ความคิดเห็นที่ 1 ท่าน จขกท. ช่วยเปิดก่อนเลยค่ะ ว่า.... ตัวท่านนั้นได้ประโยชน์อะไร เสียอะไร หรือไม่ได้อะไรเลย และเพราะอะไร   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 11:12:07

ความคิดเห็นที่ 2 ได้รู้ ได้เห็น ได้ชัดเจนในธรรมหลายหมวด ในคนเลวก็มีบางอย่างที่ดี  ในคนดีก็มีบางอย่างที่เลว ความจริงที่ว่าจริง ก็มีความจริงที่ยิ่งกว่า  ในความจริงที่ยิ่งกว่า บางทีสาระก็น้อย  เช่น รู้(เท่าที่เห็น)ว่าใครคิด, เชื่อ หรือ ยึดอะไร  มีวุฒิภาวะ,ปุริสภาวะ,อิตถีภาวะแค่ไหน ที่มีสาระมากๆกลับไม่ค่อยได้ตามดู คือสภาพใจตนเอง  ว่าขึ้นลงอย่างไร เื่รื่องของตัวเองบางที่ก็ยากที่จะถ่ายทอดออกมา สื่อให้ผู้อื่นได้รู้  ได้แค่ไหนก็แค่นั้นละกัน จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 11:50:27

ความคิดเห็นที่ 3 ผมได้ประโยชน์นะ นอกจากได้เห็นอารมณ์ของท่านอื่นแล้ว ก็เห็นอารมณ์ตัวเองด้วย เผลอไปเหน็บเขาหลายทีเหมือนกัน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งเลย ผมคงต้องฝึกขันติกันต่อไป ปล่อยให้รูปพยัญชนะ ขันธ์ห้าเล่นงานมากเกินไป กลายเป็นเพ่งโทษผู้อื่นไปเสีย จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 11:59:28

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับข้าพเจ้า สิ่งที่ได้จากสี่กระทู้นั้นก็คือ... -  คำพูดเมื่อออกจากเราไปแล้ว...มันคือ "นาย" ของเรา -  งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข -  ผู้ที่โกหกนั้นจะไม่ทำชั่วอย่างอื่นเป็นไม่มี -  ธรรมะจะเป็นเครื่องรักษาผู้ปฎิบัติธรรม -  สังคมจักน่าอยู่ ทุกคนในสังคมต้องช่วยกัน "สร้าง" มันขึ้นมา -  เขาลูกหนึ่ง เมื่อเรามองต้นไม้เราก็จะเห็นต้นไม้ มองขี้หมาเราก็จะเห็นขี้หมา มองขยะเราก็จะเห็นขยะ มองธรรมชาติเราก็จะเห็นผีเสื้อดอกไม้ต้นหญ้าความเขียวขจี มองธรรมชาติอย่างเป็นระบบก็จะเห็นความผสมผสานอยู่รวมกันพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลต่อกันของระบบนิเวศ...นั่นคือ ในสิ่งที่เราคิดว่าดีย่อมมีสิ่งไม่ดีเจือปนอยู่ เช่นเดียวกับในสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดีก็ย่อมมีสิ่งดีเจือปนอยู่เช่นกัน -  อันนี้สำคัญสุดสำหรับเรา นั่นคือได้เห็นว่า...มันก็เป็นเช่นนั้นแล...   -  ฯ ล ฯ   แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 12:08:30 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 12:06:37 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:05:26

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นว่า ปปัญจธรรม เป็นเครื่องเนิ่นช้า อันได้แก่ "ตัณหา มานะ ทิฏฐิ" เป็นสิ่งที่น่ากลัว และทำให้การเดินทางสู่นิพพานเนิ่นช้าจริงๆครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:21:02

ความคิดเห็นที่ 6 case  ความประมาท และบังอาจ นำไปสู่ ความพินาศ คนประมาท และบังอาจ ไม่แคล้ว ต้องลงเอย อย่างรถแล ส่วนจะได้อะไร เสียอะไร หรือไม่ได้ไร  ไม่สู้เข้าใจว่า   เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผลตามมา เมื่อมีกริยาต่อ ย่อมมีปฏิกิริยาตอบ เป็นธรรมดา ที่ต้องเป็นไป อย่างนี้เอง .................. ในกรณีนี้ ท่านคิดอย่างไร เมื่อหลังคารั่ว พระพุทธรูปเปียก จะ อุดรูรั่ว หรือ ปล่อยให้เปียก ^^ หากเราอุดเองไม่ได้ หรืออุดไม่เป็น หรือไม่อยากอุด หรือยังไม่ว่างมาอุด หรือ จะอย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนที่เหมาะสมกว่า มาอุดให้   เราก็เห็นว่า ปล่อยให้เขาอุด (เถอะนะ) .................... แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 12:42:52 จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:41:57

ความคิดเห็นที่ 7 สวัสดีทุกท่านครับ ขอแจมด้วยครับ จะให้กิ๊ฟท่าน Smiling-girl  มันก็เป็นเช่นนั้นแล... แต่กิ๊ฟหมดตั้งแต่วันที่ 10 สถานะภาพของพระพุทธศาสนา 1. สวรรค์ นรก เป็น ความฮุข ความทุกข์ ในใจ 2. สวรรค์ นรก เป็น สิ่งของ ลาภ ยศ 3. สวรรค์ นรก เป็น สถานที่จริง ไปได้ด้วยการปฏิบัติ หรือ ตายแล้ว เลือกเชื่อแบบไหน ก็ไม่ทำให้เสียสถานะภาพของพระพุทธศาสนา สี่กระทู้ เป็นการ แสดงความคิดเห็น เป็นกระทู้ใส ๆ จัดเต็ม ชอบ ๆ มันส์มากครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 12:48:49

ความคิดเห็นที่ 8 การจะเป็นนักแปลบาลีที่ดี ต้องมีเงินซื้อคอนโด จากคุณ : lekton เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:22:59

ความคิดเห็นที่ 9 ตามอ่านเงียบๆ แต่ที่ได้คือ การยกตนข่มท่าน หลงในความที่(คิดว่า)ตนเองรู้มาก มันก็เป็นกิเลส เป็นอัตตาอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ อย่างน้อยอ่านแล้วก็ปลงในระดับหนึ่ง มานะทิฐิมันช่างร้ายกาจ จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:24:21

