ความคิดเห็นที่ 1 ต้องเข้าใจ ก่อนอันดับแรกว่า ในครั้งอดีตพุทธกาล สิ่งเหล่านี้ ก็มีคำถามแบบนี้ แต่ ไม่มีคำตอบแบบนี้ คนที่คิดคำตอบคนแรกได้ ก็ต้องเป็น ต้นกำเนิด ถ้าเป็น คนในยุคนั้น จะเรีัยกว่า เจ้าลัทธิ สำหรับศาสนาพุทธ ทีเราทรงเรียกว่าพระพุทธเจ้านั้น เพราะ ครบ พระรัตนตรัย   ซึ่งในสมัยนั้น มีเพียง เจ้าลัทธิกะ ผู้ปฎิบัติตาม ไม่มีการเขียน คำสอนต่าง ๆ เอาไว้ คือ พระธรรม  ฉะนั้น พระธรรม คือ คำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า หรือตัวแทนของพระองค์ ย้อนกลับไป ธรรมะ คือธรรมชาติ คุณก็จะเข้าใจตามความหมายนั้น  เอาแค่นี้ ผมไม่ค่อยชอบอธิบายอะไรยาว ๆ จากคุณ : แฟนพันธุ์ทาง (อาจารย์ไข่) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 05:35:13

ความคิดเห็นที่ 2 ท่าน จขกท. คิดเหมือนผม แล้วศาสนาล่ะครับ จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 06:12:30

ความคิดเห็นที่ 3 เง้อ...... แสดงว่า ไม่ได้อยาก เสวนา จริง ไปโรงเรียนดีกว่า จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 07:45:26

