ความคิดเห็นที่ 1 ด้วยความบังเอิญทั้งหลายแหล่ เหล่านี้ ผมจึงสรุปได้เลยว่า มีพระเจ้า ( หรืออะไรก็ตามแต่ สร้างเรามาจริงๆนะครับ) งั้นมา ตรรกะต่อไป ผมจะยังไม่กล่าวถึงศาสนาใด ศาสนาหนึ่งนะครับ เรามาพิสูจน์เรื่องเวียนว่าย ตายเกิดกันหล่ะ มีจริงไหม ? สำหรับคำถามเหล่านี้ ผมอยากให้ผู้อ่านลอง ค้นหา ใน google ดู ถึงข่าวต่างๆเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่เฉพาะประเทศไทย หรือ ต่างประเทศต้องก็มีเหมือนกัน การเวียนว่าย ตายเกิด คือการ ที่เราตายแล้วเป็นอะไรซักอย่าง ?? จากนั้นเราก็กลับมาเกิดใหม่ เป็นอีกคนหนึ่ง เอาหล่ะครับ งั้นผมจะฟันธงต่อจากตรรกะนี้ คือ การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ตอนนี้มี 2 ตรรกะแล้ว คือ พระเจ้าที่สร้างเรามีเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง มีจริง และการเวียนว่ายตายเกิดมาจริง มีมาต่อครับ จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:20:24

ความคิดเห็นที่ 2 งั้นเราลองมองตัวเองสิ ว่าเราคือใคร เราก็คงไม่ใช้เรา เราเกิดมาทำไม ในเมื่อเวียนว่ายตายเกิด การกลับชาติมาเกิดมีจริง แล้วพระเจ้าสร้างเรามาทำไม ?? ครับ ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ งั้นมาต่อกันครับ ในทฤษฎีฟิสิกส์ ระดับ ควอนตัม ได้มีผู้อธิบายถึงปรากฎการต่างๆ แน่นอนครับ ในระดับ รูปแบบ 3 มิติ ไม่รวมเวลาผู้ที่อธิบายได้ คือ ไอแซค นิวตัน ครับ คนๆนี้คือคนที่อัจฉริยะ คนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว ที่สามารถอธิบายในระดับ ของแข็งสิ่งที่เรามองเห็นได้ ต่อมา ไอน์สไตน์ ได้ค้นพบ ความสัมพันธ์ ระหว่าง เวลา และความเร็วต่างๆ แรงลัพธ์  แรงดึงดูด ทำมาซึ่งทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาจนลึกขึ้นก็ยังไม่สามารถอธิบายในระดับ อะตอมได้ ตามทฤษฎี ต่างๆ (มีต่อ) จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:25:17

ความคิดเห็นที่ 3 จนต่อมาจึงเกิด ทฤษฎี ควอนตัม ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ สมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนข้างในนั้นมากมายเพื่อที่จะอธิบายปรากฎการ ตรงนี้จะเป็นการยากที่จะเข้าใจซักหน่อยนะครับ ในสมการคณิตศาสตร์ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจได้ นักคณิตศาสตร์ ได้แบ่งมิติความสัมพันธ์ ขึ้นมาใน ระบบ อย่างน้อย 11 มิติ ขึ้นในทฤษฎีนั้น แต่นั้นเป็นแค่ภาษาคณิตศาสตร์ ในทางฟิสิกส์ เรายังจับไม่ถูกครับ แต่สมการความสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่ pureๆ จริงๆครับ สิ่งที่น่าคิดคือ ถ้าเราเอา ทฤษฎีสมการคณิตศาสตร์ 10 มิติ มาขยายความ ความสัมพันธ์ ในชีวิตจริงหล่ะครับ เกิดอะไร ขึ้น มาดู youtube นี้ครับมีคนพยายามอธิบายได้ในสมการ 10 มิติมา แล้วจะน่าทึ่งมากครับ http://www.youtube.com/watch?v=JkxieS-6WuA http://www.youtube.com/watch?v=ySBaYMESb8o&feature=fvwrel (มีต่อ) จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:31:37

ความคิดเห็นที่ 4 จาก ที่ผมเอาให้ดู เราจะเห็นได้ มีสิ่งที่อยู่เหนือเราจริงๆ นะครับ และที่สำคัญคือ สิ่งนั้นสามารถรับรู้ได้ จริงๆ(มันสมองมนุษย์) คือ 4 มิติครับ คือ กว้าง ยาว ลึก และ เวลา ความจริงผมอยากจะบอกจริงๆว่า ใครก็ตามที่เข้าใจว่าเรามี "แค่เนี้ย" แค่เนี้ย ของเราคืออะไร คือเรา สิ่งที่เห็นความเป็นจริง มี แค่ วัตถุ การเคลื่อนที่ (เป็นมิติส่วนหนึ่งของเวลา) ที่มีระบบสาม มิติ แล้วถ้ามากกว่านั้น คืออะไร ?? อันนี้คือคำถามครับ เดี้ยวผมจะอธิบายต่อ จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:35:51

