ความคิดเห็นที่ 1 ตอนที่สอง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:04:18

ความคิดเห็นที่ 2 มาดูวิธีคิด นะครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:10:13

ความคิดเห็นที่ 3 คุณจาตุรนต์ ฉายแสง พยายามชี้ และเชื่อมโยงกับ งานวิจัยของเหล่านักวิชาการ ข้างบน 2 คห ซึ่งที่มาคนละวาระกัน แต่ข้อมมุลนั้นตรงกัน การได้ดินแดนของรัฐสยามในอดีต นั้นคือบทเรียนว่าได้แต่ดินแดนไม่ได้ใจคน และไม่พยายามที่จะทำให้ได้ใจคน นี่แหละคือปม ที่มีมา ตลอดระยะ เวลา 200 ปี และนี่อีกนั้นแหละ คือตัวอย่างของกลุ่มที่ก่อความไม่สงบ และผู้ที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน ว่าการที่ไล่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลานั้น ก็ไม่ได้ใจคนในพื้นที่ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลดั่งกล่าว การแบ่งแยกดินแดน ก็คือมายาคติ ของกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นทีเท่านั้นเอง การแบ่งแยกดินแดนจะเป้นไปได้ หรือไม่ ไม่ใช่ ขบวนการเป้นคนเริ่มและกระทำ ปัจจัยหลักคือระบบคิดของคนทั้งประเทศ ถ้าคิดว่าคนสามจังหวัดไม่ใช่คนไทย โดยเฉพาะคิดว่า มุสลิม ไม่ใช่คนไทย นั้นคือปัจจัยหลักและแรงกระตุ้นทำให้เกิดการแบ่งแยกดินแดน มิใช่แบ่งแค่ สามจังหวัดแต่จะถูกแบ่งแยกออกไปทั้งประเทศทันที ตังอย่างกีฬ่าสี ทางการเมือง ยังมีการพูดถึง ถ้ามีปัญหามากนัก ก็แยกประเทศกันอยู่ไปเลย นี่คือระบบคิดอันเลวร้าย และอันตรายของสังคมไทย คนที่คิดต่าง คนที่ต่างศรัทธาและความเชื่อนั้น ไม่ใช่พวกตนเอง ตราบใดที่เราล้างความเชื่อแบบนี้ไม่ได้ ปัญหาความแตกแยะในสังคม โดยเฉพาะ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงหาสันติสุขได้ยาก แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 10:23:38 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:22:27

ความคิดเห็นที่ 4 คิดต้องคิดให้เปน ความรุนแรงไม่เคยแก้ปัญหาใดๆได้เลย ชอบคุณจาตุรงต์มากๆ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:31:47

ความคิดเห็นที่ 5 ท่าน เกลือจืด 5555555 ท่านจาตุรนต์ ฉายแสง ครับ มิใช่ จาตุรงค์ จาตุรงค์  นามสกุลม้กจ้ก  คร้าบบบ 55555 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:34:14

ความคิดเห็นที่ 6 จาตุงค์ มกจ้ก  เอาฮาคลายเครียด จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:40:05

ความคิดเห็นที่ 7 มาดูเรื่องความไม่เข้าใจเรื่องภาษา ทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด กันนะครับ คลายเครียด ด้วย 2 คลิปเดียวมาว่ากันต่อ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:44:00

ความคิดเห็นที่ 8 ด้วยคลิปตลก 2 คลิปข้างบน ถ้าเราเอามาฉุกใจคิดสักนิดนึง กับการแก้ปัญหาภาคใต้ จะทำให้ทราบได้ทันทีว่าปัญหาที่แท้จริง คือ ปัญหาหญ้าปากคอก นั้นเอง แต่ที่งมกันไปเรื่อยเพราะมัวแต่ไปคิดยาวถึง มุสลิม คือมาลายู มุสลิมมาลายู ไม่ใช่คนไทย พาลเตลิดไปทั้งประเทศว่ามุสลิมในประเทศไม่ใช่คนไทย พอตั้งโจทย์แบบนี้ ก็เหมือน แอนนาเพดานโหว่ นั้นเอง การตั้งโจทย์ ต้องย้อนมาที่ ระบบคิดของตัวเราเอง ไปสร้างเงือนใข ให้เพื่อนร่วมชาติหรือไม่ ว่าเป้นคนไทยต้องพุดภาษาไทย เป็นคนไทยต้องแต่งกายเป้นไทย เป็นคนไทยต้องนับถือศาสนาแบบคนไทยทั้งชาติ ระบบคิดเหล่านี้คือ ปัจจัยในการสนัยสนุน ให้ขบวนการ มีความแหลมคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป้น ขบวนการทางการเมือง ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการสีเทา ขบวนการคนมีสี ขรก สิ่งที่จะขจัดขบวนการทรชนนี้ไปได้ คือขบวนการประชาสังคม สร้างประชาสังคมให้เข้มแข็ง นั่นคือการแย่งชิงมวลชนเอามา เมื่อมวลชนมาอยู่ฝ่ายความเป้นธรรม ฝ่ายอยุติธรรม ก็เหลือเพียงอุดมการณ์ ที่แปะไว้ข้างฝาผนังบ้านเท่านั้นเอง หรือฝันลมๆแล้งๆ  นั้นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 55 15:58:31 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:53:57

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา (2555)แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ได้ร่วมกันมีการจัดเวทีสาธารณะครั้งสำคัญขึ้นในหัวข้อ “9 ปีความรุนแรงภาคใต้: อัศจรรย์ความรู้ในแดนเนรมิต?”  เพื่อพยายามนำเสนอสาระและเผยแพร่ความรู้จากงานวิจัย อันเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่หน่วยงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้คนในสังคมวงกว้าง ในวันดังกล่าว คณะทำงานของสำนักเครือข่ายสื่อพลเมือง ไทยพีบีเอส และผู้ปฏิบัติงานของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ได้ร่วมกันจัดการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ 5 แห่ง กองบรรณาธิการเห็นว่าการนำเสนอในเวทีดังกล่าวมีเนื้อหาที่ควรต้องขยายความและสร้างข้อถกเถียงต่อ จึงนำบทบันทึกดังกล่าวมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง   ข้างล่างนี้คือคลิปวิดีโอที่ตัดต่อจากในเวทีดังกล่าว โดยเรียงตามกำหนดการที่เริ่มต้นจากเวทีอภิปรายแลกเปลี่ยนในหัวข้อ “ทางเลือก สำหรับทางรอดของภาคใต้” โดยตัวแทนจาก สมช., ศอ.บต., กอ.รมน. นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และผู้ปฏิบัติงานในภาคประชาสังคมคนสำคัญ และต่อด้วยการปาฐกถาปิดท้ายในหัวข้อที่เป็นชื่อเดียวกันกับเวทีโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ซึ่งเป็นการทบทวนความรู้ล่าสุดเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงในชายแดนภาคใต้ไว้อย่างน่าสนใจ   นอกจากนี้ ยังรวบรวมข้อเขียนและคลิปข่าวเกี่ยวกับเวทีสาธารณะดังกล่าว ตลอดจนภาพถ่ายที่บันทึกไว้ในระหว่างการถกเถียงครั้งดังกล่าวเอาไว้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:29:07

ความคิดเห็นที่ 10 เวทีอภิปรายแลกเปลี่ยน “ทางเลือก สำหรับทางรอดของภาคใต้” ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้   แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 11:34:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:31:03

ความคิดเห็นที่ 11 พันเอกชินวัฒน์ แม้นเดช รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:33:58

ความคิดเห็นที่ 12 คำพูดที่สวยหรู ใครก็พูดได้ แต่จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่นั่น เป็นอีกเรื่อง สู้จัดการเเบบตรงไหนตรงมาจะดีที่สุด ดูความต่างระหว่างเมืองไทยกับเมืองนอกครับ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 11:45:39 จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:45:11

ความคิดเห็นที่ 13 ปิยะ กิจถาวร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:49:31

ความคิดเห็นที่ 14 นายมูฮำมัดอายุบ ปาทาน บรรณาธิการอาวุโสศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:51:28

ความคิดเห็นที่ 15 MCE กระทู้นี้เพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้สร้างปัญหา MCE อย่าทำตัวเป็นปัญหาและชอบสร้างปัญหาให้ประเทศไทย ไปตาม ภูวดล แดนไทย  มาคุยนะไป แหกตาดูหรือยังก่อน จะแสดงความคิดเห็น ผมเองก็ยังฟังยังดูไม่จบเลยผมเอง ไอคิว แค่ 83 จี้ด +100 ผมเองกำลังแหกหู ฟังอยู่ ก็อยากให้ฟังไปพร้อมๆกัน ไอคิว 110 ดูได้เร้วมาก โดยไม่ต้องวิเคราะห์ จากการดู การอ่าน สงสัยไอคิว MCE 500 แน่ๆๆ ยกให้ไปเลยความเป็นอัจฉริยะของ MCE จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:00:04

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นที่พี่จิมเขียนมาว่า "...การได้ดินแดนของรัฐสยามในอดีต นั้นคือบทเรียนว่าได้แต่ดินแดนไม่ได้ใจคน และไม่พยายามที่จะทำให้ได้ใจคน นี่แหละคือปม ที่มีมา ตลอดระยะ เวลา 200 ปี...." ก็พอดี ตรงกับเรื่องที่ผมเคยจะเขียนอยู่พอดี ขอตัดมาลงแล้วกันนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:00:30

ความคิดเห็นที่ 17 ...หวังว่าคงจะไม่มีใครลืมประวัติศาสตร์ยุคปราบปรามคอมมิวนิสต์ของไทยไปแล้วนะ เพราะคนที่เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่ ไม่ได้อยากเป็นคอมมิวนิสต์ หากแต่โดน"เหมารวม"จากรัฐบาล จนต้องเข้าร่วมคอมมิวนิสต์เพื่อเอาชีวิตรอด สุดท้ายแผนการที่ปราบปรามอย่างเด็ดขาด "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" ยิ่งเหมือนราดน้ำมันใส่เปลวไฟ ส่วนแผนการที่ทำให้คนเป็นคอมมิวนิสต์ยอมเลิกเป็นคอมมิวนิสต์กลับเป็นการอภัยโทษซะงั้น ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะไม่เหมือนกรณีนั้นซะทีเดียว การยกรูปแบบนั้นมาโดยตรงอาจจะใช้ไม่ได้ คงต้องดูให้เห็นก่อนว่าปัญหามาจากอะไร - การแบ่งแยกดินแดน ? - การสร้างสถานการณ์เพื่อสูบงบประมาณ ? - การสร้างสถานการณ์เพื่อปกปิดธุรกิจมิชอบ ? ทั้ง 3 ข้อ คือทฤษฎีที่เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา อันล้วนแต่มีวิธีแก้ที่ต่างกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม หากใช้ความรุนแรงและเหมารวม สุดท้ายก็จะวนลูปแบบคราวคอมมิวนิสต์แน่นอน จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:01:06

ความคิดเห็นที่ 18 ประเทศไทยเราได้ดินเเดน ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ อีสาน ตราด ไม่เห็นมีปัญหาเลย จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:03:02

ความคิดเห็นที่ 19 คัดลอกจากบทความของคุณกัมม์นะครับ ความเห็นต่อไปนี้จะเป็น มุมมองของรัฐสยามต่อหัวเมืองปัตตานีเก่า ".....  เมืองแขกทั้งเจ็ดนั้นเดิมรวมกันเป็นเมืองเดียวเรียกว่าเมือง "ปัตตานี" เจ้าเมืองเป็นมลายูถือศาสนาอิสลาม  มียศเป็นสุลต่าน  บางสมัยก็เป็นประเทศราชขึ้นกรุงศรีอยุธยา  บางสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสื่อมอำนาจก็ตั้งตัวเป็นอิสระ  เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า  สุลต่านเมืองปัตตานีตั้งตัวเป็นอิสระมาจนถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์  ไม่ยอมกลับมาเป็นประเทศราชอย่างเดิม  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงดำรัสสั่งให้พระมหาอุปราชยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานี  เมื่อได้เมืองแล้วทรงตั้งเจ้าชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง  ซึ่งมาอ่อนน้อมต่อไทยให้เป็นพระยาปัตตานีครองเมืองเป็นประเทศราชต่อมาอย่างเดิม           แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั้นเอง  มีแขกอาหรับคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวว่าเป็นซาหยัด (คือสายโลหิตลงมาจากนาบีมะหะหมัดผู้ตั้งศาสนาอิสลาม) มาสอนศาสนาอิสลามที่เมืองปัตตานี  มีพวกมลายูเลื่อมใสมากเลยชวนพระยาปัตตานีให้เป็นขบถ  รวบรวมชาวเมืองปัตตานีสมทบกับพวกแขกสลัด  ยกเป็นกองทัพมาตีเมืองสงขลา  แต่กองทัพไทยที่เมืองสงขลากับเมืองนครศรีธรรมราชช่วยกันตีพวกขบถแตกพ่ายไป  แล้วเลยลงไปตีเมืองปัตตานีได้อีกครั้ง จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:05:03

