1 พรรษาในร่มกาสาวพัสตร์ ตอนที่ 26 เปลือก ภูมิรัชต์ นิยมศิลป
|
 |
26. เปลือก เรื่องของพิธีรีตรองนั้นสืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วอายุคน มีทั้งเสริมเติมแต่งและขาดหายไปบ้างตามกาลเวลา จนบางครั้งเนื้อแท้ของศาสนาแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย คงมีแต่เปลือกที่มัวหลงยึดตึดกันอยู่อย่างหน้ามืดตามัว มีเรื่องเล่าเปรียบเทียบอยู่เรื่องหนึ่ง ที่เป็นตัวอย่างได้ดีและเห็นผลชัดเกื่ยวกับเรื่องของความเชื่อที่สืบทอดกันมา มีการทดลองชนิดหนึ่ง โดยนำลิง 4 ตัวมาไว้ในห้องเดียวกัน ตรงกลางห้องมีเสาอยู่หนึ่งต้น และข้างบนเสาก็มีกล้วยอยู่หลายหวี ส่วนยอดเสาได้ต่อฝักบัวไว้ พอลิงตัวไหนปีนขึ้นมา ผู้ทดลองก็จะเปิดน้ำจากฝักบัวฉีดลงมา ลิงตัวแรกเมื่อเห็นกล้วยแขวนอยู่บนเสาก็ปีนขึ้นไปอย่างมั่นใจ พอเจอน้ำจากฝักบัวเท่านั้นก็รีบกระโดลงมาแทบไม่ทัน ถัดมาตัวที่สองก็เปียกเช่นกัน ลิงที่เหลืออีก 2 ตัวยืนมองอยู่ก็คงคิดว่าอยากจะลองบ้าง แต่ผลก็คือต้องเปียกและอดกินกล้วยไปทุกตัว หลังจากนั้นผู้ทดลองได้นำฝักบัวออกไป คือจะไม่มีน้ำฉีดลงมาอีกแล้ว ก็ทดลองต่ออีก นำลิงตัวหนึ่งออกไปนอกห้องและนำตัวใหม่เข้ามาแทน พอลิงตัวใหม่เห็นกล้วยอยู่บนเสาก็ทำท่าจะปีนขึ้นไปเอากล้วยลงมากิน แต่เจ้าลิง 3 ตัวที่เคยขึ้นไปและต้องเปียกลงมาเมื่อเห็นเพื่อนใหม่จะทำเช่นนั้น ก็ทำท่าทางส่งเสียงเหมือนจะบอกว่าอย่าขึ้นไปเลย พวกฉันลองกันมาหมดแล้ว และลิงตัวใหม่นั้นก็ไม่กล้าขึ้นไป ตอมาผู้ทดลองได้นำลิงตัวใหม่เข้ามาแทนที่ตัวเก่าอีก ก็เป็นเหมือนเดิมเจ้าลิงที่เคยขึ้นไปก็บอกลิงตัวใหม่นั้นว่าอย่าขึ้นไปเลย จนลิง 4 ตัวแรกออกไปหมดแล้ว มีแต่ตัวใหม่ทั้งหมดเหลืออยู่ ก็ยังไม่มีใครกล้าขึ้นไปเอากล้วยลงมากิน ทดลองกับลิงอีกหลายตัวก็ไม่มีผู้กล้า เพราะลิงบอกต่อๆกันมาเรื่อย และทั้งที่ฝักบัวก็ถูกเอาออกไปตั้งนานแล้ว ผมชอบเรื่องนี้มากจำไม่ได้ว่าอ่านเจอในหนังสืออะไร มันเป็นการทดลองและยกตัวอย่างที่เห็นผลชัด มนุษย์เราหลงยึดตึดเรื่องความเชื่อกันมานาน ไม่ค่อยมีใครกล้าพิสูจน์หรือเปลื่ยนแปลง เพราะกลัวว่าจะผิดประเพณีที่สืบทอดกันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว สองพันห้าร้อยกว่าปี เนื้อแท้ที่เป็นคำสอนของพระองค์ถูกพิธีรีตรองหรือเปลือกห่อหุ้มมาเป็นเวลานาน