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าเรา เข้าใจถึงสิ่งที่มีมิติมากกว่านั้นหล่ะ ?!? จาก youtube ที่ผมเปิดให้ดูจะเห็นว่ามันคือ "ทางเลือกของมิติคู่ขนานครับ" ทางเลือกของมิติคู่ขนาน คืออะไร ผมอธิบายอย่างนี้ เราจะเห็นว่าในระยะเวลาของเราคือ 4 มิติ เรามีตัวตนในนี้ แต่มิติที่ 5 คือส่วนแทรกกลางครับ คือ "เรามีการตัดสินใจเลือก" !! ไงครับ เช่น คุณหรือผมในที่นี้ อาจเป็นอะไรก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับทางเลือกของคุณ ถ้าคุณเข้าใจ เช่น ผมอาจจะเป็น วิศวกร เป็น หมอ หรือเป็นอะไรก็ได้ ที่อยู่มิตินี้ มีส่วนที่แตกขยายๆต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าผมขยันผมก็รวยได้ ผมขี้เกียจอ่านหนังสือ ผมก็สอบตก มิติที่ 5 ชัดเจนมาก ว่าเรามีทางเลือก มีการตัดสินใจ เมื่อเราตัดสินใจไปแล้ว เราก็ไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ของมิติที่ 5 นี้(แต่อย่าลืมเรายังคงมีชีวิตอยู่นะครับ เพราะเราไม่ตายในมิติที่ 4 นี้ ผมสมมุติง่ายว่าเราเสถียรล่ะกัน ภาษา คณิตศาสตร์ เรียกว่า partial diff นะครับคือ สมมุติให่้ส่วนี้ไม่ขึ้นกับส่วนที่เราสนใจ เราก็จะสามารถแตกความสัมพันธ์ต่างๆในมิติที่ 5 ได้) อาจจะงงนะครับ เอาง่ายๆก็คือ ทำดีได้ดี ทำดีได้ชั่วนั้นหล่ะครับ มีนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงส่วนนี้ เรียกว่า มิติคู่ขนานไงครับ มีส่วนที่เราตัดสินใจซ้อนๆกันอยู่นับไม่ถ้วน เดี้ยวมาต่อกันครับ จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:43:21

ความคิดเห็นที่ 6 กี่มิติก็ไม่พ้นการพลัดพรากจากคน จากของรักและความตาย   แกนกลางกาแลคซี่อยู่แค่ตรงนี้ พระพุทธองค์จึงไม่ตรัสสิ่งที่ไม่เกี่ยวมาก   การตรัสรู้ของพระพุุทธเจ้านั้น เหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่พระธรรมที่ทรงแสดงนั้น เพียงใบไม้ในกำมือเท่านั้น จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:51:57

ความคิดเห็นที่ 7 ห้องศาสนานี่ มีคนเก่ง คนรวย คนมีชื่อเสียง ในระดับชาติ ระดับโลก เยอะจริงเฟ้ย - -" ยังไม่นับ อริยะ โพธิสัตว์ ผู้ทรงฌาน ตลอดจนจ้าวลัทธิต่างๆ อีก นึกไปนึกมา เป็นห้องที่แปลกที่สุดแล้ว จากคุณ : ปล่อย เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:55:32

ความคิดเห็นที่ 8 เอาล่ะครับ ผม ฟันธง ตรรกกะ ความเชื่อผมมา 3 ข้อแล้วนะครับคือ 1.พระเจ้าสร้างโลกมีจริง 2.การเวียนว่าย ตายเกิดมาจริง 3.เรามีทางเลือก การตัดสินใจของเราครับ คุณอยากเป็น วิศวกร คุณก็เป็นได้ ในมิติที่ 5 คือคุณเป็นอะไรก็ได้ คุณมีตัวตนคุณอีกคนนึงอยู่นับไม่ถ้วนแตกต่างกันออกไปเป็น อินฟินิตี้่ ครับมาต่อครับ ยังไม่ครบ 10 มิติเลยใช่ไหมครับ ที่นักคณิตศาสตร์ พิสูจน์ออกมาจากทฤษฎี ควอนตัม ต่อไป มิติที่ 6 ครับ ก่อนอื่น เราอย่าลืมว่านะครับว่า(อย่าลืม จำให้ขึ้นใจนะครับ ไม่งั้นคุณจะไม่เข้าใจ ตรรกกะทั้งหมดนี้) คือ เราเสถียรที่มิติที่ 4 ครับ ถ้าคุณ รับรู้ มีอยู่ ควบคุมได้ หรือมองเห็นใน มิติอื่น สิ่งที่เรียกว่า สัตว์ หรือ มนุษย์ ตายครับ อยู่ครับ คุณไม่อยู่ในนี้แน่นอน คุณไม่ได้ มองเห็น หรือ มานั่งอ่านพิมพ์คอม ในนี้นะครับ แต่จะเป็นอะไรนี้ ก็แล้วแต่ครับ รูปร่างเป็นยังไง คืออะไร อันนี้ก็แล้วแต่ครับ มิติที่ 6 ก็คือเป็นส่วนหลักที่มี มิติที่ 5 เป็นส่วนย่อยครับ ในเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งของมิติที่ 5 เมื่อคุณตัดสินใจแล้วสิ่งที่มีความเชื่อมโยงกันอยู่ในนั้นก็คือ "ผลกระทบของความสัมพันธ์การแปรเปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นสในมิติที่ 5 " คือ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้างในนั้นครับ เช่น เมื่อคุณเจอคนคนหนึ่ง คุณตัดสินใจ แบบหนึ่ง คนคนนั้นก็แปรเปลี่ยนการตัดสินใจในทางเลือกของเขาแบบหนึ่ง นี้คือความสัมพันธ์ครับ ง่ายๆว่า ถ้าไอน์สไตน์ ไม่ค้นพบ ทฤษฎี สัมพันธ์ทภาพ เราต้องรออีกอย่างน้อย 20 ปี กว่าจะมีคนค้นพบอีก สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ แค่ไอน์สไตน์ เท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในมิติที่ 5 (โลกใหม่) แต่มันคือ "ทุกคน" ที่รับรู้ความสัมพันธ์นั้นครับ ง่ายๆคือเคยได้ยินไหมครับว่า " ผีเสื้อกระพือปีก มีผลถึงทั้งทั่วจักรวาล" ไงหล่ะครับ เดี้ยวมาต่อ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 21:58:13 จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:55:46

