ความคิดเห็นที่ 1 ใช่แล้วครับ...เพราะผู้ที่จะบรรลุธรรม...จะมีทิศทางตรงกันข้ามกับ...ธรรมชาติ... ซึ่งคนทั่วๆไปเข้าใจว่าจิตประกอบด้วยกิเลสนี้คือ..ธรรมชาติ... ฉนั้นเราต้องปฎิบัติให้จิต....อยู่เหนือธรรมชาติแบบนี้จึงจะพ้นทุกข์ครับ จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:17:02

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ต้องฝืน ทำตามธรรมชาติ ตามอารมณ์ ก็ไม่ต้องเป็นคนก็ได้ครับ เป็นหมาก็ได้ ทำได้ทุกอย่างไม่ต้องคิด อยากทำอะไรทำ กิน ขี้ ซั่ม นอน เยี่ยว อึ ฉี่ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 09:23:43 จากคุณ : โปรยปราย เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:23:11

ความคิดเห็นที่ 3 นี่ทำให้ มนุษย์ ดีกว่า สัตว์ ไงครับ .....เพราะเราฝืนธรรมชาติได้ไง ไม่ต้องไปทำตามสัญชาตญาณเสียทุกอย่าง ฝึกฝนได้ เปลี่ยนได้ อย่าว่าแต่พระ หรือ นักบวชเลย    คนทั่วไปก็ต้องฝึกฝนตามความเชื่อ และกฏหมาย  ........ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กันข้างถนน  ไม่ไปซื้อบริการเด็ก   ไม่ไปแย่งคู่เป็นชู้กับเมียชาวบ้าน  หรือไม่ใช่พออยากหน้ามืดเข้าตอนไหนก็ไปลากผู้หญิงมาข่มขืน จากคุณ : birdeyeview เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:30:20

ความคิดเห็นที่ 4 หลงประเด็นกันไปหมดเลยคำถามคือ "คนจะซั่มกัน ก็สามารถนั่งสมาธิ ทำความเพียรได้ แล้วจะห้ามซั่มกันเพื่ออะไร" จากคุณ : Mr.Feynman เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:37:42

ความคิดเห็นที่ 5 ธรรมชาติของจิตอย่างหนึ่งคือไหลลงสู่ที่ต่ำได้ง่าย ก็คือตามกิเลสได้ง่าย ถ้าไม่ฝืนในทางตรงกันข้าม จิตก็จะตกไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์ การพ้นทุกข์ก็ต้องทำตรงข้ามกับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ จากคุณ : สวรรค์บรรเลง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:39:18

ความคิดเห็นที่ 6 เพราะว่าถ้าทำตามใจอยากแล้วจะติดในตวามสุขไงคะ พอไม่ได้เสพสุขอย่างเคยก็มีความทุกข์แล้ว เหมือนคนติดกาแฟ ติดโค้ก ติดยา เสพสุข ก็เหมือนเสพยาเสพติด มันต้องการมากขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ความสุขที่ได้รับกลับน้อยลงเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่อย่างไรก็ไม่มีความสุข ถ้าค่อยๆลดสิ่งเสพติดลง ตอนแรกใจจะดิ้นรนอย่างมาก แต่จะค่อยๆดิ้นรนน้อยลงๆจนไม่ดิ้นรนเลย ถ้าใครเคยเลิกกาแฟ หรือเลิกพฤติกรรมบางอย่่างน่าจะเข้าใจ ของเรานี่เคยติดโค้ก ฮ่าๆ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:40:32

ความคิดเห็นที่ 7 ทุกอย่างเป็นธรรมชาติทั้งนั้น .. ไม่มีอะไรฝืนธรรมชาติ อยู่ที่ว่า อยากได้ผลแบบไหนก็ทำเหตุแบบนั้น   พระพุทธเจ้าแสดงเหตุไว้หมดแล้ว อยากจะสุขแบบไหนก็เลือกเอา ปัญญาการเห็นทุกข์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่เห็นว่ากามไม่ใช่สุขที่แ้ท้จริงก็จะขวนขวาย ทำเหตุเพื่อให้ได้สุขที่ประณีตกว่า ถ้าเข้าใจเรื่องการทำเหตุเพื่อให้พ้นทุกข์ แล้วก็จะไม่พูดว่า "คนจะซั่มกัน ก็สามารถนั่งสมาธิ ทำความเพียรได้ " เพราะมันเป็นคนละเหตุปัจจัยกัน จากคุณ : palmgang เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:58:58

