ความคิดเห็นที่ 1 อืม จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:57:36

ความคิดเห็นที่ 2 ออกแนว  อุจเฉท ทิฐิ นะเนี่ย จากคุณ : จันทรประภา เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:00:31

ความคิดเห็นที่ 3 ยิ้ม จากคุณ : phuuIsara1 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:05:59

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเกิดคนชั่ว มีกิ๊กแล้วเกิดอาการฟินละครับ แสดงว่าคนชั่วคนนั้นไม่บาปใช่ไหมครับ สงสัยครับ ขอตอบแบบมีหลักการ และอ้างอิงด้วยจะดีมากครับ จะได้นำไปศึกษาต่อ ขอบคุณพระว๊อทล่วงหน้าครับ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:11:08

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 4     ถ้าเกิดคนชั่ว มีกิ๊กแล้วเกิดอาการฟินละครับ แสดงว่าคนชั่วคนนั้นไม่บาปใช่ไหมครับ สงสัยครับ ขอตอบแบบมีหลักการ และอ้างอิงด้วยจะดีมากครับ จะได้นำไปศึกษาต่อ ขอบคุณพระว๊อทล่วงหน้าครับ จากคุณ : M_moshi   เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:11:08   **************** นี่เป็นการสมมติ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า   การศึกษาเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้านั้น เราจะต้องศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเองจริงๆ ไม่ใช่มาสมมติเอาหรือมาคิดคำนวนณเอาอย่างนี้ ถ้าเป็นการสมมติเอาอย่างนี้ ก็มีแต่จะเพ้อเจ้อเรื่อยไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น  แต่ถ้ามาศึกษาจากของจริง จะไม่เพ้อเจ้อและจะพบของความจริงที่ช่วยให้ดับทุกข์ได้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:19:02

ความคิดเห็นที่ 6 ปัจจัยเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกว่า นิสสัย มี ๔ อย่างคือ เที่ยวบิณฑบาต ๑, นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑, อยู่โคนไม้ ๑, ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑ นี่เป็นกิจที่บรรดาพระสงฆ์จะต้องปฏิบัติเป็นประจำ.. ส่วนกิจที่ไม่ควรทำ ท่านเรียกว่า อกรณียกิจ มี ๔ อย่างคือ เสพเมถุน ๑, ลักของเขา ๑, ฆ่าสัตว์ ๑, พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ๑, กิจ ๔ อย่างนี้บรรพชิตทำไม่ได้ ไตรลักษณ์  ถ้าทำเพื่อลาภ เพื่อชื่อเสียง ต้องอาบัติทุกกฏ จากคุณ : ซุนจื๊อ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:36:22

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ใช่เรื่องสมมุติครับ ผมเอาเรื่องจริงของเพื่อนผมที่เกิดขึ้นวันนี้ มาถามเท่านั้นเอง อยากทราบจากการอธิบายทางพระไตรปิฏกครับ ส่วนของจริง ก็ปฏิบัติจากของจริงครับ พอดีเห็นเป็นกระทู้บอร์ดถาม-ตอบทั่้วไป ไม่ใช่สถานปฏิบัติธรรม ก็เลยถามไปแบบนั้นเองครับ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:42:55