ความคิดเห็นที่ 20 . จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:05:45

ความคิดเห็นที่ 21 (ต่อ) "...พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริเห็นว่าจะให้เมืองปัตตานีเป็นเมืองใหญ่อย่างแต่ก่อนต่อไป ไว้ใจไม่ได้  จึงดำรัสสั่งให้แยกอาณาเขตเมืองปัตตานีเดิมออกเป็น ๗ เมือง  คือ เมืองตานีหนึ่ง  เมืองยิหริ่งหนึ่ง  เมืองสายบุรีหนึ่ง  เมือระแงะหนึ่ง  เมืองราห์มันหนึ่ง  เมืองยะลาหนึ่ง  และเมืองหนองจิกหนึ่ง  ให้ขึ้นต่อเมืองสงขลาทั้ง ๗ เมือง         ส่วนผู้ปกครองเมืองเหล่านั้นทรงตั้งผู้ที่มีความชอบช่วยปราบขบถครั้งนั้น  เป็นไทยบ้าง เป็นมลายูชาวเมืองบ้าง  ให้เป็นเจ้าเมืองมียศเป็นพระยา  ใช้วิธีปกครองอย่างเคยเป็นมาแต่ก่อน  คือ  (อย่างเมืองประเทศราช) เก็บภาษีอากรและใช้กฎหมายเดิมได้โดยลำพัง  เป็นแต่ต้องถวายต้นไม้ทองเงินและเครื่องบรรณาการ ๓ ปีครั้งหนึ่ง  เหมือนกันทั้ง ๗ เมือง  นอกจากนั้นก็แล้วแต่เจ้าเมืองสงขลาจะบังคับบัญชา  หรือถ้าว่าอีกอย่างหนึ่ง  ก็เหมือนเป็นกำลังของเจ้าเมืองสงขลาอย่าง "กินเมือง" ทั้ง ๗ นั้น  เป็นเช่นนั้นมากว่า ๑๐๐ ปี............." จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:07:07

ความคิดเห็นที่ 22 MCE  ฟัง   ฟังให้จบ ไม่ใช่โวย ปัญหามันเกิดก็เพราะฟังไม่จบ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:07:11

ความคิดเห็นที่ 23 ท่านผ้าพับไว้  รบกวนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ท่อนนี้ มิใช่ก่อการกบฎเมืองแขกทั้ง 7 การก่อกบฎทั้งประเทศครับ และ 1ในการก่อกบฎของเจ้าพิมาย คือการเอาเรื่องพระศรีอารยะเมตไตรย์เป็นประเด้น แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 12:10:03 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:09:41

ความคิดเห็นที่ 24 (ต่อ) "....เมื่อก่อนเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  ข้าพเจ้าได้เคยลงไปถึงเมืองเหล่านั้นบางเมือง  สังเกตเห็นราษฎรเป็นไทยกับเป็นมลายูมากไล่เลี่ยกัน  และตั้งบ้านเรือนอยู่ด้วยกันโดยปรองดอง  เป็นแต่ถือศาสนาผิดกันและใช้ภาษาแต่กัน  เพราะเหตุนั้นจึงคิดว่าจัดการปกครองเมืองแขกทั้งเจ็ดจะต้องใช้นโยบายให้เหมาะกับท้องที่  คือรวมหัวเมืองแขกทั้งเจ็ดเข้าด้วยกันคล้ายกับมณฑล  แต่ให้เรียกว่า "บริเวณ" เพราะยังขึ้นอยู่ในจังหวัดสงขลา  และจะต้องแก้ไขระเบียบการปกครองให้ผิดกับเมืองอื่นบ้าง  จึงให้เจ้าพระยายมราชลงไปตรวจตามเมืองทั้งเจ็ดให้รู้ลักษณะการที่เป็นอยู่อย่างไร  และทำรายงานมาเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเสียก่อน  แล้วปรึกษาหานโยบายที่จะจัดต่อไป  เจ้าพระยายมราชตรวจแล้วเสนอรายงานมีเนื้อความว่า         ๑).  วิธีปกครองเมืองทั้งเจ็ดเป็นอย่างที่เรียกกันว่า "กินเมือง" เจ้าเมืองจะทำอย่างไรก็ได้  สุดแต่อย่าขัดขืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเท่านั้น         ๒).  ภาษีอากรยังเก็บอย่างโบราณก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  ยกตัวอย่างเช่นเก็บค่านาด้วยเอาจำนวนโคสำหรับใช้ไถนาเป็นเกณฑ์เก็บภาษี  โคคู่ละเท่านั้นๆ  ไม่ต้องรังวัดเนื้อนา (วิธีนี้เป็นมูลที่เรียกว่า "นาคู่โค"  ) ภาษีอย่างอื่นก็ให้จีนรับผูกขาดไปเก็บ  ใช้ทั้งวิธีชักส่วนสินค้าและวิธีให้ซื้อขายได้แต่เจ้าภาษี         ๓).  การปกครองราษฎรในท้องที่ก็แล้วแต่เจ้าเมืองจะตั้งใครเป็นนายตำบล  และจะต้องการใช้แรงงานเมื่อใด  หรือให้ราษฎรหาสิ่งของอย่างไรให้เมื่อใด  ก็เกณฑ์ตามใจเจ้าเมือง         ๔).  การชำระตัดสินความอยู่ในอำนาจ "โต๊ะกาลี" คืออาจารย์ทางฝ่ายศาสนาเป็นผู้ชำระตัดสินตามกฎหมายอิสลาม  มีเมืองหนองจิกเมืองเดียวที่ใช้กฎหมายไทยเพราะเจ้าเมืองเป็นไทยมาหลายชั่วคนแล้ว.............." หมายเหตุ ข้าพเจ้า = สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ : ผู้ทรงประพันธ์ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:09:51

ความคิดเห็นที่ 25 # พี่จิม ลองอ่านความเห็นที่ ๑๙ ดี ๆ ครับ รอบแรกน่ะใช่ยุคเดียวกับเจ้าพิมายครับ และปราบเสร็จไปแล้ว แต่รอบหลังมีอีกรอบครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:12:47

ความคิดเห็นที่ 26 ขอผมฟังบรรยาย ให้จบก่อน กำลังใช้สมาธิในการฟัง นะครับ เด๊่ยวผมมาคุยด้วย จริงๆแล้วไม่อยากคุย เพราะคุยมาหลายรอบ แต่เอาเหอะมาฉายอีกรอบก้ได้ครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:13:55

ความคิดเห็นที่ 27 (ต่อ) ".... เมื่อเสนอรายงานแล้ว  เจ้าพระยายมราชกับข้าพเจ้าปรึกษากันเห็นว่าการปกครองท้องที่ตามแบบมณฑลเทศาภิบาลชั้นในจะจัดในเมืองทั้งเจ็ดได้สะดวก  แต่จะต้องใช้นโยบายผ่อนผันในอย่างอื่นบ้างบางอย่าง  อย่าให้พวกมลายูชาวเมืองรู้สึกว่าไทยลงไปจัดการให้เดือดร้อนกว่าแต่ก่อน  ในเรื่องนี้เห็นเป็นข้อสำคัญมีอยู่ ๓ ข้อ  คือ         ๑).  การเก็บภาษีอากรยังไม่ควรแก้ไขให้เหมือนกับเมืองอื่นในมณฑล  ให้ราษฎรเสียภาษีอากรแต่ตามที่เคยเสียอยู่อย่างเดิมเป็นแต่เลิกผูกขาด  แม้จะลดพิกัดลงบ้างก็เชื่อว่าคงจะได้จำนวนเงินมากขึ้นเหมือนเคยปรากฏในมณฑลอื่น         ๒).  ยังไม่ควรเลิกศาลโต๊ะกาลี  เพราะราษฎรนับถือศาสนาอิสลามมีอยู่มาก  เป็นแต่จะแก้ไขด้วยเลือกตั้งพวกอาจารย์ศาสนาอิสลามที่คนนับถือมาก เป็น "ดาโต๊ะยุติธรรม" ขึ้นไว้คณะหนึ่งราว ๒๐ คน  ถ้าคนถือศาสนาอิสลามเป็นความกัน  หรือเป็นจำเลยในคดีที่ต้องตัดสินด้วยกฎหมายทางศาสนา  คือความผัวเมียอย่างหนึ่ง  ความมรดกอย่างหนึ่ง  ให้คู่ความเลือกดาโต๊ะยุติธรรมที่ได้ตั้งไว้เป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายละคนหนึ่ง  หรือหลายคนตามตกลงกันมานั่งชำระตัดสินในศาลไทย  ถ้าคู่ความเป็นไทยหรือเป็นความประเภทอื่น ศาลไทยชำระและตัดสินตามกฎหมายไทยทั้งสิ้น         ๓).  ไม่ควรให้ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองอยู่ในเวลานั้น (อันเป็นมลายู ๖ คน  เป็นไทยคนหนึ่ง)  ได้ความเดือดร้อนเพราะที่ไปจัดการเปลี่ยนแปลงวิธีปกครอง  ข้อนี้ปรึกษากันเห็นว่ามีทางที่จะแก้ไขอย่างเดียวแต่ให้เงินบำนาญทดแทนให้พอเลี้ยงผลประโยชน์ที่ต้องขาดไป         ปรึกษากันแล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูล  ก็โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตามความคิดที่ปรึกษาตกลงกันนั้น  ก็ให้เจ้าพระยายมราชลงไปแก้ไขวิธีการปกครองบริเวณเจ็ดเมืองตามหลักดังกล่าวมา ......." หมายเหตุ ข้าพเจ้า = สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ : ผู้ทรงประพันธ์ เจ้าพระยายมราช = เจ้าพระยายมราช ( ปั้น สุขุม ) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:15:51

ความคิดเห็นที่ 28 (ต่อ) "... เจ้าพระยายมราชลงไปจัดการตั้งบริเวณเจ็ดเมืองครั้งนั้น  ท่านใช้อุบายอย่าง "สุขุมคัมภีรภาพ"  สมกับนามที่ท่านได้พระราชทาน  จะกล่าวแต่รายการที่เป็นข้อสำคัญ เมื่อประกาศพระบรมราชโองการให้รวมเมืองทั้ง ๗ ตั้งเป็นบริเวณแล้ว  ท่านแสดงความให้ปรากฎแพร่หลายต่อไป  ว่าระเบียบการที่จะจัดนั้นจะถือว่าชาวเมืองที่เป็นไทยกับมลายูเสมอกันหมด  ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่พนักงานปกครองตามระเบียบใหม่ก็จะเลือกแต่ผู้มีความสามารถจะเป็นไทยหรือมลายูก้เป็นได้เหมือนกัน  ท่านพยายามระวังป้องกันมิให้เกิดความรังเกียจกันว่าต่างชาติต่างศาสนา  หรือว่าจะให้ไทยไปเป็นมลายู  เป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง         ส่วนการที่เกี่ยวกับเจ้าเมืองในเวลานั้น  ท่านก็ชี้แจงให้ทราบรายตัวทั่วทุกคนว่าระเบียบการปกครองที่จัดใหม่ดังเช่นได้จัดในจังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลานั้น  ต้องแก้ไขวิธีเก็บภาษีอากรและผ่อนผันการใช้แรงงานราษฎรผิดกับอย่างเดิม  ท่านเกรงว่าผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองเคยได้มาแต่ก่อนจะขาดไปมิมากก็น้อย  เพื่อจะมิให้เดือดร้อนจะให้เป็นตัวเงินประจำปีทดแทนเท่าผลประโยชน์ที่เจ้าเมืองเคยได้จากภาษีอากรและค่าธรรมเนียมอย่างแต่ก่อน  ขอให้เจ้าเมืองจดบัญชีมาให้ท่านทราบเป็นรายการว่าเคยได้ผลประโยชน์จากการอย่างใดเป็นเงินเท่าใด   จะได้ตั้งเป็นจำนวนเงินบำนาญว่าเจ้าเมืองคนไหนจะได้ปีละเท่าใด  พวกเจ้าเมืองก็พากันยินดีที่จะได้เงินโดยมิต้องขวนขวาย  หรือต้องถูกคนเก็บเงินภาษีอากรยักยอกเหมือนแต่ก่อน  ต่างก็ยอมรับด้วยความยินดี  และพากันทำบัญชีเงินผลประโยชน์ที่ตนเคยได้รับมายื่น  เจ้าพระยายมราชเห็นบัญชีก็รู้เท่า  ว่าจำนวนเงินที่ตั้งมาสูงกว่าที่เคยได้รับจริงโดยมาก  แต่ท่านก็ยอมรับเพราะประสงค์จะให้ตกลงโดยพอใจด้วยกันทุกฝ่ายและเห็นว่าให้เฉพาะชั่วอายุเดียว  ทั้งเชื่อว่าคงเก็บผลประโยชน์ได้เพิ่มขึ้นคุ้มปรือเกินจำนวนเงินที่ยอมให้  ............" จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:18:45

