ความคิดเห็นที่ 1 แต่พระจีนฉันได้ทั้งวันครับ จะว่า ไม่ได้ฝึกความอดทนได้หรือเปล่า จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 18:02:38

ความคิดเห็นที่ 2 ก็ตอบไปว่า เพราะนิกายต่างกัน และการกินเนื้อสัตว์หรือไม่กิน ไม่มีผลต่อการบรรลุธรรม ไม่ต้องต่อความยาวมาก เพราะพูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ เนื่องจากนับถือคนละนิกาย พูดไปมาก ๆ ก็ทะเลาะกันเปล่า ๆ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 18:08:39

ความคิดเห็นที่ 3 บอกไปแต่เพียงว่าเป็นคนละนิกายกันเท่านั้นพอครับ ศาสนาอื่นๆ ต่างนิกายกันก็ยังไม่ค่อยจะลงรอยกัน ลองพิจารณาศาสนาคริสต์และอิสลามที่ต่างนิกายกันดู ไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่ ลองถามภรรยาดูว่าอยากจะให้พุทธเราซึ่งเชื่อต่างนิกายกันนั้นมีความคิดขัดแย้งกันให้หนักหนาไปด้วยงั้นหรือ จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 18:23:25

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบแบบทุบดินเลย ก็เพราะพระจีน ไม่ใช่ พระไทย ประมาณฝรั่งไม่กินข้าวเหมือนคนไทย เพราะเขาไม่ใช่คนไทย   ตอบแบบให้ได้ความรู้ด้วยก็...พุทธมีหลายนิกาย ต่างนิกายก็ต่างคำสอน พระจีน  นับถือ พุทธมหานิกาย พระไทย นับถือ พุทธเถรวาท หากวันนึงคุณภรรยาไปพบพระญี่ปุ่นมีเมีย อาจเกิดคำถามได้อีกเช่นกันนะคะ o_O" (พระญี่ปุ่นบางนิกายมีภรรยาได้) จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:02:07

ความคิดเห็นที่ 6 พระไทยที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ก็มีครับ การบวชในพุทธศาสนามีหลายนัยยะ..... การบวชเพื่อประเพณี การบวชเพื่อเลี้ยงชีพ(อันนีมีเยอะ) การบวชเพื่อ..นิพพาน...พระไทยท่านที่บวชเพื่อนิพพานท่านย่อมรู้ว่าควรประพฤติปฎิบัติอย่างไรครับ(ตรงนี้มีน้อย) จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:26:41

ความคิดเห็นที่ 7 มหายาน...เชื่อในแนวทางพระเทวฑัต เถรวาท....เชื่อในแนวทางพระพุทธองค์...!! จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:50:49

ความคิดเห็นที่ 8 ง่าย ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เป็นมังสวิรัตซะหน่อย ไม่มีตรงไหนเลยในพระไตรปิฏกที่บอกว่าห้ามทานเนื้อสัตว์ อันนี้เข้าใจผิดกันไปเองทั้งนั้น จากคุณ : uyadas เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 19:55:14

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่าเรื่องนี้มาถามบ่อย ค้นกระทู้เก่าหน่อยก็ดี จากคุณ : ปัญญาประดิษฐ์ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:01:45

ความคิดเห็นที่ 10 ก็บอกไปเลยครับ ว่าคนละนิกายย่อมมีการยึดถือและปฏิบัติต่างแนวทางกันบ้าง พระไทยตามหลักจะเน้นอนุรักษ์ของเดิม พยายามที่จะรักษาสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเอาไว้ให้คงอยู่เหมือนเดิมให้มากที่สุด ส่วนพระจีน จะไม่เน้นอนุรักษ์ของเดิมเท่าไร จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่ แล้วที่พระไทยที่ทานเนื้อก็ไม่ใช่ว่าทานเพราะมีคนเอามาให้ทานนะครับ ภรรยาคุณเข้าใจผิด   แต่ที่ทานก็เป็นเพียงการทานไปตามมีตามเกิด ตามที่คนในสังคมนั้นเขาทานกัน เพื่อความอยู่ง่ายกินง่ายไม่เรื่องมากก สร้างความบากลำบนแก่ชาวบ้านชาวช่อง และที่สำคัญพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงบัญญัติห้ามไว้ จากคุณ : time wait for no one เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:08:51

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีอะไรรับประกันว่ากินแต่ผักแล้วจะบรรลุธรรม จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:09:29

ความคิดเห็นที่ 12 ทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่ต้องให้โยมจัดอาหารให้ จากคุณ : neap เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:16:51

ความคิดเห็นที่ 13 พระไทยท่านไม่ได้ทานเนื้อครับ ท่านฉันซากสัตร์ต่างหาก จากคุณ : onsuk เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:22:22

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าจะขึ้นต้นคำว่า "ทำไม" ล่ะก็..ผมสามารถทำไมได้เป็นร้อยข้อในทุกความเชื่อ แต่ที่ไม่เคยถาม..เพราะรู้ดีว่าทุกความเชื่อก็มีเหตุและผลของตัวเอง ไม่เคยดูถูกคนที่ไหว้ต้นไม้หรือกบห้าขา เพราะคงไม่มีมนุษย์คนไหนเสียเวลาทำสิ่งอันไร้สาระ เพราะเขาคิดว่ามันคือสาระสำหรับเขา...เขาจึงลงมือทำ หากวันใดเขาเข้าถึงสาระ..ก็คงวางสิ่งอันไร้สาระได้เอง ศาสนาพุทธเถรวาทมีเป้าหมายชัดเจนคือการดับทุกข์ และการจะไปให้ถึงเป้าต้องผ่านขั้นตอนการปฏิบัติอีกมากมาย การกินมันก็เพียงเพื่อให้ร่างกายมันมีชีวิตอยู่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ว่าได้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความสำคัญกว่าขั้นตอนอื่นๆ จนถึงกับต้องให้ความสำคัญในระดับต้นๆ ถ้าชาวบ้านรอบวัดยากจนมีเพียงข้าวกับเกลือ..พระท่านก็ฉันตามมีตามเกิด พระตามชนบทเป็นโรคขาดสารอาหาร..เพราะไม่มีเนื้อใส่บาตรให้ฉันก็เยอะแยะไป ไม่ว่าจะผักหรือเนื้อด้วยติดใจในรสชาด...ก็เป็นกิเลส พระไทยที่เทอาหารทั้งคาวหวานทุกสิ่งอย่างลงในบาตรใบเดียวคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพื่อสลายหน้าตารสชาดอันชวนให้เกิดกิเลส.....แล้วจึงลงมือฉัน พระจีนจะลองทำอย่างนี้ดูบ้างก็ได้..แต่หากพระจีนรู้สึกผะอืดผะอมจนถึงกับอาเจียน แล้วสรุปว่าพระจีนยังมีกิเลส..ยังติดใจในรูปรสกลิ่นเสียง มันเป็นการมองและตัดสินกันง่ายเกินไป.. อย่าวัดความลึกของมหาสมุทรด้วยไม้บรรทัด อย่าวัดกิเลสคนด้วยสายตาเพียงมองจากรูปแบบภายนอก เพราะโอกาสผิดมันมากกว่าถูก..??? จากคุณ : อารยัน เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:31:47

ความคิดเห็นที่ 15 พระจีนฉันเนื้อ และฉันผัก ส่วนพระไทยฉันอาหาร จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:37:42

