ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็น ใคร ว่า สมาธิลัทธิอื่น (กำหนด ที่ รูปฌานสี่)  เหมือนกับ สมาธิ ตาม อุทเทสแห่งสัมมาสมาธิ ที่ตรัสไว้ ********************************************************                    กำหนด ที่ พระสูตร นี้ (ในวงเล็บ  ผม เสนอเอง)                            -- ปญฺจก  อํ ๒๒/๒๕/๒๗ ----- ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิมีคุณ (คุณคือ คุณภาพ แบบ ที่ทรง มีมาแล้ว มั๊ง) อันไม่มีประมาณ (ดู --ประมาณ มิได้มีแก่ ผู้ที่ มิได้ตั้งอยู่  คือ พระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ ฯ) พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ เป็นผู้มีปีญญารักษาตัว (ดู ศีลสมบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ คือ พระอนาคามีฯ) มีสติ (ปัฏฐานสี่ มั๊ง) เฉพาะหน้า อยู่เถิด (นักอภิธัมฯ ว่า  สติแบบนี้ = จดจ้อง มั๊ย) เมื่อเธอเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ เป็นผู้มีปัญญารักษาตัว มีสติเฉพาะหน้าอยู่  (แปลว่า ไม่ นิ่งเป็นหิน ใช่ไหม?) ญาณ ๕ ประการ  ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน (อนาคามี ตามที่ยกตัวอย่างเสนอ เอง) นั่นเทียว ญาณห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการ คือ (๑) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ ให้เกิดสุขในปัจจุบันด้วย  มีสุขเป็นวิบากต่อไปด้วย (๒) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --  สมาธินี้ เป็นธรรมประเสริฐ ปราศจากอามิส  (สมาธิลัทธิอื่น  ประเสริฐ  เท่าไหม?) (๓) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้  (แล้ว ลัทธิอื่นที่เสพรูปฌานสี่ได้ แปลว่า?) (๔) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง แบบนั้นๆ  ที่ ไม่ใช่ ธรรมอันเอก   ใช่หรือไม่?) (๕) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ --- เรามี สติ เข้าสมาธินี้ มีสติออกจากสมาธินี้ --- (นรักอภิธัม ฯ นักดูจิต  เข้าใจ ที่ตรัสนี้ ???) ^^^^ ใคร ว่า สมาธิลัทธิอื่น (กำหนด ที่ รูปฌานสี่)  เหมือนกับ สมาธิ  ที่เนื่องกับ ญาณ ๕ ตามที่ตรัส ???? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 07:50:18

ความคิดเห็นที่ 2 สติในสมาธิสัญญาสัมปชัญญะในสิ่งที่ผัสสะ เมื่อ ผัสสะแรก คือ สักว่า กระทบ --- (สัญญาเกิดก่อน ปัญญา? ตาม ที่ตรัสคำว่า สัญชานาติ - อภิชานาติ -- ดู พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้า  ๓๖๙ -------------------------------------------------- คุณหลังไมค์ เสนอว่า สรุปได้ว่า ... หากมีสติก่อนผัสสะแล้ว ผัสสะนั้นๆ ก็จะเป็น "ปฏิฆะสัมผัส" เป็นเพียงการดำเนินไปตามหลักอิทัปปจจยตา เป็นกระบวนธรรม ตามความสัมพันธ์แห่งปัจจัยเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนใดๆ เกิดขึ้นทางมโนทวาร จิตก็นิ่งๆ เป็นปกติอยู่อย่างนั้น ไม่ยินดี ยินร้ายกับสิ่งที่มากระทบ ณ ขณะนั้นๆ ... แต่หากเผลอสติปั๊ป จิตก็จะปักฝังลงในสิ่งที่ผัสสะ ตามความเคยชินที่จะประพฤติไปตามอำนาจจิตแบบเดิมๆ ... กระแสปฏิจจสมุปบาทก็เกิดทันที ก็ย่อมลำบาก เป็นทุกข์เมื่อนั้น .... ตามดู ตามเห็นจนเครียดเลย ปวดขมับตึ๊บๆ เลยปล่อยสบายๆ เพราะเริ่มจะประจักษ์แบบเข้าถึงจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แบบที่เข้าใจตามตัวหนังสือ . ข้อพิจารณา ทำไม ----- จึง ------ เกิด ----- รู้หมายซึ่งความรู้สึก (สัญญาเวทยิตตะ) ที่เนื่องกับ ขณะ คือ -- ตามดู ตามเห็นจนเครียดเลย (+) ปวดขมับตึ๊บๆ ????? ในเมื่อ สมาธิ  คือ ---- ความที่จิตเป็นประภัสสรแบบที่ตรัส + อาการ ไม่ฟุ็งซ่าน สติ คือ ความที่จิตเป็นประภัสสร แบบที่ตรัส+ อาการ ตั้งมั่น (ระลึกได้) ----- (สติ ตั้งมั่น ---จากความจำ --- สาวกภาษิต คือ พระสารีบุตรเสนอไว้ครั้งพุทธกาล) อานาปานสติแบบพิสดาร --- เมื่อ ตามดู ตามเห็น ด้วย สติในสมาธิ  จะ ไม่เกิด "เครียด"  ที่ กายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูติ (ธาตุ)สี่ อันตถาคตเรียกว่า  จิตบ้าง  มโนบ้าง  วิญญาณบ้าง สรุป เป็นไปได้หรือไม่ว่า สติในสมาธิ ที่ เนื่องกับ --ตามดู ตามเห็นจนเครียดเลย ปวดขมับตึ๊บๆ = สมาธิที่ยังไม่ ใช่  ตามที่ตรัสว่า ---- พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิมีคุณอันไม่มีประมาณ--- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 08:25:36

ความคิดเห็นที่ 3 พระสูตรนี้  น่าจะเป้น ปฐมนิเทส ประการหนึ่ง  ที่ นักปฏิบัติ  ควร สอบทาน                     มูลปริยายสูตร  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒            ตรัสเรื่องราวอันเป็นมูลแห่งธรรมทั้งปวง (สัพพธัมมมูลปริยาย) ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 09:16:05

ความคิดเห็นที่ 4 "สมาธิลัทธิอื่น" กับ "สมาธิที่ เจ้าชายสิทธืิตถะ ทรง ระลึกถึง สมัยปฐมวัยว่า ชะรอยจะเป้นทางมาของความสำเร็จ" ---- เหมือน - ต่าง อย่างไร? --------- ผม คิดว่า คงเพรา นึกได้ว่า สมาธิ ตอนเด็ก นั้น ต่าง จาก ตอนที่เรียน กับ อาจารย์ อย่างไร ครับ และ สิ่งที่ต่างนั้น ผม คิดว่า คือ "อามิส" ครับ ตอนเรียน กับ อาจารย์ มี อามิส ตลอด แต่ ตอนเด็กนั้น ไม่มี อามิืส เพราะ ไม่รุ้ว่าต้องการอะไร ก็เลยไม่มีผลที่ต้องการได้ ---------------------------------------- สรุป ต่างกับ ตรง "ความอยาก" ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 15:18:03

