ความคิดเห็นที่ 1 ให้โอกาสคุณบรรยายรายละเอียดอีกครั้งนะครับ เนื่องจากกระทู้นี้ เพิ่งเห็นจริงๆนะครับ ส่วนคำดูหมิ่น หมิ่นประมาททั้งหลายเช่น เห็บศาสนา ฌานหรี่ตา ลูกกระหรี่ ความอัปยศ เราค่อยๆคุยกันไปทีละประเด็น อันไหนที่ละเมิดสิทธิ ผิดกฏหมาย ก็ว่ากันแบบตรงไปตรงมา แต่มีข้อแม้ว่าต้องอยู่ในกรอบของสัมมาวาจา และปราศจากความยั่วยุใดๆ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:29:11

ความคิดเห็นที่ 2 ตอบประเ็ด็นหลักเรื่อง คลั่งตำรา ให้เข้าใจตรงกันก่อนนะครับ 1) คนที่อ่านตำราแล้วน้อมนำมาปฏิบัติได้จริง แบบนี้เรียกว่า คลั่งไคล้ตำรา ประดุจหนอนหนังสือ ที่อ่านจนแตก และต่อยอดสู่การปฏิบัติได้ 2) คนที่อ่านตำราและท่องจนตำราได้ แต่เอามาปฏิบัติไม่ได้ เช่นเรื่อง สัมมาวาจา ก็มีตัวอย่างให้เห็นชัดเจนแล้ว มิใช่หรือ ว่า คนที่คลั่งตำราคนนั้นคือใคร แบบนี้เรียกว่า คลุ้มคลั่งตำรา คุณก็เลือกเอาแล้วกันว่า ระนาดเอกเป็นตัวอย่างชั้นดีของคนที่ คลั่งปริยัติ หมายความว่าอย่างไร และก็ไม่เคยตำหนิคนที่ปริยัติแล้วสามารถนำความรู้นั้นมาปฏิบัติได้จริง อย่าพยายามตั้งข้อหา ส่วนประเด็นเรื่องการปฏิบัติภาวนาที่ครูบาอาจารย์ทุกสายมักจะสอนตรงกัน ให้วางตำรานั้น เจตนาหลักก็คือ เมื่อใดที่ยอมกอดตำรา เมื่อนั้นมันก็ได้แต่ สัญญา และมัวแต่พะวง ลำดับคำศัพท์ และก็พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องคือ เมื่อจะปฏิบัติ ก็จงวางปริยัติ แต่เมื่อใดที่ได้ผลการปฏิบัติ จึงไปตรวจสอบ ไปปฏิเวธเก็บเกี่ยวผลการปฏิบัติธรรมนั้นๆ ส่วนเรื่องกายในกาย นั้นจริงๆแล้ว อุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต นั่นก็คืออุบายในการตะล่อมจิตให้สงบ จนเห็นกายในกาย และเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้เห็น ประโยค กายในกาย จากพระไตรปิฏกแล้ว กายในกายไม่ได้มีแค่ 18 กาย ตามที่เข้าใจกัน ในยุคแรกจะมีเพียงแค่ 5 กายเท่านั้น ถ้าคุณยังไร้ซึ่งความรู้เรื่อง  อุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต  ก็จงไปกราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ประยุตต์ว่า นิมิตในพระไตรปิฏกนั้น มีประโยชน์อย่างไรในเรื่องการภาวนา ไปถึง อุปจาระ และ อัปปนา สมาธิภาวนา ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยเรื่อง อรูปพรหม และ อรูปพรหม ละเอียด ในเว็บวัดหลวงพ่อสด ราชบุรี มีคำตอบเอาไว้ชัดเจนแล้ว ต้องทำความเข้าใจดีๆก่อนว่า ไปศึกษาการปฏิบัติภาวนาทุกสาย ล้วนไม่มีในพระไตรปิฏก ครูบาอาจารย์ล้วนสอนให้วางตำราทั้งสิ้น ในระหว่างปฏิบัติภาวนา ไม่ต้องไปสนใจสัญญาทั้งหลายที่ท่องจำมา ? เพราะอะไร ? เพราะ "ตำรา" ครูจารย์เหล่านี้ ลงกันไม่ได้กับพระไตรปิฎก ใช่ไหม!? ............. ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ ทุกสายตั้งแต่ พุทโธ ยุบพอง รูปนาม ดูจิต มโนมยิทธิ ธรรมกาย ล้วนแต่สอนให้วางตำรา ขณะวินาทีปฏิบัติภาวนาทั้งสิ้น การที่คุรโต้แย้งแบบนั้น แสดงว่า คุณแทบจะไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติภาวนานั่นเอง แต่ถ้าหมายถึงการอ่านเรื่อง อานาปานสติแล้วมานั่งนึกตามสิ่งที่อ่านมา แบบนั้นอย่าไปเรียกว่าปฏิบัติภาวนาเลยครับ มันต้องเรียกว่า จินตามยปัญญา มากกว่า ภาวนามยปัญญา จนในที่สุด ไปดูหมิ่นพระอานนท์ ว่ามัวแต่ใช้ ฟังท่องฟังจำ เลยไม่บรรลุธรรม อย่างนี้ ไม่เรียกพวกที่ดูหมิ่นพระอานนท์ว่าพวก "คลั่งตำรา" แล้วจะเรียกว่าอะไร? .........อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง ของคนเสียสติ ที่คิดเองเออเอง แล้วประติดปรต่อ เพื่อหลอกด่าคนอื่น สิ่งที่ผมพูดถึงพระอานนท์ก็คือ คำถามย้อนกลับเพื่อไปพิจารณาว่า เพราะเหตุใดพระอานนท์ผู้จดจำคำพุทธพจน์ได้แม่นยำ จึงบรรลุธรรมช้ากว่าท่านอื่น อย่าไปตีความว่า ใครดูหมิ่นคนคลั่งตำรา คนที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ล้วนตั้งคำถามทั้งสิ้น ว่าเหตุใด พระอานนท์จึงไม่ผ่านด่านสุดท้าย แต่เมื่อล้มตัวลงนอน ก่อนหัวถึงหมอน ก็บรรลุธรรมโดยง่าย ตรงนี้ สำหรับนักปฏิบัติที่เป็นปัญญาชนแล้ว ต้องตอบคำถามตรงนี้ได้ แค่ระนาดเอกกลับใส่ร้าย ยัดข้อหาให้แบบนั้น มันไม่ค่อยจะเป็นสุภาพบุรุษเลย ย้ำอีกทีว่า คนที่คลั่งปริยัติแบบ ระนาดเอก ช่างแตกต่างจากคนที่ คลั่งไคล้ปริยัติ และสามารถต่อยอดสู่การปฏิบัติได้ ขอย่ำอีกทีว่า ไม่เคยคิดว่าครูบาอาจารย์ท่านใดเป็นพระอรหันต์ครับ เพราะทุกท่านไม่เคยเอ่ยอ้างตัวแต่อย่างใด ก็มีแต่คุณนี่แหละกล้าหาญชาญชัย แขวะคำว่า พระอรหันต์ผู็้ยิ่งใหญ่ ทั้งๆที่ท่านก็สอนเตือนพระผู้น้อย ว่าอย่าทำตัวเป็นเพียง ตู้พระไตรปิฏกเคลื่อนที่ แต่ควรจะ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ (เคยยกมาให้ดูแล้วในกระทู้ก่อนๆ) ถ้าจะกลับมาเสวนาแบบปัญญาชนก็เชิญนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 23:52:26