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเป็นฆราวาสก็ไม่ได้ห้ามอะไรนะครับ ศาสนาพุทธไม่เคยมีอะไรที่เป็น "ข้อห้าม" เลยสักอย่าง ถ้าแปลมาอย่างถูกต้อง ทุกอย่างใช้คำว่า "ควร" หรือ "ไม่ควร" ทั้งสิ้น เป็นการบอกกล่าวอย่างกลางๆ ส่วนใหญ่จะเอาไปปฏิบัติ หรือ ไม่ปฏิบัติ ก็เป็นเรื่องของคนๆนั้น ให้อิสระเต็มที่ ส่วนกรณีพระสงฆ์นั้นผิดแผกออกไป เพราะพระสงฆ์ถือว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง มีวัตรปฏิบัติที่ตราเป็น "กฏ" มี "ข้อห้าม" ชัดเจน ซึ่งผิดกับฆราวาส จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:32:05

ความคิดเห็นที่ 9 จิตที่ชุ่มไปด้วยกามราคะ ก็จะคิดแบบ จขกท นั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องของการห้าม แต่มองและพิจารณาแล้วว่ากามราคะ เป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหลาย เป็นสุขแบบ หมาแทะเลือดในกระดูก คือกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่เอร็ดที่ได้ลิ้มลอง จิตคุณยังไม่ถึงขั้นมองเห็นโทษของกามต่างหาก เขาให้เลือกว่า จะยืนอยู่ฝั่งไหน โลกียะ หรือโลกุตตระ ตนเองฝังแน่นอยู่ฝั่งโลกียะ แล้วจะแกว่างปากไปด่า ฝั่งโลกุตตระทำไม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:51:22

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าเขาสอนให้คนรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงมากกว่า สอนว่ามีอารมณ์ก็ให้ควบคุมได้ เหมือนถ้ามีภัยพิบัติในธรรมชาติแล้วเตรียมการณ์รับมือได้อย่างดี แบบนั้น จากคุณ : Kenlive เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:56:08

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับ คห.9 เชื่อว่า จขกท. ยังมีจิตปรารถนาที่จะเสพกามอยู่ จากคุณ : Heart Disk เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 11:08:20

ความคิดเห็นที่ 12 สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัตินั้น เป็นการปฏิับัติเพื่อนำไปสู่จิตประภัสสร ซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิต ก็คือการกลับไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริง โดยไม่มีกิเลสมาเคลือบอยู่ แต่ที่ยกตัวอย่างมา มองว่ามันเป็นกิเลสที่มาหลอกให้เราเข้าใจผิด มาหลอกให้เราหลง เรามองว่า จะพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องปฏิับัติเพื่อให้จิตกลับไปสู่ธรรมชาติดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ โดยการฝืนกระแสกิเลส ------------------------------------------ จากคห.4 หลงประเด็นกันไปหมดเลยคำถามคือ "คนจะซั่มกัน ก็สามารถนั่งสมาธิ ทำความเพียรได้ แล้วจะห้ามซั่มกันเพื่ออะไร" ------------------------------------------- การทำสมาธิ ไม่ได้มีแต่ในพระพุทธศาสนา และมีก่อนพระพุทธศาสนาจะกำเนิด และการทำสมาธิอย่างเดียวไม่สามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้   สิ่งที่นำไปสู่การพ้นทุกข์คือ วิปัสสนา พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ก็คือกฎไตรลักษณ์ การซั่มกันไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริง แต่มันคือกิเลส แล้วถ้ายังมีกิเลสมันก็พ้นทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ก็ซั่มไป แล้วก็ทำสมาธิเอาสงบเอาสุขใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาซั่มอยู่ในสังสารวัฏต่อไป จากคุณ : สติไม่มาปัญญาช้อปเกิด เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 11:21:00