ความคิดเห็นที่ 4 ท่านพุทธทาส  บอกไว้ว่า  ในพจนานุกรมอินเดีย               (ท่านสั่งซื้อหนังสือจากอินเดียมาศึกษา ฯ)           คำว่า ธรรม (Dharma)  หมายถึง  หน้าที่ (duty) ******************************************************** แล้ว  ท่านพุทธทาส อีกนั้นแหละ  ที่เป็น ท่านแรกในบรรดาภิกษุสมัยนี้   ท่านพุทธทาสเสนอไว้ว่า "ธรรม ได้แก่ ?" ได้แก่ (๑) ธรรมะ  คือ  ตัวธรรมธาติ --- ผมขยายความเพิ่ม ว่า "ธรรม ข้อนี้"---- ได้แก่ พระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า สังขตธรรม อสังขตธรรม มีประมาณเท่าไร  ตถาคตกล่าวว่า --- วิราคธรรม (คือ ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา นี้ คือ นิพพาน ตามพุทธปัญญาขั้นจอมศาสดา ฯ) เป็นธรรม (ตัวธรรมชาติ ?) ที่เลิศ ยอดกว่า สังขตธรรมและ อสังขตธรรม เหล่านั้นทั้งหมด ---- คุณFaraday ---  ค้านไหมว่า "พระเจ้า ตาม อวิชชาของบุคคลใด  ไม่ใช่ ธรรมชาติหนึ่ง (ตามคำที่เสนอว่า --- ธรรมะ คือธรรมชาติ ) ใน ธรรมทั้งปวง  คือ สังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคะธรรม (๒) ธรรม คือ (ตัว)กฎ (ลากเสียง ยาวววว จะได้เสียง ว่า ก๊อด (god)  ท่านพุทธทาสเสนอไว้) --- ผมขยายความเพิ่ม ว่า "ธรรม ข้อนี้"---- ได้แก่ ตัวธรรมชาติใดนั้น (สังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม)  ล้วน มี กฎเกณฑ์ เช่นนั้นเอง --- ไม่ เกี่ยวกับ  สิ่งอื่นจากธรรมนั้น มา บัญญัติบอกว่า "นี่กฎนะ" ง่ายๆ ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด (สมุทัย) สายดับ (นิโรธ) หรือ อรินสัจจสี่ --มีกฎของมัน"  คือ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้มี สิ่งนี้สิ่งนี้จึงมี (สายเกิด) = เป็นธรรมชาติ ที่มีกฏว่า เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้สิ่งนี้จึงไม่มี (สายดับ) = เป็นธรรมชาติ ที่มีกฏว่า เป็นไปตามเหตุปัจจัย (๓) ธรรม คือ หน้าที่ตามธรรมชาติ --- ผมขยายความเพิ่ม ว่า "ธรรม ข้อนี้"---- ได้แก่ สังขตธรรม ก็มี "duty"  ของมัน  แบบนั้น  (แบบใดนั้น ที่เนื่องกับ "กฎ (law) เช่นนั้น " ข้อนี้ เช่น เพราะมี อวิชชา (ignorance)  จึงมี พระเจ้าเช่นนั้น ธรรมะข้อนี้ "ตามพุทธปัญญาของพระพุทธเจ้า" จึงได้แก่  หน้าที่ ที่ ต้องกระทำให้ถูกฝาถูกตัว เพื่อ ผล คือ กระทำ บรมธรรม (นิพพาน ความสิ้นไปแห่งกิเลส) ให้แจ้ง  ตรงตามที่ตรัสสอนไว้ ส่วน ธรรมะข้อนี้ ตาม หลักธรรมแห่งศาสนาที่ "มีพระเจ้า"   ก็ ศึกษาเอง (ดีดี ฯ) อสังขตธรรม ก็มี "duty"  ของมัน  แบบนั้น  (แบบใดนั้น ที่เนื่องกับ "กฎ (law) เช่นนั้น ข้อนี้ เช่น " --- วิราคธรรม (ฝ่ายอสังขตธรรม) คือ ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา นี้ คือ นิพพาน --- หน้าที่ ฝ่ายนี้ ต่างกับ หน้าที่ฝ่ายโน้น  อย่างไร?  ศึกษา พระพุทธภาษิตให้เพียงพอ ง่ายๆ ก็ตามคำว่า "duty for duty's sake" (๔) ผลที่ได้รับ จาก การทำหน้าที่ ("ที่ถูกฝาถูกตัว") ศาสนา ที่ เนื่องกับ ---- เห็นชอบด้วยปัญญาตามที่สิ่งนั้นๆ เป็นจริงว่า "ธรรมทั้งปวง อนัตตา" = ศาสนาที่ ไม่มี พระเจ้า (มี ไม่มี พระเจ้า ล้วนเนื่องกับอวิชชาของ บุคคลนั้นๆ  เพราะยังไม่ holy see ด้วย ปัญญาขั้น enlightenment ฯ) ก็ รู้ว่า  "เกิดมาแล้ว  ควรได้ประจักษ์กับ สิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งกว่า"  คือ -- ความสิ้นไปแห่ง ความสกปรกของชีวิต ที่ได้แก่ กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ  อันเป็น อนุสัย อาสวะ สังโยชน์ ส่วน ศาสนาที่ เนื่องกับ ศรัทธาเชื่อมั่นว่า "มีพระเจ้าแบบนั้นๆ"  ก็มี หน้าที่ ทำตามที่พระเจ้าตรัส  ฯ สรุป ธรรมะ คือ อะไร  ----- มี หลาย มุมมอง ความเห็น  ฯลฯ อาสัย กาลามสูตร  ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพื่อ ฯลฯ หมายเหตุ ทำไม ศาสนาที่มี พระเจ้า  พระเจ้า จึงไม่ แสดง "ธรรมะ ที่ พระพุทะเจ้าตรัสแก่ ชาวกาลามะ  หรือ กาลามสูตร?   -- น่าพินิจไหม เพื่อ ความไม่ประมาท ต่อ บรมธรรม - ธรรมอันยิ่ง  ที่ เมื่อ เกิดมาแล้ว ควรรู้ ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 07:47:22

ความคิดเห็นที่ 5 วิราคะธรรม  เกิดขึ้นได้อย่างไร  ในเมื่อสิ่งที่เป็นธรรมชาิติในตัวมนุษย์คือ การสืบพันธุ์  การมีที่อยู่อาศัย การมีกิน จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 07:57:18

ความคิดเห็นที่ 6 ค.ห 4   ท่านเซนคะ ยังอ่าน ค.ห  ของท่านเซน ไม่ละเอียดดีค่ะ... แต่อยากให้ กิ๊ฟ  ไปก่อน   ชอบคุณเซน  เขียนแปลกดี  ต้องค่อยๆ อ่านค่ะ เด๋วว่าง กลับมาอ่านนะค่ะ... สวัสดีคุณหลานฟาร์   หายหน้าไปไหนมาคะ..  สบายดีหรือ? เด๋ว บ่ายๆ  ว่างแล้ว ป้าจะกลับมาจ๊ะ   ไปทำธุระก่อน  แวะมาทักทายเฉยๆจ๊ะ จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:03:43

