดังนั้นพรหมโลกที่เป็นจตุตถฌานภูมิ จึงแบ่งเป็นสองภาค หรือสองบริเวณ คือฝั่งหนึ่งเป็นที่อยู่ของเวหัปผลาพรหม (มีจิต)
กับอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นที่อยู่ของอสัญญีพรหมลูกฟักผู้ไม่มีจิต มีแต่เพียงรูปกาย
ท่านว่าเวหัปผลาพรหมนั้นสามารถไปดูอสัญญีพรหมลูกฟักและวิมานของเขาเหล่านั้นได้ เพราะอยู่บนพรหมโลกชั้นเดียวกันมีเขตแดนติดต่อกัน เพราะเคยได้ฌาน 4 เหมือนกัน