ความคิดเห็นที่ 1 ...ความจริงในประเทศที่มักเรียกตนเองว่า  "เมืองพุทธ"..... --------- ขออนุโมทนาคุณราชมัลครับ.. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 10:29:32 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 10:09:49 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:09:34

ความคิดเห็นที่ 2 พระก็คน จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:20:05

ความคิดเห็นที่ 3 เคยเห็นลูกศิษย์เอาเหล้าไปถวายพระรูปหนึ่ง สอบถามได้ความว่า พระรูปนี้เคยช่วยงานบางอย่างของเขาให้สำเร็จลงได้ ดั้งนั้นเมื่อทราบว่าชอบอะไร เขาก็พร้อมจะถวายให้ ดูแล้วเขามองเป็นผู้มี บุญคุณต่อกัน มากกว่าจะมองว่าเป็นพระสงฆ์ จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:21:29

ความคิดเห็นที่ 4 ชาวพุทธทุกท่านต้องยอมเสียสละตนเองในทุกๆด้าน เพื่อรักษาพระศาสนาให้คงอยู่สืบไป ขออนุโมทนาในความเสียสละของคุณราชมัล ที่ยอมให้ สาวก ลูกศิษย์ ...ฯ ของพระทุศีลด่าว่าต่างๆนานา ได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ad law ขอเป็นกำลังใจให้ท่านราชมัลอีกคนหนึ่งด้วย จากคุณ : ad law เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:37:21

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องยอมรับนะครับว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหนีไม่พ้นไปจากเรื่องวัตถุนิยม...เงินสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้...ศาสนาก็เช่นกันหลีกไม่พ้นธุรกิจ...เดี๋ยวนี้ครบวงจร..ตั้งแต่โลงยันของชำร่วย... พระก็เหมือนกัน...รับงานสวด...ถ้าเป็นกะบะมารับเก่าๆ...แทบไม่อยากไป...แต่เป็นเบนซ์บีเอ็ม..หรูๆมารับ...เออดี แต่พระนักปฏิบัติก็เยอะครับ...เหมือนคนธรรมดานี่แหละ...บางคนดีบางคนร้าย..ทุกวงการ..ทุกกรมทุกกอง..ทุกสังคม..ต้องมีและไม่ดีปะปนกัน.. จากคุณ : คนนวมินทร์ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:46:17

ความคิดเห็นที่ 6 ก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ    บางเรื่องของพระ    ถ้าเรื่องมันไม่ชัดเจน   เขาก็ต้องเข้าข้างไว้ก่อน อย่างเรื่องการเสพเมถุน    ถ้าคนที่ศรัทธาแบบสุดฤทธิ์   มาเห็นกำลังโจ๊ะกัน ดูซิจะมีซักกี่คนที่ยังจะเข้าข้าง จากคุณ : ไกลมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:51:08

ความคิดเห็นที่ 7 ก็เมืองไทยดูพระแท้ออกหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย ลองไปศึกษาประวัติ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต แห่งวัดเทพศิรินทร์ นี่แหละมีปฏิปทาแบบพระแท้ที่ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง.......ยุคนี้มีกี่คน ....แฮ่ม แฮ่ม จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 10:56:18

ความคิดเห็นที่ 8 พระก็คน... แต่คนที่รู้ตัวว่าประพฤติดีไม่ได้จะเป็นพระทำไม ? พระพุทธเจ้าก็คน พระอรหันต์ก็คน ทำไมพวกท่านประพฤติตนตามที่ถูกที่ควรได้ แต่ทำไมพระเหล่านี้ถึงทำไม่ได้ ? จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 11:54:36

ความคิดเห็นที่ 9 ควรออกกฏหมายห้ามถวายเงินพระโดยเด็ดขาด หรือถวายได้สูงสุดซองละ 50 บาท ไม่ว่าจะเ้ป็นการงานบวช งานศพ ทำบุญที่วัด ถวายสังฆทาน หรือกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระผู้น้อยและพระผู้ใหญ่ เงินเดือนพระอะไรต่างๆก็ควรยกเลิกเสียด้วย ให้ตั้งตู้บริจาคได้อย่างเดียว โดยมีไวยาวัจกรของวัด ทำหน้าที่ดูแลร่วมกับคณะกรรมการวัด เชื่อว่าจะช่วยกำจัดมารศาสนา อาศัยผ้าเหลืองหากินได้ส่วนหนึ่ง จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้าน เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 12:23:32