ความคิดเห็นที่ 8     ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด ไม่พึงเห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เขา จะพึงพูดอย่างนี้ว่า รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง     สีแดงฝาด รูปที่เรียบ และไม่ เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ไม่มี     ผู้ที่เห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและ ไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี เราไม่รู้สิ่งนี้ เราไม่ เห็นสิ่งนี้       เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี ดูกรบพิตร บุคคลเมื่อจะพูดให้ถูก จะพึงพูดดังนั้น หรือหนอ ฯ          หามิได้ ท่านกัสสป รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง     สีแดงฝาด รูปที่ เรียบและไม่เรียบ รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ ผู้ที่เห็น  รูปสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีแดงฝาด รูปที่เรียบและไม่เรียบ   รูปดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็มีอยู่ ดูกรท่านกัสสป บุคคลนั้น เมื่อจะพูด ให้ถูก จะพึงพูดว่า เราไม่รู้สิ่งนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงไม่มี ดังนี้ หาได้ไม่ ฯ        ฉันนั้นแหละ บพิตร บพิตรย่อมปรากฏเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด เหตุพระดำรัสที่ ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ก็ใครเล่าบอกความแก่ท่านกัสสปว่า พวกเทวดาชั้น  ดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวก เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้ พวกเรามิได้เชื่อต่อท่าน   กัสสปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืน      เท่านี้ โลกหน้าบุคคลจะพึงเห็นเหมือนดังที่บพิตรทรงทราบ ด้วยมังสจักษุนี้ หามิได้ ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์พวกใดเสพเสนาสนะอันสงัดซึ่งอยู่ในป่า สมณพราหมณ์     พวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ในเสนาสนะนั้น     ยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์แล้ว ย่อมแลเห็นทั้งโลกนี้ทั้งโลก หน้า และเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น ก็โลกหน้า บุคคล    จะพึงเห็นได้ด้วยประการฉะนี้แล หาเหมือนดังที่ บพิตรทรงทราบด้วยมังสจักษุนี้ไม่   ดูกรบพิตร โดยปริยายของบพิตรนี้แล ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลก      หน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีอยู่ ฯ จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:54:09

ความคิดเห็นที่ 9 คำสอนสวรรค์ในอก นรกในใจ และภพภูมิไม่มีนั่นมันคำสอนเดียรถีย์ในยุคพระพุทธเจ้า ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์ก็สอนอย่างนี้ เพราะยุคนั้นคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู นักศึกษาเข้าป่าไปร่วมอุดมการณ์ด้วยมากมาย เพราะเห็นว่าไทยไม่รอดแน่ พยายามไปหาหนังสือ คำสอนเดียรถีย์ อ่านให้ได้นะ ซึ่งภิกษุ ชยานันโท (พระอนันต์ เสนาขันธ์) เขียนแจพฤติกรรมของท่านพุทธทาส พิมพ์ในพ.ศ.2522 โน่น สมเด็จโตเรียกว่า.....คอมมิวนิสต์ยาสั่ง คือส่งคนเข้ามาบวชแล้วตึความคำสอนให้ปั่นป่วน จะยึดเมืองไทยได้ง่ายขึ้น นี่แหละระเบิดเวลา ที่ทำให้พุทธเละเทะ เอาแต่เถียง ไม่ปฏิบัติ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 22:22:11

ความคิดเห็นที่ 10    จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 23:28:47

ความคิดเห็นที่ 11 กฏแห่งธรรม กับกฏแห่งกรรม มันก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ... กรรมก็รวมอยู่ในธรรมเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 23:51:59 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 23:51:46

ความคิดเห็นที่ 12 ฯลฯ กรรมนั้น  อันบุคคลนั้น  พึงเสวยผล (แห่งกรรมนั้น)  ใน อัตตภาพนี้ นั่นเทียว วัตถุ (พื้นที่) อื่น หามีไม่ เพราะฉนั้น ภิกษุผู้ประจักษ์ราคะ โทสะ โมหะ  กระทำวิชชา ให้เกิดอยู่ ย่อมละ ทุคติ  ทั้งหลายทั้งปวงได้ (๒) อีกพระสูตร อวิชชา (ต้นเหตุให้ เกิด กรรม)  นั่นแหละ  เป็น คติ (เครื่องไป) ของสัตว์เหล่านั้น สรุป ธรรมทั้งปวง  อนัตตา **************************************************** พระพุทธเจ้าตรัสสอน ไว้ พระสูตรไหน  ที่ตรัวกับ  ข้อความตามภาพนี้ What am I? ตอบ มั๊ย จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 08:29:58