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาอ่าน... จากคุณ : ย่าอ้วนแพน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 16:51:44

ความคิดเห็นที่ 6 คคห 4 ผม คิดว่า คงเพราะ นึกได้ว่า สมาธิ ตอนเด็ก นั้น ต่าง จาก ตอนที่เรียน กับ อาจารย์ อย่างไร ครับ และ สิ่งที่ต่างนั้น ผม คิดว่า คือ "อามิส" ครับ ตอนเรียน กับ อาจารย์ มี อามิส ตลอด แต่ ตอนเด็กนั้น ไม่มี อามิืส เพราะ ไม่รุ้ว่าต้องการอะไร ก็เลยไม่มีผลที่ต้องการได้ ******************************************************** คุณ a235 เสนอ ฯ ว่า ต่างกันตรง (๑) อามิส (เหยื่อล่อ) (๒) ความอยาก ทำไม คุณ a235  ---- ไม่ พิจารณาที่ตรัสว่า --- สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม--- ละครับ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 17:56:45

ความคิดเห็นที่ 7 พิจารณา  ที่ตรัส --- สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง) --- ******************************************************** ญาณ ที่เนื่องกับ สมาธิ แบบที่ตรัส ^^^^  นี้ นั้น ตรัสสอนภิกษุ เมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ฯ และเนื่องกับ -- ก่อนตรัสรู้ -- คือ การบำเพ็ญเพียรทางใจ (ดูพุทธประวัติตรัสเล่าเองฯ) ---- ที่ระลึกได้ สมัยปฐมวัย ครั้ง ๗ ปี เสด็จร่วมพิธีแรกนาขวัญ  ฯ คือ สมาธิขั้น ปฐมฌาน                                           ดังนั้น                                ทำไม ไม่ มองในมุมว่า สมาธิแบบที่ทรงสามารถในสมัยปฐมวัย "ปฐมฌาน" นั้น ซึ่งเป็น วิธีปฏิบัติ ของเผ่าชนชาวสากยวงศ์   (๑) เป็นสมาธิ เนื่องกับ --- ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก)   ซึ่ง แตกต่างกับ (แตกต่างอย่างไร? ----- จะ พิจารณา พระสูตรไหน?) (๒) การข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง)                                ทำไม ไม่ มองในมุมว่า สมาธิ (๑) นั้น เป็น วิธีปฏิบัติ ของเผ่าชนชาวสากยวงศ์   -- ที่ไม่ เกี่ยวกับ สมาธิแบบลัทธิพราหมณ์ "ไตรเภท" ที่ศึกษา "พระเวท"   ส่วน สมาธิ (๒) นั้นเป็น วิธีปฏิบัติ อื่นไปจากวิธีของเผ่าชนชาวสากยวงศ์                                ทำไม ไม่ มองในมุมว่า สมาธิของเผ่าชนชาวสากยวงศ์ --ไม่ใช่ "พราหมณ์" ส่วน สมาธิอื่นไปจาก สมาธิของเผ่าชนชาวสากยวงศ์ -- "ใช่ พราหมณ์" หมายเหตุ ๑ ถ้า ใคร สรุปง่ายๆ ว่า  สมาธิ เป็น ธรรมชาติฝ่าย มนายตนะ เหมือนๆ กัน ขอให้ พิจารณาที่ ตรัส --- (๑) สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้ (๒) สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง) หมายเหตุ ๒ สมาธิ เช่นนี้ "กำหนดที่ รูปฌานสี่  ตามที่ตรัสไว้" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 18:17:29

ความคิดเห็นที่ 8 ประเด็น ใคร ว่า สมาธิลัทธิอื่น (กำหนด ที่ รูปฌานสี่)  เหมือนกับ สมาธิ ตาม อุทเทสแห่งสัมมาสมาธิ ที่ตรัสไว้ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 18:24:16

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่แตกประเด็น ฯ (๑) ทำไม ใครก้ตาม (ยกไว้) ---- สรุปเสนอว่า ---  พุทธศาสนา โดยเฉพาะ --- (๑) "ธรรม" "ที่ตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาท" (๒) "วินัย" สิกขาบท  ที่ทรงบัญญัติสมัยต่อมา (ดู ที่พระสารีบุตรทูลให้ ทรงบัญญัติ ตรัสว่า ตถาคต รู้ กาลฯ  จากความจำ) (๓) "สมาธิ" --หรือ อธิจิตตสิกขา ---- ตามที่พระพุทะเจ้าตรัสไว้นั้น -- เป็นการต่อยอด ลัทธิ พราหมณ์ ---หรือ-- ต่อยอด ---- ศาสนาพราหมณ์? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 55 18:44:37

ความคิดเห็นที่ 10 ประเด็น นี้ จะเนื่องด้วย  สมาธิ เป็นไฉน? กล่าวคือ "สมาธิลัทธิอื่น" กับ "สมาธิที่ เจ้าชายสิทธืิตถะ ทรง ระลึกถึง สมัยปฐมวัยว่า ชะรอยจะเป้นทางมาของความสำเร็จ" ---- เหมือน - ต่าง อย่างไร? ************************************* เรียนเสนอดังนี้ครับ -ก่อนหน้าระลึกไปถึงอานาปานสติ ทรงบำเพ็ญพรตแบบทรมานตนตามแบบนักบวชสมัยนั้น (และสมัยนี้) - สมถะ และวิปัสสนา ของเขานั้น ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป ... (ที่ตรัสไว้) -ทางมาแห่งความสำเร็จ = ทรงระลึกถึงสมาธิ -ท่านอาฬารดาบส ผู้ได้สมาธิ(สมถะ) เป็นท่านแรกที่ทรงระลึกถึง ต่อด้วยอุทกดาบส(ทั้งสองทำกาละไปแล้ว-อด)  จึงทรงไปโปรดปัญจัควัคคีย์ทั้ง ๕ ต่อด้วยกลุ่มชฏิล (นักบวช - ผู้มีการฝึกทางสมาธิจิต(สมถะ)) -ฌานสมาธิไม่ว่าในลัทธิใด ๆ ก็ต้องผ่านวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกัคตา จนอรูปฌาน -วิธีวิปัสสนาพระองค์ได้แล้ว (คือ การตามดู ตามเห็น แล้วเห็นว่าการทรมานตนไม่ใช่ทาง) -เรื่องสมถะพระองค์มีแล้วตั้งแต่ทรงพระเยาว์ มาแถมเพิ่มจนขั้นสูงสุดตอนออกบวช -ก่อนตรัสรู้ ทรงเอาสองสิ่งนี้มาประกอบกัน (สมถะ+วิปัสสนา) -ทรงตรัสรู้ธรรมคือ อริยสัจจ์๔ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 05:48:56