ความคิดเห็นที่ 7 ความหมายของ ธรรมะเป็นเรื่องใหญ่มากนะ ในพระไตรปิฎก  ธรรมะ มีความหมาย ตั้ง 80กว่าความหมาย ในพระไตรปิฎก  1ในความหมาย ที่ท่านว่ามา ก็มี และ 80กว่าความหมาย นั้น มิได้ขัดแย้งกันเอง อยู่ที่ แง่มุม ที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้ นำมาอธิบายเรื่องต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ ต่อโลก ที่กระทู้ว่ามา   ไม่รู้ว่า ท่านคิดบัญญัติเอาเอง   หรือ  ฟังคนอื่นมา แต่  น่าจะมาจากการเผยแผ่  ของท่าน อ.พุทธทาส ตัดตอนเอามา เทศนาธรรมสั่งสอน ในเรื่องเฉพาะอย่าง มากกว่า จงอย่าลืม ว่า  พระพุทธเจ้า ทรงเป็น ศาสดา และเรา คือ สาวกผู้เดินตาม   เรียนธรรมะ เรียน บัญญัติ จากศาสดา ก็ต้องเรียน ให้ถ้วนทั่ว แต่ถ้า  ท่านไม่ได้นับถือ  ศาสนาพุทธ   ก็แล้วไป.... จากคุณ : supersub เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:07:02

ความคิดเห็นที่ 8 พระพุทธภาษิต  มูลปริยายสูตร ก็ เนื่องกับ ธรรมะ  (ตามที่ยกตัวอย่าง เพื่อการศึกษา ธรรม ๔ ความหมายของท่านพุทธทาส) ******************************************************* มูลปริยายสูตร มีคำ พระบาลี ๒ คำ คือ คำว่า (๑) คำว่า -- สัญชานาติ (รู้เพราะ จำได้หมายรู้) กับ (๒) คำว่า -- อภิชานาติ  (รู้ยิ่งด้วยปัญญา  เพราะ มีการสดับ  - ดู ความรู้ที่ทำให้มีการอบรมจิต  -เรื่อง จิตประภัสสร พ้นวิเศษจาก อุปกิเลส ฯ) เนื่องกับ ภูมิ ๔  (โดยย่อ) ดู (๑) พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน หน้้า ๓๖๙ (๒) http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=0&Z=237 ******************************************************                                            สรุป                                 ธรรมทั้งปวง  อนัตตา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 08:35:14

ความคิดเห็นที่ 9 ธรรมะ คือ อะไร --------------- ในความเข้าใจธรรมดา ทั่วไป  ธรรมะ ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า                   ส่วน คำว่า ธรรม ในพระไตรปิฎก มีหลายความหมายเช่น                   -------- หมายถึง  สิ่งต่างๆทั้งหมด  เช่น พระภิกษุห้ามกล่าวธรรมกับมาตุคาม เกินกี่คำ เมื่อไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย   หมายถึงหมายพูด(อะไรก็ได้)เกินกี่คำ                              หรือหมายถึง ความเห็นธรรม ความถูกต้อง                    ในพระไตรปิฏก  คำว่า ธรรม จึงมีความหมายหลายแบบ (น่าจะตามความหมายของภาษาบาลีในขณะนั้น)  แล้วแต่ว่า ข้อความแวดล้อมจะให้หมายถึงอะไร จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 09:38:00