ความคิดเห็นที่ 13 กฏแห่งกรรม เป็น subset ( องค์ประกอบหนึ่ง ) ของ กฏแห่งธรรม กฏแห่งธรรมจะมีคำอธิบายที่กว้างกว่า กฏแห่งกรรม เพียงแต่ที่สอนกันอยู่ มันแคบเกินไป เพราะมันมีเรื่องของผลประโยชน์บางอย่าง เช่น  ทำให้บางคนก็อุปโลกตนเองเป็นผู้วิเศษ เช่น แม่ชี  ที่อ้างว่าตัวเองมองเห็นชาติก่อน ( กรรมเก่า ) ของคนอื่น แล้วก็ขายหนังสือ ได้เงิน ฯลฯ จากคุณ : จำฉันได้ไหม เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:04:31

ความคิดเห็นที่ 14 ขยันตั้งกระทู้ ธรรมะ  ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ชอบด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธฺญาณ ฯ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ว่าแต่ว่า ตอบผมแล้วยังว่า --- ใครเป็นศาสดาของท่าน ----- (ตอบมั๊ย) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:06:14

ความคิดเห็นที่ 15 คคห 13 กฏแห่งกรรม เป็น subset ( องค์ประกอบหนึ่ง ) ของ กฏแห่งธรรม ******************************************************** ทิฏฐิข้างบน  -- เอามาจากไหน? สอบทานกับ พระสูตรนี้ แล้ว หรือยัง ? ดู http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12591748/Y12591748.html อิติวุ  ขุ  ๒๕/๒๙๘/๒๗๐ ภิกษุทั้งหลาย  สังขตธรรมก็ดี  อสังขตธรรมก้ดี  มีประมาณเท่าใด วิราคะธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอดของ สังขตธรรม และ อสังขตธรรมเหล่านั้น ทั้งหมด ฯลฯ วิราคะธรรม นั้น  ได้แก่  ธรรมเป็นที่สร่างแหา่งความเมา (ในสิ่งที่ ยึดมั่นอยู่ ไม่เว้น "ปรมัตถ์ มีจริง) ฯลฯ ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ฯ ธรรมเป็นที่ดับกิเลส นี้แล คือ นิพพาน ตกลง กฎแห่งกรรม ---- เนื่องกับ คำที่ตรัส คำไหน? --- (๑) สังขตธรรม (๒) อสังขตธรรม (๓) วิราคธรรม นี้แล คือ นิพพาน คุณ จำฉันได้ไหม   ช่วย แสดงเป็นธรรมทาน ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:09:11

ความคิดเห็นที่ 16 What am I? ตอยมั๊ย กฎแห่งกรรม  ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ฯ ---- เนื่องกับ คำที่ตรัส คำไหน? --- (๑) สังขตธรรม (๒) อสังขตธรรม (๓) วิราคธรรม นี้แล คือ นิพพาน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:21:05

ความคิดเห็นที่ 17 -กฎแห่งกรรม หรือ กฎแห่งธรรม ผมเชื่อในความหมายของคำว่า   หว่านพืชเช่นไรย่อมได้พืชผลเช่นนั้น ว่าเป็น คำสอนที่มีอยู่ในพุทธศาสนา มีทั้งผลปฎิบัติจากตนเอง และของผู้อื่นสอดคล้องกัน และเทียบเคียงได้จากพระไตรปิฏกที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า จากความจริงที่เป็นไปทั่วไป  อธิบายมาเป็นคำสอน  บันทึกทันทีมาเป็นพระไตรปิฏกเพื่อ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน  ความจริงนั้นก็ยังไม่เปลียน   การปลอมคำสอน ปลอมในขั้นตอนไหนน่าจะทราบได้ไม่ยาก ที่ยากคือพิสูจน์ว่าปลอมจริงมั้ย จะยากที่สุดถ้าไม่จริงว่าปลอม   แต่ไม่สำคัญเท่าว่า หว่านพืชเช่นไรย่อมให้พืชผลเช่นนั้น  ไม่เปลียนผลของมันไปได้ ซึ่งเป็นและมีในคำสอน พุทธศาสนา และหว่านพืชเช่นไรย่อมให้พืชผลเช่นนั้น  เป็นกฎของแห่งการกระทำเรียกว่า กฏแห่งกรรม จากคุณ : สวรรค์บรรเลง เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 11:12:11