ความคิดเห็นที่ 16 เพราะพระจีนนั้น ทำอาหารกินกันเองไง ส่วนพระไทยถือประเพณีเดิมของพระสงฆ์ คืออยู่ด้วยการขอ   ฉนั้นชาวบ้านทานอะไร ทำอาหารแบบไหนให้ ก็ต้องกินแบบนั้น แบบว่าอย่าเรื่องมากนั่นเอง ให้อยู่ง่าย จากคุณ : มังกรจักรวาล เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:50:57

ความคิดเห็นที่ 17 อืม  อืมมม...... จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 20:58:08

ความคิดเห็นที่ 18 พระไทย ถือว่า ของที่ทานนั้น ต้องได้มาโดยสุจริต ในอดีตกาล  มีสุนัขคาบเนื้อมาจากตลาด แล้วทำตกไว้ พระโพธิสัตว์ ท่านเห็นเนื้อนั้น จึงปัดฝุ่นและหยิบมาฉัน จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 21:04:53

ความคิดเห็นที่ 19 จำได้ว่ามีคนเคยถามพระอาจารย์รูปหนึ่งว่าเพื่อนที่ปฎิบัติธรรมฝากมาถามว่า คนปฎิบัติธรรมไม่ควรกินเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ ท่านตอบว่า                       ใช่ ... ปฎิบัติธรรมควรกินอาหาร จากคุณ : ไข่เจียวว เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 21:06:12

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่ชอบวิธีการตอบของพระรูปดังกล่าวใน คห 19 เลยครับ ผมเรียกว่า แถ  มันไม่ตรงกับคำถาม จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 22:09:25

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าการไม่กินสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญของการบรรลุธรรม วัว ควาย ก็กินพืชไม่กินเนื้อสัตว์ ทำไมไม่บรรลุธรรมหล่ะ จากคุณ : แมวเปอร์เซีย เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 22:56:27

ความคิดเห็นที่ 22 ศาสดาในพระพุทธศาสนา คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงต้องน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา พระองค์ทรงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้รู้และทราบดีว่าภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีเรือน ไม่มีกิจหุงหาอาหาร เป็นผู้ที่ชาวบ้านมีศรัทธานำมาถวาย จึงทรงตรัสเ้น้นย้ำว่าให้ภิกษุจงเป็นผู้เลี้ยงง่าย ฉันง่าย ชาวบ้านเค้ามีจิตศรัทธาจะถวาย อย่างไร ก็ให้เป็นผู้สันโดษยินดีตามที่ตนพึงได้มา เค้าถวายแต่พืชผัก ก็ให้ฉันแต่พืชผัก เค้าถวายแต่ผลไม้ก็ฉันแต่ผลไม้ หลวงปู่มั่นเองท่านเคยบิณฑบาตได้แต่ข้าวเปล่าอยู่นาน ก็ฉันเรื่อยไปอย่างนั้น เป็นผู้ไม่ดิ้นรน ไม่ทะยานยากไปในรสแห่งกิเลสตัณหา จึงสรุปได้ว่าไม่ใช่แม้เพียงอาหารเท่านั้น ทั้งรูป ทั้งรส ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง ทั้งสัมผัส ทั้งที่น่ายินดี และไม่น่ายินดี สิ่งทั้งปวงเหล่านี้นั้น ไม่ใช่ตัว"กิเลส" การละกิเลส จึงไม่ใช่การละสิ่งเหล่านั้น และถ้าหากถือว่า การไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันแต่พืชผักละกิเลสได้มากกว่า คนพิการตาบอด ก็คงเป็นผู้มีบุญมากโดยนัยเดียวกันหรือเปล่า เพราะละกิเลสได้มากกว่าคนตาดี เพราะไม่รู้เห็นอะไรเลย มีความบริสุทธิ์ทางตามากกว่าตาดี??? "ความยินดีติดใจในรสชาติ" อันล่ะนี้คือตัวกิเลส จากคุณ : ใจพรานธรรม เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 22:56:46

ความคิดเห็นที่ 23 คคหท20 ลองคิดตามซักนิดเถอะครับ พระอาจารย์ท่าน ตอบดี ตอบตรง ไม่มีแถ แน่นอนครับ ... จากคุณ : ltf06 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 23:53:59

ความคิดเห็นที่ 24 อ้าว.....คนถามก็ไม่รู้นิสัยคนไทย     นิทานแบบศร๊ธนญชัย มีแต่ในไทยเท่านั้น ที่เรียกว่าฉลาดแกมโกง ชาติอื่นไม่มีหรอก และคนไทยส่วนมากยกย่องด้วยนะ ว่าเป็นคนฉลาด เอาตัวรอดเก่ง    ตามใจฉันคือไทยแท้  เอาพวกมากลากไปไว้ก่อน ถือว่าถูก ขนาดจะบวชพระพรุ่งนี้ วันนี้ยังเมาแอ๋อยู่เลย    ในห้องเรียนเรา เคยทำเลขคณิต ทำเหมือนกันทั้งห้อง คิดว่าถูก มีเพื่อนคนหนึ่งทำไม่เหมือนอยู่คนเดียว เราก็คิดว่าไอ้นี่ผิดแน่เพราะไม่เหมือนเพื่อนๆ แต่พอครูเฉลย กลายเป็นว่า ไอ้นั่นถูกอยู่คนเดียว นักเรียนทั้งห้องทำผิด......5555555   พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนไทย เป็นคนอินเดีย จึงต้องดูต่างชาติเป็นหลัก คนอินเดียเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่กินเนื้อสัตว์ทุกคน    ลองพิมพ์   famous vegetarians  จะมีรายชือ บุคคลสำคัญของโลกที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จะมีพระพุทธเจ้าด้วย จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 00:04:54

ความคิดเห็นที่ 25 มันผิดตั้งแต่พระมาขอข้าวแล้วหละครับ เป็นการเบียดเบียนคนอื่น ต้องตื่นเช้า ทำอาหาร ซื้อของมาเตรียมให้ จะบอกว่าไม่ได้บังคับคนเหล่านั้นก็ได้ เขาให้เอง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าออกมาทำมาหากินอย่างชาวบ้านเขา มันไม่มีใครเหนือกว่าใคร ถึงต้องไปกราบไหว้กันหรอกครับ ก็มนุษย์ธรรมดาด้วยกันทั้งนั้น จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 00:12:30

ความคิดเห็นที่ 26 # 24 ที่บอกว่า ...นิทานแบบศร๊ธนญชัย มีแต่ในไทยเท่านั้น ที่เรียกว่าฉลาดแกมโกง ชาติอื่นไม่มีหรอก และคนไทยส่วนมากยกย่องด้วยนะ ว่าเป็นคนฉลาด เอาตัวรอดเก่ง... ....................................................................... ผมว่าคุณจับผิดคนไทยกันเองมากไปนิดนะครับ นิทานแบบศรีธนญชัยผมว่ามีในทุกประเทศนั่นแหละ ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ ลองดูการตอบปัญหาของอิคคิวซัง ในญี่ปุ่น ในเยอรมันก็มี  ทิล ออยเลนชะปีเกล จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 00:59:51

ความคิดเห็นที่ 27 ^ #25 ไม่มีใครบังคับใครให้ตื่นแต่เช้ามาใส่บาตร ยิ่งคนไม่มีศาสนาหรือนับถือศาสนาอื่นๆก็ไม่ต้องใส่บาตรหรือทำบุญทำทานในศาสนาพุทธเลยก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 01:05:25 จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 01:04:57