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องเหล่านี้ในพระธรรมวินัยมีกำหนดไว้อยู่แล้ว คงไม่จำเป็นออกเป็นกฎหมายหรอกครับ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 13:07:17

ความคิดเห็นที่ 11 วันก่อนยังเห็นแม่ชีนั่งขอทานหน้าตลาดอ่อนนุช ซ้ำยังเชิญชวนให้คนผ่านไปมา "ทำบุญ?" โดยไม่ละอาย ไม่เห็นจะมีหน่ายงานไหนมาดูแล รวมทั้งขบวนพระโทรโข่งที่ไปเดินเรี่ยไรย่านตลาดคลองถมที่ผู้คนแน่นมาก และกลุ่มตัวอะไรสักอย่าง ใส่เสื้อเหมือนมูลนิธิจะมาประจำทางลงสถานีรถไฟฟ้าหลักๆ ร้องเรียกให้ทำบุญโลงศพ บางครั้งโอหังถึงขนาดขวางทางเดินกันเลยทีเดียว การออกมาเรี่ยไรเป็นการผิดกฎหมาย แต่ไม่มีหน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลเลย ถือว่าละเว้นการปฎิบัติหน้าที่หรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 16:57:21 จากคุณ : มุมม่วง เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 16:16:41

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากสภาพสังคมปัจจุบันด้วยครับ สมัยก่อน พระ ที่แพ้กิเลสก็จะลาสึกออกไปก็ยังไปทำถางไร่ถางนาทำมาหากินได้ แต่สมัยนี้ คุณเป็นพระ มาครึ่งค่อนชีวิต ลาสึกออกไปจะทำมาหากินอะไรละครับ สุดท้ายก็ต้องทู่ซี้ อยู่เป็นมารผ้าเหลือง จริงๆ จะว่าไปก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน เพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งทำบาปกรรม แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 55 16:19:49 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 16:19:23

ความคิดเห็นที่ 13 ครั้งนึงผมก็โต้กับฝ่ายผู้ที่ปกป้องพระที่สั่งสอนให้คนทุบทำลายพระพุทธรูป อีกทั้งให้เลิกสวดมนต์ กีดกันผู้หญิงเป็นผู้นำ คำสอนที่มันขัดแย้งต่อจารีตประเพณี และขัดต่อกฏหมาย เราทุกคนที่เป็นชาวพุทธ ควรจะช่วยกัน อย่าให้ลัทธินี้เพิ่มขึ้น ไม่แน่หากปล่อยไว้ อาจจะมีอะไรที่เหนือการคาดเดาได้ จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:19:39

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขอเป็นแนวร่วมกับผู้ที่ต่อต้าน กับมิจฉาฑิฐิเหล่านั้น ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด หากขัดต่อกฏหมาย ขัดต่อข้อบัญญัติ และประเพณีสืบต่อมา เราต้องช่วยกันต่อต้าน เพื่อสืบพุทธศาสนาต่อไปให้ยาวนานที่สุด จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:21:58

ความคิดเห็นที่ 15 พระธรรมวินัย ไว้ใช้กับพระ แต่กฏหมายไว้ใช้กับคนน่ะครับ จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้าน เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:38:00

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 15     พระธรรมวินัย ไว้ใช้กับพระ แต่กฏหมายไว้ใช้กับคนน่ะครับ จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้า --------------------- ที่บอกว่าขัดต่อกฏหมายคือ  โจรที่ตัดเศียรพระ เนื่องจากอ้างคำสอนนี้ ก็ต้องไม่ผิด ไม่ต้องรับโทษหรือครับ จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 17:50:59

ความคิดเห็นที่ 17 ยุบเสีย ระบบสัญญาบัตร พัดยศ เพราะผิด ธรรมวินัย ใครเป็นคนตั้งมา เพื่อทำลายศาสนาชัด ๆ หวังเพียงประโยชน์ ให้คนมาเคารพศรัทธาตน นี่ละสาเหตุหลัก ผิดชัด ๆ แต่ทำไม่เห็น จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 18:12:01