ความคิดเห็นที่ 18 คำสอนเรื่อง กฎแห่งกรรม ที่สอนว่า เมื่อเราทำกรรมใดไว้ในชาตินี้แล้ว จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในชาติหน้า (อะไรทำนองนี้) นั้น ไม่ใช่หลักที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในภายหลังมาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว ... สรุปได้ว่า เรื่องกฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัวหรือนอกตัว ที่ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลและพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้  เพราะพระพุทธเจ้าจะสอนเรื่องกฎแห่งธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุผล พิสูจน์ได้ จากคุณ : What am I?   เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:44:22   ถูกใจ : 13th friday, โลกนิติฉบับไทย, selfless ^^^ ท่านครับ มิจฉาทิฏฐิอีกแล้ว คราวนี้เต็มขั้นเลย ทั้งมิจฉาทิฏฐิ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และกล่าวตู่พระพุทธศาสนา เรื่องกรรมนั้น ท่านแสดงความเห็นไว้อย่างนั้น ท่านลืมเรื่อกรรมและการให้ผลของกรรม 12 ประการ หรือที่เรียกว่ากรรม 12 ไปแล้วหรืออย่างไร หรือท่านไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน จึงได้แสดงความเห็นผิดออกไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัด กรรมบางประเภทให้ผลทันที บางประเภทให้ผลก่อน บางประเภทให้ผลในชาติถัดไป บางประเภทให้ผลในชาติที่สาม พระพุทธเจ้าเองท่านแสดงเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมไว้มากมายนัก แสดงเรื่องอานิสงส์ของกุศลกรรม แสดงเรื่องวิบากของอกุศลกรรม ไว้มากมายนักจนนับไม่ถ้วน มีพระพุทธพจน์ยืนยันชัดเจน เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมนี้เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา แต่ท่านกลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น นี่เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ท่านอ้างตามทิฏฐิของท่านว่ามีการปลอมปนจาาพราหมณ์ ท่านก็อ้างลอยๆของท่าน พูดเพ้อเจ้อไปตามข้อมูลที่ท่านได้รับมา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เคยมีก่ารพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงมาก่อน แต่ท่านก็เชื่อและเผยแพร่ เพราะมันตรงกับทิฏฐิวิบัติของท่าน โยมทั้งหลายกล่าวเตือนสติท่าน ติเตียนท่าน ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ท่านละวางมิจฉาทิฏฐินี้เสีย แต่ท่านก็ยังเผยแพร่ความเห็นผิดนี้ออกไป ผู้ที่ไม่ชัดเจนก็หลงเดินทางผิดเห็นผิดไปกับท่าน บาปซ้ำบาปซ้อนนะท่านนะ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 12:29:43

ความคิดเห็นที่ 19 คำสอนเรื่อง กฎแห่งกรรม ที่สอนว่า เมื่อเราทำกรรมใดไว้ในชาตินี้แล้ว จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในชาติหน้า (อะไรทำนองนี้) นั้น ไม่ใช่หลักที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในภายหลังมาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะสอนเรื่อง กฎแห่งธรรม คือจะสอนว่า เมื่อเราทำสื่งใดลงไปด้วยเจตนา (คือกิเลส) ไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา หรือใจ ก็ตาม ย่อมจะเกิดผลแก่จิตใจของผู้กระทำนั้นทันที คือถ้าทำด้วยเจตนาดี ก็จะเกิดความสุขใจอิ่นใจขึ้นมาทันที แต่ถ้าทำด้วยเจตนาชั่ว ก็จะเกิดความทุกข์ใจหรือร้อนใจขึ้นมาทันที  ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติที่ควบคุมจิตใจของคนเราอยู่นั่นเอง สรุปได้ว่า เรื่องกฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัวหรือนอกตัว ที่ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลและพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้  เพราะพระพุทธเจ้าจะสอนเรื่องกฎแห่งธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุผล พิสูจน์ได้ จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 20:44:22   ถูกใจ : 13th friday, โลกนิติฉบับไทย, selfless ------------------------------------------------------------- กรรมติดจรวด ให้ผลกระทบเฉพาะจิตใจในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ตอนกระทำกรรมดี จิตใจก็เบิกบาน ตอนกระทำกรรมชั่ว จิตเศร้าหมอง แล้วก็จบกันไป ง่ายดีจัง ตอนล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ได้ จิตใจก็สนุกสนาน เบิกบาน เพราะฆ่าสัตว์ได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ บาป บุญไม่มี ธรรมแบบนี้ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่หรือ? แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:42:09 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:40:59 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:11:47 จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 13:10:45