ความคิดเห็นที่ 28 พระบางรูป ก่อนบวชมีฐานะระดับเศรษฐี ละทิ้งทุกอย่างทางโลก  เพื่อมาเดินบิณฑบาตรขออาหาร ชาวบ้าน ก็อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามืด เตรียมอาหารที่ดีที่สุดของตน เพื่อใส่บาตรพระ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องของศรัทธา ถ้าคุณ คห. 25 ไม่มีศรัทธาในเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แต่ไม่ควรใช้คำพูดดูถูกคนอื่นนะคะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบาปบุญ  มาว่ากันเรื่องชีวิตปกติเนี่ยแหละ การพูดจาดูถูกคนอื่น คนดี ๆ เค้าไม่ทำกันนะคะ ถ้าคุณคิดว่า ตนเองเป็นคนดี ก็ควรเลือกทำแต่เรื่องดี ๆ พิจารณาตนเองให้มากเข้าไว้  ก่อนที่จะกล่าวว่าผู้อื่น ถ้าพระท่านเดินแล้วพลาดไปเหยียบเท้าคุณ  ตอนนั้น ถ้าคุณโกรธ คุณจะด่าท่านก็ได้ เพราะถือว่า ท่านทำผิดต่อคุณ เพราะไปเหยียบเท้าคุณ แต่นี่พระท่านเดินบิณฑบาตรของท่านดี ๆ เป็นปกติวิสัย คุณก็ไม่ควรไปจาบจ้วงท่าน  เพราะมันไม่เกี่ยวกับคุณซักนิด แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 03:30:50 จากคุณ : ประดับดาว เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 01:21:16

ความคิดเห็นที่ 29 คุณเจ้าของกระทู้ค่ะ คุณฟังแล้วเห็นพ้องด้วย ขอถามคุณนะคะ  แล้วคุณล่ะ งดเนื้อสัตว์แล้วหรือยังคะ พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ใครต้องกิน หรือไม่กินเนื้อสัตว์ ใครใคร่กิน ก็กิน ใครไม่กิน ก็ไม่ต้องกิน ในเมื่อคนไทย...ปรกติเขากินเนื้อสัตว์กัน เขาจะใส่บาตรด้วยอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ถ้าท่านฉันก็ฉันไป ถ้าท่านไม่ฉัน ก็นำไปแจกจ่าย พระท่านจะต้องมาประกาศว่า ไม่รับบิณฑบาตเนื้อสัตว์หรือคะ ปล ดิฉันไม่กินเนื้อสัตว์มากว่าสิบปีแล้วค่ะ กิเลสก็ไม่เห็นจะลดไปเลย บางคนงดเนื้อสัตว์ แต่กิเลสเพิ่มอีก คิดว่า ตนเองดีวิเศษกว่าคนอื่น เพราะงดเนื้อสัตว์ค่ะ จากคุณ : จิตรพร เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 01:51:51

ความคิดเห็นที่ 30 ปล ดิฉันไม่กินเนื้อสัตว์มากว่าสิบปีแล้วค่ะ     กิเลสก็ไม่เห็นจะลดไปเลย มันมีวิธี   ไม่ใช่สักแต่ว่ากิน หรือไม่กินเท่านั้น   ไม่ว่าคุณจะกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็บรรลุธรรมได้  ถ้ากินถูกวิธี แต่เมื่อบรรลุธรรมแล้วผมไม่เห็นท่านไดกินเนื้อสัตว์อีกเลย จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 03:04:07

ความคิดเห็นที่ 31 "แต่เมื่อบรรลุธรรมแล้วผมไม่เห็นท่านไดกินเนื้อสัตว์อีกเลย" น่าสนใจมากครับท่านวิชัย พอจะบอกได้มั๊ยครับว่า มีท่านใดบ้างที่กินเนื้อสัตว์ ต่อมาภายหลังบรรลุธรรมแล้วจึงเลิกกินเนื้อสัตว์ แสดงว่า คุณสมบัติประการหนึ่งของพระอรหันต์คือไม่กินเนื้อสัตว์ ถูกต้องมั๊ยครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 03:22:34

ความคิดเห็นที่ 32 เท่าที่เคยเจอนะครับ  หลวงปู่มั่น/หลวงปู่เสาร์/ หลวงปู่แหวน / หลวงปุ่ฝั้น /หลวงปู่เทสก์/หลวงปู่มหาบัว/หลวงปู่ชา /หลวงปู่คำดี  ฯลฯ   หลายท่านที่กล่าวมี อัฐิธาตุของท่าน ก็ กลายเป็น พระธาตุ ยังเอามาแสดง พิสูจน์ให้เห็นอยู่ทุกวันนี้   พระองค์ที่ กล่าวมาท่านก็ยังฉันเนื้อเ็ป็นปกติ   ส่วนจะฉันเจ หรือไม่เจ ไม่เห็นเกี่ยว ถ้าท่านฉันเจแล้ว นอนไม่ทำอะไร เรย จะระงับกิเลส ได้เหรอ / ยังมีอีกหลายอย่างทีึุ่คุณยังไม่ทราบเกี่ยวกับพระจีน ไม่ว่า ข้อวัตรปฎิบัติ  / ศีล  ต่างๆ      ผมเห็น พระเกาหลี ขอโทษที่ไม่ใช่จีน   ท่านมาประชุม เกี่ยวกับพุทธศาสนา ในเมืองไทย ท่านเห็นพระไทย ฉันมื้อเดียว  ไม่มีภรรยา  และวัตรปฎิบัติอีกหลายอย่าง ท่านกลับไปท่านก็ ทำตามพระไทย ในวัดของท่าน เพราะท่านเห็นว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง    สรุปแล้ว การจะฉันเนื้อ หรือ การจะส่งเสริมการฆ่า หรือเหตุผลใด ๆ ก็ตามแต่ ที่เจอกันบ่อย ๆในเวปนี้ นั้น ผมว่าเป็นเหตุผล ของการตั้งกำแพงให้ตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำอะไรมากกว่า เพราะคนที่ทำจะไม่พูด คนพูดจะไม่ค่อยทำ จากคุณ : แฟนพันธุ์ทาง (อาจารย์ไข่) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 05:57:44

ความคิดเห็นที่ 33 คห 26 ........นั่นมันนิทานจริงๆ เขาไม่เอามาเลียนแบบ แต่คนไทยเอาใช้เป็นนิสัย ไม่งั้นเขาจะพูดกันว่า อย่าเอานิสัยแบบศร๊ธนญชัยมาใช้หรือ หรือไม่จริง ? เออ.......ไปอยู่ที่ไหนมา เขาพูดกันทั่วบ้านทั่วเมืองนะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:00:52

ความคิดเห็นที่ 34 ความคิดเห็นส่วนตัว การกินเนื้อ ก็ต้องฆ่าสัตว์แล้วเอาเนื้อมาปรุงอาหาร การลดกินเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเลิกเบียดเบีียนชีวิตสัตว์ กินผักผลไม้ ก็อยู่รอดได้ น่าจะเป็นตรรกะง่าย ๆ ที่ควรจะคิดได้ จากคุณ : Jackkie เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:01:21