ความคิดเห็นที่ 9 ตามกระทู้อยุ่ค่ะ สนุกดี จากคุณ : แม่ลูกร็อคเกอร์ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 21:57:50

ความคิดเห็นที่ 10 มาถึงสมการมิติที่ 7 แล้วครับ มิติที่ 7 ยากมากที่จะอธิบายว่าคืออะไร ในความหมายของคณิตศาสตร์ ผมบอกตรงๆเลยว่า เกินการหยั่งรู้ของมนุษย์ธรรมดาแล้วครับ เขาเลยสรุปง่ายๆไปเลยว่า มิติที่ 7 คือ จักรวาลครับ (universe) คือทุกสิ่งครับ ส่วน 8 9 10 นี้ไม่ต้องพูดถึงว่าคืออะไร เขาอธิบายแค่ถึง ความสัมพันธ์ของ ทุกสิ่ง และ ทุกสิ่ง ที่เป็นไปได้อีกที ครับ งั้นจากทั้งหมดนี้ผมจะสรุป ตรรกะเพิ่มเติมอีกคือ 4.ทางเลือกที่คุณตัดสินใจ มี ผลต่ออีกคุณหนึ่งในการตัดสินใจ ส่งผลให้ทั้งคุณและผมเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ในมิติ หนึ่งต่อไป และ ต่อนะครับ ถ้าจะบอกว่า มนุษย์ต่างดาวเป็นยังไง ผมอยากจะตอบว่า ในระบบ มิติ ความสัมพันธ์ที่เรา อธิบายมานี้ ถ้าเกิดสมมุติว่า มนุษย์ต่างดาวมันเสถียรในมิติที่สูงกว่าหล่ะ ?? สมมุติมิติที่ 5 ที่ 6 เขาคือใครหรอครับ ผมอยากจะบอกว่า ถ้าเกิดมีสิ่งที่มีภูมิความรู้ เสถียรในมิติที่ 5 ที่ 6 แน่นอนครับ เขามองเห็นเราทุกคน เขาเห็นทางเลือก ของคุณ เขารู้ว่าคุณตัดสินใจอย่างนี้ ผลลัพธ์จะเกิดอะไรกับคนนั้น ถ้าเริ่มเข้าเรื่องศาสนา นั้น ก็คือ "เรื่องกรรม" ครับ อาจจะดูเหมือน โม้ ซักหน่อยว่าจะอธิบายว่า เวรกรรมมีจริงไหม แต่ มิติตามสมการ คณิตศาสตร์ นี้ เขาอธิบายได้ใกล้เคียงครับ เรื่อง ทางเลือก การตัดสินใจ ของคุณ มีผลกระทบการตัดสินใจคนอื่น ใกล้่เคียงมากครับ ส่วนเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด ผมสรุปตรรกะ แล้วว่า มีจริง(เพราะเห็นผลจริง จากข่าวต่างๆ) แต่ยังไม่เข้าใจ ที่จะอธิบายในมิตินี้ สรุปข้อตรรกะข้อ 5 อีกนะครับว่า 5.มีความเป็นไปได้สูงว่า เวรกรรมมีจริง (ไม่ฟันธงครับ) เดี้ยวมาเรื่อง พระเจ้า และ การตรัสรู้ครับ ผมจะอธิบายตามความเชื่อของผมนะครับ (เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่คุณ แต่ผมเชื่อเกือบ 100 %) จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:09:27

