ความคิดเห็นที่ 1 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:49:22

ความคิดเห็นที่ 3 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:49:53

ความคิดเห็นที่ 5 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:51:00

ความคิดเห็นที่ 7 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:51:46

ความคิดเห็นที่ 9 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:52:38

ความคิดเห็นที่ 11 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:53:12

ความคิดเห็นที่ 13 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:53:50

ความคิดเห็นที่ 15 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:54:42

ความคิดเห็นที่ 17 . จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:55:37

ความคิดเห็นที่ 18 อะไรมันสำคัญกว่ากัน จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 17:58:17

ความคิดเห็นที่ 20 เพราะนี้คือวัฎฎะสงสาร จากคุณ : ดำดง เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 21:10:03

ความคิดเห็นที่ 21 ควรจะเฉลียวใจบ้างว่า........ถ้ามันช่วยอะไรไม่ได้เลย คนก็ต้องหมดความนิยมไปเอง เพราะมนุษย์ย่อมเห็นแก่ตัวก่อนสิ่งอื่น ที่มันยังมีอยู่ น่าจะคิดได้ว่า มันพอมีประโยชน์ไงล่ะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 22:09:17

ความคิดเห็นที่ 22 ต้องยอมรับว่าเราต่างสร้างสมมาไม่เท่ากัน มีปัญญามากบ้างน้อยบ้างตามกำลัง แต่หากผู้มีปัญญาน้อย โชคดีสามารถเกาะกระแสไปได้ วันหนึ่งในอนาคตเขาก็จะมีโอกาสที่มีปัญญามากได้เช่นกัน หากเรามีปัญญามากก็ควรจะมีเมตตาด้วย เขาใจผู้ที่มีปัญญาน้อยด้วย จากคุณ : vajra_guru เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 22:18:16

ความคิดเห็นที่ 23 จะว่าไปแล้วความเห็นที่21 นั้นนับว่ามีเหตุผลมากคือที่บอกว่าถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้เห็นผลได้อย่างแท้จริงแล้ว   ความนิยมนับถือในสิ่งเหล่านั้นคงจะเสื่อมหายไปเอง   และถ้าเอามาบูชาแล้วไม่ก่อประโยชน์ซ้ำยังสร้างความเสียหายอีก   ผมว่าผู้คนที่ศรัทธาก็คงจะพากันทำลายสิ่งเหล่านั้นเองแหละครับ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 22:47:38

ความคิดเห็นที่ 24 คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ แสวงหาความรู้ทางโลกกันมาก แต่เรื่องความรู้ทางธรรมน้อย ซึ่งสวนทางกับคนสมัยก่อน ทำให้คนสมัยนี้ เจริญก้าวหน้ากันแต่ทางวัตถุ แต่ทางจิตใจยัง งมงาย ไม่ได้พัฒนาไปไหน ซ้ำร้าย ยังกลับตกต่ำ ไปกับกิเลส สิ่งยั่วยวน รวมไปถึง ค่านิยมผิดๆ กันมากขึ้น... จึงไม่แปลกใจเลย ที่จะหาคนที่บรรลุธรรม ในสมัยนี้ ได้ยากยิ่ง... จากคุณ : 13th friday เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 23:19:43

ความคิดเห็นที่ 25 .. คนเลว พก พระเครื่องอะไรก็ตาม .. ยังใง ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ .. คนดี พก พระเครื่องอะไรก็ตาม .. ยังใง ก็ศักดิ์สิทธิ์ .. แต่ ความศักดิ์สิทธิ์ .. ไม่ได้อยู่ที่พระเครื่อง .. แต่ มันอยู่ที่ ความบริสุทธิ์ ของ คนดีผู้นั้น จากคุณ : k.o.p เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 00:41:10