ความคิดเห็นที่ 20 คุณนิแรน ถามคำถามทำนองเดียวกับผมเลย ผมไม่ได้อยากเข้ามาเถียงกับพระว๊อตนะครับ แค่อยากได้คำอธิบายตามพระไตรปิฏกจริงๆ ส่วนเรื่องปฏิบัติธรรม หลายๆ ท่านในห้องนี้ ก็ทำเป็นเรื่องปกติกันอยู่แล้ว เพียงแต่นี้เป็นบอร์ดถามตอบ เพื่อจะได้หาคำตอบที่ถูกต้องและดีที่สุดนะครับ^^ เพราะผมเองก็เคยคิดแบบท่าน คือถ้าอะไรทำไปแล้วไม่สบายใจ นั่นแหละเรียกว่าบาป แต่ชีวิตจริง คนรอบตัวผม กลับรู้สึกฟินกับการทำบาปกันมากๆ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย ผมคิดว่า ผมควรจะหาคำอธิบายดีๆ เพื่อชี้ทางสว่างแก้เพื่อนๆ ผมครับ เพราะผมเองความรู้ทางปริยัติและปฏิบัติยังน้อยมาก แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 14:18:11 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 14:15:41 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 14:14:59

ความคิดเห็นที่ 21 เพิ่งได้อ่าน คห.18 ครับ ขอบคุณมากครับ ถ้าใครมีลิ้งพระสูตรในเนื้อหาส่วนนี้ ช่วยนำมาแปะให้หน่อยนะครับ อยากอ่านครับ^^ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 14:30:38

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 21 คุณ M_moshi ค้นใน Google ดูนะครับ คำว่า "กรรม 12" ก็จะมีข้อมูลปรากฎขึ้นมามากมายรวมทั้งข้อมูลในพระไตรปิฏกด้วย เจริญในธรรมครับ :) จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 15:49:08

ความคิดเห็นที่ 23 ชัวร์  หรือ มั่วนิ่ม? กุกกุโรวาทสูตร ---- ตรัส กรรม ๔ ประเภท นิพเพธิกสูตร -------- ตรัส "เรากล่าววึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม ฯ https://www.google.co.th/search?q=%22%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1+12%22+&ie=utf-8&oe=utf-8&aq=t&rls=org.mozilla:en-US:official&client=firefox-a กรรม 12 ประเภท : กรรม www.baanjomyut.com › ห้องสมุด - แคช ในหนังสือวิสุทธิมรรค ซึ่งแต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ พระเถระชาวอินเดีย ได้แบ่งกรรมไว้ 12 ประเภท ตามกาลเวลา ตามหน้าที่ และตามความหนักเบา. กรรม 12 ---- เสนอโดย สาวกสมัยราวๆ พ.ศ 900  -- ในหนังสือวิสุทธิมรรค ซึ่งแต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ พระเถระชาวอินเดีย วิสุทธิมรรค ไม่ใช่ อธิบายพระไตรปิฎก ตอนใดตอนหนึ่งโดยเฉพาะ ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 18:22:28

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ กล้าแสดงความเห็นมั๊ยครับว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จขกทยกมา เพราะเหตุไร เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 22:35:07

ความคิดเห็นที่ 26 ความคิดเห็นที่ 14     ขยันตั้งกระทู้ ธรรมะ  ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ชอบด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธฺญาณ ฯ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา ว่าแต่ว่า ตอบผมแล้วยังว่า --- ใครเป็นศาสดาของท่าน ----- (ตอบมั๊ย) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:06:14   *********** ถ้าเมื่อไรคุณเซนฯทิ้งตำราแล้ว จึงจะตอบให้ จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:00:29