ความคิดเห็นที่ 13 จากหัวข้อกระทู้ บอกเป็นนัยว่า ถ้ายังเสพกามอยู่ ก็ยังพ้นทุกข์ได้ใช่มั้ยครับ ก็เกือบจะจริงนะครับ อย่างกรณีพระโสดาบัน จิตเป็นโลกุตระไปแล้ว แต่ก็ยังข้องกับกามอยู่ แต่ผมเข้าใจว่าท่านไม่ได้อยากเสพจริงจัง หรือถ้าอยากเสพ ก็ถือว่าเป็นเจตนาที่น้อยๆๆๆ มากเมื่อเทียบกับปุถุชน แต่ถ้าหวังพระนิพพานจริงๆ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกครับ สุดโต่ง 2 ทาง ให้ละเสีย 1. หลงในกามคุณ เพลิน กำหนัด ยินดี สรรเสริญในกาม 2. หลงทรมานตัวเอง ฯลฯ เมื่อเว้น 2 ทางนี้ได้ ก็ให้เดินตามทางสายกลางคือ มรรค 8 ซึ่งโสดาบันก็ต้อง มรรค 8 อยุ่แล้ว (ไม่ได้สุดโต่งในกาม แต่ยังข้องกับกามอยู่) ปล. กาม คือ คำกว้างๆ นะครับ ไม่ได้หมายถึง ซั่มกันอย่างเดียว แต่ถ้าหมายถึงอยากจะซั่มแต่ก็อยากพ้นทุกข์ นิผมว่าเป็นไปได้ยากครับ ถ้าใจอยากจะซั่ม ยังไงๆ ก็ต้องทุกข์ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลก แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 11:38:34 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 11:37:06

ความคิดเห็นที่ 14 ซั่มแล้วติด จิตเศร้าหมอง เหมือนยางเหนียว นานเข้าจะขาดซั่มไม่ได้ ซั่มแล้วจะอยากซั่มอีก ทำให้ใจยึดเกาะไม่หลุดคือคิดแต่เรื่องซั่ม ทำสมาธิก็นึกถึงแต่เรื่อง ซั่มเบื่อหน่ายในสมาธิเพราะเข้าสมาธิแล้วฟุ้ง  ไม่ต้องใคร ผมเอง ตอนหลังต้องลด ละ จิตใจจะสบาย เบาเข้าสมาธิได้ดี จากคุณ : Karaone เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 11:37:33

ความคิดเห็นที่ 15 คห.4 หลงประเด็นกันไปหมดเลยคำถามคือ "คนจะซั่มกัน ก็สามารถนั่งสมาธิ ทำความเพียรได้ แล้วจะห้ามซั่มกันเพื่ออะไร" ซั่มได้ครับแต่ต้องไม่ละเมิดศีลข้อ 3 ซึ่งก็มีองค์ประกอบของศีลอยู่ ไปหาอ่านเองนะ ไม่มีใครห้ามซั่มครับ แต่ให้ค่อยๆลด ละ เลิก ฝึกตน รักษาเนกขัมมะ บารมี รักษาพรมจรรย์ ให้มองให้เห็นโทษของ กาม จนจิตละเอียดขึ้นๆจนเบื่อหน่ายไปเอง แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 17:43:45 จากคุณ : buchido85 เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 12:00:44

ความคิดเห็นที่ 16 แค่อยากถามว่าใครห้าม พระโสดาบันสามารถมีครอบครัวได้ แล้วแต่ว่าอยู่ในสถานะภาพใด แต่ถ้าอยู่ในสมณเพศเป็นข้อห้ามครับ ไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องบวช ปฎิบัติในที่บ้านได้ อยากซั่มก็ซั่มไป ซั่มแบบเดี่ยว แบบหมู่ แบบสวิงกิ้ง มันเป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ต้องพร้อมรับผลของกรรม ผลวิบากกรรมที่ทำมาด้วย แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 12:36:33 จากคุณ : ดำดง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 12:36:17

ความคิดเห็นที่ 17 ติดเอดส์เมื่อไร ก็เห็นภัยเมื่อนั้น... จากคุณ : หมาชายหาด เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 12:43:18

ความคิดเห็นที่ 18 แสดงว่า จขกท "ซั่ม"เสร็จ แล้ว มานั่งสมาธิต่อได้เลย แถมทำได้ดีด้วย ใช่หรือไม่ ครับ แต่ ผม ทำไม่ได้ ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 12:58:23

ความคิดเห็นที่ 19 ซั่ม  เสร็จแล้ว นั่งสมาธิ ต่อให้ลงลึกเลย ยากครับ จิตมันเพิ่ง สุขจากกาย และยินดีในกายว่าเป็นของเรา กายเราสุข จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 13:37:58

ความคิดเห็นที่ 20 นางวิสาขามหาอุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล ผู้ขอไห้พระพุทธเจ้าบัญญัติให้ภิกษุมีผ้าอาบน้ำฝนเพิ่มจากเดิมไม่มี และเป็นคนแรกที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุในพระพุทธศาสนา นางวิสาขาบรรลุโสดาบันเมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เมื่อมีอายุเพียง ๗ ปี ต่อมานางได้ครองเรือน (แต่งงาน) และมีอายุยืน ถึง ๑๒๐ ปี  นางวิสาขาให้กำเนิดบุตร ๒๐ คน บุตรแต่ละคนก็มีบุตร ๒๐ คนเช่นเดียวกัน นางจึงมีหลาน ๔๐๐ คน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการทำหน้าที่ของผู้ให้กำเนิด การสมสู่ระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ทำได้ หรือเป็นเรื่องปกติ แม้ผู้เป็นโสดาบันแล้ว อ่านต่อได้ที่นี่ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=faraday&date=27-07-2012&group=4&gblog=20 จากคุณ : แสงเทียน (Faraday) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 13:42:34