ความคิดเห็นที่ 26 ข้อความของ คห 19 ทำให้นึกถึง การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก เครดิต คุณชาวมหาวิหาร ความเห็นที่ 32 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12568576/Y12568576.html หรืออ่านใน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก ------ นำบางช่วงมาให้อ่านกันครับ               เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก                             ชื่อว่าปฐมมหาสังคายนานี้ แม้ได้จัดขึ้นพระบาลีไว้ในวินัยปิฎกแล้ว ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ควรทราบปฐมมหาสังคายนาแม้ในอรรถกถานี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเหตุที่เป็นมา ดังต่อไปนี้               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตวโลก ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นแต่ทรงแสดงพระธรรมจักรจนถึงโปรดสุภัททปริพาชก แล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เวลาใกล้รุ่งวันวิสาขปูรณมี ระหว่างต้นสาละคู่ในสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ตรงที่เป็นทางโค้ง ใกล้กรุงกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะผู้เป็นสังฆเถระของภิกษุประมาณเจ็ดแสนรูปที่ประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาระลึกถึงคำที่หลวงตาสุภัททะกล่าวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วันว่า พอกันทีอาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกไปเลย อย่าร่ำไรไปเลย เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะนั้น ด้วยว่าพวกเราถูกท่านจู้จี้บังคับว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอทั้งหลาย สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้ แต่บัดนี้พวกเราปรารถนาสิ่งใดจักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดจักไม่กระทำสิ่งนั้น ดังนี้.๑- ____________________________ ๑- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๔               ท่านพิจารณาเห็นว่าการประชุมสงฆ์จำนวนมากเช่นนี้ ต่อไปจะหาได้ยาก จึงดำริต่อไปว่า พวกภิกษุชั่วจะเข้าใจว่าปาพจน์มีศาสดาล่วงแล้ว ได้พวกฝ่ายอลัชชี จะพากันย่ำยีพระสัทธรรมให้อันตรธานต่อกาลไม่นานเลย นั้นเป็นฐานะที่จะมีได้แน่นอน.               จริงอยู่ พระธรรมวินัยยังดำรงอยู่ตราบใด ปาพจน์ก็หาชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วไม่อยู่ตราบนั้น               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒-               ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ดังนี้. ____________________________ ๒- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๔๑               อย่ากระนั้นเลย เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยโดยวิธีที่พระศาสนานี้จะมั่นคงดำรงอยู่ชั่วกาลนาน.               อนึ่ง ตัวเราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๓-               ดูก่อนกัสสปะ เธอจักห่มได้หรือไม่ซึ่งผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้เก่าแล้วของเรา ดังนี้               ทรงอนุเคราะห์ด้วยสาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการสถาปนาไว้เสมอกับพระองค์ในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ต่างโดยอนุปุพพวิหาร ๙ และอภิญญา ๖ เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงใด               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้กัสสปะต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงนั้น๔- ดังนี้. จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 09:17:29

ความคิดเห็นที่ 27 ว่าแล้่วก็นำลงมาให้หมดทุกลิงค์เลยดีกว่า --------------------------- เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก ปฐมสังคายนาเริ่มวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#ปฐมสังคายนาเริ่มวันแรม_๕_ค่ำ_เดือน_๙ พระอานนท์บรรลุพระอรหัต http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#พระอานนท์บรรลุพระอรหัต สังคายนาพระวินัย http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#สังคายนาพระวินัย สังคายนาพระธรรม http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#สังคายนาพระธรรม เราทั้งหลายจะสังคายนาสูตรไหนก่อน? http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#เราทั้งหลายจะสังคายนาสูตรไหนก่อน? พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้ พึงทราบว่า http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้_พึงทราบว่า อรรถาธิบายคำว่าวินัย http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#อรรถาธิบายคำว่าวินัย อรรถาธิบายคำว่าสูตร http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#อรรถาธิบายคำว่าสูตร อรรถาธิบายคำว่าอภิธรรม http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#อรรถาธิบายคำว่าอภิธรรม ปิฎกศัพท์ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#ปิฎกศัพท์ การเล่าเรียน ๓ อย่าง http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1&p=1#การเล่าเรียน_๓_อย่าง จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 09:18:19

ความคิดเห็นที่ 28 การบูชา หิน เครื่องลาง ต่าง ๆ ไม่ต่างกับ คนยุคหิน. พระที่เน้นขายวัตถุมงคลคือผู้ทำให้ศาสนาเสือมลง  คนซื้อไปบูชาก็มีส่วนร่วมทำให้ศาสนาเสื่อมลง ได้บุญตรงไหน จากคุณ : พันธุ์ชิท เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 11:58:23