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่ฉันเนื้อจึงละกิเลสได้มากกว่า? ตรงไหนเหรอครับ? เราไม่รู้วาระจิตของท่านขณะฉันนะครับ อาหารก็คืออาหารครับ มันเป็นแค่ธาตุที่ประชุมรวมกัน กินเพื่อกันตายรักษาขันธุ์ไว้ ชาวบ้าน ให้อะไรก็ฉันไปเท่าที่มี การไม่เลือกทานนั่นแหล่ะ น่าจะเรียกว่าลดละกิเลสได้มากกว่าอีก ถ้าจุดประสงค์ของการทานเป็นไปเพื่อยังขันธ์ห้าให้ทรงไว้ เพื่อทำกิจที่ควรทำ จะทานเนื้อ หรือไม่ทานเนื้อก็ไม่ต่างกันหรอกครับ อีกอย่างหนึ่งถ้าการไม่ทานเนื้อทำให้ลดกิเลสได้จริง ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่โฆษณาเรื่องนี้ล่ะครับ? ก็เห็นมีแต่พระเทวทัตนั่นแหล่ะ ที่เป็นตัวตั้งตัวตี จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:10:29

ความคิดเห็นที่ 36 เคยเห็นคนเก็บอาหารตามขยะกิน เขาไม่ได้นึกว่า อาหารนี้ทำจาก พืช หรือ สัตว์ มีคนกินแล้ว หรือ ยังไม่กินเอามาทิ้ง คิดเพียงว่า เสียแล้วยัง กินลงไปจะปวดท้องหรือเปล่า พอกินได้ไหม ถ้าพระหรือคน เห็นอาหารเป็นเพียงสิ่งปฎิกูล ที่จำเป็นต้องหากินลงไปเพื่อให้ชีวิตรอด ไม่ได้กินเพื่อสร้างบุญ หรือสร้างบาป ก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า การกินเนื้อสัตว์ หรือ การกินผัก นั้น มิได้เบียดเบียนใคร และ ไม่ได้ทำให้ตนสูงส่ง ที่เลือกกินบ้าง เลือกไม่กินบ้าง แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 10:22:31 จากคุณ : FOB เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:16:34

ความคิดเห็นที่ 37 การไปเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้เขาผูกใจอาฆาต เป็นเวรเป็นกรรม วิญญาณก็จะมารบกวนในจิตใจ ทำให้หงุดหงิด หรือกลั่นแกล้งล้างแค้น ไม่มีทางบรรลุง่ายๆหรอก ฆ่าหรือกินเนื้อเขา ก็ย่อมอาฆาต สำเร็จเป็นพระอรหันต์กันง่ายๆ ใครจะเชื่อไม่ว่ากัน แต่เราไม่เชื่อ ขอจ่ายสด.......พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า ใครกระดูกเป็นพระธาตุ เป็นพระอรหันต์นี่ ยึดถือกันไปเอง ไม่เชื่อลองไป กลั่นแกล้งหรือหาเรื่องตีหัวคนข้างบ้านซิ แล้วดูว่า เราจะอยู่ได้ไหม ? นี่คือหลักความจริง ที่คิดง่ายๆ ลองพิจารณามหาพิจารณา จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:19:20

ความคิดเห็นที่ 38 ตอนเราไปซื้อเนื้อจากตลาด สัตว์ได้กลายเป็นศพแล้ว เราไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้แล้ว และเราก็ไม่ได้รู้เห็น เป็นคนชี้บอกว่าให้ใครฆ่าสัตว์ตัวนั้นตัวนี้มาให้เรา เจตนาฆ่าจึงไม่มีแก่เราครับ บอกสั้นๆก็ได้ว่าเจตนาของเราคือไปซื้อศพ ไม่ใช่ออกใบสั่งให้สัตว์ตัวไหนเป็นศพ กรณีที่คิดว่าเป็นการฆ่าทางอ้อม เพราะสร้างแรงจูงใจให้โรงฆ่าสัตว์ประกอบการ อันนี้ก็ต้องถามใจตัวเองว่าเรากินเนื้อด้วยความคิดว่าจะให้มีคนอื่นฆ่าสัตว์ หรือไม่ ถ้าไม่ ก็แปลว่าบาปไม่ได้อยู่กับเรา แต่ถ้าเราเริ่มไม่สบายใจด้วยการคิดมาก จะงดกินเนื้อสัตว์ก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับตัวเองครับ ปัญหานี้ค่อนข้างเป็นปัญหาโลกแตก การอธิบายสั้นๆไม่อาจเปลี่ยนความเห็นได้ถนัด ต้องให้เรียนรู้และเข้าถึงกรรมวิบากจากจิตตนเอง สังเกตไปเรื่อยๆว่าอย่างไหนคือเจตนาเบียนเบียน อย่างไหนคือเจตนาไม่เบียดเบียน เจตนาต่างๆมีเป้าหมายถูกกระทบโดยตรงหรือไม่ ก็จะทราบได้เอง เช่นพอเห็นเจตนาซื้อเนื้อ ก็จะทราบชัดว่าเราแฝงเจตนาให้คนอื่นฆ่าสัตว์เพื่อเราหรือไม่ พอรู้ชัดว่าไม่ได้คิด ก็จะสบายใจกันเอง แม้ที่ผมเขียนตอบนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนให้เกิดการฆ่าสัตว์ แต่แน่นอนย่อมไม่เป็นที่พอใจแก่ผู้ที่เป็นมังสวิรัติขนานแท้ ซึ่งอยากให้มีการเลิกฆ่าสัตว์ทั้งโลก อันนี้ผมก็บอกไว้ล่วงหน้าว่าถ้าโหวตได้ ผมจะโหวตให้กับฝ่ายเลิกฆ่าสัตว์อย่างสิ้นเชิงนะครับ ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้เขาเพาะเนื้อเยื่อสัตว์กันได้แล้ว ไม่ต้องฆ่าสัตว์แล้ว ต่อไปอาจหมดปัญหาโลกแตกพรรค์นี้เสียที เว้นแต่จะคิดในเชิงอนุรักษ์ว่าอย่างไรก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ด้วยประการทั้ง ปวง นั่นก็คงสุดแต่อัธยาศัยของแต่ละคนอีกเช่นกัน โดย: ดังตฤณ วันที่: 25 สิงหาคม 2548 เวลา:10:51:26 น. จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:42:12

ความคิดเห็นที่ 39 พระได้อาหารมาจากชาวบ้าน ชาวบ้านกินอะไร พระก็รับอาหารตามนั้น ไม่ว่าจะมีเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือจะพูดง่ายๆ พระกินของที่ชาวบ้านมีเหลือ แต่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเตรียมอาหารไว้ให้พระ แต่ก็ไม่ใช่ความผิดพระ เพราะชาวบ้านเขาจัดเตรียมไว้เอง ถ้าอยากให้พระไม่ฉันเนื้อสัตว์ ก็เตรียมอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ซะซิ จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:50:23

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดเห็นที่ 30     ปล ดิฉันไม่กินเนื้อสัตว์มากว่าสิบปีแล้วค่ะ     กิเลสก็ไม่เห็นจะลดไปเลย มันมีวิธี   ไม่ใช่สักแต่ว่ากิน หรือไม่กินเท่านั้น   ไม่ว่าคุณจะกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็บรรลุธรรมได้  ถ้ากินถูกวิธี แต่เมื่อบรรลุธรรมแล้วผมไม่เห็นท่านไดกินเนื้อสัตว์อีกเลย จากคุณ : P2wichai   เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 03:04:07   ถูกใจ : chiwat ^ ^ ท่านใดหรือคะที่บรรลุธรรมแล้วและคุณไม่เห็นท่านฉันเนื้อสัตว์อีกเลย ทราบได้อย่างไรคะว่าท่านนั้นๆ บรรลุธรรมแล้ว เชื่อเพราะเขาบอกมา...กระนั้นหรือคะ รึว่าจะหมายถึงพระเทวทัต ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์พระศาสดา พระเทวทัตนี่ล่ะค่ะที่ต้องการให้มีข้อบัญญัติเรื่องห้ามฉันเนื้อสัตว์ แต่ด้วยภูมิธรรมที่สูงกว่า มองสรรพสิ่งได้แยบยลกว่า พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงไม่เห็นด้วย คุณพีทูคิดว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมหรือยังคะ พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์หรือไม่คะ คุณพีทูใช้ใครเป็นตัวต้นแบบ เป็นไอดอลในทางธรรมหรือคะ ใช่พระเทวทัตหรือไม่ ?!?!? จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:26:03