ความคิดเห็นที่ 21 จขกท.เอามาจากไหนว่าเค้าห้ามครับ ขอหลักฐานหน่อยเถอะผมปวดหัวตั้บ เอ่อ แต่ถ้าบวชเป็นพระสงฆ์ อันนี้เหตุผลมีเยอะเต็มไปหมดครับ ว่าทำไมถึงต้องถือพรหมจรรย์ตอนบวชเป็นพระ เอาเป็นว่า จขกท.อยากจะซั่มเวลาไหนก็ตามแต่ใจเถอะครับ Yes or Yes อยากซั่มก็ซั่มเลย จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 13:51:14

ความคิดเห็นที่ 22 ดังนั้นจึงตอบว่าได้ครับ แต่มีผู้เข้าใจผิด หวังจะทำ นิพพาน ให้ได้ในชาตินี้ จึงพยายาม ตั้งข้อรังเกียจ การสมสู่ตามธรรมดามนุษย์ ทั้งที่ตนเองยังไม่ หมดซึ่งกิเลส จึงเป็นการสร้างปัญหาให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น เรื่องอย่างนี้  เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมันเลิกไปเองไม่ต้องฝืน ต้องถามผู้ปฏิเสธกามทั้งหลายในนี้ว่าท่านใกล้บรรลุอรหันต์แล้วหรือ หรือว่าโสดาบันยังไม่ทันได้เป็น แต่จะก้าวข้ามไปพระอรหันต์กันเลย ระวังจะหลงทางหาทางกลับไม่เจอนะครับ จากคุณ : แสงเทียน (Faraday) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 13:53:06

ความคิดเห็นที่ 23 หมอเขมร ไสยศาสตร์ นักพรตจีนบางพวก พุทธนิกายนึง ซั่มเพื่อฝึกสมาธิครับ ก็เหมือนอภิญญา5 ในระดับสมถกรรมฐานแบบปุถุชน(แบบมิจฉาโลกีย์) เหตุผลเริ่มๆ เขาคงคิดว่าเอาชนะธรรมชาติได้ทั้งนั้นละครับ แต่ธรรมชาติที่เขาสู้ ไม่ใช่ ธรรมชาติจักรวาลอย่างที่ศาสนาอื่นมอง เขาสู้กับจิตตัวเองที่เก่งขึ้น ร่างกาย(บ่าว)ที่เปลี่ยนตามจิต(นาย) แกร่งขึ้น เขาถึงเปรียบสมถะ(ภาวนา)อย่างเดียว(ของมิจฉาโลกีย์) เหมือนหินทับหญ้าเพียงชั่วคราว พุทธขององค์สมณโคดม ท่านวางรากฐาน ทางสายกลางโดยจะเริ่มจาก สมถะก็ได้ วิปัสนาเลยก็ได้ เพียงตั้งทิฐฐิให้ตรงทางก่อน เมื่อ(ระบบคิด)ตรงทางแล้ว ซั่มก็ซั่มอย่างไม่สุดโต่ง เวลาไม่ได้ซั่มก็ไม่หน้ามืดฉุดคร่า(ใช้อวิชชา)หลอกลวงใคร เวลาได้ซั่มก็ไม่เล่นเสียฟ้าเหลืองเท่าไรก็ไม่พอ การซั่มเป็นระบบที่กระบวนจิตของเราๆ ตามหลักปฏิจสมุปบาท ร่วมกันเสริมแต่งวิวัฒนาการจักรวาล(>หมื่นล้านปี) ให้เป็นการดำรงเผ่าเผ่าพันธุ์ ถึงจุดที่เรา"วิปัสสนา"เท่าทันธรรมชาติ ละเอียดเพียงพอจะชะลอ หรือเลิกมันได้ การซั่มก็หยุดในกระบวนการโลกุตระแบบในตำราว่าเอง กระมังครับ พุทธไม่ได้ห้ามซั่มครับ อยู่ที่ว่าคุณซั่มด้วยกระบวนคิดแบบไหนมากกว่า จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 14:24:36