ความคิดเห็นที่ 11 คุณนายอิ่ม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 05:48:56 [แก้ไข]  -ฌานสมาธิไม่ว่าในลัทธิใด ๆ ก็ต้องผ่านวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกัคตา จนอรูปฌาน ^^^^ คุณนายอิ่ม  เสนอ ข้างบน ไม่ขัดกับ ---> (๓) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้  (แล้ว ลัทธิอื่นที่เสพรูปฌานสี่ได้ แปลว่า?) หรือ ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:01:24

ความคิดเห็นที่ 12 ประเด็น นี้ จะเนื่องด้วย  สมาธิ เป็นไฉน? กล่าวคือ "สมาธิลัทธิอื่น" กับ "สมาธิที่ เจ้าชายสิทธืิตถะ ทรง ระลึกถึง สมัยปฐมวัยว่า ชะรอยจะเป้นทางมาของความสำเร็จ" ---- เหมือน - ต่าง อย่างไร? โดย อาศัย ๒ พระสูตร คือ (๑) จิตนี้เป็นประภัสสร ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ (ที่สามารถใน"สมาธิลัทธิอื่น" ฯ) ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง เฉกเช่น  อริยสาวกผู้มีการสดับ ย่อมรู้ชัดว่า "พ้นวิเศษ" (ไม่ใช่ข่มไว้ได้)  จากอุปกิเลส คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ (อุปกิเลสสูตร / หรือ ราคะ โทสะ โมหะ - จูฬทุกขันธสูตร)  เพราะฉะนั้น  "จิตตภาวนา  หรือ อธิจิตสิกขา (คือ สมาธิภาวนาในธรรมวินัยนี้) ย่อมมีแก่ อริยสาวก  (ในสมัยพุทธกาล ไม่ว่าจะ เจริญสมาธิลัทธิอื่นมาแล้วหรือไม่?) (๒) ญาณ ๕ (หรือ วิปัสสนาญาณ ๕ ---- ผมเสนอคำนี้เอง)  ที่เนื่องกับ สมาธิ "ในธรรมวินัยนี้" ตามกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12509856/Y12509856.html ************************************************** ประเด็น ใคร ว่า สมาธิลัทธิอื่น (กำหนด ที่ รูปฌานสี่)  เมือนกับ สมาธิ ตาม อุทเทสแห่งสัมมาสมาธิ ที่ตรัสไว้ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:02:32

ความคิดเห็นที่ 13 คุณหลังไมค์ ครูกำลังบอกว่า "----" กำลังเจริญ "มิจฉาสมาธิ" อยู่ใช่ไหม ... ที่ทรงตรัสว่า ... "มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ ผู้มี มิจฉาสติ" คงจะใช่กระมัง ... เพราะค่อนข้างจะใช้วิธีบังคับ "สติ" แบบ "จ้องเขม็ง" ในการตามดู ตามเห็น + ที่เจือด้วย "ความอยาก" อยู่ด้วยจริงๆ  ... ก็น่าจะ "ผิด" ไม่เป็นไปตามที่ตรัสในอุทเทสแห่งสัมมาสมาธิ .... -- สติ + ธรรมชาติ + บริสุทธิ์ + อุเบกขา + แล้วแลอยู่ แสดงว่า กำลังเจริญ "มิจฉาสมาธิ" ด้วยความฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง เพราะคิดว่าวิธีการนั้น จะทำให้ จิตตั้งมั่นมีอารมณ์อันเดียวอยู่ได้นานๆ ... และไม่เป็นไปตาม สมาธิ ที่เนื่องกับ ญาณ ๕ ในข้อ ... (๔) ญาณ ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ว่า สมาธินี้ รำงับประณีต ได้แล้วด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม คงต้องปรับใหม่ ให้ตรงตามที่ตรัส .. -- สติ + ธรรมชาติ + บริสุทธิ์ + อุเบกขา + แล้วแลอยู่ ^^^ "....." เข้าใจถูกไหม.. ครูกรุณาชี้แนะเพิ่มเติมด้วย _/\_ ******************************************************** ข้างบน  -- ใช่ วิจิกิจฉาอันเป็น นิววณ์    ที่ เนื่องกับ "วิจิกิจฉา อันเป้นสังโยชน์"  -- หรือไม่ สอบทาน กับ พระพุทธภาษิตแปลไทย เสีย โดยเฉพาะ --ฉันทะราคะ (พอใจ+ย้อมติด) ใน "ขันธ์" ใด  ตัวฉันทะราคะ คือ ตัวสังโยชน์ ศึกษา "ธาตุ  อายตนะ ขันธ์  นันทิ (ความเพลินคืออุปาทาน)ในขันธ์ (นันทิ  มัน อะไรๆ กัย ฉันทะราคะ  อย่างไร? ศึกษา เสีย) ***************************************************** หมายเหตุ พิจารณา พระสูตรแปลไทย แบบเซนเถรวาทฯ  หนึ่ง คือ "อุปมาดั่ง ถาดทองลอยน้ำ" -- หมายความว่า "พิจารณา พระสูตร แบบ อ่าน จาก หลัง ไปหน้า กรณี ญาณ ๕ หรือ  ที่ผม เสนอว่าคือ --- วิปัสสนาญาณ ๕ ของ พระอริยสาวก ขั้นไหนละ  ตามที่ตรัสว่า (๑) ศีลสมบูรณ์  สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ  สารีบุตร เรากล่าวผู้เช่นนั้นว่า ผู้โสดาบัน  (จากความจำ) (๒) ศีลสมบูรณ์  สมาธิสมบูรณ์ ปัญญาพอประมาณ  สารีบุตร เรากล่าวผู้เช่นนั้นว่า ผู้อนาคามี  (จากความจำ) --- 15 พรรษาแรก สมัย สาวก 1250 รูป เป็นต้นนั้น --- "ยังไม่ทรงบัญญัติพระวินัย  หรือ สิกขาบทใดๆ"  -- ศีลสมบูรณ์  คือ ????? ----                                               ดังนั้น ทำไม ญาณ ๕  ที่ตรัส (ซึ่ง ต้องเนื่องกับ สัมมาญาณ หรือ สัมมา วิปัสสนา ไม่ใช่ "สัมมาวิปัสสนึก" ----- ของอริยสาวกขั้นนั้นๆ ด้วย)  ที่เนื่องกับ  "สมาธิ"  จึง ไม่เนื่องกับ พระเสขะ ที่ กำลัง เจริญ อธิจิตตสิกขา อยู่?  (ดู มูลปริยายสูตร  --- ทรงกำหนดภูมิ ปุถุชน ภิกษุผู้เสชะ ภิกาุผู้อรหันตขีณาสพ  และ  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระศาสดา --- /ดูที่หน้า ๓๖๙ ใน พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ก็ได้) ดังนั้น ลอง ใช้ "สัมมาวิปัสสนึก"  อ่าน (แบบ ที่ทรงอุปมา ถาดทองลอยทวนน้ำ) คือ อ่าน ข้อที่ ๕ ก่อน  ที่ตรัสว่า (๕) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ --- เรามี สติ เข้าสมาธินี้ มีสติออกจากสมาธินี้ --- (นักอภิธัม ฯ นักดูจิต  เข้าใจ ที่ตรัสนี้ ???) ก็จะ  เห็นได้เองหรือไม่ว่า --- สมาธิ แบบ ที่ เจริญอยู่  หรือ ที่สำคัญว่า นั่น สัมมาสมาธิ เพราะ เชื่อ ฯลฯ สอดคล้องกับ "พระพุทธภาษิต" --- ญาณ ๕  ที่ เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว  ขั้น ? ตาม -- มูลปริยายสูตร --- ก็จะ เข้าข่าย ---- ตัวไม้ สอนช่างไม้   ผู้ ไม่ประมาท  เพราะ กำหนดภูมิแห่งอัตตภาพ  ใน กรณีนั้นๆ ได้ -- โดย มี พระพุทธภาษิต (หลายๆ พระสูตร)  เป็น อาจารย์ของอาจารย์ตน  ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:21:04