ความคิดเห็นที่ 41 #34 กินพืชก็นำไปสู่การฆ่าสัตว์เช่นกันครับ ถ้าสงสัย ลองเอา มะม่วงสุก มะเขือ ผักกาดกวางตุ้ง กะหล่ำดอก ฯลฯ ที่เขาไม่ฉีดยาฆ่าแมลงมาวางไว้ซัก 5-7 วันลองดู สิ่งมีชีวิตเพรียบ จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:16:50

ความคิดเห็นที่ 42 เรื่องพระเทวทัตที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในการกินเนื้อนั้น ถ้าอ่านแล้วสนับสนุนให้กินเนื้อสัตว์อยู่ จะต้องไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่อาจารย์รุ่นหลังแต่งเติมใส่ลงไปในพระไตรปิฏก เพื่อให้ตัวเองมีความชอบธรรม โดยปลอมปนซึ่งจะทำให้คนเชื่อว่า พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ มันขัดกับหลักตัดสินพระธรรมวินัย เพราะมันเพิ่มกิเลส ไม่ได้ลดกิเลส การเบียดเบียนเขาเป็นนการเพิ่มกิเลส สร้างความอาฆาตจากวิญญาณสัตว์ ซึ่งจะต้องชำระหนี้กรรมกันอีกในสังสารวัฏ อ่านพระไตรปิฏกก็ต้องมีสติหน่อย มิฉนั้น พระพุทธเจ้าจะบอกหลักกาลามสูตรและหลักตัดสินพระธรรมวินัยมาเพื่อประโยชน์อันใด มนุษย์มีสมองให้คิดพิจารณา ไม่ใช่นกแก้วนกขุนทอง จำเอาอย่างเดียว ลองเฉือนเนื้อตัวเอง พิสูจน์เลย ไม่เห็นมีใครกล้าทำสักคน พระพุทธเจ้าสอนในขณะนั้น ยังบอกไม่ให้เชื่อทันที ให้ไปพิจารณา พิสูจน์จนเห็นจริงก่อนแล้วค่อยเชื่อ .......ใครเชื่อโดยไม่พิจารณาก็เก่งกว่าพระพุทธเจ้าล่ะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 18:38:03

ความคิดเห็นที่ 43 พระจีนละกิเลสได้มากกว่าตรงไหน ช่วยอธิบายหน่อย จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 18:58:43

ความคิดเห็นที่ 44 ทราบได้อย่างไรคะว่าท่านนั้นๆ บรรลุธรรมแล้ว เชื่อเพราะเขาบอกมา...กระนั้นหรือคะ อย่างไรผมก็ไม่ได้เชื่อว่าท่านนั้นท่านนี้เป็นพระอรหันต์เพราะกระดูก ไม่ได้เชื่อเพราะเขาบอก พระพุทธเจ้าที่ผม  สวดสรรเสริญ  ว่าอย่างนี้ อิติปิ โส ภะคะวา,         เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น อะระหัง,                         เป็นผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ,               เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน,     เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจะระณะ สุคะโต,                                 เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี โลกะวิทู,                                 เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง อนุตตะโร ปุริสทัมมะสาระถิ,   เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า           สัตถา เทวะมนุสสานัง,           เป็นครูสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ,                               เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม ภะคะวาติฯ                       เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์, ดังนี้ฯ ไม่ฉันเนื้อสัตว์  ครับ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 20:29:29

ความคิดเห็นที่ 45 ก็บอกเขาไปว่า.....ในพระไตรปิำกที่เรายึดเป็นคัมภีร์สำคัญนั้น ไม่มีส่วนไหนเลย หรือไม่มีใครพิสูจน์อย่างชัดแจ้งได้ว่า พระพุทธเจ้าห้ามกินเนื้อสัตว์หรืออนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ คงเป็นไปตามสำนึกของคนที่นับถือศาสนานี้ คนคิดมากคิดลึกก้ไม่กิน คนคิดน้อยคิดสั้นก็กิน และไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดงได้ว่า ไม่กินนื้อสัตว์จะละกิเลสได้ดีกว่า หรือกินเนื้อสัตว์จะละได้ดีกว่า เอาเป็นว่า ทางใครทางมัน เพราะทุกคนย่อมเป็นไปตามกรรมของตนทั้งสิ้น ถ้าการกินเนื้อสัตว์มันก่อบาปจริง คนที่กินก็หนีไม่พ้น แต่ถ้ามันไม่บาปจริง คนที่ไม่กินก็ไม่เป็นอะไร เท่าทุนแหละ เพียงแต่คำถามเหล่านี้ไปขัดใจคนกินเนื้อสัตวืเขา เลิกถามกันเสียทีเถอะ ถามมาทีไรก็โดนกระจายทุกที เฮ้อ จากคุณ : เตาฟืน เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 20:42:51

ความคิดเห็นที่ 46 คงเป็นไปตามสำนึกของคนที่นับถือศาสนานี้ คนคิดมากคิดลึกก็ไม่กิน     คนคิดน้อยคิดสั้นก็กิน ทางใครทางมัน เพียงแต่คำถามเหล่านี้ไปขัดใจคนกินเนื้อสัตว์เขา เลิกถามกันเสียทีเถอะ     ถามมาทีไรก็โดนกระจายทุกที โดนเล็กน้อยไม่เป็นไร  เข้าใจอยู่ น้องยิ้มเธอก็อย่างนั้นเอง  ผมไม่ถือ ก็เข้าใจละว่ามันไปจี้จุดแผลคนกินเนื้อ     ก็แค่เอายามาล้างแผลแล้วใส่ยาให้   ถ้ายอมเจ็บ ยอมแสบ ไม่นานก็หาย (เข้าใจผิด) จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:16:34

ความคิดเห็นที่ 47 ความคิดเห็นที่ 42 เพราะพระพุทธเจ้า รับของเหลือจากชาวบ้านหรือที่เตรียมไว้.   ชาวบ้านกินอะไรก็ได้ตามนั้น. ถ้ารับอาหารไม่มีเนื้อสัตว์หรือมีเนื้อสัตว์ก็ฉันไปตามนั้น.   ผมว่ามันไม่ขัดพระธรรมวินัยเลย. จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:36:26

ความคิดเห็นที่ 48 ในพระไตรปิฎกมีสิคะ ก็ตอนที่ท่านเทวทัตกระทำสังฆเภทยังไงล่ะ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าท่านพี่ทูเป็นเช่นนี้เอง เช่นกันล่ะค่ะ ก็มาเนียนๆ ชูแนวคิดของกลุ่มสันติอโศก เพราะพระเทวทัต เอ๊ยย พระโพธิรักษ์ท่านฉันมัง ก็เลยจะชูว่านี่แหละสอนถูกแล้ว นี่แหละอรหันต์แล้ว...ใช่หรือเปล่าคะ ท่านพีทูเอาอะไรมายืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อคะ  งง ค่ะ ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นเข้าใจผิด  แล้วตัวเองเข้าใจถูก ทำไมถึงเชื่อว่าตัวเองคิดมากกว่า  แล้วคนอื่นคิดน้อยล่ะจ๊ะ จะมีมุมแย้งมองว่าตัวเองคิดผิด  แล้วคนอื่นคิดถูก ตัวเองคิดน้อย แล้วคนอื่นคิดถี่ถ้วนแล้ว...บ้างหรือมั้ยคะ ยึดมั่นอะไรอยู่หรือ ?!? เอ...หรือว่าเปนตัวข้าน้อยเองที่กำลังยึดมั่นอยู่ อืมมม จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:43:20