ความคิดเห็นที่ 10 คคห 9 ในความเข้าใจธรรมดา ทั่วไป  ธรรมะ ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า                *************************************** ถูกต้องครับ แล้ว ขัดกับ ธรรม ๔ ความหมาย  ตามที่ท่านพุทธทาส ทาสของพระพุทธเจ้า  เสนอไหม? พิจารณา ว่า ความหมายที่ ๑ ธรรม คือ ธรรมชาติ (๑) พระพุทธเจ้า คือ ตัวธรรมชาติ ที่ ผ่าน ความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อน  ตามพุทธประวัติ ตรัสเอง เช่น โพธิราชกุมารสูตร พระพุทธเจ้า และ ธรรมที่ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง  ตามที่ตรัสคำว่า "ธัมมนิยามตา" เป็นต้น -- ดู ธรรม ๙ ตา  ที่ท่านพุทธทาส รวบรวมทาจาก พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก -- ก็ ยังคือ ตัวธรรมชาติ รวมความว่า ธรรมทั้งปวง ตามที่ตรัสคือ สังขตธรรม อสังขตธรรม และ วิราคธรรมที่เป็นเลิศยอดกว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้นทั้งหมด --- คือ ธรรมชาติ รวมทั้ง  พระรัตนตรัย  ก็ ยังคือ ตัวธรรมชาติ รวมทั้ง พระไตรปิฎก ไม่ว่าฝ่ายไหน ก็ยังคือ --- ความหมายที่ ๑ ธรรม คือ ธรรมชาติ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 09:55:54

ความคิดเห็นที่ 11 ความหมายที่ ๒ ธรรม คือ "กฎ"ธรรมชาติ ธรรมทั้งปวง ตามที่ตรัสคือ สังขตธรรม อสังขตธรรม และ วิราคธรรมที่เป็นเลิศยอดกว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้นทั้งหมด --- คือ ธรรมชาตินั้น ล้วน  มี กฎ  ของมันอยู่ รายละเอียด  (กฏ ที่ว่านั้น ) ยกไว้ ฯ (ลอง ค้นหาดู ในพระสูตร ฯ ตามพระไตรปิฎก ฝ่ายเถรวาทฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 09:58:03

ความคิดเห็นที่ 12 ความหมายที่ ๓ ธรรม คือ "หน้าที่" ธรรมชาติ ง่ายๆ  ตามที่ตรัสว่า -- เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์ --- ตามกฎ  ที่ตรัสว่า -- สังขารที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสังขารทั้งปวง (สังขตธรรม) คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ --- กฎ ในกรณีนี้ ได้แก่ --- กฎที่ตรัสไว้ ในคำว่า -- เพราะสิ่งนี้สิ่งนี้มี สิ่งนี้สิ่งนี้ ย่อมมี (คือ สมุทัย) / เพราะสิ่งนี้สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้สิ่งนี้ไม่มี (คือ นิโรธ) --- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:01:44

ความคิดเห็นที่ 13 ความหมายที่ ๔ ธรรม คือ "ผลที่ได้รับจากหน้าที่ ตรงตามกฎ" ธรรมชาติ เช่นที่ตรัสว่า ถูกแล้ว สารีบุตร ผู้มีศีลสมบูรณ์ สมาธิพอประมาณ ปัญญาพอประมาณ คือ พระโสดาบัน (ผู้ได้รับ ผลของธรรมชาติเช่นนั้น) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:03:24

ความคิดเห็นที่ 14 ในพระไตรปิฏก  คำว่า ธรรม จึงมีความหมายหลายแบบ (น่าจะตามความหมายของภาษาบาลีในขณะนั้น)  แล้วแต่ว่า ข้อความแวดล้อมจะให้หมายถึงอะไร           ****************************************** พระไตรปิฎก  เพิ่งครบ ๓ ปิฎก ในสมัยไหน? -- สมัยหลัง ปฐมสังคายนา ใช่หรือไม่? ดู ข้อมูล เล่มนี้ ดังนั้น ธรรม คือ ? -- จึงต้อง ตั้งต้นที่ "พระสูตร พระวินัย"  ก่อน "พระอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์"  ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:05:55

ความคิดเห็นที่ 15 ธรรมะ คือสวดมนต์ จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:22:32

ความคิดเห็นที่ 16 ธรรมะ คือ คำกลาง ๆ ควรมีความหมายอย่างไร ตามความมุ่งหมายของกระทู้ ไม่จำต้องอิงไปทางความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง เพื่อไม่ไห้เกิดเบี่ยงเบนเพื่อจะ ได้ความหมายที่ถูกตรง ก่อนที่ความคิดเห็นจะตันเสียก่อนถ้าเราเอียงไปทาง ใดทางหนึ่ง จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:21:13