ความคิดเห็นที่ 29 (ต่อ) "... แต่ก็มีขบขันอยู่บ้าง  เช่นพระยาเพชราภิบาล (พ่วง  ณ สงขลา)เป็นเจ้าเมืองหนองจิกได้เงินบำนาญมากกว่าเงินเดือนของเจ้าพระยายมราชผู้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลได้รับเกือบเท่าหนึ่ง  แต่พระยาหนองจิกก็ช่วยเจ้าพระยายมราชมาก  เพราะเป็นเจ้าเมืองหนึ่งใน ๗ เมืองนั้น  พระยาหนองจิกทำอย่างไรเจ้าเมืองอีก ๖ เมืองก็ต้องทำด้วย  ช่วยให้การจัดสะดวกขึ้นอย่างหนึ่ง         ข้อสำคัญที่เจ้าพระยายมราชจัด "บริเวณ" ครั้งนั้นอีกอย่างหนึ่ง  คือเอาข้าราชการไทยจากจังหวัดอื่นไปเป็นตำแหน่งในบริเวณน้อยที่สุด  เลือกหาแต่ผู้ชำนาญการอันหาตัวไม่ได้ในท้องถิ่น  ถ้าคนในท้องถิ่น ไทยก็ตามมลายูก็ตาม  สามารถจะทำได้แม้จะทำไม่ได้ดีทีเดียวก็ใช้คนในท้องถิ่น  ท่านได้คนสำคัญไปจากต่างถิ่นอันควรจะกล่าวถึงคนหนึ่ง  คือ พระยาเดชานุชิต(หนา  บุนนาค) เมื่อยังเป็นที่พระศักดิ์เสนี  ลงไปเป็นข้าหลวงประจำบริเวณ (และภายหลังได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลเมื่อตั้งบริเวณเป็นมณฑลปัตตานี)  อยู่ประจำทำการต่างหูต่างตาเจ้าพระยายมราช           ข้าราชการไทยเอาไปจากที่อื่นเวลานั้นเป็นชั้นกรมการอำเภอและเจ้าหน้าที่สรรพากรเป็นพื้น  มีประหลาดอยู่ที่การเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน  พวกมลายูชอบกันมาก  ได้คนดีๆที่เป็นชนิด "คุณพ่อ" ดังกล่าวมาแล้วแทบทั้งนั้น  เรียกตามเสียงมลายูว่า "กำแนร์" "พเยแบร์" ทำการตามหน้าที่ด้วยใจสมัครอย่างแข็งแรง           ถ้ารวมความโดยย่อ  เจ้าพระยายมราชจัดหัวเมืองทั้งเจ็ดครั้งนั้น  สามารถทำการยากให้เป็นง่ายได้ด้วยสติปัญญาและความเพียรของท่าน  อันสมควรยกเป็นเอกเทศในเกียรติคุณของท่านได้อย่างหนึ่ง.............." จบเท่านี้ครับ คัดลอกจาก บทความเก่าของคุณกัมม์ เรื่อง  ประวัติชีวิตของ เจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม)  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ : ผู้ทรงประพันธ์ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:22:26

ความคิดเห็นที่ 30 รบกวนทุกท่าน สละเวลา ฟังท่านอาจารย์ ชัยวัฒน์ ใน คห 20 ชั่วโมงกว่า แต่สำคัญ ผมกำลังฟังอยู่ เพราะเป็นอัพเดท สุด แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 12:32:28 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:32:02

ความคิดเห็นที่ 31 เสียดาย โดนเซนเซ่อร์ เสียง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:44:21

ความคิดเห็นที่ 32 ผมฟังของอาจารย์ชัยวัฒน์ จบแล้ว เพื่อนๆทุกท่าน ฟังจบแล้วหรือยัง ถ้ายังรบกวนฟังให้จบ คงได้คำตอบและแนวทางในการคิดกันบ้างนะครับ ท่านทั้งหลายอยากให้ผมพูดต่อหรือไม่ รวมทั้ง คห  ของท่าน ผ้าพับไว้ จะให้ผมพูดต่อด้วยหรือเปล่า ผมเรียนว่า ถ้าจะให้ผมพูดต่อ ผมพูดเรื่องจริง แต่จะถูกใจใครหรือไม่ผมไม่ทราบ ดังนั้น จะให้ผมพูดหรือไม่ รบกวนช่วยบอกทีครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:17:34

ความคิดเห็นที่ 33 เชิญพี่จิมได้ครับ ที่ผมนำข้อความมาลงให้ดู ก็เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า ทางการสยาม ไม่ได้นิ่งนอนใจในไปเสียทั้งหมด มีความพยายามจะทำให้ได้ใจคนที่มีอำนาจปกครองในพื้นที่เดิม และ ประชาชนเดิมทั่วไป ตรงนี้ก็เป็นมุมมองในฝ่ายรัฐสยามนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าทางฝ่ายคนในพื้นที่จะเห็นเป็นอย่างใด ขอรบกวนพี่จิมอีกรอบก็ได้ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:32:38

ความคิดเห็นที่ 34 อ้างอิงจากพระนิพนธ์นะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:35:15

ความคิดเห็นที่ 35 ต่อครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:36:34

ความคิดเห็นที่ 36 อ้าวภาพหาย เอาใหม่ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:37:05

ความคิดเห็นที่ 37 เกี่ยวกับศาลครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 13:38:38

ความคิดเห็นที่ 38 ในคห ที่ 11 ของ อาจารย์ดนัย มุสา รบกวนฟังนิดนึง ผมขอย้อนประวัติศาสตร์ โดยหลักการ รัฐสยาม นั้นแท้ที่จริงคืออณาจักรอโยธยาเท่านั้น ที่เห็นยาวสุดเหนือเหนือสุดใต้ ตะวันออก ยัน ตะวันตก นั้น ไม่ใช่รัฐสยามอย่างแท้จริง อณาจักรทั้งหลาย นั้นคือ รัฐบรรณาการ  ต้องทำความเข้าใจก่อน รัฐบรรณาการ คืออะไร คือ เราไปรุกราน คนอื่นเค้า  แต่ให้โอกาสรัฐบรรณาการ ในการปกครองตนเอง โดยการส่งส่วย  ด้วยประการดั่งนี้ พระราโชบาย  นั้นเพื่อให้ได้ใจคนในประเทศราช หรือ รัฐบรรณาการ มิผิดเพี้ยน แต่ปัญหาที่มันเกิดขึ้น คือ คห ที่ 11  คุณดนัย มุสา ผู้ปฏิบัติไม่ได้ใช้นโยบาย นั้น ให้ถุกต้องตามวัตถุประสงค์ หรือบางคราก็ใส่เกียร์ว่าง หรือปฏิบัติในสิ่งตรงกันข้าม กับ นโยบาย ผมเรียนให้ทราบด้วยความจริงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัย ร.5 นั้น ระดับชาวบ้าน นั้นไม่มีความจงเกลียดจงชังใน พระราชา ของสยาม แม้นแต่น้อย ที่รังเกียจ คือ ผู้ปฏิบัติ หรือ ข้าหลวง ที่ลงไป ปฏิบัต ตรงกันข้ามกับหลักทศพิศราชธรรม โดยสิ้นเชิง เฉกเช่น ในประวัตศาสตร์ พระเจ้าเสือ ผมไม่ขอย้อนละกัน มาในช่วง ร.8-9  มุสลิมในพื้นที่ ยิ่งเหนียวแน่น กับในหลวงมาก  ในขณะมี่เสียงปืนแตก มีทั่วทั้งภาคใต้  ในหลวง พระราชินี พระะราชดำเนินได้อย่างปลอดภัย มีพสกนิกรมุสลิม มารับเสด็จอย่างมากมาย เพราะอะไร เพราะโครงการของพระองค์ท่าน เป็นโครงการที่ถ่วงดุลย์ กับฝ่ายปกครอง แม้นกระทั่งในท้องที่ สีแดงก้ตาม เช่นอำเภอศรีสาคร สุขิรินทร์  โครงการเข้าถึงทุกหลังคาเรื่อน แม่บ้านทำงานหัตถกรรมตามแนวพระราชดำริ  ด้วยประการดั่งนี้ ปัญหาไม่ใช่ พระราชาไม่ได้ใจ แต่เป้นฝ่ายปกครองนั้นเองที่ไม่ได้ใจ ชาวบ้าน  ผมพูดในนี้หลายครั้ง เป็นความผิดพลาดมาแต่โบรานกาล การโยกย้าย ขรก ชั่ว ก็ ส่งไปที่ดินแดน นั้น จึงเป็นแหลางรวมของคนชั่ว ต่างถิ่นผสม ในถิ่น และปัญหาที่สำคัญ คือ การปฏิบัติ ของพสกนิกรพุทธศาสนิกชน ที่ไม่น้อมนำ พระราโชบายของพระองค์มาใส่ใจ  สร้างความอคตินิยม ขึ้นมานั่นเอง จนกระทั่งถึงทุกวันนี้  ลองสังเกตุตนเอง สำรวจตนเอง ยังคงเหยียด ศาสนาอิสลาม หรือไม่ ผมถึงบอกว่าอยู่ที่ระบบคิด ถ้าระบบคิดของคนไทย ยังคืดว่า ข้าฯคนไทยดี ข้าฯคนไทยถูกต้องฯ ข้าฯคนไทย คือตัวแทนของความชอบธรรม นั่นคือระบบคิดที่อันตราย แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 14:20:13 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:00:47

ความคิดเห็นที่ 39 ท่าน  ผ้าพับไว้  ที่ท่านแปะมา ผมอ่านมาหมดแล้ว รวมทั้งของรัชกาลที่ 6 ด้วย ผมว่าท่านกำลังพุดกับผมคนละเรื่อง ผมพูดว่า ปัญหามันเกิดจากการปฏิบัติ ของ ฝ่ายปกครอง ที่ไม่น้อมนำ เอาพระราโชบายมาใช้ ไม่ต้องอะไรมาก ตามรัฐรรมนูญไทย ฉบับ ปี 50 นี่แหละ  เอามาใช้หรือยัง  จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:05:10

ความคิดเห็นที่ 40 ตั้งแต่ คห  ข้างบน ยันตรงนี้ ถ้าดูในคลิป จนหมด จะเห้นว่า ในทุกคลิป พุดเรื่องวิชาการและแนวทางแก้ปัญหา ในปัจจุบัน ว่า เป็นมาจาก นโยบาย ที่ Outsider ไม่ใช่มาจาก Insider และการปฏิบัติ ก้ยังไม่ทำการสนองนโยบาย ทำงานขัดขากันเอง  ตลอด ในทุกยุคทุกสมัย แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 14:24:11 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:23:45