ความคิดเห็นที่ 49 คนกินเนื้อจะมีแผลอย่างไร แผลอะไรหรือคะ งง การสื่่อสารดูจะยกตัวกินผักข่มผู้อื่นกลายๆ นะคะเนี่ย จริงๆ จะกินอะไรก็กินไป ปากใครก็ปากใครอ่ะแหละ แต่อย่ามาบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์เลยค่ะ ในเมื่อท่านไม่ได้กล่าว ก็ไม่ควรจะมาตู่ท่าน กลุ่มนอกรึตไหนอยากจะกล่าว อยากจะสอน ใครอยากจะเชื่อก็เชื่อไป ตรงนี้เป็นที่เข้าใจได้ดีล่ะค่ะ ปอลิง ข้าน้อยกินเจเกือบทุกปีนะคะ ส่วนท่านแม่กินทุกปีตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้ เพราะงั้นมิได้มีอคติกับกลุ่มคนกินผักแน่นอนค่ะ  ไปสันติอโศกออกจะบ่อย ไปซื้อผักคร๊า :-) แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 21:51:13 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:50:23

ความคิดเห็นที่ 50 เอ...หรือว่าเปนตัวข้าน้อยเองที่กำลังยึดมั่นอยู่ อืมมม จริงหรือเปล่า   หรือว่าพูดเล่นๆ     แต่จริงๆแล้ว อยากให้คิด ไม่เนียนละ  ก็เชื่ออย่างนี้ เห็นว่าอย่างนี้ถูกอย่างนี้ดี ก็เอามาบอกกัน ไม่เชื่อก็ไม่ว่าอะไรนี่  คุณจะกินเนื้อก็กินไปซี่  ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แผลอะไรหรือคะ     น่าจะเป็นแผลที่ใจ   จึงคิดว่าโดนข่ม แล้วผมก็ออกจะถ่อมตนอยู่เสมอ  รู้ละว่าคนในนี้คิดอย่างไร เกรงอย่างที่คุณเตาฟืนว่า    มาทีไรก็โดนกระจายทุกที  แต่ก็ไม่เข็ด อย่ามาบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์เลยค่ะ   คำไหนที่บิดเบือนหรือครับ           ถามมาผมก็ตอบตามที่ผมเชื่อ  จะไปตอบตามที่คนอื่นเชื่อได้อย่างไร ถ้ามีโอกาสได้ไปอีก ลองเข้าไปคุยข้างในดูซิ   ไหนๆก็เคยไปวัดจานบินมาแล้ว(ผมจำผิดคนหรือเปล่า) ก็ลองไปพิสูจน์ที่นั่นดูบ้าง               สมณะ สิขมาต ท่านไม่กัดหลอก  ออกจะใจดี   จังหวะดีๆได้ทานมังสวิรัตอร่อยๆด้วย จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 22:40:05

ความคิดเห็นที่ 51 พระพุทธเจ้าที่ผม  สวดสรรเสริญ  ว่าอย่างนี้ . . . ไม่ฉันเนื้อสัตว์  ครับ ตรงที่บอกว่า "ไม่ฉันเนื้อสัตว์" นี่ไง คุณพีทูเอามาจากไหนคะว่า พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ คุณเชื่ออย่างไรนั้นเรื่องนึง ถูกมั้ยคะ แต่หลักฐานตรงไหนคะที่บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ ช่วยยกมาให้ดูด้วยสิคะ เคยเข้าไปแล้วค่ะ สันติอโศก ก็เฉยๆ นิคะ ไม่สามารถทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความศรัทธาที่มีต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าได้หรอกค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 00:06:13

ความคิดเห็นที่ 52 อยากรู้คำตอบ ให้หาอ่าน "อามคันธสูตร" พระสูตรนี้ชัดเจนที่สุด -พระพุทธเจ้าสมณโคดมปฏิเสธการกินเจ (ไม่กินเนื้อสัตว์และเนื้อปลา) -พระพุทธเจ้าองค์ก่อน (กัสสปะ) ก็ปฏิเสธเช่นกัน อีกเรื่องที่หลายคนยกมาแล้ว คือ "วัตถุ 5 ประการ" ที่ พระเทวทัตต์นำเสนอต่อพระพุทธเจ้า และโดนปฏิเสธ จากคุณ : zen_ar218 (zen_ar218) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 01:48:48

ความคิดเห็นที่ 53 เขาไม่อ่านหรอกค่ะ เพราะเขาจะบอกว่ามีคนแต่งเติมเข้ามาทีหลัง ไม่ใช่ของดั่งเดิม ดั่งเดิมต้องคือ ที่อาจารย์เขาบอกน่ะค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 02:04:42