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนเรื่องนิพพานเป็นอัตตา หรือ อนัตตา ก็กลับมาค้นหาคำว่า นิพพานเป็นอนัตตา ไม่เจอเลย ทั้งๆที่เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญสูงสุด ของพุทธศาสนา แต่หาไม่พบ แต่กลับพบว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะว่า นิพพานนั้น คือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม แล้วจะไปตีความว่านิิพพานนั้นเป็นอนัตตาได้อย่างไรครับ ต้องแยกออกเป็นสองส่วนนะครับ 1) ผู้ปฏิบัติมีความยึดมั่นถือมั่นในนิพพานนั้น แบบอัตตา หรืออนัตตา 2) คุณสมับติการมีอยู่ของนิพพานนั้น สูญ หรือไม่สูญ ส่วนเรื่องที่ ผู้ปฏิบัติหลายสาย พบพระพุทธเจ้า เช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาับัว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อสด คนที่ตอบคำถามนี้ ต้องตอบเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือหนึ่งเดียวกันให้ได้ก่อนครับ ตอบด้วยประสบการณ์จากการภาวนา  มิใช่เรื่องการอ่านตำราแล้วเอามาโต้ตอบกัน ส่วนเรื่องการเห็นกายละเอียด ในขนาดที่มีความแตกต่างกันนั้น ขอย้อนไปในสมัย 10 ขวบนะครับ ในสมัยเด็กๆมักจะนอนหลับฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆๆๆ และต้องสะดุ้งตื่นเสมอๆ ตามด้วยอาการร้องไห้ทุกครั้ง จนผู้ใหญ่ต้องพาเข้าวัดไปขอคำปรึกษาจากพระหลายๆท่านที่รู้จักกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีโอกาสเข้าวัดตามต่างจังหวัด ท้งสายสิญจน์ น้ำมนต์ เคาะกระโหลก เป่ากระหม่อม พระเครื่อง เครื่องรางของขลังมากมาย  นับได้ สิบถึงร้อยวัด เพราะปัญหาที่เด็กคนหนึ่งสะดุ้งตื่นแล้วร้องไห้จ้า โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เล่าบอกผู้ใหญ่ไม่เป็น หมอแผนปัจจุบันก็ให้คำตอบไม่ได้ จนกระทั่งมีโอกาสได้ไปรู้จักกับพระอาจารย์ ท่านก็สอนให้ถือศีล 5 และหัดภาวนาที่โบสถ์ของ วัดหนัง และ วัดราชโอรส นี่คือจุดเริ่มต้นการปฏิบัติภาวนาจากสายพุทโธ ตามลมหายใจ สมัยเด็กๆสามารถนั่งขัดสมาธิได้ และนั่งได้นานมาก มีประสบการณ์จากการภาวนามากจริงๆ แต่เล่าให้รู้ไม่เป็น จำได้ว่าวันนั้นนั่งสมาธิไปแล้วก็รู้สึกว่าน้ำตามันไหลออกมาเอง จนขนลุกและสงบแบบลุ่มลึก อยากนั่งได้นานจนลืมเวลา แล้วเผลอแผล็บเดียว คำภาวนาก็หายไป แต่ไปสนใจเรื่องของอารมณ์แทน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวมันใหญ่ๆมากๆ ใหญ่เหมือนเราขยายคับโบสถ์จริงๆ มองเห็นร่างกายตนเองมันสว่างๆ ไม่ได้ยินภายนอกใดๆ จากนั้นเป็นต้นมา อาการนอนกลางวันแล้วสะดุ้งตื่น ด้วยฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆก็หายไปเอง และมาปี คศ 2000 ก็มีโอกาสเริ่มฝึกภาวนาที่วัดปากน้ำ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติ ถ้าคุณจะพิสูจน์เรื่องภาวนาวิชชาธรรมกาย ก็ตั้งคำถามมาได้ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:10:39

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนเรื่องปัจจัตตัง ประสบการณ์ภาวนาในปีก่อน เช่นเรื่องการมองเห็นเทวดา 4 ท่านมาปรากฏมาร่วมอนุโมทนาบุญก่อนไปถือศีลที่วัด อันนนี้เป็นเรื่องที่เอามาแบ่งปันกัน วินาทีแรกที่เห็น ก็เข้าใจไปว่าเป็นผีสางหรือวิญญาณที่ไหน แต่พอตั้งสติได้ก็มองแบบด้วยความตั้งใจ ว่ากายละเอียดทั้งสี่นี้ ชายสองหญิงสอง มาปรากฏตัวเพื่ออะไรกันแน่ ทั้งๆที่เพิ่งสวดมนต์กราบหมอนไปเสร็จ ชีวิตนี้ก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ก็อึ้งเล็กน้อย แต่ตั้งสติๆดี เขาก็ไม่ได้มาแบบน่ากลัว แต่มานั่งคุกเข่าด้วยความสุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน เพียงแค่นึกว่าพรุ่งนี้ต้องไปถือศีลที่วัดเท่านั้นแหละ กายทั้งสี่ก้หายไปทันที ยังมีเรื่องราวแปลกอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้เห็นด้วยการหลับตา อีกเยอะ ถ้าเล่าไปแล้ว จะกลายเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับคนไม่ภาวนา แต่ครูอาจารย์มักจะสอนเสมอว่า ระหว่างภาวนาไปรู้ไปเห็นอะไร ก็ให้สักแต่รู้แล้วก็ละ บางท่านก็สอนง่ายๆว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ต้องการเปิดเผยนะครับ ถ้าสนใจก็มาหัดภาวนานะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:20:15

ความคิดเห็นที่ 5 แกจะมีคิวให้ป่าวเหอะคุณ venture เห็นว่าช่วงนี้งานยุ่งมาก แกจัดไพรออริตี้พอสมควรนา  ต้องทำใจ... จากคุณ : Bg-view เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:23:07

ความคิดเห็นที่ 6 ส่วนเรื่องช่างฟิต กับ วิศวกร อันนี้ถ้าเป็นเรื่องทางโลกแล้ว คงต้องให้เครดิตวิศวกร เหนือกว่าช่างฟิตแน่นอนนะครับ แต่ในเรื่องทางธรรมแล้ว พวกคลั่งปริยัติ มันจะได้แค่ สัญญา แต่คนที่ลงมือปฏิบัติภาวนา แล้วได้ผลการปฏิบัติ จึงจะเรียกว่า ได้ปัญญาจากการภาวนา ในเบื้องต้น ทุกคนจะให้น้ำหนักผู้ปฏิบัติภาวนาจนถอนกิเลสได้จริงๆ ราคะ โทสะ โมหะ ลดลงได้จริงนั้น มีค่า มากกว่าการนั่งท่องตำรา จดจำได้และพร้อมจะฟาดฟันทำลายล้างผู้อื่นได้เสมอ คนที่ทำแบบนั้นมันมีแต่สัญญาเท่านั้นแหละครับ ในสายปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ในอดีตเคยถูกฝ่ายปกครองดูหมิ่น เพราะไม่สนใจปริยัติ หลวงปู้มั่นก็ตอบว่า ตามป่าตามเขา นกและสัตว์ป่า ใบไม้ ล้วนสอนธรรมะได้ทั้งสิ้น (ข้อความประมาณนี้) มันก็คงคล้ายๆกับสมัยนี้ที่ คนคลั่งปริยัติ ย่อมมีความหมายแตกต่างกับ คนที่สนใจปริยัติ  สองคำนี้ต่างกันนะครับ คิวว่าง อยู่ที่ศาลครับ ถ้าศาลสั่งก็ต้องว่างครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 00:28:59 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:28:10

ความคิดเห็นที่ 7 ขอยืนยันหนักแน่นอีกทีนะครับ ว่าสิ่งที่หลวงพ่อสด นำมาสอนศิษย์นั้น ไม่ได้ขัดแย้งกับพระไตรปิฏก แม้ว่าจะค้นหาโดย ตัวอักษรไม่พบนั้นก็ตาม และสิ่งที่ผมจะบอกแด่คนที่ยังสงสัยหลวงพ่อสด ท่านสอนผมว่า เอ็งไม่ต้องพูดอะไรมาก มีอะไรให้ระลึกถึงท่าน และครูบาอาจารย์ ท่านจะจัดการเอง ให้ทำความดีสะสมไปเรื่อยๆ เอ็งปฏิบัติถึงตรงนี้..... ก็ได้แต่หวังว่าเราจะไม่วิวาทะ พาดพิงไปถึงวัดพระธรรมกายนะครับ (เพราะไม่เกี่ยวกัน) เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเชิญคนที่สงสัยโดยยังภาวนาไม่เป็น ให้เริ่มอ่านจาก 63 กัณเทศน์ และไปฝึกหัดภาวนาที่วัดปากน้ำ แล้วมวัดกันว่า คนภาวนา กับคนอ่านตำราแบบระนาดเอก ใครที่มีปริมาณกิเลสอย่างไรนะครับ แล้วที่สงสัยว่า วิชชาธรรมกาย ไม่มีเรื่อง มรรคผล นิพพาน คุณคิดว่าจากความรู้ที่คุณมี สังโยชน์ตัวไหนหรือครับ ที่ทำให้ยังติดในภพ ไปสู่มรรคผลนิพพานไม่ได้ อย่าพยายามไปเปรียบเทียบกับวัดพระธรรมกายนะครับ แล้วการท่องจำอภิธรรม ด่าทำลายผู้อื่น จะทำให้นิพพานได้อย่าไร ยังนึกไม่ออกจริงๆ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 00:59:06 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 00:46:00 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:41:24