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพที่ผมเห็นในกระทู้ไตรภาคครับ :) ผมเห็นว่า บางท่านเห็นว่ากระทู้ไร้สาระ (.. ให้เป็น 1) บางท่านเห็นว่ากระทู้ไม่ไร้สาระ (.. ให้เป็น 2) ดังนั้น ทุกคนต่างยึดมานะและทิฐฐิตัวเองอย่างนี้ๆ ว่าเป็น 1 ว่าเป็น 2 จากเหตุการณ์นี้ ผมจึงได้ความคิดว่า (<== ผมกำลังพูดถึงประโยชน์ที่ได้จากหนังไตรภาค) - ควรดึงส่วนดีและประโยชน์ในความไร้สาระนั้น (สำหรับคนกลุ่มที่ 1) - และควรดึงส่วนดีและประโยชน์ในความไม่ไร้สาระนั้น (สำหรับคนกลุ่มที่ 2) - คนมีปัญญา (.. ให้เป็น 3) ย่อมเห็นเพชร (ธรรมะ) ในทุกๆ สถานการณ์ - คนที่ตรงข้ามกับ 3 ย่อมเสียเพชร (ธรรมะ) ในทุกๆ สถานการณ์ - คนฉลาด (.. ให้เป็น 4) ย่อมเลี่ยงการปะทะ เจ็บตัวโดยใช่เหตุ และฮุกกลับแบบเจ็บๆ เมื่อมีโอกาส - คนที่ตรงข้ามกับ 4 ย่อมลุยปะทะในทุกทิฐฐิ และเจ็บตัวแบบเต็มๆ ในทุกโอกาส เป็นต้นครับ ดังนั้น เมื่อเพชร (ธรรมะ) มาอยู่ตรงหน้า เราควรที่จะเลือกเป็น 1 2 3 non3 4 หรือ non4  ก็แล้วแต่สถานการณ์และเหมาะสมครับ อิอิ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:46:55

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับบางคน คงเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวคำว่า "ขอโทษ"   แต่หาก "กล้า" ที่จะพูดคำนี้ออกมาจากใจจริง ก็จะพบด้วยใจของตนเองว่าคำคำนี้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับคำว่า "ให้อภัย" เลย สุภาพชนย่อมจะแซ่ซ้อง ปรบมือให้กำลังใจ...   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 14:08:20

ความคิดเห็นที่ 12   จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 14:44:08

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่ว่าเค้าจะผิดหรือจะถูก เมื่อกล่าวว่าเค้า ใจเราก็ไม่ปกติทั้งสิ้น   กรรม ช้าเร็วก็ต้องส่งผล   โกหกเรื่องหนึ่ง มักนำไปสู่การโกหกเรื่องต่อๆไป ยกตนข่มท่าน ทำไม่ได้จริง เมื่อทำแล้วมีแต่ตกตำ่ลง   บางคนฉลาด แต่ไม่นำมาซึ่งความเห็นถูก  ใช้ความฉลาด นำพาตัวไปสู่ความหายนะ  ฉลาดแต่ไม่มีปัญญาที่แท้จริง ฯลฯ จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 15:43:39

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องเคยมีมาแล้ว  หากการเคลื่อนที่(กาย วาจา ใจ)  ของเรา  เป็นเหตุปัจจัย ไปกระทบ สิ่งอื่น ผู้อื่น  แล้วทำให้เกิดในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และ ดีงาม (แม้การนั้น จะเป็นการรักษา ธรรม ในมุมมองของเรา)  เราก็ยังสามารถชี้แจงการกระทำนั้นๆ แบบ วิญญูชน พึงกระทำ เพื่อความยุติในธรรม เปิดใจกว้าง รับรู้ เรียนรู้ ทั้งทางโลก ทางธรรม ในสังสารวัฏ ทุกคนล้วนเป็นญาติกัน ขอบคุณ คุณ Smiling - girl  ที่ เป็นผู้ ร่วมแสดงความคิดเห็นไว้ และ ตรงประเด็น ทั้งฮา ทั้งสาระ  รวมทั้งท่านอื่นๆ อีกหลายๆท่าน ที่ไม่ได้กล่าวถึง เห็นความตั้งใจจริง ที่จะพิสูจน์ ทั้ง ความจริง และ คนจริง ความจริง ของจริง  ย่อมทนทาน ต่อการพิสูจน์ การยอมรับความจริง ไม่ใช่เรื่องน่าอาย  แต่น่าละอาย ที่ไม่ใช่ คนจริง(นี่เขียนจริง ไม่ได้เหน็บแนมน่ะครับ) ..................... ทุกครั้งที่ได้อ่านเกือบทุกความคิดเห็น ..บางความเห็นก็ผ่านไป และครั้งนี้ เมื่อเริ่มต้นกระทู้ ที่อ่าน ความเห็นคุณ รถเรณู จนจบ ทุกความเห็น แต่ต่อมา...ก็ แทบจะผ่านๆ ไป  ในแง่ธรรม ก็ได้พิจารณา ธรรม  (รวมของตนเองด้วย-ก็ยังรู้ว่ามีตัณา อุปาทานเหลืออยู่มาก)  พิจารณาวงจรปฏิจจสมุปบาท  เมื่อปรากฏรูป อักษร ทางตา เมื่อใดรู้เท่าทัน มันก็เป็นการฝึกสติไปอย่างหนึ่ง คิดจำแนกแยกแยะคำที่ปรากฏ ว่าคำเหล่านั้นเป็น กุศล อกุศล จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:04:00

ความคิดเห็นที่ 15 พิมพ์แล้วลบอยู่หลายครั้งเลยคับ เพราะรู้ดีว่าวาวาจาที่จะกล่าวออกไปเปนการเบียดเบียน รถเรณู แน่ๆ แต่สุดท้ายก้อขาดสติพ่นออกไปจนได้ ขาดสติ ๆ ไม่ดีจิงๆ จากคุณ : นู่ปลาป๋อง เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:19:15

ความคิดเห็นที่ 16 ^^ "สิ่งที่ถูก (ตามแนวมรรคแปด)" แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 16:20:22 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:19:18

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาฮา #8  อิอิ จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:49:18

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องราว นี้  เริ่มต้นแบบภาพที่ 1   น่าจะจบลง  แบบในภาพที่ 2  และภาพที่ 3 ทุกล็อกอิน ก็เป็นมิตรภาพต่อกัน จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 17:02:58

ความคิดเห็นที่ 19 ได้ประโยชน์มากเลยครับ ทำให้ทราบว่า..คุณป้าเอิงเอย ของกระผม เป็นคุณป้ายังสาว ฮี่ๆ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 18:16:11

ความคิดเห็นที่ 20 ผมมองประโยชน์ครับ... ผมจะมีความรู้สึก ผิดไป  อย่างไรกับประโยชน์ของตนเอง  ช่างมัีน.... แต่เพื่อประโยขน์สำหรับคนหมู่มาก... ให้ทราบว่า ความจำได้จากการอ่าน  เทียบกับการที่ได้จากการปฏิบัติ   เป็นอย่างไร... ให้ทราบว่าธรรมมะของพระพุทธองค์  เป็นของจริง     ควรค่าแก่การพิสูจน์... ผู้ปฏิบัติย่อมเป็นทองแท้.... จากคุณ : ฮูฮง เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 19:43:03

ความคิดเห็นที่ 21 เอ่อ ดูเหมือนเราจะพลาดอะไรไป ฮี้ ฮี้ จากคุณ : anindita เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:16:52