ความคิดเห็นที่ 11 จากมิติ เรื่องความเสถุียรของสมการคณิตศาสตร์ ที่ค้นพบใน ทฤษฎี ควอนตัว เพียวๆ นะครับนั้นนะครับ ถ้ามาเกริ่นเรื่อง คำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการ ดับทุกข์ ไม่เกิดกิเลส ทุกสิ่งเป็นภาพลวงตา มีเกิด มีดับ จุดสูงสุดคือ "ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ที่เรารับรู้อยู่มันไม่จริง เป็นอนัตตา" ผมเชื่อเหลือเกินว่าที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นเรื่องจริง สิ่งที่อธิบายได้ในมิติ ที่อยู่สูงขึ้นไป ครับ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าเป็นจริงนะครับ ตรรกะที่ประมวลผลได้จะออกมาเลยว่า " เราโดนหลอกในมิติที่ 4 นี้ โดยมีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในมิติที่ 5 ที่ 6 ดังนั้น สิ่งที่เราเป็น เราไม่ใช่อะไร ถ้าเราหยั่งรู้ทุกสิ่ง นั้นก็คือ สิ่งที่เรา เสถียร ต่อไป ในมิติ ที่อย่างน้อยที่สุด คือ มิติที่ 7 ครับ " ส่วนที่พระเจ้า ( หรืออะไรก็ตามแต่ สร้างเรามา ) เพื่อวัตถุประสงค์ บางอย่าง อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไป คือรับรู้ ตัวตนเราในที่สูงขึ้นไป ผมไม่ได้ รู้หลักคำสอนของศาสนาอื่นเท่าไหร่นะครับ ผมเลยอธิบายแต่เฉพาะพุทธมากกว่า แต่ไม่ปฎิเสธเรื่องพระเจ้าในศาสนาอื่น เพราะ โลกเราบังเอิญเกินไปครับ ที่จะมีเราอยู่ แต่พระพุทธเจ้า บอกเราว่า สิ่งนั้นไม่จริง ซึ่ง มิติที่เราพิสูจน์มา พระพุทธเจ้า พูดถูกครับ เรื่องแก่นพระพุทธ ศาสนา ผมเชื่อโดยจริงใจเลยว่า พระพุทธเจ้า พูดถูกจริงๆ ครับ เอาเป็นว่า จบ แค่นี้แล้วครับ ว่างๆผมจะหาข้อมูล มา reference มาครับ อนึ่ง เป็นบทความเชื่อนี้ เป็นความเชื่อผมคนเดียวครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:17:34

ความคิดเห็นที่ 12 หนุกอ่ะชอบให้ไลค์เนอะ เอามาอ่านอีกนะครับ จากคุณ : powerinvincible เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:20:51

ความคิดเห็นที่ 13 อ้อ เกือบลืมสรุป นะครับ 1.พระเจ้าสร้างโลกมีจริง 2.การเวียนว่าย ตายเกิดมาจริง 3.เรามีทางเลือก การตัดสินใจของเราครับ คุณอยากเป็น วิศวกร คุณก็เป็นได้ ในมิติที่ 5 คือคุณเป็นอะไรก็ได้ คุณมีตัวตนคุณอีกคนนึงอยู่นับไม่ถ้วนแตกต่างกันออกไปเป็น อินฟินิตี้่ 4.ทางเลือกที่คุณตัดสินใจ มี ผลต่ออีกคุณหนึ่งในการตัดสินใจ ส่งผลให้ทั้งคุณและผมเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ในมิติ หนึ่งต่อไป 5.มีความเป็นไปได้สูงว่า เวรกรรมมีจริง (ไม่ฟันธงครับ) 6.มนุษย์ต่างดาว เราจินตการในทีวีมากเกินไปว่า ต้องมีรูปร่าง ความจริงอาจจะไม่มี รูปร่างในสามมิติก็ได้ นะครับ อาจจะไม่สัมพันธ์กับเวลา หรืออะไรก็แล้วแต่ ลองจินตการทางเลือกมิติมี่ผมอธิบายมาในที่นี้ดูครับ 7.เชื่อในคำสอนของพระพทุธเจ้า เพราะตรงกับ สมการทางคณิตศาสตร์ที่พิสูจน์มาครับ โดยเฉพาะแก่นของพระพุทธศาสนา ปล.ความเชื่อส่วนบุคคลครับ แต่ผมเชื่ออนาคต จะพิสูจน์ ปรากฎการณ์ที่เห็นจริงในรูปฟิสิกส์ได้ครับ อันนี้เป็นสมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนครับ เขาใช้อธิบายในทษฎี ควอนตัม จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:22:13