ความคิดเห็นที่ 8 วินย. ปริวาโร - หน้าที่ 224 สมุฏฺฐานสีสสงฺเขปํ   [๘๒๖] อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา         ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา ฯ                  นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ           อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา ฯ -------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา   พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=8&A=5897&Z=5921 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:49:48

ความคิดเห็นที่ 9 แม้จะชื่อว่า “อรูปพรหม” ... ตามเหตุปัจจัย คือ “อรูปฌาน” (ความเพ่งที่ไม่อาศัยรูป เพราะเห็นว่า ... รูปฌานยังหยาบอยู่ จึงเจริญฌานที่ละเอียดยิ่งกว่า ... โดยไม่อาศัยรูป) เป็นชนกกรรม นำให้มาเกิดใน อรูปภพ แต่ “รูปขันธ์” ย่อมต้องเกิดมีพร้อมกับ “นามขันธ์ ๔” ตามสาย “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” คือ อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป (สฬายตนะ ผัสสะ ฯลฯ) เพียงแต่รูปกายของอรูปพรหมนั้น ... ละเอียดนัก (เพราะ อรูปาวจรวิบาก) จนไม่อาจเห็นได้ แม้แต่จักษุของอรูปพรหมด้วยกัน หรือ ด้วยจักษุของสัตว์โลก ... ในภูมิที่ต่ำกว่า มีแต่ “ญาณพระธรรมกาย” เท่านั้น ... ที่ละเอียดกว่า สามารถเห็น “รูปกายของอรูปพรหม” ได้ตามที่เป็นจริง ถ้าสัตว์โลกที่เกิดด้วยอำนาจของ ... อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นแต่เฉพาะ “นามขันธ์” โดยปราศจาก “รูปขันธ์” ได้ พระพุทธดำรัส ที่ว่าด้วย “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” ... ก็ไร้ความหมาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ... ที่สัตว์โลกจะมีแต่ “จิตใจ” โดยไม่มี “รูปกาย” เป็นที่ตั้งที่อาศัย และเป็นไปไม่ได้ที่ พระพุทธพจน์ ... จะเป็นอื่น (คือไม่จริง) “พระพุทธพจน์” ...  ย่อมเป็นธรรมที่แท้จริงเสมอ * ที่มา หนังสือ ทางมรรคผลนิพพาน (ธรรมปฏิบัติถึงธรรมกายและพระนิพพาน) สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี หนังสือ สมถวิปัสสนาภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ (ถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า) วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:51:28

ความคิดเห็นที่ 10 ย่อหัวข้อสมุฏฐาน             [๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา                          พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. เมื่อดวงจันทร์ คือ                          พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัย                          ขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก. พระมหา-                          วีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรง                          บำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรง                          แสดงพระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข. พระอังคีรส-                          ศากยมุนี ผู้อนุเคราะห์แก่ประชาทุกถ้วนหน้า อุดมกว่าสรรพสัตว์                          ดุจราชสีห์ ทรงแสดงพระไตรปิฎก คือ พระวินัย ๑ พระสุตตันตะ ๑                          พระอภิธรรม ๑ ซึ่งมีคุณมาก อย่างนี้ พระสัทธรรมจะเป็นไปได้ ผิว่า                          พระวินัย คือ อุภโตวิภังค์ ขันธกะและมาติกา ที่ร้อยกรองด้วยคัมภีร์                          บริวาร เหมือนดอกไม้ร้อยด้วยเส้นด้าย ยังดำรงอยู่. ในคัมภีร์บริวารนั้นแล                          สมุฏฐานท่านจัดไว้แน่นอน ความเจือปนกัน และนิทานอื่นย่อมเห็นได้                          ในพระสูตรข้างหน้า เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักด้วยดี ใคร่ต่อ                          ธรรม พึงศึกษาคัมภีร์บริวารเถิด. ในวันอุโบสถ ภิกษุและภิกษุณีย่อม                          สวดสิกขาบท อันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ในวิภังค์ทั้ง ๒ ข้าพเจ้าจัก                          กล่าวสมุฏฐานตามที่รู้ ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า. ปฐมปราชิกสิกขาบท                          ๑ ทุติยปาราชิกสิกขาบท ๑ ต่อแต่นั้น สัญจริตสิกขาบท ๑ สมนุภาสน-                          สิกขาบท ๑ อติเรกจีวรสิกขาบท ๑ เอฬกโลมสิกขาบททั้งหลาย ๑                          ปทโสธัมมสิกขาบท ๑ ภูตาโรจนสิกขาบท ๑ สังวิธานสิกขาบท ๑                          เถยยสัตถสิกขาบท ๑ เทสนาสิกขาบท ๑ โจรีวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ รวม                          กับการบวชสตรีที่มารดาบิดา หรือสามีไม่อนุญาต จึงเป็นสมุฏฐาน ๑๓.                          ในอุภโตวิภังค์นี้ นัยแห่งสมุฏฐาน ๑๓ นี้ วิญญูชนทั้งหลาย คิดกันแล้ว                          ที่คล้ายคลึงกัน ย่อมปรากฏในสมุฏฐานอันหนึ่งๆ. 1)  พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. คำถามคือ ท่านวินิจฉัย แล้วท่านคือใคร แต่ไม่เคยบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัส นะครับ 2)  สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. แต่พระนิพพาน ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ราคะโทสะโมหะหมดไปแล้ว นิพพานเป็นสุข ยังจะวินิจฉัยเป็นอนัตตา ได้อย่างไร แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 00:58:16 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 00:54:38

ความคิดเห็นที่ 11 ท่านในที่นี้ ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ย่อมเป็นผู้แสดงธรรมจำแนกแจกแจงก่อนเป็นครั้งแรก พระมหาสาวกย่อมทรงจำสืบต่อกันมา ในที่ปฐมสังคายนานั้น พระมหากัสสัปปะมหาเถระ ทรงเป็นผู้ถาม พระอุบาลี พระอานนท์ทรงเป็นผู้ตอบ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทา ๕๐๐ เป็นร่วมกันสังคายนา ------------------------------------------- พระไตรปิฎก จะเป็นส่วนไหนข้อไหน ก็ถือเป็นหลักยึดถือสำคัญสูงสุดของเถรวาท ถ้าปฏิบัติ หรือแสดงมติที่ต่างจากนี้ไป ก็ควรแยกนิกายออกไปเป็นอย่างนิกายมหายาน ------------------------------------------- จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘  เป็นสังขตธรรม ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง คือ เกิดขึ้นแล้วดับไปทุกขณะ เพราะเหตุที่ต้องแตกดับสลายไปในทุกขณะนั้นเอง จึงเป็นทุกขัง และเป็นอนัตตา เพราะมีอาการที่ว่างเปล่าจากตัวตน ------------------------------------------- ส่วน พระนิพพาน เป็นอสังขตธรรม ก็ตกอยู่ภายใต้ อนัตตลักษณะเช่นกัน เพราะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา  ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็เป็นอนัตตาทั้งสิ้น พระนิพพาน ไม่ประกอบด้วย อนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะ เพราะไม่ประกอบด้วย ความเกิดขึ้น และความแตกดับสลาย คุณของนิพพาน มีอยู่หลายประการ ดังเช่น จาโค เป็นธรรมที่ สละจากตัณหาทั้งปวง ปฏินิสฺสคฺโค เป็นธรรมที่ พ้นจากภพต่างๆ มุตฺติ เป็นธรรมที่ พ้นจากกิเลส อนาลโย เป็นธรรมที่ ไม่มีความอาลัย ราคกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นราคะ โทสกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นโทสะ โมหกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นโมหะ ตณฺหกฺขโย เป็นธรรมที่ สิ้นตัณหา อนุปฺปาโท เป็นธรรมที่ ดับขันธ์ ๕ อปวตฺตํ เป็นธรรมที่ ดับรูปนาม อนิมิตฺตํ เป็นธรรมที่ ไม่มีสังขารนิมิต อปฺปณิหิตํ เป็นธรรมที่ ปราศจากความต้องการ สุญฺญตํ เป็นธรรมที่ สูญสิ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:12:45