ความคิดเห็นที่ 24 ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 14:29:05

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วซั่มกันมันจะมีสมาธิยังไงอะครับ? มันก็เต็มไปด้วยอารมณ์ทางเพศเท่านั้น จะไปดำเนินสมาธิยังไงอะ? งง จากคุณ : tothza_one เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 15:37:57

ความคิดเห็นที่ 26 พระพุทธองค์ท่าน ทรงสอนไว้หมดแล้วนะครับ ใครไม่เชื่อท่าน ก็ เท่ากับว่า ยังไม่กลัว วัฏฏะสังสารวัตร ยังต้องเกิดอยู่ ต่อไป เรื่องแบบนี้ ตัวใคร ตัวมัน เพราะ ไปบังคับให้เชื่อ ก็ไม่ได้ บุญ บารมี ถึง ก็จะ ตัดได้ ถือศีลได้ ละกามได้ บวชได้ ไปนิพพานได้ เพราะ บารมี  ไม่ใช่ ทำบุญ ให้ทาน ลูกเดียว ไปนิพพานได้ ต้องตัด อวิชชา กิเลส ตัณหา ราคะ  ง่ายๆ ก็ ละสังโยชน์ 3 ข้อ แรก ให้ได้ เรื่องมี เพศสัมพันธ์ กับ การฝึกกรรมฐาน พระพุทธองค์ ทรงตอบไว้แล้วว่า มันเป็น ศัตรู ของ สมาธิ  มีใครบ้างที่ มีเพศสัมพันธ์ แล้วได้ อภิญญา ปุถุชน ที่มี ครอบครัว คือมี สามี ภรรยา หรือ ยังช่วยตัวเองอยู่ สมาธิ จะไประดับ ฌาน ลึกๆ อาทิ ฌาน4 นี่ ยาก เพราะ ภาพกิเลส ร่วมประเวณี จะคอยมา ขัด ยิ่งคนชอบดูหนัง เรท ด้วย ภาพจะขึ้น มา เหมือนกสิณ ถ้าเกิดว่า ฝึกกรรมฐานอยู่ ปรกติ แล้วไปผิดศีล ข้อ3 ง่ายๆว่า ไปมีอะไร กับ ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน แต่ไม่ได้ ซื้อ ขาย บริการ คือ ไปตกลง กัน ได้กัน ผู้หญิง ก็ ยังไม่มีแฟน โสด สมาธิ ยังเสื่อมเลย พุทธพจน์ เป็น เรื่องจริง ไม่มี ข้อโต้แย้ง ครับ จากคุณ : phutakun เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 16:03:02

ความคิดเห็นที่ 27 แบบนี้ไงเขาถึงว่า ความดีคนดีทำได้ง่าย คนชั่วทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย คนดีทำได้ยาก ธรรมชาติย่อมมีมืดและสว่าง ขาวและดำ สกปรกและสะอาด อยู่เสมอ ต่างแต่ว่าคนแต่ละคนนั้น คุ้นเคยหรือเคยชินอยู่กับสิ่งไหน เหมือนคนที่นั่งอยู่ในที่มืดนาน ๆ พอออกมาเจอแสงแดดจ้าก็แสบตา หรือเหมือนคนที่อยู่ในที่สว่างจ้า พอเดินไปในที่ร่ม หน้ามืดแทบจะเป็นลม เพราะว่าเคยชินกับธรรมชาติที่ต่างกันมาก่อน ที่ว่าฝืนธรรมชาติ เพราะว่าฝืนธรรมชาติฝ่ายต่ำ ไม่ใช่ธรรมชาติของผู้เจริญ กามนั้นมีความสุข แต่ในมุมมองของผู้ที่พ้นจากกามแล้ว เห็นว่าเป็นสุขที่หยาบ ไม่ประณีต มีทุกข์เจือปน มีความติดใจสูง มีการไขว่คว้าแสวงหา บางทีถึงขั้นแย่งชิงฆ่ากันตายก็มี อย่างที่เขาลงข่าวกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่จำเป็นต้องฝืนมาก แต่ควรจะฝืนบ้าง เหมือนคนอยู่ที่มืดพยายามออกไปหาแสงสว่าง ก็ยังต้องพยายามก้มหน้าก้มตาหลบแสง หรือหาที่สลัว ๆ ให้สายตาได้ปรับก่อน มิฉะนั้นแล้วก็เป็นอันตรายและจะกลายเป็นเกลียดกลัวแสงไปได้ในที่สุด ทั้ง ๆ ที่แสงสว่างนั้นไม่ได้น่ากลัว แต่ย่อมเป็นโทษอยู่บ้างสำหรับผู้ที่เคยชินอยู่ในความมืดมานาน เหมือนคนตาบอดที่เพิ่งรักษาตาหาย ย่อมไม่สามารถสู้แสงได้ จึงคิดไปว่านี่คงเป็นการฝืนนั่นเอง จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 16:04:37