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าคุณมะแง๊ลืมไปอย่างนะครับว่า   จริงๆแล้ว  อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  น่ะไม่ค่อยที่จะยอมรับในกฏและหลักแห่งความไม่แน่นอนในกลศาสตร์ควอนตัม  ซักเท่าไรทั้งๆที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการให้กำเนิดกลศาสตร์ควอนตัม   โดยให้เหตุผลว่า   "พระเจ้าไม่ทรงสร้างโลกด้วยการทอดลูกเต๋าแน่นอน"    ไอ้หลักการที่ว่าพระเจ้ามีจริงน่ะใช่ผมเองก็เชื่อแต่พระเจ้าเองก็ยังเป็นเพียงโพธิสัตว์เท่านั้น   ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพระพุทธเจ้านี่แหละคือที่สุดแล้วและยิ่งกว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ    ซึ่งถ้าจะพูดตามหลักแล้ว    พระเจ้าอาจเทียบได้กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติก็ได้แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแล้วท่านอยู่เหนือธรรมชาติอีก จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:27:16

ความคิดเห็นที่ 15 จริงๆแล้วบรรดามิติต่างๆนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลยแต่อยู่รอบๆตัวเรานี่แหละ   เพียงแต่มันเกิด  unstable   steady  state  ขึ้นในจิตเรามันจึงรับรู้ไม่ได้ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:35:37

ความคิดเห็นที่ 16 รู้  แกม ฟุ้ง จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:37:11

ความคิดเห็นที่ 17 และที่สำคัญนั้น  กลศาสตร์ควอนตัมเองก็เป็นกำเนิดของ  สิ่งที่เป็นจุลภาคต่างๆในโลกซึ่งผู้ที่ค้นคว้าเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งน่ะเป็น   สตีเฟน   ฮวอกิ้ง  ที่เป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ  "จักรวาลในเปลือกนัทนั่นเอง" จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:38:46

ความคิดเห็นที่ 18 คุณหมายถึงผมหรือคุณมะแง๊น่ะ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:39:42

ความคิดเห็นที่ 19 รพ.ศรีธัญญาเผลอยังไง  ถึงปล่อยให้หลุดมาเพ่นพ่านแถวนี้ได้...?? จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:52:27

ความคิดเห็นที่ 20 ผมคิดว่า วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์การดำรงอยู่ของพระเจ้าได้ เท่าๆกับ วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถปฎิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้เช่นกัน สมมติว่า สิ่ง จขกท. ตั้งขึ้นมาว่า มีพระเจ้า แล้วเป็นพระเจ้าองค์ไหน ทรงมีพระลักษณะอย่างไรเบื้องต้น และมีกี่พระองค์แน่ สิ่งที่ จขกท. คิด ในมุมมองของผม ก็เป็นเพียงปรัชญาการอธิบายความจริงที่ จขกท. เืชื่อเท่านั้น ซึ่งหลายๆจุด ผมคิดว่าเป็ฯเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล สมมติว่า เรารู้แล้วว่่ามีพระเจ้า ก็ต้องรู้จุดประสงค์ของพระเจ้า และคำถามคือ แล้วเราจะเชื่อฟังพระเจ้าไหม มีอีกหลายเรื่องนะ ที่ผมคิดว่า จขกท.ต้องตอบให้ได้ว่า พระเจ้ามีลักษณะอย่างไร พระลักษณะที่แท้เป็นอย่างไร พระบัญญัติหลักๆของพระองค์คืออะไร วัตถุประสงค์การสร้างคืออะไร ผมไม่คิดว่า สิ่งเหล่านี้จะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ได้ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ ในความรักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:55:33

ความคิดเห็นที่ 21 ทฤษฎี ...มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แค่เป็นเรืองการยอมรับ ว่า มันเป็นจริง ณ.ปัจจุบัน ในภาพการมองโดยใช้ประสาทสัมผัส ของมนุษย์ ๆผุ้ยึดติดกับความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งต้องเกิดจากการสร้างของใครคนหนึ่ง.....มนุษย์ เขาไม่เคารพธรพธรรมชาติ เขาคิดแค่ว่าจะสร้างสรรค์ และบังคับธรรมชาติได้อย่างไร โดยองค์ความรู้และความฉลาดปราดเปรื่องในด้านเทคโนโลยี และ ประสาทสัมผัส ...สิ่งที่เขาคิดมันไม่ใช่ความจริงผันแปรไปตามยุคสมัยเช่น กฏของนิวตัน ก็ถูกล้มล้างด้วย ทฤษฏีสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์.... ทฤษฎีสัมพัทธภาพก็ถูกล้มด้วน ทฤษฎีควอนตัม ... . แต่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าคือความจริง ท่านไม่ได้ให้ใครไปมองหาความจริง นอกตัวเอง เพราะนั่นมันอภิปรัชญา หรือ Metaphysic....ท่านให้เรามองหาธรรมในตัวเรา ในส่วนลึก ในจิต ในความนึกคิด... . ท่านให้เราหลับตาแล้วมองหาตัวเอง ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทุกมิติ ทุกเวลา กาล-อวกาศ มันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ...ไปถึงหรือไม่ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีสมการคณิตศาสตร์ หลักฟิสิกค์ ให้คุณ คิดคำนวน เพราะ ไม่ต้องคิด มีแต่ทำให้ว่าง ...ถ้าจะมีพระเจ้า ท่านก้คงอยู่ตรงนั้น จากคุณ : หมูลิน เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 22:58:33