จนแทบไม่รู้จักเนื้อแท้เลย จนมีคำถามกันว่าถ้าพระพุทธองค์มาเห็นตอนนี้ พระองค์จะจำศาสนาของพระองค์ได้หรือเปล่า การทอดกฐินก็เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คำว่า ‘’ กฐิน ‘’ หมายถึงกรอบไม้ หรือไม้สะดึงที่ใช้สำหรับขึงเย็บจีวรของพระภิกษุ เมื่ออดีตพระต้องเย็บและย้อมสีจีวรเอง ปัจจุบันผ้ากฐินก็คือผ้าจีวรสำเร็จรูปที่มีขายตามร้านสังฆภัณธ์ทั่วไป โดยไม่ต้องอาศัยไม้สะดึงอีก แต่ยังคงเรียกว่ากฐินกันอยู่ การรับกฐินก็คือการเปลื่ยนผ้าจีวรของพระภิกษุ ในหนึ่งปี วัดหนึ่งๆจะรับ ‘’ กฐิน ‘’ ได้เพียงครั้งเดียวคือช่วงหลังจากออกพรรษา ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 และในวัดที่รับกฐิน จะต้องมีพระภิกษุจำพรรษาไม่น้อยกว่า 5 รูป การทอดกฐินถือเป็นการทำบุญที่มีผลค่อนข้างมาก เพราะหาโอกาสได้ยาก ในหนึ่งปีแต่ละวัดจะรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว สำหรับอานิสงฆ์กฐิน ของพระภิกษุก็เกื่ยวเนื่องมาจากอานิสงฆ์เข้าพรรษาห้าข้อ เป็นเรื่องของผ้าจีวรหรือการไปข้างแรมโดยไม่ต้องบอกลา ซึ่งอานิสงฆ์กฐินจะช่วยยืดเวลาออกไปอีก ผู้ที่จะลาสิกขาหลังออกพรรษาจึงไม่มีความจำเป็นต้องรับกฐิน เพราะไม่ต้องใช้ผ้าจีวรแล้ว เราหลงยึดติดกันว่าใครที่บวชพรรษาแล้วจะต้องอยู่รับกฐินด้วยมิเช่นนั้นแล้วถือว่าไม่ครบเทอม ความจริงวันปวราณาออกพรรษานั้น ถือเป็นวันสิ้นสุดการเข้าพรรษา และสมัยก่อนที่ให้พระใหม่อยู่รับกฐินก่อนลาสิกขาก็มีเหตุปัจจัยหลายอย่างเช่น พระจำพรรษาในวัดไม่ครบ 5 รูป จะได้ดูมีพระหลายรูปในวันงานรับกฐิน หวังลาภสักการะ ผู้ที่บวชอย่างเดียวแต่ไม่ศึกษาก็เชื่อตามกันไปอีกจึงต้องอยู่รับกฐินกัน พระผู้ใหญ่ที่รู้ก็ไม่ยอมสอนเพราะอยากให้อยู่เป็นเพือน เช่นเดียวกับการทอดผ้าป่า ‘’ ผ้าป่า ‘’ หมายถึงผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ทิ้งอยู่ตามป่าตามกิ่งไม้ ครั้งสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ยังไม่อนุญาตให้พระภิกษุรับผ้าจีวรจากชาวบ้าน จึงต้องหาผ้าป่า คือผ้าที่ไม่มีเจ้าของหรือผ้าบังสกุลมาซักฝอกย้อมสีและเย็บเป็นจีวร ต่อมาชาวบ้านเห็นความยากลำบากในการหาผ้าของพระภิกษุ จึงได้นำเอาผ้าดีๆมาแขวนไว้ตามกิ่งไม้ เมื่อพระภิกษุเห็นจะได้นำไปเย็บเป็นจีวรได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเดินหาให้ลำบากอีก