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าจะว่าด้วยหลักปรัชญาเบื้องต้น ถ้าเรารักใครสักคน จงให้เค้าเป้นในสิ่งที่เค้าอยากเป็น มิใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากให้เค้าเป็น ปัญหาไม่ใช่เค้าอยากแยกประเทศ ตามคลิป หัวข้อกระทู้ และ คห ที่ 1 ปัญหาคือเราไปยัดเยียดให้เค้า ในทุกเรื่องในสิ่งที่เค้าไม่อยากเป้น ปชช  ไม่มีพื้นที่ของเค้าในการพูด ในการเสนอข้อคิดเห็นใดๆ พอพูดก้ตาย หรือขึ้นบัญชีดำ หรือสรุป ตรงนี้ว่า ไม่ได้รับการเคารพและความนับถือจากฝ่ายปกครองและเพื่อนร่วมชาติ เท่าที่ควรนั้นเอง   จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:27:35

ความคิดเห็นที่ 42 ผมจะเล่าให้ คุณผ้าพับไว้ ฟัง อย่างที่ผมเคยบอก ว่าผมลงพื้นที่ทำงานในปี 2532 นั้น โครงการ 1 ที่ทำคือ โครงการให้ชาวบ้านมีส้วม ใช้ส้วมกัน เมื่อก่อน ชาวบ้านเค้าถ่ายตามป่า ผมก็มารนณรงค์ให้เค้ามีส้วม โดยของบจากนายอำเภอ มา นายอำเภอก่อนอนุมัต โครงการถามผมว่า ชาวบ้านเค้าอยากได้ส้วมจริงหรอ ผมบอกป่าว ผมเห็นเค้าถ่ายในป่า ผมอยากให้เค้ามีส้วมเลยทำโครงการขึ้นมา นายอำเภอบอกว่า ผมเกรงจะไม่สำเร็จ เพราะมันไม่ใช่ความต้องการของเค้าจากภายใน ที่ บอมบิ้ง ออกมา ผมตอบไปด้วยความที่ไฟแรงว่า ไม่เป้นไร เดี๋ยวผมเคลียร์ให้ นายอำเภอก็เลยให้งบมา บ้านละ 1500 บาท เพื่อไปทำส้วม ผลสุดท้ายโครงการผมล้มไม่เป้นท่า ชาวบ้านเอาเงินไปออกรถมอร์เตอร์ไซค์กัน ผมถามว่าทำไม ชาวบ้านบอกว่า ส้วมนะ เค้าถ่ายอย่างนี้จนชิน มอร์เตอร์ไซค์สำคัญกว่า เวลาจะออกไปตลาดที่ 20 กว่าโล ไม่มีรถไป ตั้งแต่นั้นมาการทำโครงการของผม ต่อไป จึงต้องทำการสำรวจความคิดเห้นชาวบ้านก่อน และก่อนทำการสำรวจ ผมจะต้องให้ความรู้ของเค้า เรื่องส้วม ต้องให้เด้กใน หมู่บ้านท้องเสียสะก่อน นั้นแหละถึงมาให้ความสนใจกับส้วมกัน ผมดีใจอย่างนึงถึงเวลาจะผ่านไป 23 ปี แล้ว แต่ตอนนี้บ้านทุกหลังมีส้วมครบทุกบ้านทั้งตำบล   จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:35:42

ความคิดเห็นที่ 43 # พี่จิม ส่วนตัวผมคิดคุยเรื่องเดียวกันล่ะครับ ผมไม่ได้ปฏิเสธนะ ว่าผู้ปฏิบัติงานจริง ๆ เป็นคนสร้างปัญหา แต่ที่นำเสนอก็เพราะว่า ทางระดับบน ๆ ก็มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวให้ตามสมควรเหมือนกันครับ ไม่ใช่จะรีดจะกดดันกันอย่างเดียว  ซึ่งก็รวมไปถึงในยุคของ คุณปรีดี และหลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ (ถ้าผมจำไม่ผิด) ที่ก็มีความพยายามจะประนีประนอมกับคนในพื้นที่ และผู้มีอำนาจเดิมครับ เพราะฉะนั้น ที่พี่จิมยกประโยคมาว่า "...การได้ดินแดนของรัฐสยามในอดีต นั้นคือบทเรียนว่าได้แต่ดินแดนไม่ได้ใจคน และไม่พยายามที่จะทำให้ได้ใจคน นี่แหละคือปม ที่มีมา ตลอดระยะ เวลา 200 ปี...." ผมเดาเอาเองว่า ไม่พยายามให้ได้ใจคนก็ไม่ใช่นะครับ ก็พยายามอยู่อย่างที่เห็น แต่เมื่อมีเงื่อนไขพิเศษเข้ามาคือ อังกฤษ เข้ามายุ่ง ก็เป็นธรรมดาครับ(ในมุมมองผมนะ) ที่ผู้ปกครองรัฐสยามต้องหวาดระแวงเป็นพิเศษ จะว่าไปเรื่องตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดกับปัตตานีเท่านั้น เชียงใหม่ก็โดนครับ เขมรก็โดนเหมือนกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:37:11

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าจะว่ากันจริง ๆ ประเทศราชทุกประเทศในโลก ก็อยากเป็นอิสระกันทั้งนั้นล่ะครับ สยามก็อยากเป็นอิสระจากหงสาวดี  ลาวก็อยากจะเป็นอิสระจากสยาม เขมรก็อยากจะเป็นอิสระจากสยาม ปัตตานีก็อยากเป็นอิสระจากสยาม แม้แต่บรรดาอาณานิคมต่าง ๆ ของทั้งอังกฤษ , ฝรั่งเศส ก็อยากจะเป็นอิสระจากเจ้าของอาณานิคมทั้งนั้นล่ะครับ  ยกเว้นแต่ว่า ผู้ปกครองจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของรัฐที่เป็นเจ้านายตัวเอง อย่างนั้นเท่าที่เห็นมา ก็ยังอยากจะอยู่ใต้อาณัติต่อไปครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:43:25

ความคิดเห็นที่ 45 ยัดเยียดมาตั้งแต่ยุคขุดคลองแสนแสบ แล้วมี้งคุณ...พี่จิม จากคุณ : nuttmona เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:47:26

ความคิดเห็นที่ 46 ครับคุณจิมฯเริ่มไหล จากจุดยืนในการนำเสนอเนื้อหาเดิมๆในการฟันธงเหตุการณ์ใต้จนเกิดความน่าสงสัยในพฤติกรรม(สร้างความเข้าใจที่สับสนและขยายผลความระแวงในพื้นที่จากการนำเสนอหลายกระทู้ที่ผ่านมา) คุณจิมจำตัวเองได้ไหมในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12479697/Y12479697.html ช่วยตอบคำถามที่ไล่ตามจิกผม มาตลอดสิว่าคืออะไร?แบบไหน? เนื้อหาที่ ส่อให้เกิดความเสียหายต่อควาสับสน ความเข้าใจที่คลาดเคลือน ขยายแผลความระแวงในพื้นที่ต่อฝ่ายปฎิบัติการณ์ในการไปกล่าวหาบนความเข้าใจแบบนั้น แต่ผลมันเสียหายมหาศาล ในหลายเรื่อง รับผิดชอบอะไรบ้างครับคุณจิม เพราะ เนื้อหาการชี้นำคุณไปไกลมาก จนหลายคนในนี้เริ่มจะเชื่อในฐานข้อมูลที่บิดเบือนนั้นคุณจิมรับผิดชอบอะไร??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:57:47

ความคิดเห็นที่ 47 อะตอม กลับไปตอบ คำถามก่อน 6 ข้อ อย่ากะล่อน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:00:14

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 43    # พี่จิม ส่วนตัวผมคิดคุยเรื่องเดียวกันล่ะครับ ผมไม่ได้ปฏิเสธนะ ว่าผู้ปฏิบัติงานจริง ๆ เป็นคนสร้างปัญหา แต่ที่นำเสนอก็เพราะว่า ทางระดับบน ๆ ก็มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวให้ตามสมควรเหมือนกันครับ ไม่ใช่จะรีดจะกดดันกันอย่างเดียว  ซึ่งก็รวมไปถึงในยุคของ คุณปรีดี และหลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ (ถ้าผมจำไม่ผิด) ที่ก็มีความพยายามจะประนีประนอมกับคนในพื้นที่ และผู้มีอำนาจเดิมครับ เพราะฉะนั้น ที่พี่จิมยกประโยคมาว่า "...การได้ดินแดนของรัฐสยามในอดีต นั้นคือบทเรียนว่าได้แต่ดินแดนไม่ได้ใจคน และไม่พยายามที่จะทำให้ได้ใจคน นี่แหละคือปม ที่มีมา ตลอดระยะ เวลา 200 ปี...." ผมเดาเอาเองว่า ไม่พยายามให้ได้ใจคนก็ไม่ใช่นะครับ ก็พยายามอยู่อย่างที่เห็น แต่เมื่อมีเงื่อนไขพิเศษเข้ามาคือ อังกฤษ เข้ามายุ่ง ก็เป็นธรรมดาครับ(ในมุมมองผมนะ) ที่ผู้ปกครองรัฐสยามต้องหวาดระแวงเป็นพิเศษ จะว่าไปเรื่องตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดกับปัตตานีเท่านั้น เชียงใหม่ก็โดนครับ เขมรก็โดนเหมือนกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้  เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 14:37:11  การบริหารงาน นโยบาย มันใช้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ เพราะอะไร ครับ ? จะว่าไปเรื่องตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดกับปัตตานีเท่านั้น เชียงใหม่ก็โดนครับ เขมรก็โดนเหมือนกันครับ เชียงใหม่โดน เขมรโดน  เชียงใหม่ กับเขมร ได้รับการปฏิบัติ เช่นเดียวกับปัตตานี หรือไม่ ? และโครงสร้าง ทั้งสามเมือง เหมือนกันหรือไม่ ผมพูดหลายครั้ง ว่าอย่ายกตัวอย่างที่อื่นมาเปรียบเทียบกับอีกที่  โลเคชั่น ก้ไม่เหมือน วัฒนธรรม ก้ไม่เหมือน ระบบคิดก็ไม่เหมือน แล้วจะเอาผลลัพท์มาเทียบกันได้อย่างไร จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:07:03

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่าคุณ ผ้าพับไว้   น่าจะเป้นผู้บริหารองค์กร นะครับ คงจะทราบดี ว่าเวลา บริหารกิจการแล้วมีปัญหา คนอื่นถาม จะให้ตอบว่าเช่นไร ผมไม่อยากพูดถึงตรงนี้ เพราะมันเกี่ยวกับสถาบัน ท่านน่าจะเข้าใจอะไรง่ายๆ Result มันบอกว่า นโยบายขององค์กร นั้นสัมฤทธ์ผลหรือไม่ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:10:23

ความคิดเห็นที่ 50 ผมถามง่ายๆ ว่า -เชียงใหม่ เขมร ปัตตานี ในสถานะ รัฐบรรณาการเช่นกัน คุณรู้สึกอย่างไร กับรัฐบรรณาการเหล่านั้น จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:13:41

ความคิดเห็นที่ 51 เรื่อง ตรงนี้ ผมไม่เถียง และชื่นชม ด้วยซ้ำ ทั้งสองฝ่าย รวมหะยีสุหลงที่ให้ความร่วมมือ  แต่สำเร็จหรือไม่ ทั้งหวงธำรงค์ ทั้งท่านปรีดี ทั้งจุฬาราชมนตรี แช่ม พรมยงค์ ทั้งหะยีสุหลง ถูกเช้คบิล หมายความว่าอะไร เดินถุกทางแล้วหรือ สยามเองยังกัดกันเอง เลยครับ แล้วจะให้นโยบายมันสัมฤทธ์ได้ผลอย่างไร ทำตนเอง ทำรัฐสยามให้นิ่ง เสียก่อน อุยส์ หลงพูด  ซึ่งก็รวมไปถึงในยุคของ คุณปรีดี และหลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ (ถ้าผมจำไม่ผิด) ที่ก็มีความพยายามจะประนีประนอมกับคนในพื้นที่ และผู้มีอำนาจเดิมครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:20:28