ความคิดเห็นที่ 14 คุณหลังไมค๋ --เสนอ  ไม่ได้ ต่อ ยอดศาสาพราหมณ์ ข้อความที่พระบรมศาสดา สนทนากับ โปฏฐปาทปริพาชก ใน โปฏฐปาทสูตร ก็เป็นการชี้ชัดว่า ... "สมาธิ" --หรือ อธิจิตตสิกขา --- ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น – มิได้เป็นการต่อยอด ลัทธิ พราหมณ์ --หรือ-- ต่อยอด --- ศาสนาพราหมณ์ .. พ. ดูกรโปฏฐปาทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับเช่นนี้ ก่อนแต่นี้ เธอเคยได้ยินบ้างหรือ ? ป. หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ เพิ่งรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อย่างนี้แล. ฯลฯ ... _/\_ ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม. _/\_ ขอนอบน้อมแด่ครูเซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม ผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้แห่งองค์พระศาสดา ให้เรียนรู้ได้โดยง่าย ให้เกิดปัญญาและสัมมาทิฏฐิ สอนความรู้ในทุกแง่มุมโดยไม่ปิดบังอำพราง ด้วยความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้.                                    3 บรรทัด ^^^^ นี้ เซนเถรวาทฯ ก็ขอนอบน้อมแด่คุณหลังไมค์  ผู้ สัทธา ในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ผู้เพ่งธรรมที่พระธรรมที่ตรัสรู้ชอบด้วย "อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ"  และ เป็นผู้ที่เนื่องกับ เหล่า อริยสงส์ผู้ "สุปฏิปันโณ  ที่คือ "ทาสของพระพุทธเจ้า" ไม่ว่า สมัยไหนๆ ขอความเจริญในทางสายกลาง ที่พระบรมศาสดาแสดงไว้ดีแล้ว จงเป็นเหตุใกล้ของท่าน สืบไป                   ************************************ ธรรม ที่ตรัสแก่ โปฏฐปาทะ --- การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับเช่นนี้ ---- นั้น   (๑) เป็นการตอบปัญหา ธรรม ที่ โปฏฐปาทะ สำคัญหมาย (วิปลาส ๓) ว่า "สัญญา  ของคนเรา  คือ อัตตา ของผู้นั้น" (๒) อภิสัญญานิโรธ  ย่อม ต้องเนื่องกับ ญาณ ๕  ที่ เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว  เนื่องด้วย --- "สมาธิ" --หรือ อธิจิตตสิกขา --- ในธรรมวินัยนี้ ---- เท่านั้น --- ไม่มี ในลัทธิอื่น (๓) อภิสัญญานิโรธ   คือ  วิหารธรรม ของพระอนาคามี ผู้ อธิจิตตสิกขา ซึ่ง "อนุพุปปวิหาร ๙" --- ใช่หรือไม่ -- (เมื่อพระอนาคามีนั้น สมัย ก่อน สามารถใน รูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ แบบ ลัทธินั้น มาแล้วฯ)                                  อภิสัญญานิโรธ  ดู เช่น พระสูตรที่ปรากฏ ณ เชตวันมหาวิหาร "โปฏฐปาทสูตร" จากบล็อก โอเคเนชั่น ... www.oknation.net/blog/print.php?id=728572 - แคช โปฏฐปาทปริพาชก ทูลถามเรื่องอภิสัญญานิโรธ (การดับสัญญาชั้นสูง ซึ่งตามทรรศนะของพราหมณ์ ได้แก่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร. โปฏฐปาทปริพาชก ... หรือ http://www.mettadham.ca/triple%20gem_19.htm ภิกษุ เป็นผู้มีสกสัญญา เธอพ้นจากปฐมฌาน จากทุติยฌาน ฯลฯ ย่อมได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เมื่อเธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนแล้ว ย่อมมีความปริวิตกว่า เมื่อเราคิดอยู่ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่จึงจะดี แต่ถ้าเรายังขืนคิดขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับ สัญญาอย่างอย่างหยาบเหล่าอื่นพึงบังเกิดขึ้น เธอจึงไม่คิดไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป สัญญาหยาบเหล่าอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้บรรลุนิโรธ การเข้าอภิสัญญานิโรธ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุ ที่ตรัส  ใครว่า ไม่เนื่องกับ "ญาณ ๕" (หรือ วิปัสสนา ญาณ ๕ ของพระอริยสาวกฯ) ตามพระพุทธภาษิต -- ปญฺจก  อํ ๒๒/๒๕/๒๗ ----- (๔) วิหารธรรม แบบนี้ (อภิสัญญานิโรธ) ---- ลัทธิอื่น -- ไม่ เนื่องกับ  "สัญญาเวทยิตนิโรธ"  ตาม อนุปุพพวิหาร ๙                                              ดู เช่น ทรงพยายามในเนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้ www.buddhadasa.org › ... › พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ › ภาค ๒ - แคช ทรงพยายามในเนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้. อานนท์! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความรู้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เนกขัมมะ ...                                            สรุป เนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้ VS  อภิสัญญานิโรธ (การดับสัญญาชั้นสูง ซึ่งตามทรรศนะของพราหมณ์ ได้แก่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) โดยมาก --- มัก ถูก กำหนดว่า ---- พระพุทธเจ้า ต่อ ยอด ศาสนาพราหมณ์ (๑) ทำไม ไม่ "สำเหนียกว่า" = กำลัง อะไรๆ กับ พุทธวิสัย  ๑ ใน อจินไตย ๔ (เรื่องที่ คิด หรือ วิปัสสนึก  ด้วย จินตามยปัญญา  ขั้นนั้น ---- ดู มูลปริยายสูตร  --- ทรงกำหนดภูมิ ปุถุชน ภิกษุผู้เสขะ ภิกาุผู้อรหันตขีณาสพ  และ  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระศาสดา --   (๒) ขอเสนอให้ เพ่งพินิจ ดังนี้ พระอนาคามี  ต้อง เจริญ อธิจิตตสิกขา --- คือ  ถอนสังโยชน์ ข้อ รูปราคะ อรูปราคะ  คือ ถอน "สัญญาเวทยิตตะ" ที่เนื่องกับ "อภิสัญญานิโรธ"  ด้วย การเจริญ --อนุปุพพวิหาร ๙ -- ตามด้วย ที่ตรัสว่า อนึ่ง อาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา (จากความจำ) และ การเจริญ --อนุปุพพวิหาร ๙ --   ก็ ต้องเนื่องกับ "ญาณ ๕"  ตามที่ตรัสว่า -- สมาธินี้ (ที่ เป็นบาทฐานของ อนุปุพพวิหาร ๙) --- เรามี สติ เข้าสมาธินี้ มีสติออกจากสมาธินี้ --- (นรักอภิธัม ฯ นักดูจิต  เข้าใจ ที่ตรัสนี้ ???) และ อนุปุพพวิหาร ๙  ก็ต้องเนื่องกับ วิหารธรรม ๔  ตามที่ตรัส คือ (๑) ทิพย์วิหาร (๒) พรหมวิหาร (๓) อริยวิหาร และ (๔) สุญญตาวิหาร (วิหาร คือ  ที่ทรงอยู่แห่ง  อริยจิต  ที่คือ  จินประภัสสร ที่พ้นวิเศษจากอุปกิเลส ของอริยสาวก จิตตภาวนา หรือ อธิจิตตสิกขา  ย่อมมีแก่ อริยสาวก คุณหลังไมค์  "ช่วย" เพ่งพิจารณา ว่า  ที่ผมเสนอข้างบน  ไม่สอดคล้องกับ พระพุทธาษิตใด  ตาม นิยามคำว่า "สันทัสเสตัพพะ + โอสาเรตัพพะ" ฯ ด้วย ในฐานะ ที่ "เรา  คือ ผู้นั่งล้อมพระบรมศาสดาพระองค์นี้"  เหมือนๆ กัน จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:56:30