ความคิดเห็นที่ 12 จะตอบไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านท่านอื่น... ส่วนการโต้ตอบไปมาในประเด็นเรื่องนี้ต่อไป ก็คงจะคล้ายๆเดิม ที่ได้มีการสนทนากันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว.... จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:17:59

ความคิดเห็นที่ 13 ท่านในที่นี้ ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ย่อมเป็นผู้แสดงธรรมจำแนกแจกแจงก่อนเป็นครั้งแรก พระมหาสาวกย่อมทรงจำสืบต่อกันมา 1) ......เป็นการตีความเอาเองหรือเปล่าครับ มีส่วนไหนอีก ทำไมไม่ใช้คำว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า  เหมือนในพระสูตรอื่นๆ 2) นิพพานคือ อสังขตธรรม อสังขตธาตุ  แล้ว เอาอสังขตธาตุไปทิ้งไหนครับ 3) นิพพาน เป็นอนัตตา แปลเป็นไทยว่าอย่างไรครับ  แล้ว นิพาาน เป็นอัตตา แปลเป็นไทยว่าอย่างไรครับ จะเอาข้อโต้แย้งเรื่อง นิพพานไม่ใช่อนัตตา มาให้ดูนะครับ แต่ขอไปค้นก่อนครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 01:21:59 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 01:19:14 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:18:04

ความคิดเห็นที่ 14 มันอยู่ที่คนตีความนะครับ ลองฟังครับ พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:24:14

ความคิดเห็นที่ 15 ลองไปอ่านในเว็บหลวงตานะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 01:29:14

ความคิดเห็นที่ 16 บักเสี่ยว venture  ... อย่าเอาถ้อยคำของหลวงตามาอ้าวงมั่วซั่ว... หลวงตาพูดในสำนวนของพระป่า  ซึ่งมีเงื่อนมุมอีกอย่างหนึ่ง  ...  เช่น บางทีหลวงตาหรือครูบาอาจารย์สายพระป่า มักจะพูดว่า  จิตไม่ตาย  หรือพูดว่าจิตบริสุทธิ์เป็นนิพพาน  ซึ่งถ้าเอาหลักการตามความหมายในตำรามาตี ก็จะเห็นว่าพวกท่านพูดผิด(เพราะความจริงตามตำราคือ จิตเกิดๆตายๆ เกิดๆดับๆไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยง และจิตบริสุทธิ์ก็ย่อมไม่ใช่นิพพาน) ... แต่ที่จริงนั่นคือสำนวนของพระป่า   ที่ต้องตีความไปอีกแบบ สำนวนที่หลวงตาพูดบ่อยๆเกี่ยวกับนิพพาน ว่าไม่ใช่ทั้งอัตตาทั้งอนัตตา นิพพานเป็นนิพพาน นั้น ...ท่านมุ่งถึงห้ามยึดติดในความหมายของการตีความ  ให้ปล่อยวางอันนี้ไปเสีย  คืออย่าไปตีความว่า นิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตา  ตามความหมายในสำนวนภาษาที่ใช้พูดกัน.. อย่าขี้โกง  โดยการไปอ้างสำนวนนั้นของหลวงตามาสนับสนุนความเห็นผิดของสำนักธรรมโกย  ที่หลอกลวงคนโง่ว่านิพพานเป็นอัตตา แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 03:41:40 จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 03:41:06

ความคิดเห็นที่ 17 ธรรมทั้งหลายที่ท่านได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเลิสแล้ว  ประเสริรฐแล้ว  จักหาธรรมอื่นสูงยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมไม่มี  แม้ธรรมของพระพุทธเจ้าที่จักอุบัติในอนาคตจะอีกสักกี่องค์ก็ตาม  ก็ไม่ได้ตรัสรู้ธรรมอื่นที่วิเศษไปกว่านี้แล้ว แนวปฏิปทาใดๆอันมุ่งสู่การพ้นทุกข์นั้น...ล้วนแล้วแต่อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น  พระพุทธองค์ท่านได้แสดงครอบคลุมไว้ทั้งโลกธาตุแล้ว  ไม่ว่าสัตวโลกนั้นๆจักมีสันดานนิสัยอย่างไรก็ไม่อาจจะอยู่นอกคำสอนของพระองค์ไปได้  ผลของการปฏิบัติไม่ว่าจะสายไหนปฏิปทาใด..ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น  พระโสดาบันก็มีองค์เดียว  พระสกทาก็มีองค์เดียว  พระอนาคามีก็มีองค์เดียว( ในแต่ละประเภท ) พระอรหันต์ก็มีองค์เดียว.....หากผลของการปฏิบัติแตกต่างออกไป  สภาวะในแต่ละองค์เป็นสองก็ไม่ใช่แล้ว....จึงต้องระมัดระวัง พระปัญญาของพระพุทธองค์หาผู้ใดเปรียบมิได้...แม้พระอรหันต์เองก็ไม่สามารถแทงตลอดในทุกเรื่องดังพระองค์  นับประสาอะไรกับปุถุชน ( ในมุมของภูมิธรรม..ไม่เกี่ยวกับเพศที่แสดง ) มัวแต่ด้นเอาเกาหมัดไปตามประสากิเลสตนที่มีอยู่  แล้วกล่าวตู่พระธรรม ขอโปรดพิจารณา... จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 07:39:40

ความคิดเห็นที่ 18 คุณventure คะ เราเคยได้เห็น หนังสืองานเผาศพแม่ชีจัน มีการลงเรื่องสถานที่ของพระ นิพพานไว้ด้วย ตามความหมายที่คุณระนาดเอกเอามาลง ถามจริงๆเถอะนะคะ คุณอ่านแล้ว ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรือ ถ้ามันน่าเชื่อถือขนาดนั้น ทำไม เวลาเราขอให้ชาวธรรมกาย แสกนหน้านี้ๆในหนังสือ มาให้ดู กลับเงียบหาย ทำเป็นแกล้งตาย มองไม่เห็นคำถามกันเสียหมด ไม่ต้องตอบก็ได้นะคะ แต่ถามไว้ให้คุณพิจารณาคะ ถ้าคุณเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ช่วยแสกนมาให้ดูสักครั้งได้ไหมคะ เพราะเราได้อ่าน ได้เห็น แต่ไม่ได้เปนเจ้าของหนังสือ  ไม่มีหนังสืออยู่กับตัวคะ V นิพพานอะไร มีความกว้างความยาว แถมมีความ "หนา" เป็นสิบๆ โยชน์ ? มีแดนนิพพาน มีพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน ?! ยังมีตัวตน ยังเคลื่อนไหว ยังไปมาหาสู่กันได้ ?! ไม่มีในพระไตรปิฎก แล้วอย่างนี้น่ะรึ ไม่ขัดแย้งกับพระไตรปิฎก ? จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 07:54:59

ความคิดเห็นที่ 19 ทุกวันนี้ยังมีพิธีำกรรมสละทานอันยิ่งใหญ่เพื่อ ไปถวายข้าวให้กับพระพุทธเจ้าในดินแดนนิพพานกันอยู่รึปล่าวครับ : ) จากคุณ : OnceWakeUp เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 08:47:40

ความคิดเห็นที่ 20 อนุโมทนาคุณชาวมหาวิหาร ในทุกๆ คห...ยอดเยี่ยมจริงๆ.. อนุโมทนาคุณน้องต๋าว คห 18. ..OnceWakeUp คห 19...ยอดเยี่ยมจริงๆ... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 09:21:38 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 09:20:59 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 09:19:33 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 09:18:48