ความคิดเห็นที่ 28 อันตรายนะครับ แนวคิดแบบนี้ จะเป็น มิจฉาทิฐิ หลุ่มหลงในกาม เพราะคิดว่าเป็นเรื่อง ธรรมดา พระพุทธศาสนา สอนให้ หลุดพ้น ไปนิพพาน   เราหลงว่า กายเป็นของเรา เมียเป็นของเรา ลูกเป็นของเรา บ้านเป็นของเรา รถเป็นของเรา นี่ หละ ทำให้ ต้องมาเกิด อีก เพราะยึดติด   การคิดว่า เสพกาม เป็นธรรมชาติ นี่ เป็น อวิชชา คือ ความไม่รู้ว่า ทุกสิ่ง ไม่มีตัวตน เป็นแค่สภาพชั่วคราว ถึงเวลาก็แตกสลาย เมื่อ ชายไปหลงหญิง หญิงไปหลงชาย ก็ ต่อยอด สร้างมนุษย์ ลูก สืบสกุล ทางโลกว่า เป็นการเพิ่ม ทรัพยากรมนุษย์ แต่ ทางธรรม เป็นการยึดติด ทางโลก และ ทางธรรม ย่อม ไป คนละทางกัน การหลุดพ้นทุกข์ คือ เข้าใจความจริง โดยใช้กำลัง วิปัสนา ตัดกิเลส ไม่ใช่ นั่งกรรมฐานกดกิเลส แบบสมถะ คือ เมื่อ ฝึกสมถะได้ ดีแล้ว ก็เริ่ม ใช้ วิปัสนาฌาน เป็นตัวตัดกิเลส คือ ให้ คิด มอง เห็น ตามความเป็นจริง สอนจิต เรา คือ มองดูว่า เกิด มาก็ต้องตาย เกิดมา ทุกข์ กำลัง บุญ บารมี ถึงขั้นที่สุด อวิชชา ในจิต เราก็จะตัดขาดได้  จิต หลุดพ้น จาก กิเลส ตัณหา ราคะ ก็ ไม่ต้อง สร้างภพ สร้างชาติ การเกิด ก็ไม่ต้องมี อีกต่อไป อยากให้ จขกท ทำความเข้าใจ ดู จะได้ หลุดพ้นทุกข์ ได้ จากคุณ : phutakun เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 16:18:07

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านไปก็ขำไป กำหนัดเป็นบ่อเกิดชาติภพ  สั้นๆ จบ จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 16:29:30

ความคิดเห็นที่ 30 พระอริยะขั้นต่ำคือโสดาบัน มีกามฉันทะ แต่มีน้อย จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกเพียงเจ็ด 7 ชาติ ซึ่งต่างจากพระอริยะที่สูงขึ้น ลดชาติภพเหลือน้อยลงเรื่อยไป จนสุดท้ายระดับอนาคามี ที่เกิดอีกเพียงแค่ชาติเดียวบรรลุอรหันต์ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 16:44:59 จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 16:43:39

ความคิดเห็นที่ 31 คนสูบบุหรี่มันไม่เหม็นบุหรี่หรอกครับ จากคุณ : กระท่อมผักหวาน เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 18:19:27

ความคิดเห็นที่ 32 มนุษย์เราปกติ ทำตัวตามธรรมชาติ และจมอยู่กับกองทุกข์ครับ จากคุณ : โอ่อี๊โอ (oiooo) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 19:02:03

ความคิดเห็นที่ 33 เอาใหม่นะคะ จขกท  ลองสลับตรรกะใหม่ คนที่นั่งสมาธิิ ปฏิบัติธรรมแบบถึงแก่นจริงๆ ไอ้ความอยาก ซั่ม กัน  มันจะค่อยๆ หายไปนะคะ แก้คำผิดคะ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 20:04:30 จากคุณ : anindita เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 20:03:29