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยนี้ ถิ่นนี้ ---- กำลังเนื่องกับ  คำว่า --- "พุทธศาสนา  ระดับ world class" ---- หมายความอย่างไร?  ลองเพ่งเล่นๆ ดู ไม่แตกประเด็น ******************************************************** "สมาธิ" --หรือ อธิจิตตสิกขา --- ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น – มิได้เป็นการต่อยอด ลัทธิ พราหมณ์ --หรือ-- ต่อยอด --- ศาสนาพราหมณ์ … อานนท์ ! ตลอดกาลเพียงใด ที่เรายังไม่อาจเข้าออกอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งอนุปุพวิหารสมาบัติเก้า๒ ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมแล้ว, ตลอดกาลเพียงนั้น เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์. อานนท์ ! ก็แต่ว่าในกาลใดแล เราได้เข้า-ได้ออก อย่างคล่องแคล่วซึ่งอนุปุพพวิหารสมาบัติเก้า ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมแล้ว, ในกาลนั้น เราจึงปฏิญญาว่าเป็นผู้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์. อนึ่ง ปัญญาเครื่องรู้และปัญญาเครื่องเห็น ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า “ความหลุดพ้นแห่งใจของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีกต่อไป” ดังนี้. บาลี. อิติวุ. ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓, และ จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๐/๒๓. โลก ในที่นี้ คือทุกข์. ****************************************************** ดูเหมือนว่า  หรือ น่าจะ ----- มี คำเกิน -- ตรงคำว่า  "ซึ่งอนุปุพวิหารสมาบัติเก้า๒" เลข ๒  คือ ???? โปรด สอบทาน                                      พระสูตรนี้ (๑) น่าจะเนื่องกับ  ที่ตรัสว่า --- ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ (นันทิ + ขันธ์) ที่เนื่องกับ                  ------->  อนุปุพพวิหารสมาบัติเก้า  <---------- และ เนื่องกับ วิชชา ๓   ที่เนื่องกับ ญาณ ที่ชื่อ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และ เนื่องกับ ----- > โลกคือ ทุกข์  ที่ เนื่องกับ กามโลก รูปโลก อรูปโลก <---- ที่เนื่องกับ ----> พร้อมทั้งเทวโลก  มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์.                                     พระสูตรนี้  (๒) key word -- อนึ่ง ปัญญาเครื่องรู้และปัญญาเครื่องเห็น ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า “ความหลุดพ้นแห่งใจของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีกต่อไป” ดังนี้.                                  พิจารณาคำว่า "ภพ" ดู พุทธอุทาน --- ความดับแห่งภพ (คือ อภิสัญญานิโรธ และ อตัมมยตาเสียจาก อนุปุพพวิหาร ๙) เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา (อาการที่ พระอนาคามียังว่างจากสังโยชน์ ใดนั้น จึง ยังมี จิตอนุเสติในสิ่งนั้นอยู่) โดยประการทั้งปวง  นั่นคือ นิพพาน นิพพาน ตาม อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  จึง ---- อนัตตา ----                                 พิจารณาคำว่า "ชาติ" ดู พุทธภาษิต ----- เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ  --- อาการ (อันเป็น กฎอิทัปปัจจยตา แบบ) ปฏิจจสมุปบาทสาย เกิด "สมุทัย" ดู ที่ตรัส อตัมมยตา (หรือดู ธรรม ๙ ตา  ที่ท่านพุทธทาส เสนอไว้ โดยอ้างอิง พระพุทธภาษิตที่ตรัส  ฯ)          พิจารณาคำว่า “ความหลุดพ้นแห่งใจของเราไม่กลับกำเริบ" ดู ที่ตรัส --- เมื่อ จุตูปปาตะ ไม่มี (เพราะ หลุดพ้นแห่งใจของเราไม่กลับกำเริบ) อะไรๆ ก้ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ละ ไม่มี ที่ตรัส  เป็น อุจเฉททิฏฐิ  ได้หรือ ปรมัตถ์ (แบบที่นักอภิธัมมัตถสังคหะ รู้ ฯ)  แบบนี้  คือ ปรมทัตถ์ ?              *********************************                                         สรุป พุทธศาสนา ระดับ world class" ---- world class  แบบไหน ? (๑) แบบ มหาจุฬาฯ นิยม (๒) แบบ มหามงกุฏ ฯ นิยม (๓) แบบ "สายพระป่า" นิยม (๔) แบบ "สวนโมกข์" นิยม (๕) แบบ "เจริญสติ" 14 จังหวะ นิยม (๖) แบบ "พุทธธรรม" นิยม (๗) แบบ "ธัมมกาย" นิยม (๘) แบบ "มหาเถรสมาคม" นิยม (๙) แบบ "สันติอโศก" นิยม (๙) แบบ "ดูจิต" นิยม (๙) แบบ "มหาวิทยาลัย ฯ" นิยม (๑๐) แบบ "เถรวาท" นิยม (๑๑) แบบ "มหายาน" นิยม (๑๒) แบบ "วิสุทธิมัคค์" นิยม (๑๓) แบบ "อภิธัมมัตถสังคหะ" นิยม (๑๔) แบบ "ตัวกุ ของกุ" นิยม (๑๕) แบบ "ฯลฯ" นิยม จะ นิยม แบบไหน --- อย่าลืม  "พระพุทธเจ้า ยังทรงยังอยู่" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:26:43