ความคิดเห็นที่ 18 บางทีก็น่ากลัวนะครับ ต้องระมัดระวัง ปกป้องคนผิด กับ ทำร้ายผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าไม่แน่ใจ ส่วนใหญ่ผมเลือกจะยืนมองเฉยๆ แต่ถ้าชัดแล้วก็ โอเคครับ จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 55 21:34:45

ความคิดเห็นที่ 19 ให้กิ๊ฟนานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสว่างมาพิมพ์ เพราะติดธุระในงานบางอย่างคล้ายท่าน จขกท นั่นแหละ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ บางครั้งพระคุณอย่างเดียวก็ใช้ไม่ได้ ต้องใช้พระเดชด้วย หลายครั้งคนไม่ยอมเอาผิดกับ ฆราวาส เพราะคิดว่า "ต้องเมตตา" หลายครั้งคนไม่ยอมเอาผิดกับ พระ เพราะกลัว "บาป" บ้านเมืองและศาสนาทุกวันนี้ถึงเป็นอย่างนี้แหละครับ แก้ไข ไปดูอีกที อ้าวกิ๊ฟตรูไปไหนเนี่ย สงสัยลืมให้ ให้ใหม่ละกัน แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 11:21:30 จากคุณ : Realistic thinker เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 11:04:02

ความคิดเห็นที่ 20 คห.16 ไม่เข้าใจครับ คนที่ตัดเศียรพระ ก็ผิดกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ แต่ถ้าเป็นพระที่ตัดเศียรพระในวัดของท่านเอง อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆครับ จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้าน เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 16:17:13

ความคิดเห็นที่ 21 คุณราชมัล ต้องต่อสู้ต่อไปด้วยใจเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆๆ  ในเรื่องที่จะขจัดสิ่งไม่ดี และบุคคลไม่ดีต่างๆที่มาเป็นเพลี้ยกัดกินศาสนาพุทธ  และต้องสร้างทีมงานที่มีจิตใจแบบเดียวกันขึ้นมาอีกหลายๆๆคน เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนในหน่วยงานสังกัดที่คุณทำงานอยู่ เพลี้ยตัวใหญ่มากๆ คือ สำนักหัวนมจานบิน   ต้องหาทางขจัดออกไปให้ได้   รวบรวมข้อมูลผิดๆต่างๆไว้เรื่อยๆ  รอจังหวะดีๆก็ทุ่มโครมเดียวให้สะเทือนหรือหดตัวไปเลย จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 18:24:15

ความคิดเห็นที่ 22 ระบบ พัดยศคือ ระบบ ที่สร้างความสัมพันธ์ ระหว่างศาสนจักรกับพระมหากษัตย์ พระที่ทำดีพระมหากษัตย์ก็ยกย่องเป็นสิ่งตอบแทน ความสัมพันธ์ ระหว่าง ศาสจักรกับอาณาจักรต้องไปด้วยกัน ถ้าอาณาจักรไม่สนับ สนุน หรือสนับสนุนผิดลัทธิ ศาสนจักรก็เสื่อมถอยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมเห็นว่าควรคงไว้ แต่ควรให้เฉพาะคนที่สมควรได้จริงๆ ไม่ใช่ให้เปรอะ แบบที่ เป็นอยู่ทุกวันนี้ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 55 23:31:45 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 23:30:44

ความคิดเห็นที่ 23 เรานึกถึง....เรื่องราวตั้งต้น... ว่าทำไมมนุษย์ถึงได้เริ่มมีอายุขัยสั้นลง (คุ้นๆว่าครูบาอาจารย์ท่านนึงเล่าให้ฟัง) ที่มีขโมยคนนึง ถูกจับได้ พระราชาถามว่าทำไมถึงมาขโมย เค้าบอกว่าเพราะยากจน พระราชาก็สงสาร ก็เลยปล่อยตัวแล้วประทานเงินทองให้ จากนั้นไม่นาน...อย่างที่หลายๆคนเดาได้ ก็มีขโมยรายที่ 2 3 และ 4 เกิดขึ้นตามมา นับแต่นั้น อายุขัยของมนุษย์ก็เริ่มลดลง... เรื่องประมาณนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้ ^__^! . . . ถ้าเรายอมให้มี 1 เกิดขึ้น จะมี 2 3 และ 4 ตามมา เพราะฉะนั้น หนทางหนึ่งที่เราจะปกป้องพระพุทธศาสนา คืออย่ายอมให้มี 1 เกิดขึ้นคะ  (^___^) . จากคุณ : อาณาจักรสีเขียว เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:22:12