ความคิดเห็นที่ 22 นึกถึงนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเงียบ (Learning to be Silent) พระเซน 4 รูป ตกลงกติกาก่อนนั่งกรรมฐานว่าจะไม่พูดกันเลยตลอด 7 วัน วันที่หนึ่งผ่านไปด้วยดี พระทุกรูปต่างนั่งกรรมฐานอย่างสงบเงียบ แต่พอตกดึก ตะเกียงน้ำมันที่จุดไว้หรี่ลง เพราะน้ำมันจวนหมด พระรูปหนึ่งทนนิ่งต่อไปไม่ได้ จึงตะโกนบอกลูกศิษย์ว่า "เฮ้ย เติมน้ำมันตะเกียงหน่อย" พระรูปที่สองจึงร้องเตือนว่า "ไหนว่าไม่พูดไงล่ะ" พระรูปที่สามทนไม่ได้ จึงโพล่งออกมาว่า "พูดทำไม พวกคุณนี่โง่จัง" พระรูปสุดท้ายกล่าวด้วยความภูมิใจว่า "คงมีแต่เราคนเดียวที่ไม่พูดเลย" ที่มา จากหนังสือเรื่อง "เนื้อติดกระดูก" แปลโดยเสฐียรพงษ์ จากหนังสือ Zen Flesh, Zen Bones (ส่วนเนื้อหาข้างล่าง หาจากกูเกิ้ล ได้มาจากเว็บ gunthasith) ปล. ผมไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าท่านใดเป็นพระรูปใดนะครับ (เพราะอย่างน้อยที่สุดแต่ละท่านก็ไม่ได้ร่วมกำหนดกติกาอะไรร่วมกันดังในนิทาน) เพียงแต่เข้ามาบอกว่า กระทู้เหล่านั้นมีส่วนช่วย ให้ผมได้เห็นตัวผมเองในหลายๆขณะ ว่า แม้ไม่ได้พิมพ์อะไรลงไปในกระทู้ แต่ตนเองก็ไม่ต่างอะไรกับพระรูปสุดท้าย แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 20:38:01 จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:28:01

ความคิดเห็นที่ 23 ได้รู้อะไรๆหลายอย่าง ทั้งกิเลสและธรรม       ฟังเพลงละกัน จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:56:04

ความคิดเห็นที่ 24 ขอเพิ่มอีก 1 จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 21:01:51

ความคิดเห็นที่ 25 เยี่ยมค่ะท่านลอร์ด อันนี้ชมจริงๆ ค่ะ ชมที่ซื่อสัตย์จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มองค์ชายสี่ เอ๊ยพระรูปที่สี่ ซึ่งทั้งสี่รูปนี้ก็ล้วนยังมาอัตตามานะด้วยกันทั้งสิ้น   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 21:25:05

ความคิดเห็นที่ 26 จากคุณ : NotUndo เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 21:38:13

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความเห็น  และที่จะให้ความเห็นด้วย เข้าใจว่าหลายๆท่านต่างได้ประโยชน์มากบ้างน้อยบ้างตามอัตภาพของแต่ละคน ชอบคห.11ของคุณหนูยิ้มมากเลย   คห.14คุณยาม ผมก็คล้ายๆนั้น   โดยเฉพาะ " ต่อมา...ก็ แทบจะผ่านๆ ไป " และก็หวังอย่าง คห.18ด้วย คห.21  พลาดอะไรไป  หรือครับ คุณ anindita คห.22 ไม่ได้พูดก็เหมือนพูดนะครับ คุณ : He-Who เห็นด้วยกับคุณหนูยิ้ม คห.25ด้วยครับ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:17:02

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีค่ะ ขออนุญาตแสดงความเห็นค่ะ จากคำถามปลายเปิด ดูไม่อึดอัดดี .. "ธรรมะพระพุทธเจ้า  เป็นความจริง ทนทานต่อการพิสูจน์แท้จริง" "ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ" "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" มีไหม ?? สิ่งใดจะพ้นกฏนี้ "เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นทายาท เราทำกรรมใดไว้ จักต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ" "โลกธรรมแปด เกลื่อนกลาด กระจัดกระจาย.. ชิง ชัง ชม ชอบ โฉด ชั่ว ชัด เชียร์ เหลี่ยม เล่ห์ ลับ ลวง ล้วง ลึก ฯลฯ" "ชัยชนะเหนือกว่า ชนะใจตน นั้นไม่มี" "กิเลสไม่ปราณีใคร" และยังเก่งทัดเทียมกับเจ้าของใจนั่นเอง จิตที่ว่าฉลาด กิเลสฉลาดกว่า และรับแลกแจกแถมให้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง   ผลการตัดสิน .. จิตนี้ จิตไหน จิตใด ยังแพ้ทางกิเลสราบคาบ  กิเลสชนะขาด เพราะยังเป็นผู้มองเพ่งเห็นโทษผู้อื่น ซอกซอนลึกยิ่งกว่าแปรงสีฟันอณูละเอียด แต่กลับ "เลือก" ล่องหนกิเลสขี้ฟันตน ที่นั่งเป็นใหญ่อยู่ในใจ .. หรือก็ยอมมอง ให้เกาะอยู่นานๆ   อคติ ยังคงถูกกระทบเนืองๆ ตราบเท่าที่ยังยึดมั่น ถือมั่น ในตัว ในตน ในคน ในสัตว์ ในรูป ในนาม ฯลฯ ยังใจชื้นอย่างพื้นๆว่า ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่งั้น คงไม่รุจักกัน ..ต่างๆ แล้วแถกๆ คลำๆ ไป อย่างคนไม่รุทาง ขาดแม้แสงตะเกียง ไม่รุอีกกี่ภพชาติ โลก ก็ยังเวียนวน อยู่อย่างนั้นเอง ก็ไม่พ้น ต่อสู้กันไปจนสุดทางลมหายใจ.. ว่างั้นน่ะค่ะ :) . จากคุณ : เลื้อย เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:23:41

ความคิดเห็นที่ 29 การพิสูจน์ค้นหาความจริงเป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา ในสมัยพุทธกาลพุทธองค์ได้บัญญัติเป็นอาบัติแก่ภิกษุที่อวดคุณวิเศษ ที่ไม่มีในตน เรื่องของเรื่องมันมาจากกระทู้การพิสูจน์ว่าท่าน What am I? ว่าเป็นพระสงฆ์จริงไหม การพิสูจน์ว่าท่านเป็นพระจริงหรือไม่ก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย แต่น่าเสียดายที่การพิสูจน์เรื่องความสามารถในภาษาบาลีตามกระทู้ดังกล่าว คงจะไม่บังเกิดขึ้นอย่างที่หลายคนให้ความสนใจผมเองก็เข้ามาอ่านดูเกือบทุกวัน คุณจขกท.ถามว่าได้ประโยชน์อะไรกันไปบ้างก็ต้องบอกว่ามีประโยชน์แน่นอนครับ การส่งเสริมสัจจะความจริงเป็นสิ่งจำเป็นพอๆกับการที่ต้องช่วยกันกำจัดสิ่งจอมปลอมออกไป แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 00:07:29 จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 00:05:22

ความคิดเห็นที่ 30 ประโยชน์คือ ใช้เป็นที่ฝึกสติของดิฉันค่ะ จากคุณ : แม่อ๊บ (obst) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 03:33:13