ความคิดเห็นที่ 16 คุณหลังไมค์ เสนอ ราชกุมาร ! เมื่ออุปกาชีวกถามแล้วอย่างนี้ เราได้ตอบอุปกาชีวกด้วยคำ (ที่ผูกเป็นกาพย์ ท.) ว่า:- "เราเป็นผู้ครอบงำได้หมด, เป็นผู้รู้จบหมด, ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งทั้งหลาย, ละได้แล้วซึ่งสิ่งทั้งปวง, หลุดพ้นแล้วเพราะธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา, รู้ยิ่งเองแล้ว จะต้องเจาะจงเอาใครเล่า ! อาจารย์ของเราไม่มี, ผู้ที่เป็นเหมือนเราก็ไม่มี, ผู้จะเปรียบกับเราก็ไม่มี ในโลกและทั้งเทวโลก. เราเป็นอรหันต์ในโลก, เราเป็นครูไม่มีใครยิ่งไปกว่า. เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ, เราเป็นผู้ดับแล้วเย็นสนิท, จะไปสู่เมืองแห่งชาวกาสีเพื่อแผ่ธรรมจักร. ในเมื่อโลกเป็นราวกะตาบอด เราได้กระหน่ำตีกลองแห่งอมตธรรมแล้ว." ดังนี้. - บาลี ม.ม. ๑๓/๔๖๖/๕๑๓. ******************************************************* พุทธศาสนา ระดับ world class  ------ ขอให้ ตรงตาม ที่ตรัส ข้างบน ฯ ----- ^^^^ นักปริยัติ นักปฏิบัติ พิจารณา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:29:44

ความคิดเห็นที่ 17 คุณหลังไมค์ ประเด็น ใคร ว่า สมาธิลัทธิอื่น (กำหนด ที่ รูปฌานสี่) เหมือนกับ สมาธิ ที่เนื่องกับ ญาณ ๕ ตามที่ตรัส ???? >> คิดว่าไม่เหมือน เพราะสัมมาสมาธิที่เนื่องกับ ญาณ ๕ ตามที่ตรัสสอน ต้องเป็น .... ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว ทําให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย. ขอบพระคุณมากที่สุดครูที่เมตตา ... จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:31:24

ความคิดเห็นที่ 18 ข้อน่าเพ่งพินิจ จิตตภาวนา หรือ อธิจิตตสิกขา ---- ของ "สัทธานุสารี"  นั้น สติปัฏฐานทั้งสี่  คือ  --- หมวดแรกของ "โพธิปักขิยธรรม" ด้วย คือ อธิจิตตสิกขาด้วย นั้น                                       หมวดแรก กายานุปัสสนา อันเป็น สติปัฏฐานหนึ่งหมวดใน ๔ หมวด -- ซึ่งทั้ง อานาปานสติสูตร กับ มหาสติปัฏฐานสูตร  -- ก็ มี ข้อความที่ตรัส เช่นเดียวกันนั้น (๑) ปุถุชน ที่ ยังมิได้สดับ  (แต่รู้พุทธศาสนามากฯ ในสมัยนี้)  ตาม ที่ตรัส "จิตนี้เป็นประภัสสร ฯ" ดูที่ตรัส มูลปริยายสูตร (๒) ปุถุชน ตามที่ตรัส ใน มูลปริยายสูตร ดูที่ตรัส จิตนี้เป็นประภัสสรฯ ย่อม ไม่กลั้นหายใจ  เมื่อ เจริญ กระทำให้มากวึ่ง อานาบรรพ  อันเป้น สติปัฏฐาน (๓) ทำไมไม่ กำหนดว่า อานาปานสติแบบพิสดาร วัตถุ ๑๖  หมวดแรกนั้น เป็น สาธารณธรรม ที่ ภิกษุ คือ อริยสาวก ตามจิตประภัสสร "ไม่ว่าสมัยไหนๆ" "ถิ่นไหนๆ" -- ที่ผ่าน ปุถุชน มาแล้ว --- ย่อม เจริญ กระทำให้มาก ได้ -- นี้คือ เป็นอยู่โดยชอบ  ขั้น ปฐม  ก่อน สูงขึ้นๆ --- ตามที่ตรัสว่า เป็นอยู่โดยชอบ โลกจักไม่ว่างจากพระอริยเจ้า (ในธรรมวินัยนี้) หมายเหตุ การแสดง (อธิบาย) สติปัฏฐานสี่ ตาม นัย มหาสติปัฏฐานสูตร "โดยมาก" ใน สมัยนี้ (ไม่ว่าท่านใด ใคร) ----  ทำไม  จึง "เช่นนั้น" เล่า? (ตามที่ มี วาทะ เช่นนั้น) สติปัฏฐานสี่ แบบนั้นๆ (วาทะเช่นนั้น) --- เนื่องกับ " มูลปริยายสูตร"  ใช่หรือไม่? (ใช่แน่  แต่ ตรงกับ ข้อไหน?  ตาม ที่ตรัส ใน  มูลปริยายสูตร)              ************************************                                             ดังนั้น               ขอให้ นักปฏิบัติธรรม "รุ่นใหม่" ...ที่ broad - minded              สำเหนียก ตนเอง ให้ เนื่องกับ ที่ตรัส ใน  มูลปริยายสูตร จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:46:19

ความคิดเห็นที่ 19 มูลปริยายสูตร มีคำ พระบาลี ๒ คำ คือ คำว่า --สัญชานาติ กับ อภิชานาติ  เนื่องกับ ภูมิ ๔  (โดยย่อ) ดู (๑) พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้้า ๓๖๙ (๒) http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=0&Z=237 จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:49:38

ความคิดเห็นที่ 20 คงต้องปรับใหม่ ให้ตรงตามที่ตรัส .. -- สติ + ธรรมชาติ + บริสุทธิ์ + อุเบกขา + แล้วแลอยู่ ^^^ "....." เข้าใจถูกไหม.. ครูกรุณาชี้แนะเพิ่มเติมด้วย _/\_  *************************************************** คง       แปลว่า ? คงต้อง  แปลว่า ? อิทธิบาท ๔  ไม่ตรัสคำว่า คง  และหรือ คงต้อง เมื่อเนื่องกับ แันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มืใช่หรือ? กาลามสูตร -- โดยใจความท้ายพระสูตร -- ต่อเมื่อใดรู้ชัดตามที่เป็นจริงว่า สิ่งนั้นเป็นอกุศล (ไม่ฉลาด) เป็นโทษ เธอพึงละเสีย  ฯลฯ                     -----> เชื่อว่า คุณหลังไมค์ จะ  สรุปได้เอง <----- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 08:55:04