ความคิดเห็นที่ 17 การที่จิต เข้าไปรับรู้สภาพธรรมใดๆ... ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า  ธรรมะ ใดๆ ประกอบด้วย สองกลุ่ม คือ ปรมัตถ์ ธรรม  และ บัญญัติธรรม ---------------------- อธิบายได้ ดังต่อไปนี้ คือ การมองโลก และสรรพสิ่งในทาง พุทธ ธรรม คือ ธรรมชาติ คือ สรรพสิ่ง แบ่งเป็น ปรมัตถ์ และ บัญญัติ 1 ปรมัตถ์ธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป( รูปปรมัตถ ) นิพพาน 2 บัญญัติธรรม ได้แก่ อรรถบัญญัติ ( ความหมาย ) และ นามบัญญัติ (ชื่อ เรียก) ตานี้มาดูรายละเอียดในปรมัติถธรรม ปรมัติถธรรมแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ สังขารและวิสังขาร 1.1 สังขต ธรรม (สังขาร ธรรม คนละอย่างกับ สังขารขันธ์ ) คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิกรูป 1.2 อสังขตธรรม (วิสังขาร ) คือ ธรรม ที่ปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน ตานี้มาดูรายละเอียดในสังขตธรรม( สังขาร ) สังขตธรรมแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ นาม และ รูป 1.1.1 นาม ได้แก่ จิต และ เจตสิก 1.1.2 รูป ได้ แก่ รูปปรมัตถ โดยสรุปข้างต้น เรามองสรรพสิ่งที่ เป็นการจำแนกด้วยแบบจำลองข้างต้นบัญญัติ และ ปรมัตถ์ ซึ่งปรมัตถ์ ได้แก่ เป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 12:35:11 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:24:33

ความคิดเห็นที่ 18 ส่วนการมองในอีกแบบจำลองหนึ่ง คือ เรามองธรรมชาติ  ประกอบด้วยขันธ์ ห้า อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ รูป ขันธ์ ประกอบด้วย รูปปรมัตถ์ 18 ประเภท รวมกับ รูปไม่ใช่ปรมัตถ์ อีก 10 ประเภท สังขารขันธ์ คือ เจตสิก 50 ประเภทนั่นเอง สัญญาขันธ์ คือ สัญญา เจตสิก นั่นเอง เวทนาขันธ์ คือ เวทนาเจตสิกนั่นเอง วิญญาณ ขันธ์ คือ จิต 89ดวงนั่นเอง แม้นแต่ ผี หรือ เป็นสัมภเวสี หรือ แบบที่เป็นกายทิพย์นั้น ก้อประกอบด้วย ขันธ์ห้า คือ ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:25:37

ความคิดเห็นที่ 19 กลับมาเรื่อง รูปธรรม และ นามธรรม . . . 1. รูปธรรม รูปปรมัตถ์ มี 28 ประเภท จำแนกขั้นพื้นฐานเป็นมหาภูตรูป สี่ คือ ดิน น้ำลม ไฟ หรือ ปฐพี อาโป วาโย เตโช ส่วนรูป อื่นอีก 24 อาศัยธาตุสี่นี้เกิด เรียกว่า อุปทายรูป โดยประกอบด้วย ปสาทรูป ห้า จุกขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย วิสัยรูป ห้า รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันทารมณ์ รสารมณ์ โผฐัพพารมณ์ ภาวะรูป สอง อิตถีภาว ปุริสภาว หทัย รูป หนึ่ง หทัยวัตถุ ชีวิต หนึ่ง ชีวตินทรีย์ อาหาร หนึ่ง กพฬิงการาหาร และรูปปรมัถไม่แท้ อีก สิบ อันได้แก่ ปริเฉกรูป หนึ่ง อากาสธาตุ วิญัตติรูป สอง กายวิญัติ วจีวิญญัติ วิการูป สาม ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ลักษณรูป สี่ อุปจาย สันตติ ชรตา อนิจจตา 2 นามธรรม ตือ จิต และ เจตสิก เจตสิก มี 52   จิต มี  89 , 121 จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์,สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ; ตามหลักฝ่ายอภิธรรมจำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑) แบ่ง โดยชาติ เป็นอกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และกิริยาจิต ๒๐; แบ่ง โดยภูมิ เป็นกามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตรจิต๘ (พิสดารเป็น ๔๐) รายละเอียดสามารถศึกษาได้โดยละเอียด ในพระอภิธรรมปิฎก ครับ ส่วน ...นิพพาน .. เป็นนามธรรม ประเภท วิสังขารธรรม ท่านแยกไว้ต่างหาก (ไม่รวมอยู่ในสังขารธรรม) . . . . แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 12:41:15 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 12:31:38 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 12:30:43 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:28:49