ความคิดเห็นที่ 52 ผมย้ำในตอนนั้น ไม่ได้เจรจากับผู้มีอำนาจเดิม นะครับเดี่ยวจะหลงทาง แบบ อะตอม เอา หะยีสุหลง ไม่ได้แฮปปี้ กับรัฐปัตตานี ที่เละเทะเลยนะครับ หะยีสุหลง ทำงานเป้นตัวแทน ของประชาสังคม ไม่ได้ทำงานในฐานะ ลูกหลาน อับดุลกอเดร์ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:23:08

ความคิดเห็นที่ 53 แล้วถ้าอ่าน ประวัติศาสตร์ ข้าหลวง ประจำถิ่น โดยเฉพาะที่ปัตตานี คือใคร ทั้งกระบวนการเลยนะครับ พูดไปพูด มา ต้องอาศัย นายอะตอม วิเคราะห์ในสิ่งที่ผมให้ไปทำการบ้านมา คือ  ****อิทธพลของพรรคก้กมินตั๋งในคาบสมุทรมาลายู*** จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:25:24

ความคิดเห็นที่ 54 # พี่จิม การบริหารงาน นโยบาย มันใช้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ เพราะอะไร ครับ ? ตอบ ๑. ผู้บริหารงานยังไม่ดีพอ ๒. ฝ่ายปฏิบัติการณ์ ยังปฏิบัติได้ไม่ดีพอ ทีนี้ก็ต้องมาพิจารณาต่อครับว่า น้ำหนักทั้งหมดมันลงไปตรงไหนครับ เชียงใหม่โดน เขมรโดน เชียงใหม่ กับเขมร ได้รับการปฏิบัติ เช่นเดียวกับปัตตานี หรือไม่ ? และโครงสร้าง ทั้งสามเมือง เหมือนกันหรือไม่ ผมพูดหลายครั้ง ว่าอย่ายกตัวอย่างที่อื่นมาเปรียบเทียบกับอีกที่ โลเคชั่น ก้ไม่เหมือน วัฒนธรรม ก้ไม่เหมือน ระบบคิดก็ไม่เหมือน แล้วจะเอาผลลัพท์มาเทียบกันได้อย่างไร ตอบ ผู้ปกครองเชียงใหม่ ก็ต้องยอมเสียลูกหลานตนเองด้วยเหมือนกันครับ  เขมรไม่ได้แม้แต่จะพูดอะไรเลย เพราะสยามตัดสินใจเฉือนให้ฝรั่งเศสครับ ซึ่งถ้าจะว่าไป เชียงใหม่ได้รับจดหมายจากอังกฤษ ชวนให้ไปอยู่ด้วย แต่เจ้านายทางเชียงใหม่ก้ำกึ่ง ยังตัดสินใจไม่ถูก แต่สุดท้ายแม่เจ้าท่านหนึ่งก็ตัดสินใจ ให้แต่งงานกันเพื่อความสิ้นสุดแห่งปัญหาครับ ถ้าจะว่ากันตามตรง ปัตตานี ได้รับโอกาสค่อนข้างจะมากกว่าเชียงใหม่ และ เขมร ด้วยซ้ำไป เพราะสามารถส่งหนังสือติดต่อกับ  Swettenham(ข้าหลวงใหญ่อังกฤษที่สิงคโปร์)  เพื่อให้อังกฤษพยายามเข้ามากดดันสยามเสียด้วยซ้ำนะครับ ถ้ามองมุมนี้ ผมว่าปัตตานีได้เปรียบเชียงใหม่ และ เขมร พอสมควรครับ  (ผมมองด้านการเมืองเป็นหลักนะครับ ไม่พยายามเอาศาสนามาเกี่ยวนะครับ ถ้าไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยครับ) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:27:23

ความคิดเห็นที่ 55 # พี่จิม ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารเลยครับ ก็ยังเป็นพนักงานตัวกระจ๊อกธรรมดาคนหนึ่ง ส่วนเรื่องที่พี่จิมบอกว่าผมคงเข้าใจ ตรงนั้นเข้าใจดีครับ ผมถึงได้เสวนากับพี่จิมไปว่า ถ้าจะว่าความผิดพลาดเกิดจากตรงไหน ก็ต้องไปดูว่าเหตุมันมาจากอะไร แล้วมีความพยายามแก้เหตุนั้นแค่ไหน และมีปัจจัยแทรกอื่น ๆ ด้วยหรือเปล่า ในกรณีนี้ ถ้าอังกฤษไม่เข้ามายุ่ง ผมเดาเอาว่านโยบายต่าง ๆ น่าจะคุยกันได้มากกว่านี้ครับ ผมเดานะครับ อาจจะผิดก็ได้ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:31:53

ความคิดเห็นที่ 56 # พี่จิม ที่ถามมาว่า -เชียงใหม่ เขมร ปัตตานี ในสถานะ รัฐบรรณาการเช่นกัน คุณรู้สึกอย่างไร กับรัฐบรรณาการเหล่านั้น ถ้าในมุมผม รัฐบรรณาการเหล่านี้ ก็มีสถานะเท่ากันครับ ถ้าเมื่อไรไม่ทำตัวมีปัญหาก็ไม่มีอะไรครับ ซึ่งในประวัติศาสตร์ยุคโบราณของสยามก็เป็นอย่างนั้น ตราบใดรัฐเหล่านี้ ยังไม่ได้ถูกแย่งชิง หรือ ประกาศอิสระเมื่อไร ยังคงอยู่ใต้อาณัติของรัฐผู้ปกครอง เหตุการณ์ก็สงบครับ ที่เหลือคุณจะไปทำอะไร จะปกครองกันแบบไหน ก็ไม่มีปัญหาครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:41:54

ความคิดเห็นที่ 57 ผู้ปกครองเชียงใหม่ ก็ต้องยอมเสียลูกหลานตนเองด้วยเหมือนกันครับ  เขมรไม่ได้แม้แต่จะพูดอะไรเลย เพราะสยามตัดสินใจเฉือนให้ฝรั่งเศสครับ ซึ่งถ้าจะว่าไป เชียงใหม่ได้รับจดหมายจากอังกฤษ ชวนให้ไปอยู่ด้วย แต่เจ้านายทางเชียงใหม่ก้ำกึ่ง ยังตัดสินใจไม่ถูก แต่สุดท้ายแม่เจ้าท่านหนึ่งก็ตัดสินใจ ให้แต่งงานกันเพื่อความสิ้นสุดแห่งปัญหาครับ ถ้าจะว่ากันตามตรง ปัตตานี ได้รับโอกาสค่อนข้างจะมากกว่าเชียงใหม่ และ เขมร ด้วยซ้ำไป เพราะสามารถส่งหนังสือติดต่อกับ  Swettenham(ข้าหลวงใหญ่อังกฤษที่สิงคโปร์)  เพื่อให้อังกฤษพยายามเข้ามากดดันสยามเสียด้วยซ้ำนะครับ ถ้ามองมุมนี้ ผมว่าปัตตานีได้เปรียบเชียงใหม่ และ เขมร พอสมควรครับ  (ผมมองด้านการเมืองเป็นหลักนะครับ ไม่พยายามเอาศาสนามาเกี่ยวนะครับ ถ้าไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยด้วยครับ) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:27:23   เอาตรงนี้ นะ นี่แหละคือสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ตรงส่วนด้ามขวานนั้น มันไม่ได้เป็นหนึง เหมือนทางเหนือหรือทางเขมร พื้นที่ทับซ้อนกับทางเคดดาห์ และทางสงขลา ของ สุลต่านสุไลมาน สามที่ทับซ้อนกัน และปัญหาจาการแทรกแซงของอังกฤษสูงกว่าด้วย โลเคชั่น นั้นต่างกัน ทางเหนือโลเคชั่นทางบกเท่านั้น ส่วนใต้โลเคชั่นทางทะเล พ่วงไปด้วย ด้วยประการดั่งนี้จึงเป้นเนื้อหอม ทั้งมหาอำนาจ และรัฐไทย การปักปันเขตแดนเลยมีปัญหา กัน เมื่อมีปัญหากัน ในส่วนของอังกฤษ เกรียนเข้าใจมุสลิม  ในขณะที่รัฐ เจ้าหน้าที่ไทย อคตินิยม กับมุสลิม ต่างคนต่างอยากได้พื้นที่ แต่ไม่อยากได้คน ซึ่งทางเหนือทางเขมร นั้นได้ทั้งคนทั้งพื้นที่เพราะปฏิเสธไม่ออก ว่า ศาสนาเดียวกัน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:45:49

ความคิดเห็นที่ 58 พี่จิม ที่ถามมาว่า -เชียงใหม่ เขมร ปัตตานี ในสถานะ รัฐบรรณาการเช่นกัน คุณรู้สึกอย่างไร กับรัฐบรรณาการเหล่านั้น ถ้าในมุมผม รัฐบรรณาการเหล่านี้ ก็มีสถานะเท่ากันครับ ถ้าเมื่อไรไม่ทำตัวมีปัญหาก็ไม่มีอะไรครับ ซึ่งในประวัติศาสตร์ยุคโบราณของสยามก็เป็นอย่างนั้น ตราบใดรัฐเหล่านี้ ยังไม่ได้ถูกแย่งชิง หรือ ประกาศอิสระเมื่อไร ยังคงอยู่ใต้อาณัติของรัฐผู้ปกครอง เหตุการณ์ก็สงบครับ ที่เหลือคุณจะไปทำอะไร จะปกครองกันแบบไหน ก็ไม่มีปัญหาครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้  เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:41:54  นี่ไงครับ ความต่าง มาลายู มีความเป้นชาตินิยมสูง  เหมือนพี่ไทยเรานั้นแหละ ตอนตกไปเป็นเมืองขึ้นพม่า เราก็หึ่มมม  เช่นกัน ดังนั้นการที่เมืองอื่นไม่แข็งเมือง นั้นแสดงว่าเค้าดีหรือไร หรือการที่ปัตตานีแข็งดมืแองนั้นไม่ดีหรือไร ใช่ไหมครับ ถ้าปัตตานีแข็งเมือง ไม่ดี รัฐสยาม แข็งเมืองพม่า ก้ไม่ดีเช่นกัน ถูกต้องไหมครับ ดังนั้น เรื่องแบบนี้เราจะบอกว่าใครผิดใครถุกนั้นคงไม่ถูกต้อง แต่เราต้องมองว่าปัญหามันเป้นแบบนี้ ทำไมเราไม่แก้ ตรงที่คันละ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:49:33

ความคิดเห็นที่ 59 อย่างที่ คลิป อาจารย์ ผุ็หญิง ข้างบนที่เป้นพุทธ บอกนะ  ในเมื่ออัตตาลักษณื เค้าเป้นแบบนั้น ทำไมไม่ทำให้เค้าอยู่ร่วมกับเราได้ โดยที่เราไม่ทำลายอัตตาลักษณ์ ของเค้า จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:51:24

ความคิดเห็นที่ 60 # พี่จิม อีกคำถามนะครับ ขออภัยยาวหน่อย แต่อยากจะแยกตอบเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านครับ หากทำให้ไม่สบายใจต้องขออภัยอย่างสูงครับ เรื่อง ตรงนี้ ผมไม่เถียง และชื่นชม ด้วยซ้ำ ทั้งสองฝ่าย รวมหะยีสุหลงที่ให้ความร่วมมือ  แต่สำเร็จหรือไม่ ทั้งหวงธำรงค์ ทั้งท่านปรีดี ทั้งจุฬาราชมนตรี แช่ม พรมยงค์ ทั้งหะยีสุหลง ถูกเช้คบิล หมายความว่าอะไร เดินถุกทางแล้วหรือ สยามเองยังกัดกันเอง เลยครับ แล้วจะให้นโยบายมันสัมฤทธ์ได้ผลอย่างไร ทำตนเอง ทำรัฐสยามให้นิ่ง เสียก่อน เอาเข้าจริง เรื่องของการเมืองในหน้าประวัติศาสตร์ มันก็ไม่นิ่งมาตั้งแต่ต้นแล้วนี่ครับ จะพูดไปตามจริง หลัง มิ.ย. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา ปฏิวัติกันกี่หน ฉีกรัฐธรรมนูญกันกี่ครั้ง  มีการใส่ข้อหากบฏกันกี่รอบ  เยอะแยะเสียจนขี้เกียจจะนับครับ ถ้าจะว่ากันตามตรง ก็ต้องดูนโยบายของผู้ปกครองแต่ละคน แต่ละยุคล่ะครับ ว่าเป็นอย่างไร ปัญหาที่เห็นก็คือ แต่เดิมมานโยบายของผู้ปกครองมักจะเปลี่ยนไปเสมอ หรือถ้าไม่เปลี่ยนก็จะโดนแก้ไข ให้ไปเป็นในอย่างที่ตัวผู้ปกครองต้องการ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ผมก็ยังไม่เห็นการเมืองมันก็ไม่เคยนิ่งครับ   จะว่าไป ในยุคถังแดง อันลือลั่น ก็ยังมีกรณีของ สี่ศพที่ทุ่งบางเขน , แล้วก็กบฏอะไรต่อมิอะไรให้วุ่นอีกนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:52:33