ความคิดเห็นที่ 21 บักเสี่ยว โขตาน ติดนิมิต ไม่เข้าใจนิมิต เลยพาล ยังงมงายเรื่องฝันว่าเหาะอีกหรือ ในภรรยาอดีตนายกไทยก็ฝันว่าเหาะข้ามเขาสามลูก สุดท้ายสามีต้องลาออกจากนายก จะยังงมงายเรื่องฝันเหาะได้อีกไหม แล้วตรงไหนที่บอกว่าหลวงตา ยืนยันว่านิพพานเป็นอนัตตาหละครับ ตรงไหน ช่วยยืนยันอีกทีสิจ๊ะ ยกมาให้อ่านแล้วก็อ่านไป อย่าวาจาสามหาว กลับไปเล่นหุ้นต่อไปนะ ในนิพพาน เป็นที่ว่างๆโล่ง ไม่มีสิ่งใดกำบัง ไม่มีโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ไม่มีการไปการมา ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านหมดกิจที่จะทำอย่างอื่นแล้ว นอกจากเสวยสุขเข้านิโรธอย่างเดียว ดังบาลีว่า "นิพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานสุขอย่างยิ่ง" อย่าไปแปลเจตนาคนอื่นว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ตามใจชอบสิจ๊ะ เอ็งไม่ได้อ่าน หรืออ่านไม่แตกจ๊ะ ให้แยกเป็นสองกรณี คือคุณสมบัติของพระนิพพาน และ จิตที่มีต่อความยึดมั่นต่อพระนิพพาน ก็ตอบคำถามมาสิ พระพุทธเจ้า ยังต้องใช้คำว่า วินิจฉัย อีกหรือ ทั้งๆที่ในพระสูตรทั้งหลาย ใช้คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำถามคือ ทำไม จึงแปลความว่า ท่าน หมายถึง พระพุทธเจ้า คุณน้องต๋าว อยากได้ข้อมูลอะไรครับ..................................................... นิพพานไม่ได้สูญ ตรงนี้ทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนสิ ใครไปใครมาครับ หลวงตา หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อสด ก็ยืนยันว่า นิพพานไม่ได้สูญนะครับ ส่วนขนาดในมิติต่างๆ เกินปัญญาที่จะตอบครับ อย่าไปแปลว่านิพพานเป็นอนัตตา แล้วเข้าใจไปว่านิพพานสูญทุกอย่าง ถ้าตั้งธงไว้ผิดก็คงผิดยาวนะครับ ถ้าสงสัย ลองแวะไปที่วัดปากน้ำสิครับ ลองไปสนทนาธรรมกับ ฝ่ายที่เชียวชาญปริยัติ สิครับ หลวงพ่อสมเด็จ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พระวิสุทธิวงศาจารย์ พระพรหมโมลี หรือถ้าสนใจจะพิสูจน์การปฏิบัติว่าสามารถละสังโยชน์ได้จริงไหม จะแนะนำให้ครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 11:56:57 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 11:56:28 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 11:50:31 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 11:42:54 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 11:38:18

ความคิดเห็นที่ 22 ทุกวันนี้ยังมีพิธีำกรรมสละทานอันยิ่งใหญ่เพื่อ ไปถวายข้าวให้กับพระพุทธเจ้าในดินแดนนิพพานกันอยู่รึปล่าวครับ : ) จากคุณ : OnceWakeUp พิธีกรรมนี้ไม่ปรากฏที่วัดปากน้ำครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 11:38:51

ความคิดเห็นที่ 23 คุณต่อเข้ามาก็ดีแล้วครับ จะได้ยืนยันการมีอยู่ของ หิริ โอตตัปปะ ของวงการปริยัติ คำว่า ลูกกระหรี่ เป็นคำที่ใช้ปกติในวงการของระนาดเอก ถือ เป็นเรื่องปกติ ในวงการใช่ไหมครับ คำตอบของคุณ จะเอาไปใช้ในคดี หมิ่นประมาทครับ เป็นเรื่องคุณธรรมพื้นฐานง่ายๆครับ น่าจะตอบไม่ยาก แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 11:45:39 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 11:44:06

ความคิดเห็นที่ 24 "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น สำหรับ นิพพานที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์หรือตำราต่างๆ มีดังนี้ ๐ นิพพานคือสิ่งที่มีลักษณะ 5 อย่างคือ ปทํ อจฺจุตํ อจฺจนฺตํ อสงฺขตํ และ อนุตฺตรํ ปทํ   แปลว่า ส่วนหนึ่ง  หมายความว่า เป็นสภาวะธรรมชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ อจฺจุตํ          แปลว่า  ธรรมที่ไม่ตาย  หมายความว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย อจฺจนฺตํ      แปลว่า  ธรรมที่ก้าวล่วงขันธ์ 5 เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง 3 (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) อสงฺขตํ       แปลว่า ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย อนุตฺตรํ       แปลว่า เป็นธรรมที่ประเสริฐ ๐ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานสูญอย่างยิ่ง ซึ่ง "สูญ" ในความหมายนี้ไม่ได้หมายความว่า สูญหายไปหมดเหล่าแต่ความว่างเปล่า อย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจกัน แต่หมายถึงว่า สูญจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ 5  นั่นเอง ๐ นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานสุขอย่างยิ่ง เพราะธรรมกายอรหัตต์ ที่เข้าถึงนิพพาน  เข้านิโรธสมาบัติ เสวยวิมุติสุข อย่างเดียวนั่นเอง ๐ เรียกนิพพานว่าเป็น อายตนะ "ดูกร ภิษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปปัตติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์" ๐ นิพพานคือ อสังขตธรรม "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ ของอสังขตธรรม 3 ประการนี้ 3 ประการเป็นไฉน คือ ๑ ไม่ปรากฎความเกิด ๒ ไม่ปรากฎความเสื่อม ๓ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม 3 ประการ นี้แลฯ" แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 12:03:49 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 12:01:51 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:00:06

ความคิดเห็นที่ 25 นิพพานนะอยู่อย่างไรกัน อยู่ที่ไหน เขาว่านิพพานอยู่ในใจ คำว่านิพพานนะ นิกฺขนฺตํ นิพฺพานํ ใจของเราออกจากกิเลสเครื่องร้อนได้เป็นตัวนิพพาน นี่นิพพานไม่อยู่กับใจเสียแล้ว ใจออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดไปเสียแล้ว ใจออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดไป ตัวใจที่ออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดนั่นหรือตัวนิพพาน กิเลสเข้าไปเย็บร้อยอยู่นั่น หลุดออกเสียจากกิเลส ขาดออกไปเสียจากกิเลส นั่นหรือเป็นตัวนิพพาน นั่นเป็นตัวออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัด เมื่อออกจากกิเลสเครื่องร้อยรัดแล้ว จึงจะไปสู่นิพพานอีกครั้งหนึ่ง นิพพานแยกออกเป็นสอง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ                       นิพพานแยกออกเป็นสอง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนพระพุทธเจ้า ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ว่า ขันธปัญจก ยังปรากฏอยู่ สั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่ ๔๕ ปี ในระหว่างนั้นเป็นสอุปาทิเสสนิพพานธาตุทั้งนั้น เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน http://www.watpaknam.org/content.php?op=dsn_45 ถ้าสงสัย ลองแวะไปที่วัดปากน้ำสิครับ ลองไปสนทนาธรรมกับ ฝ่ายที่เชียวชาญปริยัติ สิครับ หลวงพ่อสมเด็จ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พระวิสุทธิวงศาจารย์ พระพรหมโมลี จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:08:35

ความคิดเห็นที่ 26 ทะเลาะกันมากี่ชั่วคนแล้วหนอ... ล้มหายตายจากกันไปกี่รุ่นแล้ว... ขอเข้ามานั่งชมวิวาทะกรรมด้วยคนนะครับ ...ท่านผู้เจริญ... จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:17:51

ความคิดเห็นที่ 27 คุณสมถะครับ คงไม่ถึงวิวาทะหรอกครับ แค่มาชี้แจงข้อสงสัย แด่ นายระนาดเอก เพื่อนำไปประกอบสำนวนครับ บังเอิญมีคนยกคำในพระไตรปิฏกมา ก็สนทนากันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาคือ ตาแก่ชิที่ยังคิดแค้นไม่เลิกตามราวี อคติกับวัดพระธรรมกายก็อย่าพาลไปทั่ว ในคหเรื่องหลวงตา ก็ยกมาให้อ่านเนื้อๆแล้ว ส่วนต่อ mcu บุุคคลที่โจมตีหลวงพ่อสด ตามคำตัดแปะ เขาแค่มาแสดงตัวนิดหน่อย แต่ไม่เคยเห็นหิริ โอตตัปปะ ในเรื่องระนาดเอกเลยนี่สิ ก็ย้ำอีกทีว่าใครทียังสงสัย ก้ขอให้ไปที่วัดปากน้ำนะครับ ไม่มีเจตนาวิวาทะใดๆครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:37:30