การทอดผ้าป่าก็คือการถวายผ้า ปัจจุบันผ้าจีวรสำเร็จรูปมีขายทั่วไป แต่ยังนิยมเรียกกันว่าผ้าป่าอยู่ การทอดผ้าป่าสามารถทอดได้ทั้งปี วัดหนึ่งๆจะรับผ้าป่ากี่ครั้งก็ได้ และการทอดผ้าป่าในปัจจุบันก็ทำกันเพียงแค่ชื่อ แต่วิธีการเปลื่ยนไป มีการนำกิ่งไม้มาปักไว้ในถังเอาผ้ามาพันไว้เพื่อให้เห็นว่าเป็นผ้าป่า แต่จุดมุ่งหมายอยู่ที่ปัจจัยหรือแบงค์สีแดงสีม่วงที่ผูกติดไว้กับกิ่งไม้นั้น เมื่อยุคสมัยเปลื่ยนไปหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลื่ยนแปลงไปด้วยตามกาลเวลา แม้กระทั้งความเชื่อหรือพิธีการทางศาสนา ปัจจุบันนี้คนเข้าวัดกันน้อยลงทุกวันเพราะอะไร ก็เพราะในวัดมีแต่ งานตลาดนัดขายของ เปิดเพลงเสียงดัง หมาแมวยั้วเยื้อ เด็กวัดจับกลุ่มมั่วสุม พระก็มีหน้าที่เพียงแค่สวดศพ รับสังฆทาน สูบบุหรี่ควันโขมงแล้วมานั่งสอนชาวบ้านว่ายาเสพติดไม่ดี คอยจะสร้างแต่วัตถุมงคลใหญ่โต ปลุกเสกพระเครื่อง หาเงินอย่างเดียวไม่มีการสอนธรรมะ ตราบใดที่พระสงฆ์บางรูปยังคิดถึงผลประโยชน์เช่นนี้อยู่ศาสนาพุทธของเราจะอยู่ไปได้อีกซักกี่ปี เมื่อเป็นอย่างนี้ความสงบสุขในวัดจะมีได้อย่างไร เราต้องการวัดที่สงบร่มเย็นเป็นที่พึ่งทางจิตใจ สะอาดหูสะอาดตาปราศจากอบายมุขทางวิญญาณ เข้าวัดเดี๋ยวนี้ต้องเสียแล้ว 200-300 บาท กลายเป็นเรื่องปัจจัยไปหมด ปัจจุบันนี้สถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นมาก เห็นได้ว่าคนหนีความวุ่นวายที่เป็นพุทธพาณิชย์กันไปเยอะแล้ว ตัวศาสนาไม่ได้เสื่อม คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยาวนานมา 2500 กว่าปีไม่เคยเสื่อม แต่ความเจริญในโลกแห่งวัตถุมายึดครองพื้นที่ทางจิตใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ทำให้ผู้คนถูกดึงถอยห่างไปไกลขึ้น พุทธศาสนิกชนทุกคนสามารถที่จะศึกษาความเป็นเนื้อแท้ของพุทธศาสนาได้เอง เรื่องเดียวที่พระพุทธองค์สอนคือเรื่องการดับทุกข์ ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระพุทธองค์ให้ดับที่เหตุแห่งธรรมนั้น ‘’ สิ่งที่ตถาคตตรัสรู้นั้น มีมากมายเหมือนกับจำนวนใบไม้ทั้งป่า แต่สิ่งที่เราจะนำมาสอนและให้ปฏิบัติ มีเพียงเท่ากับใบไม้กำมือเดียว ‘’
จากคุณ |
:
Mr.key
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.ย. 55 09:34:05
|
|
|
|