ความคิดเห็นที่ 61 และไม่เอากระแสรับสั่ง ของในหลวง ในสมัยก่อนที่ท่านนำเสนอมาใช้ละครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:52:34

ความคิดเห็นที่ 62 ครับคุณจิมครับ ทั้งหมดที่นำมาให้ฟัง(ยูทูปทั้งหมด) มันถูกสรุปนำเสนอผ่านผมไปแล้ว(พูดง่ายๆทั้งหมดที่เป็นนักวิชาการในนี้พุดตามผมพุดแบบไม่กลัวหาว่าโม้เพราะผมพูดก่อนพวกนี้ทุกคน) ผมสรุปคร่าวๆไว้ในนี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12479697/Y12479697.html อย่าลิมว่า ทุกคนที่พูดในนี้ ไปไกลกว่าสิ่งที่คุณจิมชี้ไว้ แล้วรวมยอดกลับเข้าหาสิ่งที่ผมชี้ไว้ทุกคนที่พูดในนี้(ไปย้อนอ่านในลิงก์ต่างๆที่ให้ไว้นี้ นั้นแค่ส่วนหนึ่ง)เพราะการสรุปของคุณมักง่ายมาก มันตรงกับเนื้อหานี้นักวิชาการ(ที่พูดตามผมในนี้)ไม่ถึง10% นั้นสะท้อนว่าปัญหาใต้ซับซ้อนเกินกว่าข้อกล่าวหาคุณจิม(ยาเสพติดคนมีสีที่คุณจิมสรุปมาเถียงผมหัวชนฝา) ดังนั้นเนื้อหาความกะล่อนมันคือใครกันแน่? ทีพยายามเอามาป้าสีผม คุณพยายามไหลเปลี่ยนสีตามฐานข้อมูลผมต่างหากหรือไม่?  มันคือตัวคุณใช่ไหมที่กะล่อนเสียเอง? ตอนแรกคุณยืนยันว่าไง?(ไปอ่านย้อนหลังฯจำตัวเองได้ไหม?เดียวเอาลิงก์เก่าๆมาประจาน)แล้วข้อมูลจากนักวิชาการหลายท่านในนี้ทั้งหมด รีวายคำพูดผมเกือบทุกคำไหม? ผมไม่ได้บอกว่าผมคือต้นฉบับของนักวิชาการหลายคนในนี้ทุกคน?  แต่ ผมขอให้คุณอ่านย้อนหลังเอาว่าผมพูดอะไรไว้บ้าง? ตั้งแต่สมัยทักษิณหนึ่งมาถึงวันนี้? พวกนักวิชาการเหล่านี้ พูดตามผมทั้งนั้น?  พูดให้ชัดอีกทีก็คือลอกการบ้านผมทั้งหมดทุกคนในนี้(ผมฟังเกือบหมดทุกคน เหลือ.ชัยอนันต์ฯ) แต่สิ่งที่นักวิชาการพวกนี้ไม่มีคือ? เนื้อหาทางยุทธศาสตร์,ยุทธวิธีในเชิงลึกในเนื้อหาความมั่นคงเชิงลึก พวกนี้ยังห่างไกลหรืออยู่ใกล้แต่นำเสนอไม่ได้?(ดนัยฯ)ที่ผมนำเสนอแนะไปแล้วเอาไปใช้หลายอัน??? ดังนั้นสรุปใครกะล่อน? ใครเปลี่ยนสี? จุดยืนตอนเถียงผมหัวชนฝาคุณคืออะไร?แค่ไหน? ต่างจากเนื้อหาในนี้แค่ไหน? แล้วตอนนี้พยายามจะเนียนตามผมมาใช่ไหม? จากเนื้อหาในกระทู้นี้ นักวิชาการทุกคนทุกคนพูดตามผมหรือลอกการบ้านหมด??? แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 16:12:55 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 16:05:01 จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:55:06

ความคิดเห็นที่ 63 การเมืองสยาม ไม่เคยนิ่ง มานาน นั้นแหละครับ ตั้งแต่เป็นประเทศไทยมา และการเมืองนั้นเอง ที่ทำให้ ปัญหาใต้มันสะสม มา 200กว่าปี ดูเรื่องขุนศึกหรือเปล่า นั้นแหละ โยงไปถึงใต้เชียวละ  เปลี่ยนราชการ ขุนนางอิสลาม สายมาลายู ไม่ยอมเปลี่ยนแผ่นดินตาม พระเจ้าทรงธรรม ถูกตัดหัวเรียบ ยกเว้นสายชีอะหื ที่เปลี่ยนตนเองตามแผ่นดินสมัยก่อนเลยอยู่รอด เหมือนไทยเรา ประกาศเอกราช ก้ตอนการเมืองพม่ามีปัญหาเช่นกัน เรื่องนี้ไปโทษรัฐปัตตานี โทษเขมรไม่ได้ เป็นเราเราก็ทำ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:57:41

ความคิดเห็นที่ 64 # พี่จิม ในเรื่องรัฐบรรณาการ ผมถึงบอกอย่างไรล่ะครับ ว่าผมไม่อยากนำศาสนามายุ่ง เพราะถ้านำศาสนามายุ่งก็คุยกันไม่จบ และที่ผมยกตัวอย่างในราชกิจจานุเบกษามา ก็ไม่ได้มีการบังคับให้เปลี่ยนศาสนา หรือต้องไปทำอะไรที่ขัดต่อหลักการศาสนานะครับ ในกรณีของอดีตรายาปัตตานี หรือ พระยาระแงะ ฯลฯ ที่มีปัญหา โดยส่วนตัวเท่าที่อ่านจะเป็นเรื่องของการปกครอง และหรือเรื่องผลประโยชน์เสียมากกว่าศาสนาครับ ปัญหามันมาเกิดจริง ๆ เอาในยุคชาตินิยมนะครับ ซึ่งห่างจากยุคปัญหาของอดีตรายาปัตตานีพอสมควร ถ้าจะว่าเรื่องของยุคชาตินิยมแล้วทำให้เกิดปัญหาตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ แต่ถ้าจะบอกว่า มันมีปัญหากันมานานแล้ว ก่อนหน้านั้น ผมยังไม่เห็นด้วยครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:59:29

ความคิดเห็นที่ 65 ความคิดเห็นที่ 62    ครับคุณจิมครับ ทั้งหมดที่นำมาให้ฟัง(ยูทูปทั้งหมด) มันถูกสรุปนำเสนอผ่านผมไปแล้ว(พูดง่ายๆทั้งหมดที่เป็นนักวิชาการในนี้พุดตามผมพุดแบบไม่กลัวหาว่าโม้เพราะผมพุดก่อนพวกนี้ทุกคน) ผมสรุปคร่าวๆไว้ในนี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12479697/Y12479697.html อย่าลิมว่า ทุกคนที่พูดในนี้ ไปไกลกว่าสิ่งที่คุณจิมชี้ไว้ แล้วรวมยอดกลับเข้าหาสิ่งที่ผมชี้ไว้ทุกคนที่พูดในนี้(ไปย้อนอ่านในลิงก์ต่างๆที่ให้ไว้นี้ นั้นแค่ส่วนหนึ่ง)เพราะการสรุปของคุณมักง่ายมาก มันตรงกับเนื้อหานี้นักวิชาการ(ที่พูดตามผมในนี้)ไม่ถึง10% นั้นสะท้อนว่าปัญหาใต้วับซ้อนเกินกว่าข้อหกล่าวหาคุณจิม(ยาเสพติดคนมีสีที่จิมสรุปมา) ดังนั้นเนื้อหาควากละล่อนมันคือใครกันแน่ ทีพยายามไหลเปลี่ยนสีตามฐานข้อมูลผม มันคือตัวคุณใช่ไหม? ตอนแรกคุณยืนยันว่าไง?(ไปอ่านย้อนหลังฯจำตัวเองได้ไหม?)แล้วข้อมูลจากนักวิชาการหลายท่านในนี้รีวายคำพูดผมเกือบทุกคำไหม? ผมได้บอกว่าผมคือต้นฉบับของนักวิชาการหลายคนในนี้ แต่ ผมขอให้คุณอ่านย้อนหลังเอาว่าผมพูดอะไรไว้บ้างตั้งแต่สมัยทักษิณหนึ่งมาถึงวันนี้ พวกนักวิชาการเหล่านี้ พูดตามผมทั้งนั้น พุดให้ชัดอีกทีก็คือลอกการบ้านผมทั้งหมดทุกคนในนี้(ผมฟังเกือบหมดทุกคน เหลือ.ชัยอนันต์ฯ) แต่สิ่งที่นักวิชาการพวกนี้ไม่มีคือเนื้อหาทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในเชิงลึกในเนื้อหาความมั่นคงเชิงลึก พวกนี้ยังห่างไกลหรืออยู่ใกล้แต่นำเสนอไม่ได้(ดนัยฯ) ดังนั้นสรุปใครกะล่อนใครเปลี่ยนสีจุดยืนตอนเถียงผมหัวชนฝาคุณคืออะไรทแค่ไหน? แล้วตอนนี้พยายามจะเนียนตามผมมาใช่ไหม? จากเนื้อหาในกระทู้นี้ นักวิชาการทุกคนทุกคนพูดตามผมหรือลอกการบ้านหมด??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม)  เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:55:06  ฟังอะไรเข้าใจดีหรือป่าว ฟังทั้งหมด ชม กว่าเชวนะ เหมือนอะตอม ตรงไหน ละ ยกมาหน่อยเดะ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 15:59:40

ความคิดเห็นที่ 66 คุณผ้าพับไว้  ในราชกิจจานุเบกษา ในรัฐธรรมนูญเขียนบอกไว้ ทำไมกรณี วัดหนองจอกเกิดได้ละครับ เอาความเป็นจริงครับ  เอาตามราชกิจจานุเบกษา เขียนเอาไว้แต่ไม่เอามาใช้ หรือเอามาเฉพาะส่วน ถ้าพุดอย่างนี้มันก็ไม่จบ ผมพูดตามความเป้นจริงคุณยกราชกิจจานุเบกษา พระราโชบายมา ยกมานะได้ แต่ทำได้ หรือป่าว นั้นแหละปัญหา จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:02:59

ความคิดเห็นที่ 67 # พี่จิม ประโยคนี้ของผม ในความเห็นที่ ๖๔ [แต่ถ้าจะบอกว่า มันมีปัญหากันมานานแล้ว ก่อนหน้านั้น ผมยังไม่เห็นด้วยครับ]   <---- ผมหมายถึงว่า ถ้าจะหมายถึงปัญหาการไม่ยอมรับในวัฒนธรรม และ เอกลักษณ์มลายู ผมไม่เห็นว่ารัฐสยามยุคก่อนหน้ายุคชาตินิยม จะไปบังคับอะไรมากนะครับ ดูเรื่องขุนศึกหรือเปล่า นั้นแหละ โยงไปถึงใต้เชียวละ เปลี่ยนราชการ ขุนนางอิสลาม สายมาลายู ไม่ยอมเปลี่ยนแผ่นดินตาม พระเจ้าทรงธรรม ถูกตัดหัวเรียบ ยกเว้นสายชีอะหื ที่เปลี่ยนตนเองตามแผ่นดินสมัยก่อนเลยอยู่รอด เหมือนไทยเรา ประกาศเอกราช ก้ตอนการเมืองพม่ามีปัญหาเช่นกัน เรื่องนี้ไปโทษรัฐปัตตานี โทษเขมรไม่ได้ เป็นเราเราก็ทำ ถ้าเอาศาสนามาเกี่ยวด้วย ผมว่าคุยกันยากแน่ ๆ ครับ เพราะจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของการเมือง ถ้าพี่จิมไม่ยอมรับว่าในยุคโบราณ คนที่ไม่เห็นตรงกับผู้มีอำนาจสูงสุดจะต้องได้รับโทษ ไม่ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยจะศาสนาไหนก็ตาม ตรงนี้ก็พูดกันยากแล้วล่ะครับ เพราะในยุคนั้น บริบทของสังคมเป็นแบบนั้นครับ ส่วนเรื่องใครประกาศเอกราช ส่วนตัวผมคิดว่าเรื่องปกติครับ ผมไม่ซีเรียสนะ ผมยอมรับได้ครับ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมโลกครับ ไม่จำเป็นต้องต่างศาสนาเขาก็ทำกันครับ ถ้ามองให้เป็นเรื่องของการเมืองก็มองได้ หรือจะมองให้ยุ่งเป็นเรื่องศาสนาก็ได้อีกเช่นกันครับ แล้วแต่มุมมองของแต่ละท่านครับ ผมล่ะหวาดเสียวแทนพี่จิมจริง ๆ คุณอะตอมมาแจม แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ระวังตอบผิดนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:08:55