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 24     "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:00:06 ^^^ นี่ไม่ใช่พระพุทธพจน์ ไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนา ใช่ไหมครับ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 13:48:36

ความคิดเห็นที่ 29 จากคุณ : ทุกวินาที ใช่หรือไม่ใช่  ก็ต้องมาดูอีกที พิสูจน์ด้วย ทิพยจักษุสิครับ แล้วขัดแย้งกันอย่างไรครับ พอจะยกพระสูตรอื่นมาได้ไหมครับว่า มีพระสูตรอื่นขัดแย้งกับตรรกะของประโยคนั้น ก็ตามไปอ่านได้ที่ เว็บของวัดปากน้ำสิครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 14:01:50 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 13:56:06

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 24   "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:00:06   ................................................................................................................ ใช่หรือไม่ใช่  ก็ต้องมาดูอีกที พิสูจน์ด้วย ทิพยจักษุสิครับ แล้วขัดแย้งกันอย่างไรครับ พอจะยกพระสูตรอื่นมาได้ไหมครับว่า มีพระสูตรอื่นขัดแย้งกับตรรกะของประโยคนั้น ก็ตามไปอ่านได้ที่ เว็บของวัดปากน้ำสิครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 14:01:50 จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 13:56:06   ............................................................................................................... ขอโอกาสท่าน จขกท. จากข้อความที่ท่านได้แสดงมาทั้ง 2 นั้น...เข้าใจด้วยปัญญาอันน้อยนิดจึงขอท่าน จขกท. โปรดเมตตาอธิบายขยายความ แสดงให้ผู้มืดบอดโง่งมได้รู้ได้เห็นได้เข้าใจเป็นวิทยาทาน  เป็นธรรมทาน.... หากข้อความที่ 1 มีปรากฏในพระไตรปิฎกขอเมตตาช่วยแสดงว่ามาจากพระสูตรไหนอย่างไร  จักได้ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจ หากข้อความที่ 1 มิได้มีปรากฏในส่วนใดๆในพระไตรปิฎก...ขอเมตตาท่านช่วยแสดงว่ามิได้มีปรากฏในส่วนใดๆในพระไตรปิฎก..ก็เท่านั้น..ก็คือมิได้มีปรากฏในพระไตรปิฎก  ( มิได้หมายถึงว่า "มีพระสูตรอื่นขัดแย้งกับตรรกะของประโยคนั้น" ) อนุโมทนาสาธุ... ขอโปรดเมตตา..._/l\_ จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 15:21:13

ความคิดเห็นที่ 31 เรียน ท่าน Cathode_tube หากสนใจศึกษาจริงจัง ให้ลองติดต่อไปที่ เว็บไซท์วัดปากน้ำ หรือ FB ก็ได้ครับ มีท่านผู้รู้หลายท่าน จะให้ความกระจ่างได้ หรือจะไปกราบเรียนถาม เจ้าประคุณสมเด็จ ก็ได้ครับ ปกติ จะนั่งทำงาน ที่ชั้นล่าง หลังองค์ลอยปิดทอง หลวงพ่อสด บ่อยๆครับ ในสายปฏิบัติภาวนาที่ปรากฏในแผ่นดินไทยนี้ หากได้ศึกษากันจริงจัง ล้วนไม่ปรากฏมีในพระสูตรใดๆ ตรงๆแบบตัวอักษร หรือแม้แต่แต่ กรรมฐาน 40 กอง ก็ล้วนมีแต่คำสั้นๆ หาได้มีรายละเอียดการปฏิบัติเลย ทุกสายล้วนพบเจอเรื่องราวในระหว่างภาวนา ก็มีการบันทึกไว้ และนำมาตรวจสอบว่า ขัดแย้งอย่างไร หรือลงกันได้อย่างไรกับพุทธพจน์นะครับ สำคัญที่ขัดแย้งกับพระสูตรใด ผลการปฏิบัตินั้น ย่อมต้องมีคำตอบเสมอครับ เพียงแต่จะแตกฉานในปริยัติแค่ไหนครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 15:52:16

ความคิดเห็นที่ 32 ขอโอกาสท่าน จขกท. ผมมันคนวาสนาน้อย...ปัญญาน้อย  มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำไปตามประสา  อยู่ต่างจังหวัดไกลจาก กทม.   การจักไปขอเมตตาจากท่านผู้รู้เพื่อบรรเทาข้อสงสัยให้กระจ่างใจตามที่ท่านได้แสดงมานั้นคงเป็นไปได้อยาก ............................................................................................................... "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:00:06 ................................................................................................................ จึงขอเมตตาท่าน จขกท. โปรดแสดงเถิดว่าข้อที่ท่านได้แสดงไว้นั้นมีปรากฏในพระไตรปิฎกส่วนใดหรือมิได้มีปรากฏไว้......นี้เป็น 1 ประเด็น ( เป็นประเด็นที่ผมสนใจ  ใคร่ขอความกระจ่าง  หากมีปรากฏไว้ในตำรา  จักได้ศึกษาเพิ่มเติมในพระไตรปิฎกที่ท่านแสดงไว้เกี่ยวกับข้อที่ท่าน จขกท. ยกมาแสดง ) หากมิได้ปรากฏในพระไตรปิฎก  แต่ท่าน จขกท. แสดงว่าก็มิได้มีพระสูตรใดค้านในข้อที่แสดงนั้น.....นี้เป็นอีก 1 ประเด็น ขอโปรดเมตตาอนุเคาระห์..._/l\_ จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 19:59:21

ความคิดเห็นที่ 33 ออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม อ่านเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่นี่ http://khunsamatha.fix.gs/index.php?topic=216.0 พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย เถรีอปทาน เอกุโปสถวรรค มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน พระมหาโคตมีภิกษุณีท่านได้บอก               ถึงเหตุตามที่ตนได้ตรึกแล้วทุกประการ ลำดับนั้นพระภิกษุณีทุกๆ               องค์ ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนตรึกแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้า              พระแม่เจ้าชอบใจจะปรินิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงดิฉันทั้ง               หลายก็จักนิพพานทั้งหมด ในกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระ-               อนุญาต ดิฉันทั้งหลายได้ออกจากเรือนพร้อมด้วยพระแม่เจ้า เมื่อ               ดิฉันทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม ดิฉันทั้งหลาย               ก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้               กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพาน ดิฉันจักว่าอะไรได้เล่า แล้ว               ได้ออกจากสำนักนางภิกษุณีไปพร้อมกับพระภิกษุณีทั้งหมดในครั้ง               นั้น พระปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายว่า ขอทวย               เทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ สำนักนางภิกษุณี จงอดโทษแก่ดิฉันเถิด               การเห็นสำนักนางภิกษุณีของดิฉันนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้ายในที่ใด               ไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอัน               ไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก               ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน พระโอรสของพระสุคตเจ้า               ทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้น เป็นผู้โศก               กำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย               สำนักพระภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เพราะเว้นพระภิกษุณีเหล่านั้น               พระภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย               ไม่ปรากฏในเวลาที่สว่างฉะนั้น พระนางโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน               พร้อมกับพระภิกษุณีอีก ๕๐๐ องค์ เหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไปสู่               สาครพร้อมกับแม่น้ำ ๕๐๐ สาย ฉะนั้น จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:06:52

ความคิดเห็นที่ 34 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕   ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก         [๑๖๘]  ดิฉันมีฤทธิ์มาก มีปัญญามาก มีภิกษุณี ๑,๑๐๐ องค์ เป็นบริวาร                            เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแล้วเห็นลายลักษณ์กงจักร                            ของพระศาสดา แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ได้กราบทูลว่า                            หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว ถึงความเป็นผู้มีกาย                            เงื้อมลงแล้วขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่ มีชีวิต                            น้อย จักละพระองค์ไป มีที่พึ่งของตนได้ทำแล้ว มีมรณะใกล้เข้ามา                            ในวัยหลัง ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันจักถึงความดับในคืนวันนี้                            มิได้มีชาติ ชรา พยาธิและมรณะ จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง                            เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตายและไม่มีภัย บริษัทเข้าเฝ้าพระองค์                            อยู่ รู้จักความผิด ขอประทานโทษ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระองค์                            เมื่อหม่อมฉันท่องเที่ยวไปในสงสาร หากมีความพลั้งพลาดใน                            พระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานโทษแก่หม่อมฉันเถิด.       เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓  บรรทัดที่ ๕๘๙๑ - ๖๐๔๖.  หน้าที่  ๒๕๓ - ๒๖๐.   http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=5882&Z=6046&pagebreak=0 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 20:15:10 จากคุณ : สมถะ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:09:59