ความคิดเห็นที่ 22 จริงๆแล้วที่ผมอธิบายมา เป็นความเชื่อของผมส่วนบุคคลจริงๆครับ เพราะที่ผมย้ำก้เพราะว่าในเรื่อง วิชาการ ต้องมีการพิสูจน์อย่างแน่ชัด บทความที่ผมเขียนมา เลยเอาไปอ้างอิงอะไรไม่ได้ครับนอกจากจะมีคนพิสูจน์ได้จริงๆ ผมเสนอถึงความสัมพันธ์ ต่างๆที่เป็นไปสูง แต่ผมไม่ปฎิเสธเรื่อง มิติ ที่ 5 ที่สามารถอ้างอิงได้ครับ ตอนนี้ ปี 2011 มีคนรวบรวมพยายามจะอธิบายได้ แจ่มแจ้งมากขึ้น ลองไปศึกษาดูครับ http://www.youtube.com/watch?v=eN24Sv0qS1w&feature=relmfu จากคุณ : นายมะแง๊ เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:04:02

ความคิดเห็นที่ 23 งงมากที่บอกว่าทุกอย่างจริงหมด ผมเชื่อว่าศาสนาบนโลกแต่ละศาสนา ต่างกัน คนละแนวทางกัน และในแต่ละศาสนา ยังแยกเป็นนิกายอีก  ส่วนแต่ละนิกายก็มีแยกเป็นนิกายอีก และมีแนวโน้มจะแยกย่อยอีก เป็นแบบ flow chart  ที่แยกย่อยไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งสรปแล้ว ถ้าเราแยกนิกายย่อย เป็น หนึ่งศาสนา จะพบว่ามีศาสนามากมาย บนโลก ผมว่าที่ถูกต้องเป็นจริงคือ " ความจริงมีหนึ่งเดียว จะมีศาสนาเดียว นิกายเดียว ที่เป็นจริง ส่วนที่เหลือมากมายนั้นเป็นเท็จ " จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:16:39

ความคิดเห็นที่ 24 พิสูจน์ได้เมื่อไร เอามาให้อ่านด้วยนะครับ จากคุณ : vrod เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:20:00

ความคิดเห็นที่ 25 1. อะไรสร้างพระเจ้า 2. อะไรสร้างความอยากของพระเจ้า เวลาไม่มีอยู่จริง เป็นแค่จำนวนนับ  เปรียบเทียบ จึงไม่สามารถย้อนเวลา time machine ไม่มีวันสร้างได้  รวมทั้งพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขได้  หรือไปอนาคตก็ไม่ได้ จากคุณ : แปดเทพอสูร เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 00:51:45

ความคิดเห็นที่ 26 มิติที่ 7 พระโสดาบัน มิติที่ 8 พระสกิทาคามี มิติที่ 9 พระอนาคามี มิติที่ 10 พระอรหันต์ มิติที่ 11 พระพุทธเจ้า จากคุณ : บ่าวบ้านบาก เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 02:05:01

ความคิดเห็นที่ 27 เป็นเพียงทฤษฎีจับแพะชนแกะของคนๆหนึ่งที่ยังยึดมั่นในโลกที่เค้าเชื่อว่ามีตัวตนอยู่ จากที่อธิบายดูเหมือนคุณจะยังสามารถสัมผัสถึงมิติที่ 5-6 ได้เพียงในรูปย้อนหลังเท่านั้นและยังไม่เคยพบพานกับตัวตนที่อยู่เหนือการรับรู้ทางกายภาพ จากคุณ : Windows X เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 03:52:30

ความคิดเห็นที่ 28 สุดยอดเลย จขกท. จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 07:05:22

ความคิดเห็นที่ 29 บอกตรงๆผมขี้เกียจอ่านมันเป็นแค่ความเชื่อของคุณคุณจะเลือกเชื่ออะไรก็เรื่องของคุณ จากคุณ : CupJok เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 08:58:31

ความคิดเห็นที่ 30 555   ขำ  คห.. 19    แค่ จขกท..ขึ้นอารัมภบทไว้ว่า..   " ก่อนอื่นเลย ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ นะครับ เป็นนักวิจัยตัวยงเลย โดยเฉพาะวิชา Math สอบได้ Top ตลอดแม้กระทั่ง ป.โท " แค่เนี้ย  ใครเชื่อก็บ้าาาาาาาาแล้ว...ถามกลับไปก็แค่นั้นแหละ 555 จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 10:44:51