ความคิดเห็นที่ 21 ความคิดเห็นที่ 11     คุณนายอิ่ม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 05:48:56 [แก้ไข]  -ฌานสมาธิไม่ว่าในลัทธิใด ๆ ก็ต้องผ่านวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกัคตา จนอรูปฌาน ^^^^ คุณนายอิ่ม  เสนอ ข้างบน ไม่ขัดกับ ---> (๓) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้  (แล้ว ลัทธิอื่นที่เสพรูปฌานสี่ได้ แปลว่า?) หรือ ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)   เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 07:01:24   ******************************************* -สัญญาเกิดก่อน ญานเกิดทีหลัง -เรื่องสมาธิในลัทธิอื่นก็สามารถทำได้ การดับสัญญาต่าง ๆ ในลัทธิอื่นก็สามารถทำได้ -ในลัทธิอื่นสามารถดับสัญญาไปจนถึงเนวสัญญาฯ -อาจารย์ของพระศาสดาก็เป็นเจ้าลัทธิอื่น ผู้แสดงให้พระศาสดาสามารถถึงอากิญจัญญายตนะ + เนวสัญญานาสัญญายตนะ -ญานในลัทธิอื่นที่ไม่มีเช่นในพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาน (อื่นก็มีญาน เช่น บุพเพนิวาสนญาน เจโตปริยญาน) -ท่านเซนฯ มีมติแน่แล้วหรือหรือว่าในลัทธิอื่นจะไม่มีญาน -- สมาธินี้ คนชั่วถ่อยเสพไม่ได้ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 21:03:36

ความคิดเห็นที่ 22 คคห 21 คุณนายอิ่ม ถามว่า -ท่านเซนฯ มีมติแน่แล้วหรือหรือว่าในลัทธิอื่นจะไม่มีญาน -- สมาธินี้ คนชั่วถ่อยเสพไม่ได้ ***************************************************** ผมตอบแบบ ปฏิปุจฉา ว่า (๑) แล้ว ศาสดาแห่งลัทธิอื่นๆ ตามที่คุณนายอิ่มอ้างนั้น --- ตรัสรู้ปฏิจจฯ สายเกิด สายดับ หรือ อริยสัจสี่ใหญ่  ด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  --- มีไหม?"  กำหนด ตาม พระพุทธภาษิตนั้นๆ มีไหมครับคุณนายอิ่ม ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 09:26:38

ความคิดเห็นที่ 23 คคห 21 ต่อ -ญานในลัทธิอื่นที่ไม่มีเช่นในพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาน (อื่นก็มีญาน เช่น บุพเพนิวาสนญาน เจโตปริยญาน)                        ชัวร์ หรือ มั่วนิ้ม ? (ด้วยอะไรก็ตาม) พระอรหันต์ แห่ง ศาสนาไชน์ (ไม่ใช่ศาสนา เซน ที่เมืองจีน)  พระศาสดาชื่อ นิครณ์ นาฏบุตร (สมัยเป็นฆราวาส ก็ วรรณะกษัตริย์ เช่นเดียวกับ เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อน ออกบวช) นั้น  --- ท่านก็ ปฏิญาณว่า เป็นพระอรหันต์ มีสาวกมากมายเช่นกัน  แล้ว ศาสนานี้ ก็ ยังไม่สูญไปจากอินเดียวด้วย (กำหนด 2600 ปี นั่นแหละ) ^^^^ คุุณนายอิ่ม อาสัย "ข้อมูล หลักฐาน" อะไรบ้างว่า (๑) ศาสนานั้น (ศาสนาไชน์) เขาไม่มี พระอรหันต์ ที่เนื่องกับ วิชชา ๓ ???? จึง มี มติ ว่า --- ญานในลัทธิอื่นที่ไม่มีเช่นในพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาน (อื่นก็มีญาน เช่น บุพเพนิวาสนญาน เจโตปริยญาน) หมายเหตุ ก่อน เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด (สมุทัย  ไม่ใช่ ชาติ) สายดับ (นิโรธ ไม่ใช่ ตายเข้าโลงขั้นพระอรหันต์ในธรรมวินัยนี้) ด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ปฏิญารพระองค์เองว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" นั้น -- ทรง บันลือ ธรรมที่ตรัสรู้เอง ตลอด 45 พรรษา ทั่ว ๑๖ แคว้นนั้น ใครว่า  ไม่มี ศาดาอื่น ลัทธิอื่น  ที่ ปฏิญาณตนเองว่า เป็นพระอรหันต์ (หรือคำอื่นๆ ก็ตาม) ผู้ศาสดา ที่เนื่องกับ วิชชา ๓ (แบบลัทธินั้น) คุณนายอิ่ม -- ว่าอย่างไร ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 09:36:42

ความคิดเห็นที่ 24 ที่ตรัส ญาณ ๕  เนื่องกับ สมาธิ  ตามที่ตรัสว่า ญาณห้าประการอย่างไรเล่า? ห้าประการ คือ (๑) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ ให้เกิดสุขในปัจจุบันด้วย  มีสุขเป็นวิบากต่อไปด้วย (๒) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --  สมาธินี้ เป็นธรรมประเสริฐ ปราศจากอามิส  (สมาธิลัทธิอื่น  ประเสริฐ  เท่าไหม?) (๓) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้  (แล้ว ลัทธิอื่นที่เสพรูปฌานสี่ได้ แปลว่า?) (๔) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง แบบนั้นๆ  ที่ ไม่ใช่ ธรรมอันเอก   ใช่หรือไม่?) (๕) ญาณ (เนื่องกับ สภาวะตามที่ตรัสนี้) เกิดขึ้นเฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้ ว่า --- สมาธินี้ --- เรามี สติ เข้าสมาธินี้ มีสติออกจากสมาธินี้ --- (นรักอภิธัม ฯ นักดูจิต  เข้าใจ ที่ตรัสนี้ ???) (๑) ตรัสแก่ ใครครับ คุณนายอิ่ม --ตร้สแก่ สาวกทั้งหลาย  ใช่ไหมครับ ไม่ได้ ตรัสกับ  อื่นจาก สาวก  ใช่ไหม แล้วที่ตรัสนั้น ขัดหรือไม่ขัดกับ พระสูตรนี้ (คุณหลังไมค์ เสนอไว้) พระองค์ เป็น "ธรรมวาที" เป็นผู้ไม่กล่าวขัดแย้งกับผู้ใดในโลกเลย ... พระองค์ตรัสกับภิกษุว่า ... เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา … ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก … สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือนๆ กัน) ว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี … สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี … - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๙/๒๓๙        ************************************* สรุป คนชั่ว คนถ่อย --- ที่ตรัส  --ตรัสเนื่องกับ ภิกษุสาวก  ใช่ไหมครับคุณนายอิ่ม ถ้าใช่ --- แล้ว ทำไม ตรัสละ --- ตรัสเพราะ สาวกนั้น  เพราะได้ มิจฉาสมาธิมาแล้ว  แล้ว ยัง เพลินยึดมั่น ใน ความเป็น ของประเสริฐ ฯลฯ ---หรือไม่ ?                     ******************************* เป็นอันว่า ผมตอบ คำถาม ที่คุณนายอิ่ม ถามไว้ว่า --- -ท่านเซนฯ มีมติแน่แล้วหรือหรือว่าในลัทธิอื่นจะไม่มีญาน -- สมาธินี้ คนชั่วถ่อยเสพไม่ได้ -- สา่วนผม จะ มั่นใจ แบบไหน  (แบบ ที่ตรัสไว้ ใน มูลปริยายสูตร) -- ยกไว้ --- นะครับ                                    ตอบ สั้นๆ ได้ว่า ผมมั่นใจครับว่า ลัทธิอื่น จาก ลัทธิของพระพุทธเจ้า "ไม่มี ญาณ ๕  แบบ ที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ ตามพระสูตรนั้นครับ" (อ่านดีดี อย่างอ่านแบบ "หัวหมอความ" หรือ ฯลฯ นะครับ/ ดู มูลปริยายสูตร ประกอบนั่นแหละ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 09:46:44