ความคิดเห็นที่ 24 ก็ทำเถอะ...อยากให้ทำอีก... พระรูปไหน ไม่ดี ทำผิด... เหมือนที่ยกตัวอย่างมา สุดท้าย ก็จนมุม อยู่ดี... เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สุดท้าย  ถ้าผิดจริง ต้องไม่รอด แน่นอน...  สนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง ขออย่างเดียว ล้วงให้ลึก ลากไส้ให้ยาว แล้วเอาให้จริงๆ.. จะอนุโมทนามาก ถึงมากที่สุด.... จากคุณ : pa-o-toi-uan เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 16:27:57

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเริ่มรู้สึกว่าการจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนความคิดและค่านิยมที่หยั่งรากลึกแล้วแบบนี้ มันทำได้ยากยิ่งจริง ๆ มีชาวพุทธบางกลุ่มที่เขาตระหนักเรื่องนี้ดี   และไม่มามัวเสียเวลาแก้หรือยับยั้งกิเลสคนกลุ่มใหญ่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกินกำลังที่จะต้านทาน กลับมุ่งไปแก้้กิเลสในใจตนเองก่อนอันดับแรก  มุ่งเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ศาสนาพุทธเถรวาทแท้ ๆจะอยู่ในไทยได้อีกนานแค่ไหน จะเสื่อมสูญไปในไม่ช้าหรือไม่ยังไม่รู้อนาคตเลยครับ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปอธิษฐานนะว่าเกิดชาติหน้าขอให้เกิดที่เมืองไทยอีก จะอธิษฐานว่าใ้ห้ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา เข้ามาอยู่ในแวดวงของผู้มีสัมมาทิษฐิ ศรัทธาการเจริญสติปัฏฐาน ก็พอแล้ว ส่วนเมืองไทย เมืองแห่งพุทธสถานอันเฟื่องฟู ในไม่ช้าต้องก็เสื่อมลงตามกฏแห่งอนิจจังครับ หลักฐานความเสื่อมมีให้เห็นยิ่งกว่าประปรายแล้ว จงรีบสร้างพุทธภาวะให้เกิดขึ้นที่ใจ เอาตัวรอดให้ได้ก่อนดีกว่าครับ ส่วนใครมีหน้าที่ปกป้องก็ทำไปให้เต็มที่ครับขออนุโมทนาอย่างยิ่ง แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 55 14:39:56 จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 14:39:10

ความคิดเห็นที่ 26 ขอให้คิดกันให้ดีๆนะคะ พระทั่วๆไป ส่วนมากจะเป็นสมมติสงฆ์ คือไม่ได้บรรลุมรรคผลใดๆทั้งสิ้น กิเลสหนาไม่ต่างจากพวกเรา ส่วนพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ สุดท้ายพระพุทธเจ้า เรียกรวมๆได้ว่าพระอริยะ  แต่ละองค์ต่างบรรลุธรรมมากน้อยแตกต่างกัน กิเลสของพวกท่านน้อยกว่าปุถุชนมากนัก แน่นอน น้อยกว่าสมมติสงฆ์ด้วย เอามาเปรียบกันไม่ได้ ถ้าหากพบสมมติสงฆ์รูปใดประพฤติมิชอบ ก็น่าจะใช้กฏของสงฆ์ ให้สึกเสีย ส่วนใครจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ก็เชิญทำตามสะดวก อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ จากคุณ : นางสาวคานทอง เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 20:12:38

