ก.ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับประเด็นพระธรรมวินัย
1.ประเด็นปัญหานี้ เป็นประเด็น “ข้อเท็จจริง” และ “หลักการ” ไม่ใช่ประเด็นของ “การตีความ” คำสอนของพุทธศาสนา ข้อเท็จจริงคือปรากฏหลักฐานว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบอกว่าตนเองรู้เรื่องราวชีวิตหลังความตายของตีฟ จ็อบส์ ข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักการคือวินัยสงฆ์บัญญัติเกี่ยวกับ “อาบัติปาราชิก” ข้อที่ 4 ไว้ว่า “ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก” ขาดความความเป็นพระ หากอวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีอยู่จริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ จากหลักวินัยบัญญัตินี้ ถ้าการเล่าเรื่องชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์เป็นเท็จ ก็ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์
การกระทำผิดวินัยสงฆ์นี้เป็น “ความผิดสำเร็จ” เมื่อพูดออกไป ส่วนกระบวนการสอบสวนเอาผิดโดยคณะสงฆ์เป็นเป็นกรรมวิธีดำเนินการเพื่อสรุปพยานหลักฐานและตัดสินให้ผู้กระทำรับผิดตามที่วินัยบัญญัติไว้ ฉะนั้น แม้คณะสงฆ์จะไม่รู้ หรือละเว้นการดำเนินการ ผู้กระทำย่อมต้องอาบัติไปแล้วตั้งแต่ที่ได้กระทำความผิดสำเร็จ
“อุตตริมนุสสธรรม” คือความสามารถพิเศษที่เหนือวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป เช่นมีญาณวิเศษหยั่งรู้ภพชาติต่างๆ ได้ กรณีเจ้าอาวาสวัดพรธรรมกายรู้เรื่องชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ หากเป็นจริงก็ต้องเป็นเรื่องที่รู้ด้วยญาณวิเศษเท่านั้น ไม่ใช่รู้ด้วยวิธีการอย่างสามัญมนุษย์ที่สามารถตรวจสอบได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (หรืออย่างเป็นสาธารณะ เหมือนการพิสูจน์น้ำเดือดที่ระดับอุณหภูมิ 100 องศาฯ เป็นต้น) แต่ไม่ว่าท่านจะมีญาณวิเศษจริงหรือไม่ก็ผิดวินัยสงฆ์อยู่ดี ถือถ้าไม่มีจริงก็ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าไม่มีจริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ปัญหาคือ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายทำนายชีวิตหลังความตายของบุคคลต่างๆ ออกทีวีมาอย่างยาวนาน ซึ่งถ้าท่านรู้ด้วยญาณวิเศษจริงๆ การอวดอุตตริเช่นนั้นก็เป็นการกระทำผิดซ้ำๆ คือ “ต้องอาบัติปาจิตตีย์เป็นอาจิณ” แต่ตามหลักพุทธศาสนานั้นการละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณไม่ใช่คุณสมบัติของพระอริยบุคคลซึ่งต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานขั้นต่ำสุดคือ “มีศีลสมบูรณ์” คือไม่ต้องอาบัติ หรือไม่ทำผิดวินัยข้อใดๆ เลย
จากคุณ |
:
ต่อmcu
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 55 08:57:43
|
|
|
|