คุณจำฉันได้ไหม ถ้าอ่านช้าๆอย่างละเอียดจะเห็นว่าผมไม่ได้ฟันธงว่าปาฏิหารย์มีหรือไม่มีนะครับ อย่างทีย้ำมาประมาณ 10 ครั้งได้แล้วว่าสิทธิ์ในการเชื่อเป็นเรืองของแต่ละคน ผมแค่ชี้ว่า มันมีสิ่งน่าสนใจเกินกว่าที่จะฟันฉับไปเลยว่าไม่มีเท่านั้นเองครับ
"ท่านอยู่ในวรรณะกษัตริย์มาก่อน ย่อมมีโอกาสได้รับความรู้ จากอาจารย์ต่างๆ ได้โอกาสทางการศึกษามาบ้างเป็นธรรมดา"
งั้นเรื่องที่ผมกล่าวควรมีบันทึกในส่วนอื่นของวรรณะกษัตริย์อินเดียรุ่นถัดมาสิครับ หรือไม่งั้นอย่างน้อยในยุคพระเจ้ามิลันเดอร์ก็ควรจะมี แค่ง่ายๆ อย่างน้อยๆแค่เรื่องโลกกลม ยุคนั้นก็ควรจะมีกันแล้วจริงไหมครับ
"ท่านไม่ได้พูดคำว่า เซลล์ อะตอม อิเล็คตรอน ฯลฯ ท่านไม่ได้ใช้คำแบบนั้น หรือลงลึกละเอียดไปขนาดนั้นเลยนะคะ มันไม่สามารถบอกได้ มันก็เป็นเรื่องทั่วๆไป"
แน่นอนครับ เพราะคำว่าเซลล์หรืออะตอมเราบัญญัติกันเองภายหลัง เช่นชื่อคุณจำฉันได้ไหม หากผมเห็นโดยไม่รู้จักชื่อ
ผมอาจบอกว่า "คนที่ขาวๆสวยๆตัวเล็กๆที่เข้ามาโพสต์เรื่องศาสนา"(หยอดซะหน่อย ยิ้มแล้ว ปิ๊ดปิ้วว) ก็ไม่น่าผิดใช่ไหมครับตราบใดที่เนื้อความสามารถอธิบายได้ตรงกับหัวข้อ โดยมีข้อแม้คือไม่ใช่การมั่วเพื่อเชื่อมโยง
ในกรณีของอะตอม ท่านแยกสสารไปสุดทีปรมาณูครับ แต่ผมเองยังติดใจข้อนี้นิดหน่อยเหมือนกัน เพราะหาต้นฉบับไม่เจอในพระไตรปิฏกโดยตรง แต่ไปเจอในอรรถกถาครับ
"คุณคิดว่า การทำ "มัมมี่" ของอียิปต์ หรือสถาปัตยกรรมต่างๆ เช่น " นครวัด " มันต้องอาศัย ความรู้ทางการแพทย์ หรือความรู้ทางดาราศาสตร์ มากพอสมควร แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? คนในอดีตเขาก็มีวิชาความรู้นะ "
ถูกต้องครับ คนโบราณมีความรู้ขั้นดีมากด้วยซ้ำครับ ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆครับ แต่ทั้งนี้เอง ลองหาอะไรที่ชี้ว่าคนโบราณมีความรู้ในเรื่องที่ผมกล่าวตามหัวข้อกระทู้มาลองถกกันดูสิครับ เหมือนคุณ nexus แกแย้งผมเรื่องโลกกลมมา ผมก็หาข้อมูลกลับไปจนพบว่า เป็นไปได้ว่าพระพุทธองค์อาจเป็นผู้บอกว่าโลกกลมเป็นคนแรกด้วยซ้ำ
"อีกอย่างหนึ่ง นั่นอาจเป็นการเขียนพระไตรปิฏก ยุคหลังจากท่านนิพพานแล้ว โดยลูกศิษย์ของท่าน เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าของเรานี่ไม่ธรรมดานะ เป็นคนฉลาด รู้นั่นรู้นี่เยอะ ฯลฯ จะได้สู้ศาสนาอื่นๆ ได้"
เป็นได้ครับ ดังที่ผมกล่าวไว้ต้ังแต่ต้นกระทู้ ลองอ่านดูครับ
"ส่วนการที่คุณไม่เชื่อว่า พระไตรปิฏก อาจแต่งเพิ่มเติมภายหลัง หรือถ้ามันแปลผิด ก็ต้องตรวจสอบได้สิ ฯลฯ "
แยกเป็น 2 เรื่องนะครับ
1. พระไตรปิฏก อาจแต่งเพิ่มเติมภายหลัง => ผมกล่าวไว้แล้วด้านบนนะครับ
2. พระไตรปิฏก แปลผิด แยกเป็น
ดังที่ผมกล่าวข้างบน ผมให้เหตุผลที่แสดงว่าส่วนปาฏิหารย์เกิดจากการแปลผิดพลาดเป็นไปได้ยากคือ
2.1 แปลผิดในช่วงเป็นภาษาบาลีแล้วเนื้อความส่วนปาฏิหาริย์กินความประมาณ 60% ของทั้งหมด การแปลจากน้อยไปมากโดยมีส่วนที่ไม่เคยมีเพิ่มเข้ามาเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีการตรวจสอบพบครับ เช่น สมมติผมแปลอังกฤษมาไทย
" this is a book " เต็มที่ก็คือ "นี่คือหนังสือ หรือพลาดหน่อยก็ "หนังสือเล่มนี้"
แต่คงไม่ใช่ "นี่คือหนังสือที่แฮรีพอตเตอร์นำมาใช้ในการเรียนวิชาเวทมนต์"
โอกาสแปลพลาดโดยเพิ่มเนื้อความที่ไม่เคยมีลงไปเป็นไปได้ยากเห็นด้วยไหมครับ