ความคิดเห็นที่ 54 ก า ร กิ น เ นื้ อ สั ต ว์ ขั ด แ ย้ ง กั บ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ห รื อ ไ ม่ ? อาจารย์สมภาร พรมทา บทสรุป ท้ายที่สุดแล้วพุทธทุกฝ่ายก็เห็นร่วมกันว่า การถือมังสวิรัติเป็นดี การที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สาวกกินเนื้อสัตว์ได้ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทนั้น ควรเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกับการสนับสนุนให้กินเนื้อสัตว์ ระบบจริยธรรมของพุทธศาสนาเถรวาทนั้น เป็นระบบที่คิดเผื่อให้มีทางออก สำหรับสถานการณ์ที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงหนัง โรงหนังนั้นต้องมีทางออกปิดเอาไว้ สำหรับคนที่มีภาระต้องออกไป ก่อนคนอื่น หรือไม่ยินดีที่จะดูหนังต่อเพราะหมดสนุก พระพุทธองค์ทรงคิดเช่นนี้ จึงทรงอนุญาตให้ชาวพุทธบริโภคเนื้อสัตว์ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าในอนาคตหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนาอาจแพร่เข้าไปในดินแดนที่อาหารหลักของผู้คนคือเนื้อสัตว์ (เช่นบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปลูกพืชแทบจะไม่ได้เลย มีแต่ปลาและเนื้อเท่านั้นที่ผู้คนจะกินเป็นอาหารได้) การปิดประตูสนิทสำหรับการกินเนื้อสัตว์ จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่การมีประตูออกที่โรงหนัง ไม่ได้แปลว่าเป็นการเชิญชวนให้ทุกคนออกมาจากโรงหนัง การมีอยู่ของประตูนั้น ควรเข้าใจว่ามีอยู่ในฐานะช่องทางสำหรับการเลือก จริยธรรมแบบที่ไม่มีช่องทางสำหรับการเลือกเลยนั้น พุทธศาสนาเถรวาทถือว่าเป็นจริยธรรมที่สุดโต่ง การที่ฝ่ายมหายานมีความปรารถนา ที่จะให้โลกนี้ลดการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารมนุษย์นั้น ต้องถือว่าเป็นเจตนาดีอย่างไม่มีข้อสงสัย ยิ่งในโลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ กระทำในรูปธุรกิจที่มีการเลี้ยงสัตว์คราวละมากๆ และฆ่าสัตว์เพื่อส่งตลาดคราวละมากๆ ข้อเสนอของฝ่ายมหายานยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเป็นเงาตามตัว สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การที่เรายังกินเนื้อสัตว์อยู่ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความชั่วร้าย ที่กลายเป็นระบบไปแล้วนี้ยังดำรงอยู่ต่อไป สัตว์จำนวนมหาศาลต้องถูกเลี้ยงในสถานที่ที่แออัด ถูกปฏิบัติอย่างไม่มีคุณค่าโดยเจ้าของธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้อง รอวันหนึ่งเมื่อเนื้อของมันจะให้ค่าตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ลงทุน พวกมันก็จะถูกกวาดต้อนไปเชือด นี่คือปาณาติบาตที่ทำอย่างเป็นระบบ เป็นวงจร และอย่างปราศจากความสำนึกทางศีลธรรมใดใด การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารบ้างในสังคมเกษตรกรรมนั้น อาจถูกตั้งคำถามไม่มากนักในเชิงจริยธรรม ชาวนาที่เลี้ยงไก้ไว้ในบ้านปฏิบัติต่อไก่นั้น อย่างมนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อสรรพสัตว์ ให้อาหารมัน มีที่มีทางให้มันได้เดิน ได้วิ่ง ได้เลี้ยงลูก ตามประสาของมัน ถึงเวลาที่จำเป็นเขาอาจขอชีวิตพวกมันบางตัวเพื่อเป็นอาหาร ปาณาติบาตในสภาพการณ็เช่นนี้ยังพอเป็นที่เข้าใจได้ แต่ไก่หรือหมูที่อยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์จำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวนั้น ไม่มีคุณค่าหรือศักดิ์ใดใดหลงเหลืออยู่ ระบบที่ปฏิบัติต่อพวกมันก็ไม่ใช่ระบบของมนุษย์ (เมื่อเทียบกับที่ชาวนาเลี้ยงไก่) สิ่งที่พุทธศาสนามหายานเรียกร้องชาวพุทธก็คือ ทำไมเมตตาธรรมของเราจงไม่ควรที่จะเอื้อมาถึงสัตว์เหล่านี้ พวกมันไม่มีอำนาจต่อรองใดใด ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากนรกบนดินนี้ นอกจากจะมีมนุษย์ผู้มีจิตใจประเสริฐมาช่วยเหลือ เมตตาธรรมสำหรับฝ่ายมหายาน นอกจากจะคือความรักและหวังดีต่อเพื่อสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ยังหมายถึงการจะไม่ยอมให้มีการกดขี่เบียดเบียนกัน โดยที่เราไม่ยอมยื่นมือไปช่วยด้วย เมตตาธรรมในความหมายหลังนี้ คือความมีน้ำใจ การคิดถึงผู้อื่น และรู้สึกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังมีการกดขี่เบียดเบียนกัน เราจะนิ่งดูดายคิดถึงแต่ความบริสุทธิ์ส่วนตัวไม่ได้ ชาวพุทธที่ปิดบ้านนั่งภาวนาเพื่อไปพระนิพพาน โดยไม่มองออกไปข้างนอกบ้านว่าที่โน่นเขาทำอะไรกันบ้าง จะถือว่ามีเมตตาได้หรือ นี่คือคำถามที่ผู้วิจัยคิดว่าฝ่ายมหายานได้ตอบเอาไว้ชัด ฝ่ายเถรวาทจะตอบคำถามนี้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เราชาวเถรวาทจะต้องช่วยกันตอบ การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นหลักการแก้ความชั่วร้ายโดยวิธีอหิงสาโดยแท้ เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้องระบบการคุ้มครองสิทธิสัตว์ (คือเสนอให้มีกฏหมายยกเลิกการค้าขายเนื้อสัตว์) อย่างที่ชาวตะวันตกบางพวกกำลังรณรงค์ เพราะการเสนอเช่นนั้นเป็นการสร้างการเผชิญหน้ากัน สิ่งทื่เราสามารถทำได้ง่ายๆ ตรงไปตรงมาทันทีทันใด คือ พยายามไม่กินเนื้อสัตว์ สำหรับชาวพุทธเถรวาท คฤหัสถ์อาจถือมังสวิรัติได้ง่ายกว่าพระสงฆ์ เพราะเป็นผู้ที่สามารถเลือกได้ และคฤหัสถ์ที่ถือมังสวิรัตินั่นแหละ ที่จะช่วยให้พระสงฆ์ถือมังสวิรัติได้อย่างง่ายดาย ด้วยการถวายอาหารมังสวิรัติแก่ท่าน พระสงฆ์ท่านไม่มีทางปฏิเสธการอุปถัมภ์ของชาวบ้านอยู่แล้ว เราถวายสิ่งใดท่านก็ฉันสิ่งนั้น แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่ของที่จะเลิกกระทำได้ง่ายๆ เพราะระบบวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เราถือกันเป็นหลักใหญ่ในโลกขณะนี้ เชื่อว่ามนษย์ถูกสร้างมาให้กินเนื้อสัตว์ เพื่อสร้างสมองของเด็กให้เจริญเติบโต ถ้ามนุษย์ยังมีความจำเป็นบางประการ ที่จะต้องกินเนื้อสัตว์อยู่ จริยธรรมแบบทางเลือกที่พุทธศาสนาเถรวาทเสนอนั้น ก็น่าที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด การกินเนื้อสัตว์บนพื้นฐานของความสำนึกว่า ตนเองกำลังเอาเปรียบผู้อื่นจะเป็นแรงหน่วงดึงที่สำคัญ ที่ไม่ได้ทำให้เด็กกินเพื่อความอร่อย แต่เพราะความจำเป็น ยิ่งพุทธศาสนาเถรวาทมีคำสอน ที่บรรยายโทษของการประกอบอาชีพปาณาติบาต (เช่นเรื่องนายโคฆาตก์และนายจุนทสูกริกใน “อรรถกถาธรรมบท”) ว่าจะทำให้มีชีวิตที่เศร้าหมองอย่างไร คำสอนนี้จะยิ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ประกอบอาชีพปาณาติบาต โดยเฉพาะในเชิงอุตสาหกรรมมีความตระหนักคิดมากขึ้น ฝ่ายมหายานนั้นรณรงค์ที่ผู้บริโภค ส่วนฝ่ายเถรวาทก็รณรงค์ที่ผู้ผลิต เมื่อผนวกจริยธรรมจากสองฝ่ายเข้าด้วยกัน การฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ก็คงจะลดลงจากโลกนี้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน (คัดลอกบางตอนมาจาก : งานวิจัยเรื่อง “กิน : มุมมองของพุทธศาสนา” โดยอาจารย์สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ ๒๕๔๗, หน้า ๗๕-๗๘) จากคุณ : t (castertoi) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 06:58:26