ความคิดเห็นที่ 29 วัตถุต่างๆ เป็นกุสโลบายในการทำใหนึกถึงความดีได้ อย่างเช่นรูปภาพบุคคลสำคัญ แต่ใครตามไม่ทันก็จะมองว่า วัตถุเป็นการทำให้ยึดติด อย่างเช่นพระเกษมเผาพระพุทธรูป แม้ครวหนึ่งพระสัมมาพุทธเจ้า ก็ชวนพระนันทะออกบวช โดยอ้างถึงนางฟ้าบนสวรรค์ นั่นก็เป็นกุสโลบาย หรือแม้พระเทวทัตทำอนันตริยกรรม พระพุทธเจ้าท่าน สามารถเลี่ยงได้ แต่ท่านไม่เลี่ยง เพราะเห็นว่าพระเทวทัตจักได้เป็นถึงปัจเจกพุทธเจ้า ในอีกแสนกัลป์ แต่ในกัลป์นี้จักต้องลงอเวจี ขยัยเขยื้อนกายไม่ได้ เพราะประทุษร้ายต่อพระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว จากคุณ : max25003 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 12:38:09

ความคิดเห็นที่ 30 สมัย 60 ปีก่อน กาชาดสากลไปเผยแพร่ในจีน เดินทางไปถึงฑิเบต ก้ได้ตั้งป้ายหินเชิญชวนคนให้รักษาความสะอาด ดูแลสุขภาพ ปรุงอาหารให้สุก เหมือนกับบัญญัติพื้นฐานของสุขอนามัย แต่ไม่มีเวลาเผยแพร่กิจกรรม ก็ประสบปัญหาการเมืองต้องทิ้งป้ายที่ติดตั้งไว้โดยไม่มีคนดูแล 50 ปีต่อมา รัฐบาลจีนต้องการส่งเสริมให้คนฑิเบตมีการศึกษา จึงส่งเสริมให้กาชาดไปติดตามผลงานอีกที พอไปถึงป้ายที่ติดตั้งไว้นั้น กลายเป็นสักการะสถานของชาวฑิเบตไปแล้ว ชาวบ้านบอกว่า ลูกใครไม่สบาย มาถู ๆ เจิม ๆ ขูดเอาเศษดินไปต้มน้ำให้ลูกกิน ลูกก็หาย ใครปรารถนาอะไร ลองมาบน มาไหว้ ก็สมหวังกลับไปทุกราย กาชาดสากล ไม่รู้จะอธิบายให้ชาวบ้านฟังยังไงดี เพราะเขาเชื่อกันแบบนั้นมานานแล้ว และนี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่รัฐบาลจีนไม่อยากให้ฑิเบตเป็นเขตปกครองตนเอง ชาวบ้านความรู้น้อยเกินไป งมงายมากเกินไป จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 15:54:02

ความคิดเห็นที่ 31 ขอทราบหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่ามีป้ายหินจากจีนไปตั้งไว้ที่ธิเบตหน่อยครับท่าน  เพราะผมว่ามันจำเป็นมากสำหรับเรื่องนี้ลำพังการที่โพสต์ข้อความลอยๆไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลยว่า  จริงหรือแต่งประการใด  หากมีหลักฐานเพียง พอก็จะทำให้เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งหลาย    แต่ถ้ามีแต่ข้อความอ้างอิงผมว่ามันก็ไม่ต่างจากที่เราไปว่าพวกเขาเท่าไรเลยครับท่าน จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 18:45:11