2.2 แปลผิดในช่วงจากมคธเป็นบาลี ในช่วงพระพุทธโฆษาจารย์ไปแปลจากต้นฉบับมคธในศรีลังกา อันนี้เป็นไปได้ครับ แต่มีข้อแย้งประการหนึ่งคือความลุ่มลึกของเนื้อความในพระไตรปิฏกที่แปลมา กับในวิสุทธิมรรคที่พระพุทธโฆษาจารย์แต่งขึ้นไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด อันนี้ต้องลองไปอ่านเองครับ ผมแสกนผ่านๆ
"อันนี้ เราและคนอื่นๆ ที่ได้เสนอ ข้อเท็จจริง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้ ก็คงไม่สามารถอธิบายอะไรได้อีก ........ เพราะคุณได้ฟันธงไปแล้วว่า " เป็นไปไม่ได้แน่นอน " ---- ตามข้อสรุปของคุณ หากไม่พิจารณา " ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ " แล้ว ก็คงไม่ทราบว่า จะนำอะไรมาพิจารณาอีกน่ะค่ะ "
อย่างแรก ที่ผมบอกว่าเป็นไปไม่ได้คือข้อ 2.1 ครับ ตามเหตุผลที่ผมแสดงข้างบน
อย่างที่สอง อะไรล่ะครับที่คุณจำฉันได้ไหมบอกว่าเป็น " ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ "
ยกมาสิครับ ผมยินดีรับฟังครับ
ผมมั่นใจในหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์นะครับ
ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งปลงใจเชื่อแม้คิดตามหลัก logic ก็ตาม ให้พิจารณาดูก่อนว่าคำสอนนั้นมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ วิญญูชนสรรเสริญ จึงค่่อยเชื่อ
ผมลองนั่งคิดนอนคิดดูแล้วยังหาโทษของการมองว่าพระไตรปิฏกแท้ 100% ไม่ได้ เพราะผมยังไม่เห็นว่าตรงไหนไม่มีประโยชน์ ตรงไหนเป็นโทษ ตรงไหนวิญญูชนไม่สรรเสริญ
อาจมีข้อโต้แย้งว่า version นี้ทำให้คนงมงายในชาติภพ นรกสวรรค์ ก็ต้องถามต่อ อะไรคืองมงาย ในเมื่อผมได้ยกเหตุผลตามด้านบนมาโดยละเอียดแล้วว่ามันมีประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกัน
ทีนี้มาดู version ตัดเหลือ 40% เหลือแต่แก่น ตามท่านพุทธทาสว่าไว้ครับ
- อันดับแรกเลย คนตัดเองก็เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ว่าพระพุทธองค์ทรงเอออวย เพื่อประดโยชน์ให้ชาวโลกพ้นทุกข์ ยังไงๆสำหรับผม เอออวยก็คือโกหก ตามความเห็นบนของผม
ซึ่งหากจะแย้งตรงนี้ก็แย้งมาได้เลยครับ
- อันดับสองคือ พอตัดเหลือสวรรค์ในอกนรกในใจ ศีลธรรมก็เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เพราะว่ากันจริงๆ ทุกข์ทางใจมองเห็นได้ยาก เกิดขี้นกับเฉพาะคน ใครที่ไม่มีความละอาย ก็ไม่รู้สึกผิด เมื่อไม่รู้สึกผิดก็๋ไม่ทุกข์เพราะทำผิด ไม่งั้นนักการเมืองคงไม่โกงกิน กินแล้วกินอีก กินแล้วกินเล่ากันไม่จบไม่สิ้นอย่างนี้ เห็นด้วยไหมครับ
- อันดับสาม เป็นเรื่องอีโก้ครับ เท่าที่ผมเห็น(อาจผิดก็ได้) คนที่เริ่มต้นด้วย version นี้มักคิดว่า version เต็มเป็นเรื่องงมงาย บางคนก็ดูถูก บางคนก็เลยไปถึงขั้นเหยียดหยามพระสุปฏิปันโนที่ออกมารับรองว่า version ปาฏิหาริย์เป็นจริง ว่างมงายบ้าง โง่บ้าง หากไม่เชื่อลองเปิดดูกระทู้บาลีที่คุณจำฉันได้ไหมเคยเข้าไปสิครับ ต้นเหตุน่ะมาจากสายนี้โดยตรงแบบเนื้อๆเลย
ชักยาวครับ ลองอ่านแล้วคิดตามโดยตัดคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกไปก่อนสิครับ
ผมเองก็จะบอกว่าส่วนตัวก็ไม่เคยมีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ใดๆทั้งสิ้น และก็ยังไม่ได้เชื่อเต็มร้อยเหมือนกัน แต่เมื่อพิจารณาตามหลักเหตุผลแล้ว ผมว่ามันไม่เสียหายที่จะลองศึกษา version เต็มดูครับ
เวลาแทงป๊อกเด้ง คุณจำฉันได้ไหมว่า แทงสองขา กับแทงขาเดียว แบบไหนมีโอกาสป๊อกมากกว่ากันล่ะครับ ในแง่โอกาสถูกกิน ก็ในเมื่อเรายังหาโทษอื่นนอกเหนือจากโดนคนโง่หาว่าโง่ไม่ได้ แล้วจะกลัวไปทำไมล่ะครับ