ความคิดเห็นที่ 31 พระพุทธเจ้า..ท่านออกบวช เพราะเห็นเทวทูตทั้งสี่  คือ  คนแก่ คนเจ็บ  คนตาย  และ นักบวช... แต่ในที่สุด..สิ่งที่แก้ปัญหาให้ท่านได้ก็คือ..การที่ท่านค้นพบความจริง... เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่....อริยสัจ... . . จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 05:37:36

ความคิดเห็นที่ 32 ..นี่ไง  ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 07:46:43

ความคิดเห็นที่ 33 และนี่ .. จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 08:18:20

ความคิดเห็นที่ 34 มีหน้ามือ ก็ยังมีหลังตีน ผู้ที่โกหกนั้นจะไม่ทำชั่วอย่างอื่นเป็นไม่มี (ลอก คคห4) คิดเรื่องอมขี้หมาแล้วจะอ๊วก นอกจอจะแต่งตัวดีอย่างไงก็ได้ เข้ามาเวปบอร์ดอาจจะโดนจับแก้ผ้าได้ง่ายๆ พิมพ์ระ_ำในจออย่านึกว่าจะไม่มีอะไร Pantip.com มีไว้คุยกัน ถ้าอยากให้ดีมากๆ กรุณาปลีกวิเวกเข้าป่าเข้าถ้ำเลิกเล่นเน็ตไปเถิด (ไม่ต้องมาคุย) ถ้าวัยรุ่นขอสามคำ “สวดยอดเลยลวกเพี่ยะ”  ... เออ เกินจนได้ เกรียนก็เกรียนไป สลิดก็สลิดไป ไม่ว่าจะกิน สลัดผัก หรือ สตอเบอรี่ อย่าลืมว่า นี่ห้องศาสนานะ แยกอารมณ์ให้ออกอย่าฟินมาก จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 08:33:44

ความคิดเห็นที่ 35 ^34 นาน ๆ จะได้เห็นท่านแมงฯ จัดเต็มซะที ได้ใจทุกถ้อยคำ รถเรยาคงหัวหมุนอยู่ว่าจะหาทางลงยังไง แต่ดูเหมือนท่านระนาดฯ จะแย้มให้แล้ว แต่ถ้ายังเขลาไม่เลิก ก็ช่วยอะไรบ่ดั้ย.... --------------------- ประโยชน์ที่ได้ : 1. ไม่มีดี อย่าอวดดี 2. บุรุษที่ก่นด่าสตรี เป็นคนขี้แพ้ เหมือนด่าผู้เป็นแม่ของตนเอง 3. ไม่ใช่แค่เชือกที่แน่นหนา แม้แต่ "วาจา" ก็มัดคอได้ 4. "ความลับ" แม้มันจะเกิดขึ้นบนโลก แต่มันไม่เคยมีอยู่จริง 5. ในภาวะฝุ่นตลบ ยังเห็นแสงแห่งความเมตตาฉายมาเรือง ๆ 6. จริง ๆ นะ  -}   --------------------- จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 10:29:51

ความคิดเห็นที่ 36 #33 อยากให้ซัก 1000 กิ๊ฟ จากคุณ : Realistic thinker เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 11:12:11

ความคิดเห็นที่ 37 คลานเข่าเข้ามาให้กิ๊ฟอันสุดท้ายของเดือนนี้กับท่านทวดเจ้าคร่าาาา   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 11:24:16

ความคิดเห็นที่ 38 เลือกเก็บแต่เพชรพลอย อันไหนก้อนกรวดก็อย่าไปเก็บมา จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 12:01:23

ความคิดเห็นที่ 39 ก็เป็นเช่นนั้นละครับคุณเลื้อย  เลื้อย . . ไปเรื่อย เรื่อย กว่าจะสุดทางถึงโลกุตร.. การพิสูจน์ว่าใครถูก ไม่ยาก  แต่การพิสูจน์ว่าใครผิด ก็ไม่ง่ายนะครับ คุณคนกรุงธน คุณโขตาน  ไม่อ้อมค้อม  สั้นแต่ได้ใจความ คห.34 ของคุณแมงกุ๊ดจี่  ผมก็ได้ประโยชน์เหมือนกันครับ ประโยชน์ที่คุณBg-viewเห็น   ก็น่าจำเอาไประลึกถึงบ่อยๆครับ แล้วคุณ Realistic thinker  ไม่อยากให้ความเห็นด้วยหรือครับ หวังว่าคุณชาจะได้เป็นเศรษฐีเพชรพลอย ในไม่ช้า จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:08:54

ความคิดเห็นที่ 40 กระทู้ไหนหรือ?  ยังไม่เห็นเลยอ่ะครับ ขอ link ลองเข้าไปอ่านดูหน่อยได้หรือเปล่า? จากคุณ : Sirtraderlot เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:19:28