ความคิดเห็นที่ 31 คุณมะแง๊ เราขอพูดเฉพาะย่อหน้าแรกของคุณนะคะ คนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ก็คือเชื่อว่าสิ่งถูกสร้างทั้งในโลก ในจักรวาลนั้น ไม่ได้เกิดเองโดยความบังเอิญแต่เกิดจากการจงใจสร้างขึ้นมา ตามที่คุณเข้าใจในคห.แรกนั่นล่ะค่ะ แต่คุณก็ควรทราบด้วยว่า เมื่อพระองค์สร้างเรามาแล้วก็ไม่ได้ปล่อยให้เราเดาเอาเองแบบที่คุณเดาว่า [ ผมเชื่อว่า (ความเชื่อส่วนตัว) เราเกิดมาเพื่อพัฒนาตนเอง เรียนรู้ตนเอง สืบพันธ์ รุ่นต่อรุ่นเพื่อเรียนรู้ตัวเอง ด้วยอะไรก็แล้วแต่ ตามประสงค์ของพระเจ้า ก็ได้นะครับ]  แต่ทรงบอกเราหมดว่าสร้างเราทำไม และให้เราใช้ชีวิตยังไง แล้วผลของการใช้ชีวิตของเราจะได้รับอะไร  เพราะพระองค์ทรงเมตตา ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ให้เรามาอยู่ในโลกแล้วไม่บอกอะไรเลยหรอกนะคะ   แต่จากที่อ่านคุณสับสนอยู่มากๆ แนะนำให้ลองศึกษาศาสนาที่มีพระเจ้าดูก่อน และเนื่องจากเราเป็นมุสลิมก็แนะนำให้จขกท.ลองอ่านอัลกุรอ่านก็แล้วกันนะคะ จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 12:08:59

ความคิดเห็นที่ 32 ความคิดเห็นที่ 1     ด้วยความบังเอิญทั้งหลายแหล่ เหล่านี้ ผมจึงสรุปได้เลยว่า มีพระเจ้า ( หรืออะไรก็ตามแต่ สร้างเรามาจริงๆนะครับ) ------------------- ตรงนี้ผมว่าพระพุทธศาสนาเรียกสิ่งนี้ว่า "กฎอิทัปจยตา ปฏิจจสมุปบาท" จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 14:11:17

ความคิดเห็นที่ 33 ถึงผมจะเห็นต่างจาก จขกท. แต่ยินดีได้ร่วม discuss ต่อนะครับ แต่เห็นด้วยกับ #31 คือแนวความคิดคุณสับสนมาก อาจจะเป็นเพราะคุณไม่เคยได้อธิบายอะไรยากๆให้เป็นรูปแบบง่ายๆ ผมแนะนำว่าให้คุณลองปรับรูปแบบการอธิบาย ให้ง่ายกว่านี้ครับ อาจจะเริ่มจากจุดงายๆ ค่อยขยายไป ไม่ต้องอธิบายทั้งหมดในกระทู้นี้กระทู้เดียว โปรดอย่าลืมว่า คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาคณิตศาสตร์ของคุณหรอก ตั้งเป็นประเด็นง่าย แล้วก็เปิดใจนิดหนึ่ง ให้หลายคนได้วิจารณ์ ก็เป็นธรรมดาจะต้องมีคนเห็นด้วย และคิดแย้ง ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ ในความรักขององค์พระเยซูคริสต์ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 14:25:50