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องอย่างว่า มันไม่เคยทำให้เกิดเรื่องปวดหัวบ้างเลยหรือ มัน Happy อย่างเดียวเลยหรือ นี่แสดงว่าผ่านโลกมาน้อยมาก อย่าไปห่วงใยคนที่เขาออกจากกามได้เลย คนที่เขาพ้นไปได้แล้ว เขาไม่รู้สึกเหมือนฝืนธรรมชาติหรอก แต่เขารู้สึกเหมือนเพิ่งหนีออกจากบ่อขี้ได้ต่างหาก เหลือแต่พวกเราๆนี่แล่ะ ที่หนีออกมาไม่ได้ แถมยังรู้สึกชอบอกชอบใจมันเสียอีก There is no spoon. จากคุณ : เป็ดจิ๋ว เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 23:46:19

ความคิดเห็นที่ 35 ซั่มติ้ง  เป็นสิ่งธรรมชาติจริง คนทุกคน ก็เกิดมาจากการทำซั่มติ้ง ทั้งนั้นแหละ  มีคำกล่าวของผู้ครองเรือนว่า สุขใด ๆ สุขไหนจะเท่า สุขแห่งเนื้อจิ้มเนื้อ เป็นไม่มี  ในสมัยโบราณ ของศาสนาพราหมณ์ การทำซั่มติ้ง เป็นศิลปสุข เป็นศาสตร์ เป็นสูตร ที่สำคัญ ของการครอเรือน เป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะทำธรรมชาตินี้ให้มีสุข แต่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ  เพราะถ้าตีความหมายไม่ดี  หรือหมดฮอร์โมนแล้ว ก็จะตีค่าว่าสกปรก ลามกอย่างเดียว การทำซั่มติ้ง นี้มันเป็นยาเสพติด ติดใจ ผูกพันใจไว้เป็นพันธะ มีภาระ มีห่วง มีหวง มีห้วง  มีทุกข์ มีโทษอย่างใหญ่หลวงตามมา  สำหรับผู้ครองเรือน ถ้าไม่ทำซั่มติ้งที่ ผิดศีลผิดธรรม  ผิดจารีตประเพณี ผิดครรลองตามทำนองคลองธรรม ก็ไม่เห็นมีข้อห้ามอะไร  แต่สำหรับนักบวช ทั้งของศาสนาพุทธและของศาสนาอื่น  ที่มุ่งหวังพรหมจรรย์ ความบริสุทธิ์  การทำซั่มติ้ง  ก็เป็นสิ่งที่ต้องหยุด ต้องห้ามไว้ให้ได้ก่อน  เพราะมันเป็นสิ่งปลุก คลุกด้วยกิเลสอย่างหยาม เห็นได้ชัด เห็นได้ง่าย เป็นข้าศึกตัวร้าย เป็นอันตรายต่อการประพฤติธรรม ชื่อพรหมจรรย์ ..  การไม่ทำซั่มติ้งของพระภิกษุ ไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ  แต่เป็นการถอย ปล่อย เลิก ละ วาง ธรรมชาตินี้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับธรรชาตินี้ เพราะรู้ทัน แล้วเอาธรรมชื่อ พรหมจรรย์ หรือเนกขัมมะ มาถือ และรักษาไว้แทน ครับ   โครงสร้างทางร่างกาย จะเป็นอย่างไร ก็ช่างปะไร  แต่โครงสร้างทางจิตใจ ก็มีศีล สมาธิ ปัญญา รักษาพรรมจรรย์ มั่นคงไว้  เป็นอันว่าใช้ได้แล้วครับ   แต่ถ้าผู้ประฏิบัติธรรม  ไม่ยอมปล่อยวาง ยังมีใจอาลัยอยู่กับการทำซั่มติ้ง แต่ฝืนใจอดกลั้นไว้ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการฝืนธรรมชาติอยู่ครับ.. แต่การจะทำอะไรให้ได้ดี ก็ต้องมีการฝึก  ถ้าจะฝึก ก็ต้องฝืน เมื่อทุกอย่างเข้าทีดีแล้ว การฝืนก็ไม่มีเองครับ... จากคุณ : นิ่งหนอ (นิ่งหนอ) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 23:56:10

ความคิดเห็นที่ 36 ของง่ายๆน่ะ..........     ยังทำโน่นทำนี่ จิตมันฟุ้งไง ต้องหยุดทำทุกสิ่ง แล้วจึงนั่งสมาธิ มันจึงจะได้ผลสูงสุด มิฉนั้น เขาจะออกบวชเพื่ออะไรล่ะ   แต่ถ้าต้องการทำแบบนั้นด้วยอีกกี่ล้านชาติ จะสำเร็จ ทำไปเสียเวลาเปล่า     มิฉนั้นเจ้าชายสิทธัตถะ คงไม่ต้องออกบวช ทิ้งลูกเมีย สู้อยู่ในวัง นั่งสมาธิไปด้วย เป็นพระพุทธเจ้าด้วย พระมหาจักรพรรค์ด้วยมิดีกว่าหรือ     กิเลสมันไม่เข้าใครออกใคร ถ้ายังเอาตัวไม่รอด อย่าคิดเอื้อมมือไปขยำฟ้า จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 00:18:23