ความคิดเห็นที่ 41 มันก็ต้องได้อ่านบ้าง กระทู้แนะนำทั้งนั้น แต่ที่ได้จริงๆ  คือ  อู้ฮู้ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แค่แข่งแปลบาลี มีราคาขนาดนี้เลยหรอ   เพราะว่าอยู่ใกล้ชิดพวกที่เขาเรียนบาลีกัน ส่วนใหญ่เขาไม่รวยกันมากหรอกคะ  แค่ให้มีที่นั่งเรียน  มีครูสอน ห้องเรียนก็เล็กๆ  คนเรียนก็ไม่มากขนาดแย่งกัน  ครูสอนก็ขาดแคลน เขาก็เรียนกันได้นะคะ  ไม่ต้องใช้เงินมาก  เรียนก็ฟรีนะคะ  ไม่เห็นเก็บค่าแปล ค่าสอนกันเลย แต่ในห้องศาสนานี้  ไฮโซ  สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ว่างๆไปแข่งกับพวกที่เขาเรียนบาลีแท้ๆก็ได้นะคะ ที่ บาลีใหญ่  คณะ 25 วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์   ที่นี้แจก วิสุทธิมรรค ด้วยนะคะ  ถ้าบางท่านยังไม่มีไว้อ้างอิง ก็ไปขอได้เลย  รวมทั้งว่างๆก็ลองนั่งเรียนบาลีดูก็ได้ คิดว่านักศึกษาแถวๆนั้น  คงไม่มีใครเรียกเงินหรอกคะ  แค่แปลบาลีเอง แปลได้  ไม่ได้  เขาก็บอกตามตรงนะคะ  ไม่บิดพริ้ว  ไม่มากความ ถ้ามันยุ่งยากก็ไปที่ตึกที่เขาเรียนกัน  ครูอาจารย์ที่สอนก็มี นักเรียนพยานก็มี ครูอาจารย์ระดับปรมาจารย์ทางด้านบาลี  ก็มีเยอะนะคะ จะเลือกแบบบาลี เปรียญ 9 ประโยคแบบไหน  จบจากพม่า หรือสำนักไหนก็มีทั้งนั้นเลยคะ มีทั้งฆาราวาส และพระสงฆ์  ท่านประจำอยู่ที่วัดมหาธาตุแถวสนามหลวงอยู่แล้ว มีทั้งจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากต่างประเทศก็มีนะคะ  ท่านทำงานอยู่ที่นั่น มีพระองค์หนึ่งเปรียบเทียบว่า  ท่านเป็นระดับอรหันต์ทางด้านบาลีเลย   ท่านก็เดินๆอยู่แถวนั้น  ไปสอบหาตามตึกที่เขาเรียนๆกันแถวๆนั้นก็พอจะ เชิญท่านได้คะ  ชวนท่านสนทนายังได้เลย  เพราะท่านต้องสอนนักศึกษาอยู่แล้ว ไม่ยุ่งยากเลย  แต่เห็นในห้องศาสนานี้  ดูย๊ากยาก  ทำไมผู้มีความรู้ กว่าจะแปลได้ถึงยากขนาดนี้ไม่รู้นะคะ  คนเก่งๆมีแต่เขาอยากอวดภูมิรู้ว่าทำได้ ไม่อะไรมากหรอก  แค่มีคนสนใจ อยากได้ความรู้   ก็อยากจะแสดงตนแล้วว่าทำได้ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น   คือ ผรุสวาจา  นี้  ไม่น่าเอาตัวอย่างเลยนะคะ สิ่งที่ได้  คือ  จะไม่เอาอย่างผรุสวาจา  คะ  เพราะเมื่อพูดแล้ว  ทำให้เป็นที่ น่ารังเกียจของสังคม   ขาดความน่าเคารพเชื่อถือ  ถึงแม้จะมีภูมิรู้แค่ไหน แต่ถ้าคนๆนั้น  เผลอกล่าวผรุสวาจาแล้ว  ก็เข้าถึงความเสื่อมของผู้ได้ฟังได้ ฝากพระสูตรให้อ่านเล่นๆนะคะ -----------------------------------------------------------------------------------                         ว่าด้วยอุบายบรรลุนิพพาน http://www.84000.org/tipitaka/read/?12_/108_ถึงข้อ_/หน้า_ถึงหน้า_/บรรทัด_ถึงบรรทัด             [๑๐๘] ดูกรจุนทะ ผู้ที่ตนเองจมอยู่ในเปือกตมอันลึกแล้ว จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้.             ผู้ที่ตนเองไม่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปลือกตมอันลึก   ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.             ผู้ที่ไม่ฝึกตน ไม่แนะนำตน ไม่ดับสนิทด้วยตนเอง จักฝึกสอน จักแนะนำผู้อื่น จักให้ผู้อื่นดับสนิท ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้.             ผู้ที่ฝึกตน แนะนำตน ดับสนิทด้วยตนเอง จักฝึกสอน จักแนะนำผู้อื่น จักให้ผู้อื่นดับสนิท ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด.             ดูกรจุนทะ ความไม่เบียดเบียนก็ฉันนั้นแล ย่อมเป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้เบียดเบียน.             การงดเว้นจากปาณาติบาต เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ฆ่าสัตว์.             การงดเว้นจากอทินนาทาน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ลักทรัพย์.             การประพฤติพรหมจรรย์ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้เสพเมถุนธรรม.             การงดเว้นจากมุสาวาท เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้พูดเท็จ.             การงดเว้นจากปิสุณาวาจา เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้กล่าวส่อเสียด.             การงดเว้นจากผรุสวาจา เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้กล่าวคำหยาบ.             การงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้พูดเพ้อเจ้อ.             ความเป็นผู้ไม่เพ่งเล็ง เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มักเพ่งเล็ง.             ความไม่พยาบาท เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีจิตพยาบาท.             ความเห็นชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความเห็นผิด.             ความดำริชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความดำริผิด.             การกล่าววาจาชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีวาจาผิด.             การงานชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีการงานผิด.             การเลี้ยงชีวิตชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีอาชีพผิด.             ความเพียรชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความเพียรผิด.             ความระลึกชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความระลึกผิด.             ความตั้งใจชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความตั้งใจผิด.             ความรู้ชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความรู้ผิด.             ความพ้นชอบ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความพ้นผิด.             ความเป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ถูกถีนมิทธะครอบงำ.             ความเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน.             ความเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัย เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีความสงสัย.             ความไม่โกรธ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มักโกรธ.             ความไม่ผูกโกรธ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ผูกโกรธ.             ความไม่ลบหลู่คุณท่าน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ลบหลู่คุณท่าน.             ความไม่ยกตนเทียมท่าน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ยกตนเทียมท่าน.             ความไม่ริษยา เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ริษยา.             ความไม่ตระหนี่ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ตระหนี่.             ความไม่โอ้อวด เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้โอ้อวด.             ความไม่มีมารยา เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีมารยา.             ความเป็นคนไม่ดื้อด้าน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ดื้อด้าน.             ความไม่ดูหมิ่นท่าน เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ดูหมิ่นท่าน.             ความเป็นผู้ว่าง่าย เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ว่ายาก.             ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีมิตรชั่ว.             ความไม่ประมาท เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ประมาท.             ความเชื่อ เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ไม่ศรัทธา.             ความละอายต่อบาป เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ไม่มีความละอายต่อบาป.             ความสะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ไม่มีความสะดุ้งกลัวต่อบาป.             ความเป็นพหูสูต เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีการสดับน้อย.             การปรารภความเพียร เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้เกียจคร้าน.             ความเป็นผู้มีสติดำรงมั่น เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีสติหลงลืม.             ความถึงพร้อมด้วยปัญญา เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้มีปัญญาทราม.             ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำทิฏฐิของตน ไม่ยึดถือมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย เป็นทางสำหรับดับสนิทของบุคคลผู้ลูบคลำทิฏฐิของตน ยึดถือมั่นคง และสละคืนได้โดยยาก. เจริญในธรรมคะ แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 13:53:18 จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:38:49

ความคิดเห็นที่ 42 #39 การพิสูจน์ว่าฝ่ายรถรังหนู จะพูดโกหกหรือไม่ แล้วมาแปลบาลีแข่งกัน ผมก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ดีกว่าไปแข่งกันซิ่งรถแวนซ์มากมาย แต่จะเห็นด้วย ถ้าฝ่ายระนาดอ่วม ป้าเอ๋งเอ๋ง และนังหนูแสยะ ใช้สัมมาวาจากับคู่แข่งและผู้อื่น ที่ไหนได้ มีแต่ใช้คำหยาบคายเข้าด่าว่ากัน ด่ากันถึงบุพการี ๆลๆ ลองอ่านดูเองละกัน มีแต่คำแรงๆทั้งนั้น แทนที่จะชนะอย่างขาวสะอาดด้วยธรรมะ เป็นตัวอย่างให้เด็กๆอย่างพวกผมดู นี่กลับเอากิเลสหนาๆ เอาโทสะ อัตตาและทิฎฐิ ของตัวเองมาโชว์พาวให้คนอื่นดู ว่าต้องด่าหยาบๆแบบข้าเฟ้ยถึงสะใจ ถึงจะชนะ ดูแล้วน่ารังเกียจไม่ต่างจากผู้แพ้เลย ไม่รู้อายเด็กๆที่เข้ามาอ่านบ้างหรือเปล่า ว่านี่เหรอคนที่เค้าปฎิบัติธรรม ผมจึงเห็นเหมือนคุณโขตานที่ว่านั่นแหละ ว่า แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:16:08 จากคุณ : Realistic thinker เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:12:40

