|
คุณหลังไมค์ "อธิบาย เพิ่มเติม" --เพื่อที่จะทำให้ ผู้อ่าน เห็นว่า "เห็นสักว่าเห็นนั้น" คือ -- ดวงตาเห็นธรรม ของ -- พาหิยะ -- ตรงตาม "พระพุทธวจนะ" "ใด" **********************************************************
>> อธิบายตามปัญญาเท่าที่สามารถ ตามภูมิปุถุชนผู้ที่ยังไม่ได้สดับด้วยดี ยังมิได้รู้โดยรอบ...
ท่านพาหิยะ ฟังธรรมที่กำลังตรัสอยู่นั้น ด้วยจิตประภัสสร ที่พ้นวิเศษจากนิวรณ์ทั้ง ๕ และตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมรู้ชัดตามที่ตรัสนั้น ตรงตามที่เป็นจริงว่า .. "... เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้อารมณ์ที่ได้รับรู้ก็สักแต่ว่ารับรู้ เมื่อรู้แจ้งธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง ... " นั้น ...
ก็คือ เมื่อผัสสะแล้ว ท่านย่อมไม่มีนันทิ ราคะ ตัณหา หรือ ไม่ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอายตนะนอกทั้ง ๖ (ไม่มีอุปาทานใน วิญญาณทั้ง ๖) ..
เมื่อท่านพาหิยะ ไม่ปรุงแต่งไปตามอำนาจความเคยชินเมื่อผัสสะ จิตของท่านไม่มีนันทิ ไม่อนุเสติในสิ่งใด ก็ไม่เกิดปฏิจจสมุปบาท สายสมุทโย ทางมโนทวารของท่าน = ไม่มีวิญญูปาทานักขันธ์ ในขันธ์ทั้ง ๕ ซึ่งเป็นตัวทุกข์อริยสัจ ...
เพราะความดับแห่งนันทิ (ไม่มีสมันนาหารจิต ก็ไม่มีการปรากฏแห่งวิญญาณอันเกิดจากอายตนะ ๒ อย่างนั้น) ... วิญญาณ ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในขันธ์นั้นๆ ... วิญญาณ ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด ... การก้าวลงแห่งนามรูป ความเจริญแห่งสังขาร การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นในมโนทวารของท่าน ...
เมื่อไม่มี การเคลื่อนและการเกิดขึ้น (จตูปปาตะ) อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั้นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ ที่คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ อย่างไม่กลับกำเริบ ...
เมื่อท่านดำรงอยู่ซึ่ง เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต สิ้นอาสวะ ๓ แล้ว ... เมื่อประสบกับเหตุการณ์ขณะแม่โคกำลังขวิดท่านอยู่ ... มนายตนะของท่าน ก็เห็นว่ามีเพียงแค่การเกิดแห่งอายตนะ ที่กาย + เวทนา ของท่าน ท่านมีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แลอยู่ว่า .... นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่น ไม่เป็นเรา (เนโสหมสฺมิ), นั่น ไม่ใช่อัตตาของเรา (น เมโส อตฺตา) .... ไม่มีอุปาทานใดๆ ในขันธ์ทั้ง ๕ หลงเหลืออยู่เลย ...
มีความเห็นว่า น่าจะเนื่องกับ ๒ พระสูตรนี้ .....
ภิกษุ ท. ! ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าว ก็ดี ในอาหารคือผัสสะ ก็ดี ในอาหารคือมโนสัญเจตนา ก็ดี ในอาหารคือวิญญาณ ก็ดี แล้วไซร้, วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในสิ่งนั้นๆ.
วิญญาณ ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด. การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มี ในที่นั้น ; การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มีในที่นั้น ; ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น ; การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น ; ชาติชราและมรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด,
ภิกษุ ท .! เราเรียก "ที่" นั้นว่าเป็น "ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น" ดังนี้.
- นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๔-๑๒๕/๒๔๘-๒๔๙.
เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่ง .... รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
นันทิ (ความเพลิน) ใดใน .... รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นันทินั้น ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
สูตรที่ ๖ นกุลปิตวรรค ขันธสังยุตต์ ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐/๓๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
*********************************************************
อธิบาย ข้างบน เข้าข่าย ---เคี้ยวแล้วคาย หรือ อมแล้วบ้วน ---- หรือไม่ ----"ก็ตาม"
หรือจะเนื่องกับ นิยามคำว่า with or without empirical knowledge หรือไม่ก็ตาม
เมื่อ "มั่นใจด้วย?" ว่า ---- แต่ก็รู้ว่ายังไงๆ ซะ ครูก็ต้องเมตตาอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้ได้ทราบอยู่แล้ว ... จะรออ่านสิ่งที่ครูแก้ไขให้ ..