ความคิดเห็นที่ 55 คุณเชื่ออย่างไรนั้นเรื่องนึง ถูกมั้ยคะ แต่หลักฐานตรงไหนคะที่บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ ช่วยยกมาให้ดูด้วยสิคะ ถ้าอยากจะเชื่ออย่างนั้น อยากจะกิน ก็กินไปเถิดอย่าเอาพระพุทธองค์มาอ้างเลย หลายพระสูตรที่ยกมาอ้าง  ก็ไม่เห็นว่าท่านสนับสนุนการกินเนื้อสัตว์เลย แล้วอีกหลายๆสูตร น่าจะทั้งหมดทุกคำสอนก็ให้เว้นการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย "วัตถุ 5 ประการ" ที่พระเทวทัตต์นำเสนอต่อพระพุทธเจ้า และโดนปฏิเสธ ก็ยกมาอ้างแค่ข้อเดียวอีกสี่ข้อก็ทำมองไม่เห็น  ไม่รู้ว่าเพราะเหตได เคยเข้าไปแล้วค่ะ . - . - . - ก็เฉยๆ นิคะ คงจะมี ก   กำแพงหนาขวางกั้นอยู่  อาจต้องใช้ขวานวิเศษ ทำลายกำแพงลงก่อน ขวานวิเศษหาได้จากกระทู้นักโทษประหารข้างล่าง http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12595572/Y12595572.html จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 09:11:11

ความคิดเห็นที่ 56 ---------------- ตอบท่านเจ้าของกระทู้ (พุทธ) ภรรยาชาวจีนถามว่า พระไทยทำไมฉันเนื้อสัตว์ได้ ------------------  เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระฉันอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ได้  และไม่ได้ทรงบัญญัติให้ฉันแต่อาหารจากพืช                         และที่พระชาวจีน ไม่ฉันเนื้อสัตว์เพราะว่าเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงห้ามฉันอาหารจากเนื้อสัตว์หรือเปล่า จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:17:20

ความคิดเห็นที่ 57 เคยไปวัดจีนในปักกิ่งมา แล้วก้อได้ไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเจใกล้ๆ วัดด้วย  อาหารอร่อยมาก ไม่มีเนื้อสัตว์เรย แต่ถ้าทานแต่ผักแล้วลดกิเลสได้จริง ทำไมเค้ายังทำผักหรือเต้าหู้และโปรตีนเกษตรต่างๆ เลียนแบบเนื้อสัตว์ละคะ  ทำเปนเนื้อเป็ดเจ หมูหยองเจ กุ้งเจ ไส้กรอกเจ  รสชาติและกลิ่นก้อคล้าย จะต่างก้อสัมผัส  หากทานผักแล้วลดกิเลสได้จริง ก้อไม่่น่าจะปรุงแต่งให้ผักต่างๆ หน้าตาเหมือนและรสชาติเหมือนเนื้อค่ะ จากคุณ : stained glass เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 16:09:17

ความคิดเห็นที่ 58 ^57    ถ้าทานแต่ผักแล้วลดกิเลสได้จริง   ? ? การทานผัก เว้นการทานเนื้อ เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งในหลายๆอย่าง แล้วก็มีหลากหลายระดับด้วย  อย่างที่คุณไปทานก็เป็นระดับหนึ่งที่ไม่ยากสำหรับผู้เริ่มต้น               เพียงรู้สาระและเป็าหมายก็ได้ประโยชน์มากแล้วครับ   แต่ถ้าไม่รู้สาระและเป้าหมาย  ก็ได้ประโยชน์น้อย หรืออาจหลงออกนอกทางพุทธไปก็ได้ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 18:05:15

ความคิดเห็นที่ 59 ความคิดเห็นที่ 20     ไม่ชอบวิธีการตอบของพระรูปดังกล่าวใน คห 19 เลยครับ ผมเรียกว่า แถ  มันไม่ตรงกับคำถาม ---------------------------------------------- ท่านไม่ได้แถหรอกครับ 1. ตอนที่ท่านทาน มันไม่ได้เป็นเนื้อหรือเป็นผัก มันเป็นอาหาร พระต้องฝึกมีสติอยู่กับตัว ไม่ฟุ้งซ่านไปถึงอดีต 2. ถ้าคุณกินผักแล้วฟุ้งซ่านถึงไปอนาคต ก็ต้องคิดด้วยสิว่าคุณกำลังกินขี้นะเพราะผักที่คุณกินอีกสักพักมันต้องเป็นขี้แน่ๆ ทำไมไม่เป็นเช่นนั้นบ้างหละครับ ทำไมถึงไปติดอยู่แค่อดีตหละครับ 3. จากข้อ 2. ท่านฉันอาหาร ถูกแล้วครับ เจตนาฉันอาหาร ไมได้ตั้งเจตนาฉันเนื้อหรือผัก แต่เมื่อได้มาแล้วอาจตั้งเจตนาฉันอาหารที่ทำจากซากเนื้อหรือซากผักเพื่อให้เหมาะกับร่างกายก็ได้ครับ ไม่ใช่ไปเจาะจงขอตั้งแต่แรก 4. ท่านไม่มีเจตนาฆ่าแน่นอนเพราะท่านไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องฆ่าอาหารที่สุกแล้วให้ตายซ้ำซ้อน 5. ยิ่งท่านไม่ได้ส่วนสนับสนุนในการหาเนื้อหรือหาผัก ท่านขอมาได้โดยบริสุทธิ์ถูกต้องตามพระวินัย จิตท่านก็ไม่ต้องหมองไปกับที่มาของซากเนื้อหรือทานซากผักที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร ก็นั่งสมาธิบรรลุธรรมได้สบายครับ 6. ตอนที่ผมนั่งสมาธิได้ดี ได้สติสูงมาก รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ ผมก็ทานซากผักกับซากเนื้อ ผัดน้ำมันง่ายๆรวมกัน ทำเองด้วยนะ ทั้งซากผักและซากเนื้อมันก็ซากๆ เป็นกากๆเป็นใยๆ ปรุงให้เหมาะกับท้องกับไส้พอกลืนเข้าไปได้ง่ายหน่อย มันก็เป็นแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้นแล้ว คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมยืนยันได้ว่าถ้าคุณทานอาหาร ก็ไม่มีอะไรส่งผลเสียต่อการฝึกสติ ฝึกสมาธิเพื่อให้บรรลุธรรม แต่ถ้าคุณทานเนื้อหรือทานผัก ผมไม่รับรองนะ... 7. เพราะแค่ระแวงว่าอาหารไม่บริสุทธิ์ตามความนิยมของคุณหรือย้อนอดีตว่าตอนเด็กก่อนหน้านี้เคยทานเนื้อไปเยอะ บาปมหาศาลก็ต้องสะดุ้งไปไม่มีที่สิ้นสุด.. ยิ่งย้อนกลับไปอีกหลายๆชาติ โอ้...บาปกรรมต้องชดใช้กันไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีทางบรรลุธรรมเสียแล้ว... ความจริงคุณไม่ต้องไปคิดชดใช้ให้ทุกสิ่งหรอกครับ เอาแค่ชาตินี้ก็ไม่จบไม่สิ้นแล้ว ฝึกตัวเองให้บรรลุธรรมไปเลยจะแน่นอนกว่า เพราะการรอใช้กรรมเก่าก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกรรมใหม่อยู่ดี และพระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ใช้วิธีนี้ด้วยนะครับ 8. ถ้าคุณไม่มีเจตนา ไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยในการตายของสัตว์ ก็จะมีผลกระทบต่อคุณแค่ทางกายภาพ ไม่ใช่จิตใจจึงบรรลุธรรมได้ไงครับ ถ้าคุณสลัดกิเลสไม่ออก แม้จะเกี่ยวเนื่องด้วยพืช ไม่ได้ฆ่าสัตว์สักตัวเดียว จิตก็ติดอยู่กับกิเลสความชอบหรือไม่ชอบผักอยู่อย่างนั้น บรรลุธรรมไม่ได้ครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 03:45:43