ความคิดเห็นที่ 43 ผมได้เข้าใจศัพท์หลายอย่างเลย เห็นตัวกิเลสชัดๆด้วย เช่น ผู้เก้อยาก มานะ มิจฉาทิษฐิ โทสะ มุสาวาทา จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:15:09

ความคิดเห็นที่ 45 กลัวภาพ #32 จะไม่ขลัง ผมว่า ท่านรถเรณู เสียสละสูงมาก ในหลายๆเหตุการณ์ เท่าที่เห็น เช่น ในกรณีมีปากเสียงกับบางคนในศาสนาเพื่อนบ้าน ท่านรถเรณู ต้องกระโดดออกมารับอุ้งมืออุ้งเท้า คนที่กำลังเฮโลตามๆกัน(ไปไหน?) (เท่าที่เห็น ท่าทางจะรับอุ้งเท้าฟรีๆ โดนอคติเพิ่มไปอีกทุกงาน ไม่มีใครเห็นเบื้องหลังความดีเท่าไร) มารอบนี้ ดูเหมือนปกป้อง What's คุง (ถ้า What's คุงสำนึกได้บ้างคงดี ซึ่งคงยากส์) ข้อหาด้านผรุสวาท เคยเตือนท่านรถเรณูไปครั้งนึงแล้ว ซึ่งตอนนั้นผมยังอ่อนหัดเกินไป เมื่อคนเราต้องเข้าสู่โหมด "ไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหมที่ไหน" อย่าว่า แต่เพศเลยครับ มียศ มีผ้าเหลืองคุ้มตัวอยู่ เชื่อว่าหลายท่านคงไม่สนใจ (รวมผมด้วย) กับเรื่องพิสูจน์บาลี อันนี้เข้าทางท่านรถเรณูเสียกระมัง ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องตีกิน ในสิ่งที่ตัวเองถนัด ตัวเองมีโอกาสได้เปรียบสูงกว่า ซึ่งท่านรถเรณูเยอะ*ไปมากกับเงื่อนไข เวลาตนเองชนะ กลายเป็นเพิ่มความหมั่นไส้ในสายตาชาวบ้าน ส่วนเรื่องก้าวล่วงครูบาอาจารย์ เทวดา โหราจารย์ ศาสตร์หมอดู คนทรง ในหลายบริบทผมมักเห็นท่าน รถเรณูแนะนำให้อ่านพระไตรปิฎก, แสดงถึงความเคารพเกจิอาจารย์(โดยการไปสมาคมกับท่านถึงวัด) , แสดงวุฒิภาวะในการใช้โยนิโสมนะสิการ และหลักพุทธะเกือบทั้งหมด "นำแก่นไปใช้จริงนะครับ" ไม่ใช่ "copy จริง paste จริง" ไม่ชี้ผิดชี้ถูก ไม่ขยายความใดๆ ว่ามองด้วยหลักธรรมแบบไหน ไอ้ประเภทชี้ให้ชาวบ้านอคติตาม แบบเฉลิมศักดิ์นี่ "คนมีธรรม"เขาก็ไม่ทำกันนะ อ้างอิง "มองอนาคตผ่านรากฐานความคิด และชีวิตท่านพุทธทาส - พระพรหมคุณาภรณ์" โฟว์shared.com/mp3/3LbusoDD/16_.html เรื่องตบตีกันทางภาษาหนัก-เบา กับคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง ก็เห็นทำกันทุกคน - - จะไปสร้างภาพสกปรกใส่เขา ตัวเองต้องไม่ทำด้วยสิ ประเภทตัวเองไม่ทำ สุภาพนิ่มนวล ยิ้มหล่อยิ้มสวย แต่นั่งมองเพื่อนตัว-พวกตัว "กระทำแทน" ไม่มีห้ามปราม ไม่มีบอกให้หยุด อันนี้ก็ยืมมือ ยืมปากชาวบ้าน เชือดแทน แยกนิดนะ "เฉพาะคู่กรณี กับ คู่กรณี" ไม่ใช่ "คู่กรณี กับ คนข้างเวที ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเงียบเป็นนิสัยอยู่แล้ว" ------------- link ติดคำกรอง แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:36:17 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:32:58

ความคิดเห็นที่ 46 เชื่อค่ะว่า ได้ประโยชน์ในแง่ของการเรียนรู้ธรรมะจริงๆ ค่ะ ท่านผู้ศึกษาธรรมะทั้งหลาย บางคนก็ ติดตามถี่ยิบมากๆ เห็นล็อคอินซ้ำๆ คงเรียนรู้ไปเยอะเลยนะคะ เข้าใจว่า มัน " สนุกสนาน " ยิ่งกว่าแม่ค้าติดละครน้ำเน่า อย่างนั้นเลยทีเดียว ( ปกติ เราชอบเสพ ละครสัตว์ น่ะค่ะ ) จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 16:17:37

ความคิดเห็นที่ 47 เพลงคั่นโฆษณา ... ^^ http://www.youtube.com/watch?v=raR-AJIwU_Q จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 18:24:57

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องของการดูอารมณ์ล้วนๆเลยล่ะครับ ท่านๆ จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 19:07:48

ความคิดเห็นที่ 49 ท่าน จขกท. คุณพีทู สนุกกับกระทู้ดีมั้ยคะ  ฮ่าๆๆๆ ^_^   -_-"a   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 19:54:14

ความคิดเห็นที่ 50 ท่านใบไม้ ก็ขยันช่วยแถกนะเนี่ยนะ เป็นผู้ช่วยคุณปู่ไปก็ละกันค่ะ   จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 19:57:03

ความคิดเห็นที่ 51 ผมเป็นขอเป็นดริฟท์ตัวลุง (เอ๊ย? ตัวอา หรือตัวพี่จะดีกว่าไหมเนี่ย) ก็แล้วกันนะงั้น ฮ่าฮ่า อย่าซีเรียสครับ ถ้ามีอยู่ฝั่งเดียวเดี๋ยวก็ไม่บาลานซ์กันพอดีน่ะสิน้องยิ้ม :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 20:30:09

ความคิดเห็นที่ 52 คห 33 ภาพ ข้อความว่า "ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไร?มาพบกัน" ทีแรก ไม่เข้าใจว่าคุณโขตาน หมายถึงใคร พอเห็นเฉลยจาก คห 42 พร้อม 3 กิฟ ถูกใจ ---------------------------------------------- จากคุณ : Realistic thinker เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:12:40   ถูกใจ : ยี้ 501, จำฉันได้ไหม, P2wichai ------------------------------------------------ ดิฉันจึงค่อยทราบว่า คุณโขตาน หมายถึง รถเรณู ระนาดเอก เอิงเอย (ส่วนนังหนูแสยะนี่ไม่ทราบหมายถึงใคร) ก็ตกใจเล็กน้อยค่ะ !! จากคุณ : เอิงเอย เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 21:26:00