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าแค่ซั่มกันเพื่อมีผู้สืบทอดเชื้อสายก็ดีสิครับ แต่นี่ซํ่มกันไม่บันยะบันยัง ซั่มไม่เลือกคน ไม่เลือกที่ ซั่มจนเป็นฮิสทีเรียก็มี คนจึงฆ่ากันตายเพราะซั่มผิิดที่ผิดคนนี่แหละครับ พระพุทธเจ้านั้นมีปัญญาเลิศล้ำ ท่านเห็นแล้วว่ากามโลกีย์มันไม่ดี มันเป็นกิเลสขวางทางนิพพาน อย่างไรก็ดีในศีล 5 ข้อ (ข้อ 3) นั้น ท่านก็ไม่ได้ห้ามคนซั่มกันสักหน่อย ท่านแค่บอกว่าซั่มกับผัวเมียตัวเอง อย่าไปซั่มผัวเมียคนอื่น จขกท.แกล้งโง่ หรืออ่านไม่เข้าใจครับ? จากคุณ : มิ้มเฒ่า (ภะวันตุเม) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 12:34:02

ความคิดเห็นที่ 38 ตอบจากประสบการณ์ของตัวเองนะครับ ผมเองก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยะระดับใดเลย เป็นปุถุชนคนเดินดินไม่ได้บวชพระด้วย แต่เรื่องซั่มนี้มันฝึกได้ครับ  หกเดือนเต็มที่ผมไม่ซั่มเลยและไม่แม้แต่ฝันเปียก มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคลุ้มคลั่งสักนิด และพบว่าไอ้เรื่องซั่มนี้มันเริ่มจากการคิดก่อน ถ้าเรารู้ทันว่าเราคิดและไม่ไปต่อยอดจินตนาการต่อ ก็จะไม่เกิดความอยากความกระสันที่จะไปซั่ม และจากที่เคยฝึกสมาธิมาบ้างจนเคยได้สุขในสมาธิระดับต้นๆ ผมจะบอกให้ว่าไอ้การซั่มนี้เทียบไม่ติดฝุ่นของสุขในสมาธิแม้ระดับต้นๆเลย แบบว่านั่งแบบนั้นทั้งวันไม่ต้องกินข้าวกินปลาก็ยังได้  มันอธิบายไม่ได้ต้องปฏิบัติเอง แต่แม้สุขในสมาธินี้พระพุทธองค์ท่านก็สอนไม่ให้ไปยึดติดเพราะยังมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่ารออยู่ คุณก็ลองคิดดูเอาว่าความสุขในการซั่มมันเทียบไม่ติดกับความสุขในสมาธิระดับต้นเลย แล้วถ้าในระดับพระอริยะทั้งหลายนั้นจะขนาดใหน ผู้ที่ตั้งใจบวชเป็นพระนั้นจะต้องมีสติ สัมปชัญญะ ควบคุมตนเองให้ได้ ก็จะไม่ผิดวินัยสงฆ์ครับ  การเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่นั้นเป็นเรื่องไม่สมควร จากคุณ : sehen เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 19:15:13

ความคิดเห็นที่ 39 โลกเวลานี้กำลังวุ่นวาย หรือ กำลังมีความสุข ความวุ่นวายความแก่งแย่ง หรือ ความสุข ความพอเพียง ความทุกข์ ความสุขเหล่านี้ มันมาจากการฝืนหรือตามใจ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้ฝืนธรรมชาติ เพียงแต่ต้องเข้่าใจ เบื้องต้นก่อนว่า "ธรรมชาติของจิตนี้ผ่องใส" แต่เศร้าหมองเพราะกิเลส คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ แท้จริงทรงแสดงทางดำเนินกลับคืนสู่สภาวะเดิมของจิตเท่านี้เอง กลับคืนความเป็นธรรมชาติของจิต และต่อยอดไปสู่แห่งการกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยสมบูรณ์ จากคุณ : ใจพรานธรรม เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 23:31:58

ความคิดเห็นที่ 40 เบื่อพวกที่ชอบบอกว่าเป็นมนุษย์นั้นดีกว่าสัตว์มากเลย แบบนี้เข้าข่าย speciesism ชัดๆเลยนะ จากคุณ : เทเลทับขี้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 17:16:08