ความคิดเห็นที่ 68 ความคิดเห็นที่ 67    # พี่จิม ประโยคนี้ของผม ในความเห็นที่ ๖๔ [แต่ถ้าจะบอกว่า มันมีปัญหากันมานานแล้ว ก่อนหน้านั้น ผมยังไม่เห็นด้วยครับ]   <---- ผมหมายถึงว่า ถ้าจะหมายถึงปัญหาการไม่ยอมรับในวัฒนธรรม และ เอกลักษณ์มลายู ผมไม่เห็นว่ารัฐสยามยุคก่อนหน้ายุคชาตินิยม จะไปบังคับอะไรมากนะครับ คุณผ้าพับไว้ คุณไม่เห็น แต่ของจริงมันเป้น ใส่หมวกกะปิเยาะ โดนจับ คลุม ฮิญาบ โดนจับ ใครนุ่งโสร่งขึ้นอำเภอ ไม่ทำเรื่องให้  คุณจะไปเห็นได้อย่างไร ก้คุยไม่ได้อยูตรงนั้น เข้าใจอะไรยากเจงงง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:11:00

ความคิดเห็นที่ 69 # พี่จิม เรื่องกรณีวัดหนองจอก ผมจำได้ว่า ที่ผมคุยกับพี่จิมหนโน้น ก็มีความเห็นตรงกันแล้วนะครับ คือ ๑. กระทรวงศึกษาต้องทำความชัดเจนก่อนว่า จะเอาอย่างไรกับกรณีนี้ ถ้าจะให้โรงเรียนวัดหนองจอกสังกัดกระทรวงต่อไปก็ต้องว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่งั้นก็ต้องยกให้ไปสังกัดมหาเถระสมาคม เป็นโรงเรียนทางศาสนาไปเลย ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด พี่จิมบอกว่า ขอแค่ความชัดเจนเท่านั้นว่าจะเอาไง ทางฝ่ายพี่จิมแก้ปัญหาได้ ๒. ที่ที่ผมตามข่าวมาช่วงหลัง (ไม่รู้จริงหรือเปล่า) คือ โรงเรียนไปเช่าพื้นที่วัดอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทางนิติกรรมแล้ว สัญญาต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรนะครับ ผมตอบแทนไม่ได้เหมือนกัน เรื่องก็ประมาณนี้ล่ะครับ ถ้าผมจำผิดต้องขออภัยด้วยนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:15:44

ความคิดเห็นที่ 70 # พี่จิม คุณผ้าพับไว้ คุณไม่เห็น แต่ของจริงมันเป้น ใส่หมวกกะปิเยาะ โดนจับ คลุม ฮิญาบ โดนจับ ใครนุ่งโสร่งขึ้นอำเภอ ไม่ทำเรื่องให้ คุณจะไปเห็นได้อย่างไร ก้คุยไม่ได้อยูตรงนั้น เข้าใจอะไรยากเจงงง พี่จิมกำลังหมายถึงตั้งแต่ยุคประมาณไหนหรือครับ ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนฯ หรือช่วงกลาง ๆ  หรือตั้งแต่ยุคท่านอดีตผู้นำครับ ? ที่ถามนี่ไม่ได้กวนนะครับ เพราะผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงอย่างที่พี่จิมบอกครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:18:44

ความคิดเห็นที่ 71 คุณผ้าพับไว้  ผมว่าคุณคุยกับผมไม่รู้เรื่องจริงๆๆ งั้นหยุดคุยกันดีกว่าครับ  ผมบอกกระทู้ผม คือระบบคิด ถ้าคนไทยแก้ระบบคิดไม่ได้ ก้ให้มันเป้นแบบนี้ นั้นแหละ พอผมคุยการแก้ปัญหา  ตามคลิป คือปัจจุบัน เค้าสรุป เป็นบูรณาการ ว่า นโยาบยอย่างทำอย่าง คุณก็หนีไปประวัติศาสตร์ เอานโยบายพระราชามาพูด ว่าไม่ได้กดขี่ คุณติดกระดุมเสื้อเม็ดแรกผิด ประเด้น ผมก็ไม่ทักคุณ ดูสิว่าคุณจะไปถึงไหน พอผมตามคุณไปประวัติศาสตร์ พยามดึงให้เห้นว่า การปฏิบัติสวนทางกัน คุณก้หนีมาการเมือง ไปเทียบเคียงกับเชียงใหม่ เขมร  ผมก็มาอธิบายถึงอัตตาลักษณ์ ว่าไม่เหมือนกัน พออธิบายอัตตาลักษณ์  คุณหนีมาการเมืองสมัยหลวงธำรงค์  ผมตามมาอธิบายให้ฟังย้ำจุดยืนเดิมว่า นโยบายมันไม่สัมฤทธฺผล เพราะเราเองไม่นิ่งในราชสำนักอยุธยา จนถึงทุกวันนี้ การเมืองในราชสำนักอยุธยา ก็ถูกผุกไว้ด้วยศาสนา คุณไม่รู้หรอ  ไม่เป็นไร พอผมพูด คุณ บอกว่า คุณไม่เห้น ผมถึงบอกว่าเราหยุดคุยดีกว่า สรุปว่าคุณไม่เห้น กะตา คุณไม่ฟัง ไม่เชื่อ พอแระ ผมเหนื่อย คนที่เค้าเดือดร้อนจริง ๆคือคนภาคใต้ ทั้งหมด ทั้งพุทธ อิสลาม  ถ้าคิดกันแบบนี้ก้ให้มันตายรายวัน ให้หมดนั้นแหละดีแล้วครับ ความคิดเห็นที่ 67    # พี่จิม ประโยคนี้ของผม ในความเห็นที่ ๖๔ [แต่ถ้าจะบอกว่า มันมีปัญหากันมานานแล้ว ก่อนหน้านั้น ผมยังไม่เห็นด้วยครับ]   <---- ผมหมายถึงว่า ถ้าจะหมายถึงปัญหาการไม่ยอมรับในวัฒนธรรม และ เอกลักษณ์มลายู ผมไม่เห็นว่ารัฐสยามยุคก่อนหน้ายุคชาตินิยม จะไปบังคับอะไรมากนะครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:23:57

ความคิดเห็นที่ 72 เฮ้อ  จอมพล ปอ  นั้นแหละคุณ จนถึงช่วงปี 40 นั้นแหละ และ เรื่องมุสลิมวัดหนองจอก นั้นแหละ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:25:16

ความคิดเห็นที่ 73 เอารูปชัด  ผม ว่าคุณไปฟังอาจารย์ชัยวัฒน์ ให้จบนะครับ รบกวนฟังให้จบ ผมว่าคุณไม่ได้ฟัง โดยละเอียดแน่ๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:26:51

ความคิดเห็นที่ 74 ตรงนี้อีก ดูเวลา และไปเปิดยูทุป นะครับตรงเวลานั้นเลย นี่คือเหตุการณ์ ปี 2552 แสดงว่าระบบคิดนี้มันมีจริง แล้วจะให้ใต้มันสงบได้อย่างไร จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:29:22

ความคิดเห็นที่ 75 # พี่จิม ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่จิมไม่สบายใจ ผมขอหยุดไว้ก็ได้ครับ แต่ขอชี้แจงอีกสักหน่อยดังนี้ครับ ๑. ผมยอมรับว่ามีการกดขี่ทางสังคมจริง แต่เท่าที่ทราบก็คือยุคของชาตินิยมเป็นต้นมา ยุคก่อนหน้ายุคนั้น ส่วนตัวผมเห็นว่ามันเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าจะเป็นเรื่องศาสนาครับ ๒. ที่ผมเสวนากับพี่จิมมายืดยาว ก็เพราะประโยคอย่างที่พี่จิมเขียนในเรื่อง ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมานั่นละครับ ซึ่งผมได้พยายามชี้แจงให้เห็นแล้วว่า ในแต่ละยุคเหตุการณ์เป็นอย่างไร ตามหลักฐานที่ผมพอหาได้ ซึ่งมันอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ผมก็พยายามจะยืนพื้นตามหลักฐานที่มีเป็นหลัก ผมไม่ได้บอกว่าตลอด ๒๐๐ ปี สยามจะทำดีกับอดีตรัฐปัตตานีตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะกดขี่ข่มเหงเสมอไป ความพยายามจะผ่อนปรน เพื่อให้สองฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ก็ยังมีเป็นระยะ ๆ ครับ ๓. ผมไม่ได้ปฏิเสธเอกลักษณ์ของพี่น้องคนไทยเชื้อสายมลายูนะครับ ถ้าอ่านที่ผมเขียนมาตลอด ผมไม่เคยดูหมิ่น หรือเขียนในทำนองเสียดสีประชดประชันว่าวัฒนธรรมมลายูไม่ดีแต่อย่างใด สุดท้ายนี้ ผมก็รู้สึกดีนะครับ ที่ได้คุยกับพี่จิมอีกหน ผมว่าท่านอื่น ๆ ก็ควรจะคุยกับพี่จิมดี ๆ อย่างนี้ จะได้สาระมากกว่าไปคุยกันแบบเสียดสีหรือข่มเหงวัฒนธรรมของเขานะครับ มันไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใดครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:35:18

ความคิดเห็นที่ 76 อ้าว พอดีผมพิมพ์โดยไม่ได้ update ว่าพี่จิมให้ดูคลิป ไม่เป็นไรครับ จบก็คือจบครับ  สวัสดีครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:37:23

ความคิดเห็นที่ 77 เอาอย่างนี้ ผมยินดีคุยกับทุกคน แม้นกระทั่งท่านผ้าพับไว้ แต่ที่ผมหยุดคุย เพราะผมว่าเรากำลังพายเรือในอ่างกัน เวลาผมบอกช่วย ดู คลิป ไม่ว่าคลิปอะไรรบกวนดูกันหน่อยครับ จะได้เข้าใจว่าผมกำลังสื่ออะไร และเราก็จะได้คุยกันในประเด้นไม่ออกทะเล  รบกวนดูให้ครบทุกคลิป แล้วประมวลว่าผมกำลังสื่อถึงอะไร จากนั้นค่อยมาคุยกันใหม่ ข้อสำคัญกระทู้นี้ผมไม่อยากให้คุยเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว ตามสไตล์นักบริหารุ่นใหม่ Pass is Pass ผมจะคุยว่าเมื่อมันเป็นแบบนี้เราจะแก้อย่างไร  เรื่องโบรานมันจะเป้นอย่างไรช่างหัวมัน ตอนนี้ประเทศเรามีความไม่เข้าใจกัน  ทำอย่างไรให้เข้าใจกัน นี่คือหลักใหญ่ ในการเสวนา ของผม รบกวนนิดนุงครับ ผมจะออกไปซื้อกับข้าวละศีลอดแล้ว ด้วยความเคารพ คุณผ้าพับไว้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:49:11