ความคิดเห็นที่ 27 ติดตามมาพักใหญ่ เห็นความพยายามในการกระทำของคุณราชมัลค่ะ การทำกุศลยากกว่าทำบุญเยอะ แต่คุณก็เลือกที่จะทำสื่งที่ยากยิ่ง ขอชื่นชมจากใจจริงค่ะ จากคุณ : ผีฟ้าน่ารัก เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 23:10:15

ความคิดเห็นที่ 28 ขอคิดต่างจาก คห. 26 นะครับ พระทั่วๆไป ส่วนมากจะเป็นสมมติสงฆ์ คือไม่ได้บรรลุมรรคผลใดๆทั้งสิ้น กิเลสหนาไม่ต่างจากพวกเรา สมมุติสงฆ์ส่วนใหญ่ 80 % แม้ยังไม่บรรลุธรรม แม้จะบวชตามสังคม แม้จะแค่บวชตามใจผู้ใหญ่ หรือแม้แต่บวชเพียงเพื่อสึกออกไปแต่งงานก็ตาม แต่ในหลายๆข้อท่านก็มีกิเลสเบาบางกว่าเราครับ 15 % เท่าๆกับเรา อีก 5 % อาจมากกว่าเรา ทั้งนี้แต่ละท่านยังต้องฝึกฝนต่อไป เพราะว่า 1. อยู่ในเพศนักบวช ซึ่งมีสถานที่และสิ่งแวดล้อมจำกัด ไม่ได้เที่ยวไปได้ทั่วทุกเวลา แวดล้อมด้วยกิเลสตรงๆเช่นเรา ข้อนี้ส่งผลมากที่สุด คือแม้ไม่ตั้งใจ แต่มันก็เป็นไปเช่นนั้น เพราะเจอสิ่งเร้าน้อย กิเลสก็สงบลงชั่วคราว แม้ชั่วคราวก็ดีกว่าพวกเราที่ปรุงแต่งไปในทางอกุศลได้อยู่บ่อยๆ 2. พระวินัย วัตรปฏิบัติ กฏระเบียบของแต่ละที่ แม้จะขาดตกไปบ้าง แต่ข้อใหญ่ๆก็มีมากกว่าเราอยู่ดี 3. ส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดครูบาอาจารย์ ซึ่งมีสิทธิ์สั่งสอนเป็นเด็ดขาด แต่พวกเราอิสระ ไม่ค่อยมีวินัย 4. มีภาระน้อย ทำอะไรแต่ละอย่าง จึงตั้งใจ ละเอียดละออ แต่พวกเราต้องทำมาหากิน จะไปละเมียดละไมกับทุกสิ่งไม่ได้ แค่นี้สภาพจิตก็ต่างกันเยอะ ช่วงที่ผมบวช แม้ไม่รู้ธรรมมากนัก ปฏิบัติฝึกสติ สมาธิทั่วๆไป แต่ความเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆน้อยลง เรื่องวัตถุเรื่องสังคมทางโลก มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร พระบางรูปติดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นอาหาร จีวร ที่อยู่ ความสะอาด แต่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานแทบทั้งสิ้น ไม่ได้ต่อยอด เพราะไม่มีปัจจัยให้ต่อ และไม่ค่อยมีรูปใดที่จะเป็นกังวลต่อทุกเรื่อง เพราะถ้ารับสภาพไม่ได้ย่อมบวชไม่ได้ ในขณะที่ฆราวาสอย่างพวกเรา ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่จะเอาให้ใด้ดังใจเสียทุกเรื่อง แม้พระรูปอื่นๆ ท่านก็สงบมากเช่นกัน มองจากภายนอกไม่รู้ได้ ยิ่งอยู่ในวัดก็ยิ่งไม่รู้ได้ แต่เมื่อลาสิกขาออก กลับรู้ได้ทันทีว่า... แม้เป็นพระแบบไม่ค่อยเข้าใจหลักธรรม แต่กิเลสในใจน้อยกว่าเป็นฆราวาสที่เข้าใจและพยายามปฏิบัติธรรมมากนัก คนเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ และเผ่าพันธ์ลูกพระพุทธเจ้า ท่านวางวินัยใว้ให้มีกิเลสน้อยเช่นนั้นครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 22:13:31