 |
นิทเทศแห่งมัคคอริยสัจ ___________
นิทเทศ ๒๐ ว่าด้วย สัมมาสติ (มี๔๑ เรื่อง) หมวด ง. ว่าด้วย หลักการปฏิบัติ ของสัมมาสติ ข้อควรระวัง ในการเจริญสติปัฏฐานสี่
อัคคิเวสนะ ! .....ครั้นภิกษุประกอบพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะแล้ว ตถาคต ย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า "มาเถิดภิกษุ ! เธอจง เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า ละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หรือลอมฟางเถิด" ดังนี้. ภิกษุนั้นย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด, ครั้นก้าวกลับจากบิณฑบาตในกาลเป็นปัจฉาภัต นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า, เธอย่อม ละอภิชฌา ในโลก มีจิต ปราศจากอภิชฌา คอยชำระจิตจากอภิชฌาอยู่, ละพยาบาท มีจิตปราศจากพยาบาท เป็นผู้กรุณามีจิตหวังความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย คอยชำระจิตจากพยาบาทอยู่, ละ ถีนมิทธะ มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีสติสัมปชัญญะ คอย ชำระจิตจากถีนมิทธะอยู่, ละอุทธัจจกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบอยู่ในภายใน คอย ชำระจิตจากอุทธัจจกุกกุจจะอยู่, ละวิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าว ถามว่า "นี่อะไร นี่อย่างไร" ในกุศลธรรมทั้งหลาย คอยชำระจิตจากวิจิกิจฉาอยู่.
ภิกษุนั้น ครั้งละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำ ปัญญาให้ ถอยกำลังเหล่านี้ได้แล้ว, เธอ เป็นผู้มีปรกติ ตามเห็นกาย ในกายอยู่...มีปกติ ตามเห็น เวทนาในเวทนา ท.อยู่ ....มีปกติ ตามเห็นจิตในจิตอยู่.....มีปรกติตามเห็นธรรมใน ธรรม ท.อยู่ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะมีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและ โทมนัสในโลก.
ตถาคต ย่อมแนะนำเธอนั้นให้ยิ่งขึ้นไปว่า : -
"มาเถิด ภิกษุ! เธอจงเป็นผู้มีปกติ ตามเห็นกายในกาย อยู่ แต่อย่าตรึกซึ่งวิตก อันเข้าไปประกอบอยู่กับกายเลย (มา จ กายูปสญหิตํ วิตกฺกํ วิตกฺเกสิ) ;
มาเถิด ภิกษุ ท ! เธอจงเป็นผู้มีปรกติ ตามเห็นเวทนาในเวทนา ท.อยู่แต่อย่า ตรึกซึ่งวิตกอันเข้าไปประกอบอยู่กับเวทนาเลย ;
มาเถิด ภิกษุ ท ! เธอจงเป็นผู้มีปรกติ ตามเห็นจิตในจิต ท.อยู่ แต่อย่าตรึกซึ่ง วิตกอันเข้าไปประกอบอยู่กับจิตเลย ;
มาเถิด ภิกษุ ท ! เธอจงเป็นผู้มีปรกติ ตามเห็นธรรมในธรรม ท.อยู่แต่อย่าตรึก ซึ่งวิตกอันเข้าไปประกอบอยู่กับธรรมเลย" ดังนี้.
ภิกษุนั้น เพราะเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึงเข้าถึง ทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.(.....แล้วได้ตรัสถึง ตติยฌาน.....จตุตถ ฌาน....ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ....จุตูปปาตญาณ...อาสวักขยญาณ จนกระทั่ง วิมุตติญาณ ตามหลักที่มี กล่าวอยู่ในบาลีทั่วๆไปที่กล่าวถึงเรื่องนี้).
-อุปริ.ม. ๑๔/๒๖๘-๒๗๐/๓๙๖ - ๔๐๑.
(ที่ว่า มีข้อที่ควรระวังในการเจริญสติปัฏฐานสี่ ก็คือ อย่าเอาอารมณ์ แห่งสติปัฏฐานสี่ เช่นกายเป็นต้น มาทำให้เป็นอารมณ์ของวิตกอันเป็นองค์ฌานที่หนึ่งแห่งองค์ฌานทั้งห้า เพราะว่าจะต้องละสิ่งที่เรียกว่าวิตก จึงจะเลื่อนจากปฐมฌานเป็นทุติยฌาน หรือฌานที่สูงขึ้นไป อันไม่มีวิตก ได้ ; ถ้าเอากายเป็นต้นมาเป็น อารมณ์แห่งวิตก มันก็จะเลื่อนลำดับแห่งฌานไม่ได้ ; เพราะกายเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอยู่ตลอดไป จึงควร พิจารณากายในฐานะเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาอย่าเอามาเป็นอารมณ์แห่งวิตก การเจิญภาวนาจึงจะเป็นไปได้ ตามที่ตรัสไว้ในพระบาลีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจริญสติปัฏฐานสี่โดยตรง).
**************************************************** กราบขอบพระคุณท่านเซนฯ ครับ_/\_ เข้าใจผิดมาเสียนานกับประเด็นที่เนื่องกันนี้ เข้าใจว่าต้องถอยกลับมาพิจารณา (เหมือนที่ตอบท่าน a235) ในกระทู้โน้น http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12560091/Y12560091.html#38 ประเด็นท่านเซนฯ ไตรสิกขา สมัยที่ตรัส เหมือน ต่างกับ สมัยนี้ หรือไม่ ? อย่างไร? -ไม่เหมือนครับ เช่น ในกรณีที่ผมเสนอท่าน a235 (มันผิด)
หมายเหตุ.ท่านเซนฯตั้งกระทู้นี้เหตุเพราะที่ผมเสนอท่าน a235 หรือเปล่าครับ ?
จากคุณ |
:
นายอิ่ม
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ส.ค. 55 11:58:38
|
|
|
|
 |