ความคิดเห็นที่ 35 โง่ไม่เลิก พวกลัทธิอุบาทว์ จะให้ถูกให้ได้ เวร จากคุณ : เตาฟืน เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:28:48

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 29 ก็ตามไปอ่านได้ที่ เว็บของวัดปากน้ำสิครับ จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 13:56:06 ^^ ผมขอวางอุเบกขาในความเห็นเหล่านั้น(เกี่ยวกับเรื่องนิพพานดังกล่าว)ของทางวัดปากน้ำนะครับ คิดกันเอง พูดกันเอง พิสูจน์ไม่ได้ ใช้อ้างอิงไม่ได้ ใครอยากเชื่อก็เชื่อกันไป พระธรรมวินัย 84,000 พระธรรมขันธ์ของพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ชัดเจนดีแล้ว ทั้งหมดนั้นเป้นมรดกจากพระอรหันต์ แน่นอนกว่า ไว้ใจได้ เชื่อใจได้อย่างแน่นอน ใครอยากลองของแปลกกับวิชาธรรมกาย วิชาที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ก็แล้วแต่ทิฏฐิของผู้นั้น แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 22:20:31 จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 22:10:06

ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อกี้ค้นอย่างอื่น บังเอิญไปเจออันนี้มา เลยค้นที่คล้าย ๆ กันมาส่วนหนึ่ง พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิตอวุตตก-สุตตนิบาต - หน้าที่ 31       คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗        [๒๗] บุคคลพึงละความโกรธเสีย พึงละมานะเสีย พึงก้าวล่วงสังโยชน์เสีย        ทั้งหมด ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกตามบุคคลนั้นผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป        ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล บุคคลใดแล พึงห้ามความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว        ไว้ได้ ดุจบุคคลห้ามรถซึ่งกำลังแล่นไปได้ ฉะนั้น เรากล่าวบุคคลนั้น        ว่าเป็นสารถี คนนอกนี้เป็นคนถือเชือก พึงชนะความโกรธด้วยความ        ไม่โกรธ พึงชนะความไม่ดีด้วยความดี พึงชนะความตระหนี่ด้วยการให้        พึงชนะคนมักกล่าวคำเหลาะแหละด้วยคำสัตย์ พึงกล่าวคำสัตย์ไม่พึง        โกรธ แม้เมื่อมีของน้อย ถูกขอแล้วก็พึงให้ บุคคลพึงไปในสำนักแห่ง        เทวดาทั้งหลาย เพราะเหตุ ๓ ประการนี้มุนีเหล่าใดผู้ไม่เบียดเบียน        สำรวมแล้วด้วยกายเป็นนิตย์มุนีเหล่านั้นย่อมไปสู่สถานที่ไม่จุติ ที่คน        ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก อาสวะทั้งหลายของผู้ตื่นอยู่ทุกเมื่อ ศึกษา        เนืองๆทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้น้อมไปแล้วสู่นิพพาน ย่อมถึง        ความไม่มี ดูกรอตุละ การนินทาหรือการสรรเสริญนี้มีมาแต่โบราณ        มิใช่มีเพียงวันนี้ คนย่อมนินทาแม้ผู้นั่งนิ่ง แม้ผู้พูดมาก แม้พูดพอ        ประมาณ ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว        หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียวไม่มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีในบัดนี้        ถ้าว่าผู้รู้ใคร่ครวญแล้วทุกวัน ย่อมสรรเสริญบุคคลใด ผู้มีความประ        พฤติไม่ขาดเป็นนักปราชญ์ ตั้งมั่นแล้วในปัญญาและศีล ใครย่อมควร        เพื่อจะนินทาบุคคลนั้นผู้เหมือนดังแท่งแห่งทองชมพูนุช แม้เทวดาและ        มนุษย์ทั้งหลาย ก็ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น แม้พรหมก็สรรเสริญบุคคล        นั้น ภิกษุพึงรักษาความกำเริบทางกายพึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย ละกาย        ทุจริตแล้ว พึงประพฤติสุจริตด้วยกาย พึงรักษาความกำเริบทางวาจา        พึงเป็นผู้สำรวมด้วยวาจา ละวจีทุจริตแล้ว พึงประพฤติสุจริตด้วยวาจา        พึงรักษาความกำเริบทางใจ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยใจ ละมโนทุจริตแล้ว        พึงประพฤติสุจริตด้วยใจ นักปราชญ์ทั้งหลาย สำรวมแล้วด้วยกาย        สำรวมแล้วด้วยวาจา สำรวมแล้วด้วยใจ ท่านเหล่านั้นแล สำรวม        เรียบร้อยแล้ว ฯ        จบโกธวรรคที่ ๑๗ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 03:27:24

ความคิดเห็นที่ 38 พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิตอวุตตก-สุตตนิบาต - หน้าที่ 136 ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า        บุคคลตัดวัฏฏะได้แล้ว บรรลุถึงนิพพานอันเป็นสถานที่ไม่มีตัณหา ตัณหา        ที่บุคคลให้เหือดแห้งแล้วย่อมไม่ไหลไป วัฏฏะที่บุคคลตัดได้แล้ว        ย่อมไม่เป็นไป นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 03:28:07

ความคิดเห็นที่ 39 พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถระ-เถรีคาถา - หน้าที่ 74                           มหารถวรรคที่ ๕                            มัณฑุกเทวปุตตวิมาน                       ว่าด้วยบุญกรรมของมัณฑุกเทพบุตร          พระผู้มีพระภาคตรัสถามมัณฑุกเทพบุตรว่า          [๕๑] ใครมีวรรณะงามยิ่งนัก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ ยังทิศทั้งปวงให้สว่าง                  ไสว ไหว้เท้าทั้งสองของเราอยู่?          มัณฑุกเทพบุตรกราบทูลว่า                  เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์เป็นกบเที่ยวหาอาหารอยู่ในน้ำ เมื่อข้าพระองค์                  กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ขอพระองค์                  ทรงดูฤทธิ์ ยศ อานุภาพ ผิวพรรณและความรุ่งเรืองของข้าพระองค์                  ผู้มีจิตเลื่อมใสครู่หนึ่งเท่านั้น ข้าแต่พระโคดม ก็ผู้ใดได้ฟังธรรมของ                  พระองค์สิ้นกาลนาน ผู้นั้นพึงได้บรรลุนิพพานอันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว                  เป็นสถานที่ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่.                         จบมัณฑุกเทวปุตตวิมานที่ ๑. จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 03:28:52

ความคิดเห็นที่ 40 พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก - หน้าที่ 199 พระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็นคนสนิทของพระพิชิตมาร ยังเป็น พระเสขบุคคลอยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพาน เสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 03:29:42

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ทราบ คุณventure พอหาหนังสือแจกงาน งานเผาศพแม่ชีจัน ที่เป็นcollection ปกแข็งน่าจะ 2-3เล่ม อยู่ในที่ใส่เหมือนแฟ้มปกแข็งเดียวกันได้ไหมคะ ในนั้น มีการลงเรื่องสถานที่ของ พระนิพพานไว้ เป็นภาพวาดจุดนิพพานเป็นวงกลม มีวงลกล้อมรอบ และมีวงกลมแสดงว่าคือโลกอยู่ห่างออกมา บรรยายลักษณะ และ สถานที่ว่านิพพานนั้นอยู่ไกลจากโลก กี่...โยชน์ อยากให้คนอื่นๆได้เห็น จะได้เข้าใจว่าดิฉันพูดเรื่องอะไรคะ รบกวนหามา ช่วยแสกนให้ดูด้วยได้ไหมคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 10:10:13