ความคิดเห็นที่ 27 โยมทั้งหลายกล่าวเตือนสติท่าน ติเตียนท่าน ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ท่านละวางมิจฉาทิฏฐินี้เสีย แต่ท่านก็ยังเผยแพร่ความเห็นผิดนี้ออกไป ผู้ที่ไม่ชัดเจนก็หลงเดินทางผิดเห็นผิดไปกับท่าน บาปซ้ำบาปซ้อนนะท่านนะ จากคุณ : ทุกวินาที   เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 12:29:43   ถูกใจ : นิแรน ************ ความเห็นต่าง ยังไม่ใช่ความเห็นผิด ความเห็นผิดที่คุณ ทุกวินาที  ว่ามานั้นมันเป็นเพียงความเห็นผิดจากความเห็นของคุณ ทุกวินาที  เท่านั้น แล้วคุณ ทุกวินาที  เอาอะไรมาเป็นเครื่องชี้วัดว่าอาตมามีความเห็นผิด และคุณ ทุกวินาที  มีความเห็นถูก จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:04:43

ความคิดเห็นที่ 28 ความคิดเห็นที่ 7     ไม่ใช่เรื่องสมมุติครับ ผมเอาเรื่องจริงของเพื่อนผมที่เกิดขึ้นวันนี้ มาถามเท่านั้นเอง อยากทราบจากการอธิบายทางพระไตรปิฏกครับ ส่วนของจริง ก็ปฏิบัติจากของจริงครับ พอดีเห็นเป็นกระทู้บอร์ดถาม-ตอบทั่้วไป ไม่ใช่สถานปฏิบัติธรรม ก็เลยถามไปแบบนั้นเองครับ จากคุณ : M_moshi   เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 55 21:42:55    ********** พระพุทธเจ้าสอนให้ดูจากจิตของเราเอง เราไม่สามารถไปรู้ได้ว่าเพื่อนของเรานั้นมีความรู้สึกจริงอย่างที่เขาบอกมาหรือเปล่า? (อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุว่า มีคนเขาบอกมา) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรสนใจ  ส่วนเรื่องที่ควรสนใจก็คือให้มาดูจากจิตของเราว่า เมื่อมันเกิดกิเลสแล้วมันเป็นทุกข์จริงหรือไม่? หรือเมื่อจิตไม่เกิดกิเลส มันก็ไม่มีทุกข์จริงหรือไม่? จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:12:01

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ได้ จิตใจก็สนุกสนาน เบิกบาน เพราะฆ่าสัตว์ได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ บาป บุญไม่มี ธรรมแบบนี้ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าแน่หรือ? แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:42:09 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:40:59 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 55 13:11:47 จากคุณ : นิแรน     เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 13:10:45    ******************* กรรม คือ การกระทำด้วยเจตนา ซึ่งเจตนานั้นก็คือกิเลส วิบากคือผลจากกรรม ซึ่งก็คือความรู้สึกจากจิตใต้สำนึก คือเมื่อทำดีก็จะสุขใจ อิ่มใจ เมื่อทำชั่วก็จะไม่สบายใจ หรือร้อนใจ ซึ่งให้ผลในเวลาที่ทำกรรมหรือหลังจากทำกรรมเสร็จแล้วหรือหลังจากนั้นอีกก็ได้ คนฆ่าสัตว์ก็รู้อยู่ว่าให้สัตว์เกิดความทุกข์ แม้จะมีความสุขใจแต่ก็จะมีความรู้สึกเสียใจไม่สบายใจซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งนั่นก็คือผลของบาปหรือกรรมชัวโดยตรง และยังมีความเคยชินที่จะทำกรรมชั่วอื่นเกิดขึ้นตามมาอีก(ที่เรียกว่าอนุสัย) จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:22:05

ความคิดเห็นที่ 30 ขอให้ไปที่กระทู้ใหม่ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12599556/Y12599556.html จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 20:25:25