ความคิดเห็นที่ 20 ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือธรรมชาติของกายของใจ ธรรมชาติของกายของใจคืออะไร ธรรมชาติของกายของของใจคือไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา แล้วทำยังไงให้รู้ว่าไม่เที่ยงคืออะไร เป็นทุกข์เป็นแบบไหน เป็นอนัตตาเป็นยังไง นี้สิ่งที่เราต้อง เรียนและรู้ ศึกษาลงในตัวเราเอง จากคุณ : onsuk เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 14:45:42

ความคิดเห็นที่ 21 ธรรมะ => ธรรมชาติ => ความจริง ความจริง คือสิ่งที่เป็นจริง ไม่ต้องอิงความเชื่อ ไม่ต้องรับจากใคร ไม่ต้องง้อว่าใครจะสนใจ ยังไงๆความจริงก็เป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ขึ้นกับสิ่งอื่นใด ธรรมะที่แท้จริงจึงไม่ต้องขอให้ใครรักษา จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 16:40:07

ความคิดเห็นที่ 22 ธรรมะอยู่ที่ใจ กิเลสก็อยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจล้วนๆ จากคุณ : Neothank เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:46:46

ความคิดเห็นที่ 23 ธรรมคือสิ่งทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากธรรม ความมีอยู่ ความว่างเปล่าก็เป็นธรรมทั้งสิ้น จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 23:27:13

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 2 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ท่าน จขกท. คิดเหมือนผม แล้วศาสนาล่ะครับ จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 06:12:30 [แก้ไข] ถูกใจ : Faraday -------------------------------------------------------- ศาสนาคือ สิ่งที่พยายามอธิบายความหมายของ ธรรมะ หรือธรรมชาติ ซึ่งมีความหมายที่ จริงบ้าง ไม่จริงบ้างตามการตีความของผู้สอน ถ้าทุกศาสนาพูดถูกต้องหมดเป็นสิ่งที่เป็นไป ไม่ได้ เพราะคำสอน คำกล่าวในแต่ละศาสนาจะขัดแย้งกัน ตรงข้ามกันก็มี แต่พยายามหลีก เลี่ยงไม่พูดกันถึงข้อแตกต่างนี้ ดังนั้นเมื่อเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเช่นนี้จะเรียกว่าสัจจะธรรม หรือความจริงได้อย่างไร ศาสนามักไปติดอยู่กับพิธีกรรมต่าง ๆ ของตนจนดิ้นไม่หลุดจากบ่วงที่ตนสร้างขึ้นไว้ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 06:29:58

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 3 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เง้อ...... แสดงว่า ไม่ได้อยาก เสวนา จริง ไปโรงเรียนดีกว่า จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 07:45:26 ------------------------------------------------------------ ขออภัยตอบช้าเกินไป ตามเหตุ ตามปัจจัยที่เกิดขึ้น และเป็นจริง จึงได้มาตอบใน คห 24 แม้จะต่างเวลาไป หนึ่งวันแต่ได้ตอบแล้วนะ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 06:35:13

ความคิดเห็นที่ 26 พุทธธรรม คือความจริงอันดำรงอยู่โดยธรรมชาติซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบและนำมาสั่งสอนผู้คนในยุคสมัยของท่าน แล้วคำสอนเหล่านี้ได้รับการบันทึกไว้และสืบทอดโดยสาวกรุ่นต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพุทธธรรมมีจุดเน้นอยู่ที่ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ มุ่งทำความเข้าใจความทุกข์ เหตุที่มาแห่งทุกข์ การดับไปของทุกข์และหนทางแห่งการดับทุกข์ ทั้งยังเป็นการสำรวจชีวิตจากด้านใน โดยถือว่าจิตเป็นต้นทางของปัญหา ดังนั้นกระบวนการแก้ปัญหาจึงเน้นที่การชำระจิตให้สะอาด หรือการข้ามพ้นจิตที่ปรุงแต่ง(และยึดถือในตัวตน) ไปสู่จิตบริสุทธิ์ อันมีธรรมชาติเป็นความว่าง(สุญญตา) อ.ปยุตฺโต จากคุณ : ห้วยป่าเป้า เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 04:53:08