ขอให้ กำหนดหมายอยู่เสมอ (ถ้า พอใจที่จะใช้คำว่าครูกับ บุคคลใดนั้น โดยตนเอง ต้องมีสติในสมาธิแล้วแลอยู่) ว่า
"ครูเซนเถรวาทฯ" ---- แตกต่างไปจาก -- ครูแบบอื่นๆ ไม่ว่าแบบสำนักใดๆ ใน สมัยนี้"
แตกต่างอย่างไร ยกไว้ ***********************************
ถ้าศึกษา เพียงพอ มี พระบาลีสูตรหนึ่ง จาก ความจำ ******************************************* มีใจความว่า ----ภิกษุสาวกท่านหนึ่ง "สมัยพุทธกาล) กล่าวว่า --- น้ำ (เย็น คือ นิพพานธาตุ ๒ มั๊ง) เป็นสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว (ด้วย? ในฐานะอะไร เช่น ฐานะพระอนาคามี ฯ) --- แต่ ท่านยังไม่ได้ สัมผัส กับ น้ำ (ที่ก้นบ่อ) นั้น *******************************************
สรุปความว่า
เมื่อ ผู้ใด (ไม่เว้นเซนเถรวาทฯ) กระทำในใจซึ่ง "อาการ" (ด้วย ลิงค์ด้วย นิมิตด้วย อุเทสด้วย) ตาม ที่ "พาหิยะ" "เป็นไป" + อ้างอิง "พระพุทธภาษิต" นั้น
ไม่ว่าจะอ้าง กี่พระสูตร --- ซึ่งควรอ้างให้เท่้ากับที่ตรัสไว้ แล้ว โยนิโสมนสิการ หรือ analysis แบบ "จิตประภัสสร แบบ ไหนละ? แบบพ้นวิเศษ หรือแบบ ข่มไว้ได้ หรือ แบบ???" (ล้วน เนื่องกับคำว่า empirical knowledge ที่ เนื่องกับ ปัญญา ๓ ที่ เนื่องกับ ญาณ ๕ เนื่องกับ สติในสมาธิ ขั้นรูปฌานที่ ๔ ฯลฯ)
จากนั้น จึง "Antithesis" ตั้งต้นที่ กาลามสูตร แล้ว ตามด้วย ตความปลอดจาก อคติ ๔ (bias) ฯลฯ แล้ว ก็ synthesis แบบ เคี้ยวแล้วคาย
บวก
มีสติระลีก
----ภิกษุสาวกท่านหนึ่ง "สมัยพุทธกาล) กล่าวว่า --- น้ำ (เย็น คือ นิพพานธาตุ ๒ มั๊ง) เป็นสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว (ด้วย? ในฐานะอะไร เช่น ฐานะพระอนาคามี ฯ) --- แต่ ท่านยังไม่ได้ สัมผัส กับ น้ำ (ที่ก้นบ่อ) นั้น
และ ต้อง เนื่องกับ "สุญญตา วิหาร ที่ มี บริวาร คือ ทิพย์วิหาร พรหมวิหาร อริยวิหาร" ตาม จูฬสุญญตสูตร คือ ไม้เนื้อเก่า ชั้น อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
2 บรรทัดบน คือ มุมมอง ของ เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม
^^^^ คงไม่มี มุมมอง แบบนี้ ที่ สำนักใดๆ ในสมัยนี้
******************************************************************************************************************** สรุป คุณหลังไมค์ เสนอ แบบ "ก็อปปี้ พระสูตร นานา เหล่านั้น" ที่ เห็นด้วยอะไรก็ตามว่า (น่าจะเข้าข่าย เคี้ยวแล้วคาย มากกว่า อมแล้วบ้วน กระมัง) -- ว่า --- นั่น คือ อาการแห่ง มนายตนะ ของพาหิยะ
--- ขณะ ก่อน แม่โคลูกอ่อนขวิด + ขณะจะ ดับไปแห่งนั้น ---- "ไม่ว่างอยู่อย่างเดียว คือ ความเกิดแห่งอายตนะหก ที่อาสัยกายนี้เท่านั้น (จูฬสุญญตสูตร) = เห็น สักว่าเห็น (พุทธศาสนา เป็น ขณิกวาทะ)
ส่วนจะสอดคล้องกับ ที่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
หรือไม่ ท่าน ต้อง มีสัญญาเอง (สัญญาเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง)
อย่างไรก็ตาม พาหิยะ จะ "เป็นพระอรหันต์ นิพพานธาตุ ๒ คือ ปรมานุตตรสุญญตา คือ สุญญตาวิหาร ที่ เนื่องด้วยทิพย์วิหาร พรหมวิหาร อริยวิหาร -- อย่าง บูรณาการ หรือไม่
พาหิยะ ท่านจะ เห็นน้ำ และ ดื่มน้ำนั้นแล้ว หรือไม่ (ภาษาคน ภาษาธรรม)
ล้วน --- "สักว่า พาหิยะ" ---- (ใช่หรือไม่)
การอ้างอิง กรณี "สักว่า พาหิยะ" ไม่ว่าแบบไหน --- ผู้นั้น ต้อง มีสติในสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ อยู่ว่า " อัตตภาพนี้ เข้าถึง วิหารธรรม ๕ (วิหารธรรม ๔ + ๑ นอกพระบาลี เพราะไม่ตรัสวิหารธรรม ๕ ไว้) อยู่หรือไม่ อย่างไรท ณ ปัจจุบันขณะนั้นๆ
สรุปในสรุป สักว่า พาหิยะ VS สักว่า เซนเถรวาทฯ หรือ สักกว่า "ท่านใด"
อย่าลืม "สักว่า พระบรมศาสดา ยังทรงยังอยู่
จากคุณ |
:
เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ส.ค. 55 17:09:00
|
|
|
|
|