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้ามีคนบอกว่า คนไทยไหว้ต้นกล้วย ต้องเอาต้นกล้วยไปให้ดูหรือเปล่า การที่คนฑิเบตบูชาป้ายหรือไม่ ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับคนทั้งหลายเท่าไหร่หรอก เพราะคุณหาดูเอาจากโคนต้นไม้ต่าง ๆ ก็ได้ครับ มีคนไปไหว้เยอะเหมือนกัน แล้วก็ ฑิเบตอยู่ในประเทศจีน ไม่ต้องเอาป้ายหินจากจีนไปฑิเบตครับ เรื่องบางอย่าง หลักฐานก็ไม่ช่วยให้ความเชื่อเพิ่มขึ้นหรือลดลงเลย เราใช้จินตนาการได้ ตัวอย่างเช่น เงิน 100-1000 ล้าน คุณเคยเห็นไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่ามี หรือต้องถ่ายรูปมาให้ดูถึงจะเชื่อ จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 21:54:53

ความคิดเห็นที่ 33 เอ๋า คุณ FOB นี่ก็แปลก เค้าไม่เชื่อเรื่องที่คุณเล่า ถามหาหลักฐานก็สมควรแล้วนิ คุณไม่มีก็บอกไม่มี ใช้ประกอบการตัดสินใจ เป็นสิทธิ์ที่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 55 23:57:56

ความคิดเห็นที่ 34 การที่คุณแสวงหาหลักฐาน มันก็เป็นเหตุที่ทำให้ติดอยู่กับรูปเคารพนั่นแหละ นิทานที่เจ้าของกระทู้เอามาเล่า ทำไมไม่มีใครขอหลักฐาน ใครเคยเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง ขอหลักฐานหน่อย อย่าเอารูปเคารพมาให้ดูนะครับ ถ้าเป็นพระธาตุก็ขอข้อพิสูจน์ด้วย ผมไม่ได้อยากดูจริง ๆ หรอกครับ แต่บอกว่า การที่เห็นหลักฐาน เห็นตัวตน เห็นพระพุทธรูป ทำให้คนไปติดกับสิ่งเหล่านี้ จนมองไม่เห็นว่า สิ่งประเสรฺฐ คือ คำสอน คือ ความคิด ถ้าเห็นแล้ว ไม่ชอบหลักฐาน ก็ไปติดอยู่กับข้อพิสูจน์ว่าหลักฐานนั้นจริงหรือไม่ สิ่งที่คุณเห็น ก็ไม่แน่ว่าเป็นความจริง ทางรถไฟหรือทางเดิน ดูจากรูปมันจะไปชนกันที่จุด ๆ หนึ่ง แต่ถ้าเราคิด เราจะรู้ว่า ทางรถไฟจะขนานกัน ไม่ชนกัน เงาของต้นไม้ 2 ต้น ตึก 2 ตึก ในรูปภาพ ควรจะวิ่งออกจากดวงอาทิตย์ แต่ในความเป็นจริง ควรจะขนานกัน เพราะระยะทางบนโลกมีค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับ ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ที่หาหลักฐาน ไม่ใช่เพราะต้องการหาสิ่งที่เชื่อหรอกครับ เพียงแต่จะหาสิ่งที่ทำให้ไม่ต้องเชื่อต่างหาก ถ้าผมไปเมืองจีน บอกคนจีนว่า คนไทยไหว้กล้วยแล้ว ผมไม่สามารถหารูปคนไหว้กล้วยให้เขาดู แปลว่า ผมพูดโกหกอย่างนั้นหรือครับ มันไม่แปลกที่คุณอยากถามหาหลักฐาน และไม่แปลกที่อยากจะไหว้รูปเคารพ เพราะคุณอยากเชื่อแบบที่คุณเชื่อ และไม่อยากเชื่อสิ่งที่ทำให้คุณออกจากความเชื่อ ความงมงาย จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:50:52

ความคิดเห็นที่ 35 นึกถึง 15 ค่ำ เดือน 15 เลยนะเนี้ยะ ศรัทธา ฤ ว่า เหตุผล จากคุณ : แฟนพันธุ์ทาง (อาจารย์ไข่) เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 10:52:26

ความคิดเห็นที่ 36 ...:)...ขอบคุณทุก คห ครับ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 13:04:49

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับคุณต่อ ผมชอบการ์ตูนครับ... เรื่องอื่นไม่ขอพูดถึงนะครับ...คนมีปัญญาด้วยกัน คงจะเข้าใจกันดีครับ จากคุณ : กุ๊ก - ดีไซน์ " Aye & KoOk " เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:21:24