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ"Carroth"กรุณาอ่านย้อนหลังตามลิงก์ที่ให้(หลายรอบแล้ว) http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P12467458/P12467458.html ครับผมเปแนคนที่อดทนในการอ่านการฟังน้อยมาก แต่ต้องทนฟังท่านด.ชัยวัฒน์จนจบยอมรับว่านั้นคือไฮไลท์ที่สุด ท่านสรุปสิ่งที่ผมนำเสนอไว้ตั้งแต่สมัยทักษิณ1(ในห้องราชดำเนินส่วนใหญ่)ได้ชัดมาก ผมขอรวบรวมที่พุดไว้สนทนากับคุณจิมฯไว้ตามนี้? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12459512/Y12459512.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12459741/Y12459741.html#102 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12467027/Y12467027.html อ้อนี่ในห้องราชฯนี้ที่ผมสรุปเป็นกษัยไว้ในนี้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P12410922/P12410922.html จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:11:00

ความคิดเห็นที่ 79 ตอนแรกมาก็โอเคนะ ผมพยายามแกะทุกตัวของคุณ ด้วยเจตนา โอเคเลยละตรงเป้า  ความคิดเห็นที่ 16    เห็นที่พี่จิมเขียนมาว่า "...การได้ดินแดนของรัฐสยามในอดีต นั้นคือบทเรียนว่าได้แต่ดินแดนไม่ได้ใจคน และไม่พยายามที่จะทำให้ได้ใจคน นี่แหละคือปม ที่มีมา ตลอดระยะ เวลา 200 ปี...." ก็พอดี ตรงกับเรื่องที่ผมเคยจะเขียนอยู่พอดี ขอตัดมาลงแล้วกันนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้  เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:00:30  อันนี้ก็ถูกอีก คิดเห็นที่ 17    ...หวังว่าคงจะไม่มีใครลืมประวัติศาสตร์ยุคปราบปรามคอมมิวนิสต์ของไทยไปแล้วนะ เพราะคนที่เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่ ไม่ได้อยากเป็นคอมมิวนิสต์  หากแต่โดน"เหมารวม"จากรัฐบาล จนต้องเข้าร่วมคอมมิวนิสต์เพื่อเอาชีวิตรอด สุดท้ายแผนการที่ปราบปรามอย่างเด็ดขาด "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" ยิ่งเหมือนราดน้ำมันใส่เปลวไฟ ส่วนแผนการที่ทำให้คนเป็นคอมมิวนิสต์ยอมเลิกเป็นคอมมิวนิสต์กลับเป็นการอภัยโทษซะงั้น ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะไม่เหมือนกรณีนั้นซะทีเดียว การยกรูปแบบนั้นมาโดยตรงอาจจะใช้ไม่ได้ คงต้องดูให้เห็นก่อนว่าปัญหามาจากอะไร - การแบ่งแยกดินแดน ? - การสร้างสถานการณ์เพื่อสูบงบประมาณ ? - การสร้างสถานการณ์เพื่อปกปิดธุรกิจมิชอบ ? ทั้ง 3 ข้อ คือทฤษฎีที่เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา อันล้วนแต่มีวิธีแก้ที่ต่างกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม หากใช้ความรุนแรงและเหมารวม สุดท้ายก็จะวนลูปแบบคราวคอมมิวนิสต์แน่นอน จากคุณ : ซ่อนนาม   เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:01:06  คำถามต่อมาแล้วมันไปเลอะเทอะตรงไหน เริ่มต้นก้โอเคแล้ว จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:15:48

ความคิดเห็นที่ 80 รบกวนคุณ อะตอม สรุป ตามความเข้าใจคุณ ที่ฟัง อาจารย์ชัยวัฒน์ ครับ     ผมจะดูว่า คุณเข้าใจอย่างที่ผมและเพื่อนๆเข้าใจตรงกันไหม    ผมฟังอย่างไร ตามคอนเซปเดิมของคุณ ผมก็ว่าคนละแนวเลย ของคุณแนว อิทธิพลการเมืองภายนอก  คุณชัยวัฒน์ คุยเรื่องอัตตาลักษณ์ การยอมรับ การให้พื้นที่ และสุดท้าย คือ อคตินิยม  และทิ้งเครื่องหมายคำถามเรื่องอาวุธ มันขายได้นะครับ และแกวเฉี่ยวๆไปเรื่องแผนบันได้เจ็ดขั้นเรื่อง หนังสือ ห้ามซื้อขายที่ดิน ปรากฎว่า หมู่บ้านจัดสรร เพียบ ร้านโชวห่วยกลับมา  สิ่งที่นักลงทุนกลัว คือ ซุปเปอร์สโตร์  เหมือนคุณตรงไหน อธิบายมาให้ฟังหน่อยสิ  สิ่งทึี่คุณแครอท พูดมาก็ตรง ทำไมไม่ตรง ไปดูให้ครบ ตั้ แต่คลิป หน้ากระทู้ และไล่ลงมาเรื่อย ๆทุก คห  ทุกคนกำลังบอกว่าอะไร แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 17:28:01 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 17:26:03 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:22:00

ความคิดเห็นที่ 81 ผมว่าไปเลอะเทอะ ตรงที่คุณ เอาตามตัวพระราชกิจจานุเบกษา นั่นเอง มิได้เอาการปฏิบัติจริง  ซึ่งผมคุยเรื่องเนื้องานจริง ดังนั้นกระดุมเสื้อมันหลุดตั้งแต่ตรงนั้น จะวนมาตั้งหลักใหม่ก็ได้ ถ้าวนกลับมาคุยใหม่ ผมจะบอกช่องโหว่ ในพระราชกิจจา ให้ฟัง จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:24:40

ความคิดเห็นที่ 82 ครับคุณจิมครับถ้าจำตอนที่ผมให้ทรรศนะไว้ช่วงทักษิณ1(สมัยนั้นในราชดำเนินที่ปกติไม่ใช่แบบนี้ ช่วงนั้นรู้สึกคุณบอนนี่จะคือดาราหน้าห้องราชดำเนิน) ผมคุยประเด็นนี้ไว้ชัดมาก กับกระทู้คุณ"ฮึ" มีรายละเอียดที่ผมเคยนำเสนอไว้ปีนั้น ตามที่ท่านชัยวัฒน์ พูดไว้เป๊ะเลย นั้นคือเมื่อสมัยทักษิณ1จำพศ.ไม่ได้ แต่ถ้าคลังกระทู้เก่ายังเก็บข้อมูลไว้ จะชัดมาก แต่ในลิงก์ที่ให้ ก็เป็นการพูดถึงของเก่าแต่ไม่ละเอียดเท่าในนั้นโดยเฉพาะกลยุทธการรบกับผีในบทวิเคราะห์ "หนังสติี๊กเด็กเลี้ยงฟายท้าทายโครงการสตาร์วอร์" ของผม นั้นคือเงื่อนไขทางยุทธวิธีที่พูดไปไกลกว่าท่านชัยวัฒน์มาก นอกนั้นคล้ายๆกัน??? ปล.แม้แต่เว็ปท์มาสเซ่อร์ห้องนี้ ยังเป็นสาวกคุณจิมเลยในการแบนตั้งบล็อกผมโน๊ตบุ๊คเจ้งไปหลายครั้งเลยต้องใช้เน็ตคาเฟ่ ยังเดือดร้อนกันทั้งร้านเลย??? แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 17:34:42 จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:31:23

ความคิดเห็นที่ 83 มันเนรคุณได้ร้ายเดียงสาจริงๆ ไอ้เด็กน่ารก??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:36:20

ความคิดเห็นที่ 84 ครับคุณจิมครับ คุณชัยวัฒน์เขายังเข้าถึงทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีไม่ได้(พูดหาว่าโม้ผมไปไกลกว่าท่านชัยวัฒน์ในประเด็นนี้ คุณจึงโยงเรื่องที่ผมพูดเรื่องปัจจัยภายนอกมากกว่านั้นคือผมพุดไปไกลกว่าท่านชัยวัฒน์ประเด็นนี้) แต่เรื่องอื่นๆ เหมือนกันครับ ยิ่งในห้องราชฯในกระทู้ที่ทำลิงก์ให้มันคือต้นแบบครับ เพียงแต่สิ่งที่ชัดท ี่สุดผมพุดไว้ในกระทู้ คุณฮึ สมัยทักษิณ1 จะตรงตามที่ท่านชัยวัฒน์(รวมกับหลายคนหลายๆนักวิชาการในนี้พูดไว้ทั้งหมด)เพราะนั้นคือฉบับเต็ม แต่มันนานแล้ว ผมไม่ไได้เก็บไว้ ถ้าระบบคล้ังกระทู้เก่ายังอยู่ผมจะยกมาให้ดู ผมว่าคุณน่าจะอยู่ในบทสนทนานั้นถ้าจำไม่ผิดเพราะกระทู้นั้นมีคุณอาทิตย์รวมในนั้นด้วยรู็สึกคุณจะไปยกมาด้วยในลิงก์ก่อนๆแสดงว่าคุณเก็บข้อมูลไว้ เพราะมันหลายปีมาก แต่ผมไม่มี จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:49:39

ความคิดเห็นที่ 85 ผมแนะคุณ อะตอม ผมเคยคิดแบบคุณเมื่อสิบปีได้มั้ง แต่พอรวมๆทั้งหมด ผมให้น้ำหนักกับพรรคก๋กมินตั๋งมากกว่า เพราะจับเรื่องแล้ว ใกล้เคียงที่สุด ไม่ว่าโจรจีนมาลายู โจรจีน จคม การแพร่กระจาย มีสาขาโยงใย ถึงผู้ปกครองเมืองในยุคนั้น ส่วนอเมริกานั้น มีบทบาท ทำมายาคติสถานการณ์ก่อการร้ายในภูมิภาคนี้ เพื่อหาความชอบธรรมในการบอมบ์ อิรัค และอัฟกัน ทุกวันนี้ผมไม่เชื่อ ว่าทนายนสมชายตาย และผมก็มองว่า การจับ ขบวนการ เจไอ ในประเทศไทย เป้นการทำตามใบสั่ง อเมริกา ปล  ถ้าคุณโยงเรื่อง ก๋กมินตั๋ง ได้ คุณจะวิเคราะห์ปัญหา การเมืองที่มันวุ่นวายมา 200 ปีจนถึงทุกวันนี้ได้เลย แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 19:45:37 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 19:32:05 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 19:31:29

ความคิดเห็นที่ 86 #85คุณจิมครับโจรจีนคอมิวนีสต์หรือโจรจีนมาลายา จบลงเพราะไทย ช่วยมาเลฯ ดับไฟที่หัวมันให้?  แต่มันกลับย้อนรอยตอบแทนเราเจ็บๆ เราด้วยเป็นตัวยุยง และตัวบลิ้วอุดมการณ์มุสลิมมาลายูปัตตานี(นักการเมืองทางเหนือมาเลฯเพราะเขายังติดยึดกับอัตลักษณ์มุสลิมปัตตานีมาลายูอยู่เพราะปริมณฑลมันไม้ได้แค่3จว.ใต้ แต่มันผนวกรวมมาเลทางเหนือเข้าไปด้วย) สรุป คือเราช่วยดับไฟ(โจรจีนคอมมิวฯมาลายู)ที่หัวมัน?  แต่มันเนรคุณกลับช่วยสุมไฟใต้ให้เรา?  เนื้อเรื่องแบบนี้คุณจิมเข้าใจอะไรบ้างไหม? หรือเข้าใจเนื้อหาที่ยกมาแบบไหน?แต่ถ้าเอาที่เกี่ยวกับไทย โจรจีนมาลายูคือตรงนี้ครับ??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 20:13:05

ความคิดเห็นที่ 87 เว็ปท์มาสเซ่อร์เล่นตลกอะไรกับผม กวนมาใช่ไหม?ประจานมันซ่ะเลยอย่ามาเลือกที่รักมักที่ชัง หน้าที่คุณมีแบบนี้เหรอ??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 20:14:14

ความคิดเห็นที่ 88 เดวสิ ใจเย็นๆอย่าพึ่งรีบสรุป  http://www.khonkhurtai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=78:2009-11-24-07-00-15&catid=31:general&Itemid=46 เอาอั้งยี ไปด้วยผนวกกัน http://www.thaichinese.net/thaichineseblog/hongmen/ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 20:38:09

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณพี่จิมและหลายๆท่านนะครับ ที่พยายามช่วยมองปัญหาและการแก้ไข  ก็ได้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นดีครับ จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:08:42