ความคิดเห็นที่ 42 คุณสมถะ คุณพักผ่อนได้ค้น คำว่า นิพพาน คือ สถานที่ มาแสดงไว้แล้วนะครับ ผมจำได้แต่เพียงว่า เมื่อครูบาอาจารย์ให้พร ท่านพูดว่า ดังไปถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้น ใครที่แปลว่า นิพพาน สูญสิ้นทุกอย่าง ไร้ซึ่งนิยามใดๆ ท่านกำลังขัดแย้งกับพระไตรปิฏกแล้ว วิญญูชนได้โปรดศึกษาพระไตรปิฏกจากระทู้ที่ยกมาเถิดครับ ส่วนคนที่ยังหยาบคาบ ก็ได้โปรดทำวาจานั้นให้ละเอียดนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 10:31:23

ความคิดเห็นที่ 43 คุณน้องต๋าว คงจะจำผิดนะครับ ผมจำได้ว่าไม่มีคำว่าโลก มีแต่ นิพพาน ภพ 3 โลกันต์ มากกว่านะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 10:32:46

ความคิดเห็นที่ 44 ดิฉันทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน พระนางโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน  พร้อมกับพระภิกษุณีอีก ๕๐๐ องค์ หม่อมฉันจักถึงความดับในคืนวันนี้   มิได้มีชาติ ชรา พยาธิและมรณะ จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง    เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตายและไม่มีภัย ย่อมไปสู่สถานที่ไม่จุติ ที่คน   ทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก บรรลุถึงนิพพานอันเป็นสถานที่ไม่มีตัณหา ผู้นั้นพึงได้บรรลุนิพพานอันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว  เป็นสถานที่ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่.   พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัดๆ ก็จะเสด็จไปนิพพานเสีย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธเจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน ได้แต่หวังว่าคนที่ยกคำว่าพระนิพพานเป็นอนัตตา ขอให้กลับไปอ่านคำว่า วินิจฉัยในภาษาบาลีนั้นด้วยนะครับ ด้วยมหาปัญญาของพระพุทธเจ้า ยังจะต้องวินิจฉัยอีกหรือครับ และยังถูกลดบทบาทเหลือเรียกพระองค์ว่า  "ท่าน" ทีนี้เข้าใจหรือยังครับ นักปริยัติ ถ้าท่านตีความหมายผิด ก็จะเข้าใจผิดได้ ลองไปค้นดีๆว่า คำว่า "ท่านวินิจฉัยนั้น"   MCU สอนกันอย่างไรครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 10:39:00

ความคิดเห็นที่ 45 เป็นไปได้ว่าจำผิดคะ เพราะเห็นครั้งเดียว ไม่ได้ตั้งใจจดจำไว้ให้ละเอียดพออีกด้วย รบกวนช่วยแสกนนำมาแสดงด้วยได้ไหมคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 11:25:28

ความคิดเห็นที่ 46 #45 ลองหาคำว่า คู่มือสมภารครับ แล้วอย่าตัดแต่รูปมานะครับ เอาเนื้อหาด้วย แล้วลองดูว่าขัดแย้งกับพระสูตรใดก็ยกมาแสดงได้ครับ หรือสอดคล้องกับพระสูตรใด จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 12:57:01

ความคิดเห็นที่ 47 ขอโอกาสท่าน จขกท. ตามที่ท่านสมถะได้กรุณาแสดงพระไตรปิฎกใน คห. ที่ 33-34 และท่านพักผ่อนได้กรุณาแสดงพระไตรปิฎกในคห.ที่ 37-40 นั้น  ด้วยเป็นคนด้อยปัญญาอ่านพระไตรปิฎกที่ท่านผู้เมตตาได้ยกมาแสดงสักเท่าไหร่ก็มิได้แจ้งดังทีท่าน จขกท. ได้แสดงไว้ใน คห.ที่24 ว่า "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 นอกจากนี้ท่านยังได้วัดระยะห่างระหว่างภพ 3 กับนิพพานให้ทราบอีกด้วยว่า ห่างกันกี่โยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องแสดงความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายอย่างมาก ที่สามารถรู้เห็นได้ลึกซึ้งและชัดเจนขนาดนั้น จากคุณ : venture     เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 12:00:06 " ......................................................................... จึงขอเมตตาท่าน จขกท. โปรดแสดงอีกสักครั้งว่าข้อความที่ท่านได้นำมาแสดงใน คห. ที่ 24 มีปรากฏในพระไตรปิฎกหรือไม่...มีปรากฏก็คือมี  ไม่มีปรากฏก็คือไม่มี....เพราะหากท่านยังดุษฎีเช่นนี้  คนเขลาอย่างผมคงสรุปไปโดยความโง่งมในสันดานนิสัยตามประสาด้วย คห.ที่ 24 และ คห.ที่ 29 ว่า... 1.ข้อที่ท่านแสดงมานั้น(คห. ที่24)ไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก...เพราะท่าน จขกท. ดุษฎีมิได้แสดงว่าปรากฏในพระสูตรใด   2.ข้อที่ท่านแสดงมานั้น(คห.ที่24)มิได้ขัดแย้งกับพระไตรปิฎก...อันนี้ก็สุดแล้วแต่ว่าแต่ละคนแต่ละท่านจักพิจารณากันว่าเห็นอย่างไร 3.ข้อที่ท่านแสดงมานั้นสามารถพิสูจน์ได้ดัง คห.ที่29...อันนี้ก็สุดแล้วแต่ว่าแต่ละคนแต่ละท่านจักพิจารณากันว่าเห็นอย่างไร .......................................................................... ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้เมตตาพยายามแสดงอธิบายในข้อสงสัยที่ได้เกิดมี... ขอท่านทั้งหลายจงเจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป..อนุโมทนาสาธู สาธู สาธู _/l\_ จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 13:49:50

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ Cathode_tube ขอสรุปตามประสบการณ์ว่าไม่มีความขัดแย้งใดๆกับพระสูตรครับ แต่หากใครมีก็ยินดีจะเข้าไปอ่านครับ หรือคุณจะแย้งก็เชิยได้ครับ ยกพระสูตรมาให้ดูก็จักขอบพระคุณมากนะครับ ต้องขอบคุณ คุณสมถะและคุณพักผ่อนครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 20:03:08

ความคิดเห็นที่ 49 "นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 เท่าภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" ...โอ้โหๆๆๆ ...  โง่เขลาไปได้ถึงขนาดนั้น....หลงไปได้ถึงเพียงนี้   เลอะเทอะสุดๆ  ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:39:18

ความคิดเห็นที่ 50 ...โอ้โหๆๆๆ ...  โง่เขลาไปได้ถึงขนาดนั้น....หลงไปได้ถึงเพียงนี้   เลอะเทอะสุดๆ  ... โขตาน พูดเช่นนี้ คงคิดว่าตนฉลาดมากหละสิจ๊ะ ตรรกะตรงไหนที่ว่าโง่เขลา ไหนลองเอาพระสูตรอื่นมายืนยันสักหน่อยสิจ๊ะ ทีพระป่าพูด เอ็งยังตะแบงว่าต้องตีความก่อน หลวงตามหาบัว พูดตรงๆ เรื่องนิพพาน เรื่องอนัตตา เพื่อตอบนักปริยัติระดับเจ้าคุณ เอ็งยังอ่านไม่แตก แล้วจะแสดงความเห็นผิดๆอีกเนอะคนเรา งั้นๆแหละ ดีแล้วที่เปลี่ยนชื่อ ศิษย์พระป่า เพราะยิ่งแสดงความเห็น ก็เห็นว่าเอ็งก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:31:57

ความคิดเห็นที่ 51 โขตาน เป็นตัวอย่างของพวกนิสิตที่เรียนแล้วไม่ได้เรื่อง สอบตก แทนที่จะปรับปรุงตัวเอง แต่กลับไปตำหนิ มหาวิทยาลัย ไปตำหนิคนสอน ตนเองฝึกธรรมกายมาแบบผิดๆ พอทำไม่ได้ ก็พาลไปด่าว่า วิชาความรู้นั้นผิด ถ้าจะอคติวัดพระธรรมกาย ก้อย่าพาลนิสัยเสียสิจ๊ะ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:40:56

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณ คุณ venture ที่ช่วย บอกชื่อหนังสือ แต่ช่วงนี้ งานเราหนักมาก ตามทุกกระทู้คงงานไม่เสร็จ ไว้สนทนากันใหม่ รอบหน้า ถ้ามีโอกาสนะคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 19:54:30

ความคิดเห็นที่ 53 นิพพานเป็นอสังขัตธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่นิพพานไม่เป็นอนัตตา? จากคุณ : YF-01 เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 12:01:23