ความคิดเห็นที่ 25 -ญานในลัทธิอื่นที่ไม่มีเช่นในพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาน (อื่นก็มีญาน เช่น บุพเพนิวาสนญาน เจโตปริยญาน)                       ชัวร์ หรือ มั่วนิ้ม ? (ด้วยอะไรก็ตาม) พระอรหันต์ แห่ง ศาสนาไชน์ (ไม่ใช่ศาสนา เซน ที่เมืองจีน)  พระศาสดาชื่อ นิครณ์ นาฏบุตร (สมัยเป็นฆราวาส ก็ วรรณะกษัตริย์ เช่นเดียวกับ เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อน ออกบวช) นั้น  --- ท่านก็ ปฏิญาณว่า เป็นพระอรหันต์ มีสาวกมากมายเช่นกัน  แล้ว ศาสนานี้ ก็ ยังไม่สูญไปจากอินเดียวด้วย (กำหนด 2600 ปี นั่นแหละ) ^^^^ คุุณนายอิ่ม อาสัย "ข้อมูล หลักฐาน" อะไรบ้างว่า (๑) ศาสนานั้น (ศาสนาไชน์) เขาไม่มี พระอรหันต์ ที่เนื่องกับ วิชชา ๓ ???? จึง มี มติ ว่า --- ญานในลัทธิอื่นที่ไม่มีเช่นในพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาน (อื่นก็มีญาน เช่น บุพเพนิวาสนญาน เจโตปริยญาน) ************************************************* - ตรัสสอนสุภัททะปริพาชก ในลัทธิอื่นที่ไม่มีมรรค ๘  ก็ไม่มีสมณะที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ครับ -ในทิฏฐิ ๖๒ ตรัสถึงไว้ว่า ทิฏฐิหลายประการเกิดจากญาน (ความรู้ที่เป็นผลจากฌาน) ในลัทธิอื่น -ผมกล่าวถึง "อาสวักขยญาน" ยังไม่รวมทั้งวิชชา ๓ ซึ่งท่านเซนฯ และผมเห็นไม่ตรงกัน และได้ยุติไว้แล้ว จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 11:21:50

ความคิดเห็นที่ 26 แล้วที่ตรัสนั้น ขัดหรือไม่ขัดกับ พระสูตรนี้ (คุณหลังไมค์ เสนอไว้) พระองค์ เป็น "ธรรมวาที" เป็นผู้ไม่กล่าวขัดแย้งกับผู้ใดในโลกเลย ... พระองค์ตรัสกับภิกษุว่า ... เราย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะโลก แต่โลกต่างหากย่อมกล่าวขัดแย้งต่อเรา ผู้เป็นธรรมวาที ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกะใครๆ ในโลก สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติ (รู้เหมือนๆ กัน) ว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๖๙/๒๓๙       ************************************* - ไม่ขัดครับ และผมก็ยังไม่พบว่าธรรมเทศนาที่ตรัสสอนมีความขัดแย้งกัน -ประเด็นที่ผมแย้ง ชี้ไปที่ทิฏฐิท่านเซนฯ ในเรื่องเกี่ยวกับญาน ๕  ไม่ใช่ผมแย้งพระศาสดา - พระสูตรนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นสนทนา  หากยืนยันว่าเกี่ยวขอท่านกรุณาชี้ เป็นธรรมทานด้วยครับ -หากนำพระสูตรนี้มาเกี่ยวข้องกับประเด็นสนทนา  นี้จะเป็นเอาพระสูตรนี้มาชี้ว่า "นายอิ่ม" เป็นผู้กล่าวแย้งกับพระศาสดา หรือไม่ครับ ? - หากนำที่ตรัสเรื่องนี้มาเกี่ยวข้อง  สามารถแสดงทิฏฐิผู้ที่ยกพระสูตรนี้มาได้ว่าไม่ยอมรับสิ่งที่ผมเสนอ ? (เช่นที่ คคห ๑๐) แล้วนำที่ตรัสนี้มาชี้ที่ "นายอิ่ม"  หรือไม่ครับ ? http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12593499/Y12593499.html#10 -และนี้จะทำให้ประเด็นที่ท่านเซนฯ ตั้งคือ " แด่ นักปฏิบัติธรรม "รุ่นใหม่" ...ที่ broad - minded" เสียไปหรือไม่ครับ ?     -หากไม่ใช่ก็ขอยุติครับ จากคุณ : นายอิ่ม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 11:28:14

ความคิดเห็นที่ 27 หมายเหตุ ๑ ถ้า ใคร สรุปง่ายๆ ว่า  สมาธิ เป็น ธรรมชาติฝ่าย มนายตนะ เหมือนๆ กัน ขอให้ พิจารณาที่ ตรัส --- (๑) สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้ (๒) สมาธินี้ รำงับประณีต ได้ด้วย ปฏิปัสสัทธิ ถึงทับด้วยเอโกทิภาวะ (ความมีจิต มีธรรมอันเอก) ไม่ใช่บรรลุได้ด้วย เพราะการข่มขี่ และห้ามด้วย สสังขารธรรม (เครื่องปรุงแต่ง) --------------------------------------- ท่าน นายอิ่ม สงสัย ที่เดียวกับผม หรือเปล่าครับนี่ ที่ว่า (๑) สมาธินี้  คนชั่วคนถอยเสพไม่ได้ ก็ เจ้าชาย ทรงทำ สมาธิ นอกลัทธิ มาก่อน จะหันกลับไปทำ แบบที่ ระลึกได้ว่าเคยทำตอนเด็ก แล้ว สงสัย เจ้าชาย ชั่วและถ่อย อย่างไร ครับ ประเด็น นะครับ เจ้าชาย ตอนที่เรียน  สมาธิ นอก ลัทธิ พุทธศาสนา(เพราะยังไม่มี) ชั่วและถ่อย อย่างไร ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 11:32:31