ความคิดเห็นที่ 53 คนเราถ้าดีจริงคงไม่ด่าคนอื่นด้วยความดูถูกดูหมิ่นหรอกครับ        อย่างนี้อาจเรียกว่าดีจอมปลอมคือเพ่งโทษผู้อื่นและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น     เข้าพวกเดียรถีย์                  ข้อความข้างบนนี้ผมไม่ได้ว่าหรื่อด่าใครนะครับเพียงแต่ใช้ถ้อยคำเป็นประโยคบอกเล่าเท่านั้นเอง         ปล.นะครับน่าจะรู้กันดีว่าใครที่ชอบเข้าพวกเดียรถีย์(หมายถึงคนที่ชอบเข้ากับพวกนอกศาสนาของเราน่ะ) แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 23:32:35 จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 21:39:41

ความคิดเห็นที่ 54 ขอ link กระทู้ต้นเรื่องหน่อยครับอยากอ่านจัง จากคุณ : แค่ฝันไป เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 22:03:38

ความคิดเห็นที่ 55 เจริญในะรรมเช่นกันครับคุณ goodsthailand คุณ Realistic thinker  คห.42    อย่าเป็น  พระรูปสุดท้าย  เลยนะครับ คุณ Zim-MorLuth-    ผมก็เห็นคุณรถ  เป็นอย่างที่เธอเป็น  ไม่ได้ถือสา  แต่หลายท่านไม่ได้เห็นอย่างผม         บางครั้งคิดอยากเตือนเธอเหมือนกัน  แต่ดูวุฒิภาวะตัวเองแล้ว  คงไม่พอที่จะเตือนได้ ได้ประโยชน์ใน การเรียนรู้ธรรมะจริงๆ ก็ยินดีด้วยครับ คุณ จำฉันได้ไหม เพลงนี้ผมก็ชอบครับคุณหน้าม้าคุง       และหวังว่าคุณใบไม้จะเห็นอารมณ์ที่ดีๆนะครับ  อารมณ์ไม่ดีมองข้ามไปบ้างคงไม่เสียหายมากนะครับ ก็พอเป็นไปครับคุณหนูยิ้ม  แต่ลึกๆลุ้นอยู่ว่าอย่าให้ยาวเป็นร้อยๆความเห็นเลย คุณเอิงเอยครับ ใน คห. 42 ของคุณ Realistic นั้นถ้ากรองเอาสรรพนามและสำนวนลีลาที่ไม่ถูกใจออกแล้ว         ความเห็นเขาก็พอได้นะครับ คุณ wutthitham ครับ ความเห็นคุณมีคุณค่ามากเลยครับ  ถ้าเอาวรรคท้ายบรรทัดสองออก คุณ แค่ฝันไป  อย่าไปอยากอ่านเลยครับ  หรือถ้าจะอ่านก็ตั้งสติดีๆก่อน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12492641/Y12492641.html จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 22:09:35

ความคิดเห็นที่ 56 ไม่รู้คุณ  P2wichai  จะรู้หรือไม่ว่าบางความเห็นในกระทู้นี้สร้างแรงฮึกเหิมให้ใครคนหนึ่งลุกขึ้นสู้เป็นตัวตายตัวแทนคู่กรณีไปซะแล้ว ถ้าไม่รู้ลองอ่านไล่ย้อนขึ้นไปด้านบน แล้วไปอ่านกระทู้ไอศครีมดู ... = = จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 23:24:40

ความคิดเห็นที่ 57 เสี้ยมเหรอ หน้าม๊าคุง กลับจานบินไปซะ ชิ้วๆ :D จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 00:23:48

ความคิดเห็นที่ 58 ได้รู้ว่า .. บางครั้งคนเราก็ยึดติดกับธรรมะมากเกินไป ใช้ธรรมะในทุกกาล โดยไม่คำนึงถึง "ความน่าจะเป็นของโจทย์นั้น ๆ" .. ปัญหาบางอย่าง ไม่ต้องไปบรรละธรรมลึกซึ้ง, ศึกษามานาน หรือต้องเป็นผู้คงแก่เรียนมาจากไหน เพียงแค่ใช้ "สามัญสำนึกพื้นฐาน" ก็น่าจะพอเพียงกับโจทย์ง่าย ๆ อยู่แล้ว ยกตัวอย่าง เช่น 1+1 = ? .. บางท่านไม่คิดอะไรมาก เพราะมันเป็นปัญหาที่ใช้ คอมมอนเซนส์ก็ตอบได้ แต่บางท่าน คิดตลบตะแลง คิดว่ามันจะเป็นเชาว์หรือเปล่า? คิดว่ามันผิดศีลธรรมหรือเปล่า? หรือบางท่านอาจคิดไปไกลถึงขนาด "จะให้อั๊วตอบอันนี้ เอาทรัพย์สินมาโชว์ก่อนดิ? ทำไมอั๊วต้องตอบวะ?" เป็นต้น ก็เท่านั้น .. ศึกษาธรรมมาเยอะ แต่ถ้าเรื่องทางโลกพื้่น ๆ ยังละเลย .. จะศึกษาไปใย??? ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมต้องไปกะเกณฑ์ให้มันยาก มันซับซ้อน ใช้คำสวยหรู นู่น นี่ นั่นด้วย? ก็เท่านั้น จากคุณ : tothza_one เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 10:58:33

ความคิดเห็นที่ 59 1+1 = 2.4 จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 11:48:03

ความคิดเห็นที่ 60 ได้รู้ว่า .,,เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 12:28:56

ความคิดเห็นที่ 61 ^^   ^^ ^^ บางคนเห็นช้างข้างหลัง   บางคนเห็นช้างข้างหน้า บางคนเห็นช้างกำลังยกหางอึ   บางคนเห็นช้างกำลังเตะเสือ แต่ละคนมองด้วยตาของตนเอง  แต่หวังให้คนอื่นเห็นอย่างที่ตนเห็น หลายคนพอเข้าใจได้   แต่ยังมีคนที่เบลอๆอยู่ บางคนบอกว่านรก สวรรค์ ผี  ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย         มีพยาน มีหลักฐานอ้างอิงเพียบ บางคนไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร  เขาจึงไม่กล่าวหาและตัดสิน คนอี่นว่าผิด  แต่บางคนไม่             บางคนก็อยากเป็นครู   แต่ความสามารถมีแค่ไหน  นักเรียนเดี๋ยวนี้ . . .ไม่ง่ายเลย ส่วนเราละ > - - ก้แค่อยากดับไฟที่ไหม้บ้านด้วยน้ำกระป๋องน้อยนี้เท่านั้น สาเหตุแห่งไฟพอเห็นอยู่  สาเหตุลึกซึ้งกว่านั้น ไว้รู้เมื่อไฟดับ  ยังไม่สาย จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 12:40:34

ความคิดเห็นที่ 62 ได้เห้น..กรณีศึกษา .. " ราคะ โทสะ โมหะ. อกุศลมูลทั้งสามตัวนี้ มีเหตุปัจจัยผสมกันก่อตัวเป้นอุปนิสัยต่างต่างที่เรียกว่าอุปกิเลส 16 ..... 1.อภิชฌาวิสมโลภะ    ความละโมภ มักอยากได้ อยากมี อยากเป็น 2.พยาบาท   ความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา 3.โกธะ  ความโกรธ 4.อุปนาหะ  ความผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไร ก้โกรธ 5.มักขะ  การลบหลู่ท่าน  ลบหลู่ความดีของผู้อื่น 6.ปลาสะ การตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตนเอง 7.อิสสา   ความริษยา เห็นเขาได้ดี  ทนไม่ได้ 8.มัจฉริยะ  ความตระหนี่ เสียดายของ ยึดในของทราเรามีอยู่ 9.มายา    ความเจ้าเล่ห์  ไม่จริงใจ แสดงบทบาทตัว้องเกินความจริง 10.สาเถยยะ   การโอ้อวดหลอกเขา  ชอบอวดว่าดีกว่า เก่งกว่า 11.ถัมภะ    ความดื้อกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ใครแนะนำให้แก้ไขก้ไม่รับฟัง 12.สารัมภะ    กานแข่งดี  มุ่งเอาจะชนะ  คิดจะเอาชนะเขาตลอด 13.มานะ    ความถือตัวทนงตน 14.อติมานะ     คือการดูหมิ่น  ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา 15.มทะ    คือความมัวเมา ลุ่มหลง 16.ปมาทะ  คือความประมาท อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา   ด้วยเรามีภูมิธรรมน้อย  จึงขอตัวไปสำนึกตนก่อน  มัวแต่นำกระจกไปส่องเขา จึงเห้นแต่เขา  มัวแต่เพ่งผู้อื่น จนลืมดูตน .... แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 13:11:37 จากคุณ : เม่า_พอเพียง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 13:00:55

ความคิดเห็นที่ 63 ความคิดเห็นที่ 59     1+1 = 2.4 จากคุณ : bigjinbook   --------------------------------------- ผิด!  คำเฉลยอยู่ต้นกระทู้   1+1 >1122 จ่ายมาซะดี ๆ (ตอนสอบได้ Top ดูนี่...หลักฐาน) จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 13:25:59

ความคิดเห็นที่ 64 โอ...ตอบไม่เคยถูก ไม่เคยได้รางวัลอะไรที่ห้องราชเลย เชิญท่าน  Bg-view รับรางวัลเลยครับ รับประทานข้าวมันไก่ หน้าพรรค ปชป กับคุณมอลลี่ 1 มื้อครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 14:12:48

ความคิดเห็นที่ 65 ^64  ทำไมท่านไม่ซิวรางวัลมาให้ได้ล่ะ เสียดาย.... ไม่น่าเชื่อเน๊อะ "มอลลี่" จะเด้งได้ขนาดนี้ ถ้าท่านได้รางวัลมา ก็เอาไปประมูล รับเหนาะ ๆ (ใครจะเอาหว่า..) แล้วซื้อข้าวมันไก่มากินบ้าน สบาย ๆ -------------------- อุ้ย ไม่ใช่ห้องราช.นิหว่า.. ขออภัยจขกท. จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 14:38:18

ความคิดเห็นที่ 66 bigjinbook, Bg-view ^ คุยอะไรกันเนี๊ยยยย ไทยมุงชักงง   55555555 จากคุณ : MM (ongchai_maewmong) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:39:29

ความคิดเห็นที่ 67 อุอุ ... ^^ จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 15:43:54

ความคิดเห็นที่ 68 คุณองค์ชายMM... ตามลายแทงคุณม้าคุงฯ ไปโลด อยากได้รางวัลมั้ยอ่ะ? อย่างน้อยข้าวมันไก่ก็อร่อยนะ เผื่อโชคสองชั้นได้ไปตากอากาศชายเลสองต่อสอง จึ๊กกะดึ๋ย ๆ   -------------------- ขอ'นุญาตจขกท. ขอคั่นโฆษณาอีกสักรายการละกันนะท่านนะ จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 18:37:09

ความคิดเห็นที่ 69 เข้ามาดู   จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 20:25:22

ความคิดเห็นที่ 70 เพลีย ลื่น ไหลได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ จากคุณ : TritonBoy เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 18:25:20

ความคิดเห็นที่ 71 เข้าไปอ่านมาแล้ว..สรุปไม่ได้ดูการประลองอุตส่าห์อ่านตั้งนาน เพลียเลย นี้ห้องศาสนาดราม่า มันกว่าห้องราชดำเนินอีกแฮะ จากคุณ : แค่ฝันไป เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 22:30:13

ความคิดเห็นที่ 72 ฟังเพลงกันดีกว่า จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 06:45:39

ความคิดเห็นที่ 73 ความคิดเห็นที่ 39 MsgStatus(Msv[39], 39); ก็เป็นเช่นนั้นละครับคุณเลื้อย  เลื้อย . . ไปเรื่อย เรื่อย กว่าจะสุดทางถึงโลกุตร.. การพิสูจน์ว่าใครถูก ไม่ยาก  แต่การพิสูจน์ว่าใครผิด ก็ไม่ง่ายนะครับ คุณคนกรุงธน คุณโขตาน  ไม่อ้อมค้อม  สั้นแต่ได้ใจความ คห.34 ของคุณแมงกุ๊ดจี่  ผมก็ได้ประโยชน์เหมือนกันครับ ประโยชน์ที่คุณBg-viewเห็น   ก็น่าจำเอาไประลึกถึงบ่อยๆครับ แล้วคุณ Realistic thinker  ไม่อยากให้ความเห็นด้วยหรือครับ หวังว่าคุณชาจะได้เป็นเศรษฐีเพชรพลอย ในไม่ช้า จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 13:08:54   แหม ก็ท่าน P2 ยุอย่างนี้ อาตมาก็ตบะแตกนะซี่ อยากยุนักใช่มั้ย นี่แนะ จากคุณ : Realistic thinker เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:28:33

ความคิดเห็นที่ 74 เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า อย่าพยายามเหยียบคนอื่น เพื่อ ให้ตัวเองอยู่สูง ดูมีความรู้กว่าคนอื่น จากคุณ : Korea so sad เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 17:37:38

ความคิดเห็นที่ 75 อีกหมื่นปีแสนชาติ  ห้องศาสนาก็ไม่เคยว่างเว้นจากท้าทาย จากคุณ : ยอดกระบี่ซิลลี่ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 21:06:23

ความคิดเห็นที่ 76 นี่แหละครับ สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองปฏิบัติถึงขั้นนั้นขั้นนี้ มันหลอกตัวเองกันชัดๆ กิเลสหยาบๆ ของตนเองยังมองไม่เห็นเลย ประสาอะไรกับกิเลสที่มันนอนก้นอยู่ลึกๆ จากคุณ : ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 11:32:30