ความคิดเห็นที่ 34 ความเห็นส่วนตัว ... ผมเห็นว่าเป็นไปได้ในเชิงตรรกะ และเปรียบเทียบได้ค่อนข้างตรงในบางส่วนครับ ผมจะเทียบในมุมของปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งนะ.. โดยวิธีการ คุณเข้าถึงมิติต่างๆโดยการคิดไม่ได้ เครื่องมือในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเทียบวัดได้ คุณจึ่งต้องอาศํยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ต่างๆเพื่อเทียบเคียง แต่เพราะวิทยาศาสตร์เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จึงนับมิติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ทำได้ดีนะ ปัจจุบันเราจึงสะดวกสบายกันเยอะขึ้นไงครับ ถ้าลองเอามิติแบบนั้นมาเทียบภพภูมิในเชิงศาสนาพุทธ..ก็จะนับจากสิ่งที่คุณรับรู้ได้ในปัจจุบัน เป็นแค่สาม  สี่ ห้า หรือเท่าไรก็ได้ แล้วย้อนลงไป 1 มิติ และ สรุปไม่ได้เว้นแต่จะบรรลุธรรมเสียก่อนครับ.. โลกทางกายภาพของคนส่วนใหญ่มันมีสามมิติ นักวิทยาศาสตร์ และคนที่ชอบคิดเทียบเคียง อาจมองเวลาเป็นมิติเพิ่มเข้ามาได้  ส่วนโลกทางคณิตศาสตร์ จะมีซับซ้อนสักกี่มิติเป็นอนัตต์ก็อาจได้ แล้วแต่จะแทนค่าเข้าไปคำนวณ ใครเคยเรียนหรือเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ถ้าเล่นกับพวกอาเรย์ จะเริ่มเข้าใจเรื่องมิติในโลกคณิตศาสตร์ที่มากกว่า 3 มิติได้ ในเชิงวิทยาศาสตร์มันก็ตรงไปตรงมาแบบนั้นหละครับ ที่คุณบอกว่าเราถูกหลอกในมิติที่สี่ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ สายตาเรามองเห็นแค่สองมิติ ภาพสามมิติที่มองเห็นเกิดจากสมองประมวลผล ความจริงคือ เราไม่ได้ถูกหลอกหรอกครับ แต่การรับรูแบบนั้นเกิดความจำ เมื่อเอาความจำเดิมๆมาใช้ จนเคยชิน เราก็มองเห็นทางกายภาพเป็นสามมิติ มันเกิดจากอวิชชา ถ้าเราไม่มีสติที่แข็งพอจะรับรู้ร่างกาย ตามสมองของตัวเองทันก็ย่อมเห็นไปแบบนั้นครับ สมมุตินะ ถ้าคุณฝึกสติจนได้ในระดับที่ไวกว่าหรือสามารถข้ามการทำงานของสมองส่วนนั้นไปได้ สภาวะจิตมีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่มีอดีตหรืออนาคตมายุ่งเกี่ยว คุณจะมองเห็นสิ่งต่างๆเป็นสองมิติได้เลย คุณมองจากสายตาตัวเองเป็นแค่จุดหนึ่งและโลกเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่เคลือบตัวคุณอยู่ เมื่อหันไปด้านไหน โลกก็เคลือบอยู่แค่ด้านนั้น เวลาก้าวเดินคุณก็กะระยะตื้นลึกไม่ค่อยถูก เดินไปไหนก็โคลงเคลง ร่างกายอยู่กับแรงโน้มถ่วง แต่สมองไม่รับรู้ จะซ้ายขวาบนล่างก็ต้องต้องรอให้สมองจดจำและปรับตัวสักพักจึงจะเดินได้คล่อง ลองเทียบมิติดู... ในด้านพุทธ ถ้าฝึกสติ ฝึกสมาธิ จะรับรู้มิติที่เป็นพื้นฐานได้(ถอยจาก 4 3 หรือเท่าไรก็ได้ เท่าที่คุณรับรู้อยู่ ย้อนกลับไปที่ 2 1 0 และ สุดท้ายที่ สามารถรับรู้ได้ในทุกมิติ แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องยึดติดอยู่ในมิติใดๆครับ) ถ้าคุณฝึกระดับอุปจารสมาธิ  เทียบกับเทวดาก็มองโลกที่ระดับ 2 มิติได้ครับ คือถ้าลงมายังโลกก็เห็นโลกนี้ได้ละเอียดซับซ้อนมากกว่าที่พวกเราเห็น ส่วนสมาธิระดับฌาณ เทียบกับพรหม สามารถรับรู้ที่ 1 มิติได้ ก็ยิ่งละเอียดกว่าเทวดาครับ ส่วนเรื่องนิพพานที่มักเอามาเทียบกันเรื่องภพภูมินั้น นิพพานเป็นคำสมมุติ เรียกสภาวะจิตที่สิ้นกิเลส ซึ่งเมื่อบรรลุถึงในระดับสูงสุดแล้วจิตในสภาวะนั้นไม่ยึดติดในภพภูมิ(มิติหรือส่วนประกอบของมิติตามความหมายของคุณ)ต่างๆอีกต่อไป คุณอาจเรียกว่า ไร้มิติ นิยามไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏว่ามีความเกาะเกี่ยวกับอะไรในโลกให้อ้างถึงได้ทั้งสิ้น บางคนจึงบอกว่ามันจึงไม่มีอยู่จริง นิพพานเป็นไปไม่ได้... แต่การจะรับรู้สภาพ 2 มิติคุณอาจอยู่ที่มิติที่ 2 หรือ 1 หรืออย่างอื่นที่ละเอียดกว่า 2 หรืออยู่ที่โลกซึ่งรับรู้ 3-4 มิติแล้วฝึกตัวเองให้สัมผัสได้ ดังนั้น การรับรูมิติที่เป็นเพียง 1 ก็เช่นกัน ถ้าอยู่มิติที่รับรู้ 3 เป็นปกติ การจะรับรู้สภาพ 1 มิติได้นั้นยากมาก เมื่อไม่เห็นว่าเป็นได้จึง พาลเข้าใจว่าไม่จริง ยิ่งสภาวะนิพพาน ไม่เกาะเกี่ยวกับกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่ขึ้นอยู่กับภพภูมิ จึงยิ่งเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลย แล้วถ้าคุณรับรู้สภาพ 1 มิติโดยปกติหละครับ... ในเมื่อการรับรู้ตัวเองเป็นสภาพ 1 มิติ ไม่มีอย่างอื่น ยังมีได้เลย แล้วการรับรู้สภาวะอย่างอื่น ที่เหนือไปกว่านั้นจะมีได้ไหม จะเห็นได้ว่าเมื่อเราอยู่ในสภาวะ ในมิติที่เหมาะสม ย่อมเป็นไปได้ครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 14:40:55

ความคิดเห็นที่ 35 มีจินตนาการดีครับ แต่ต้องฝึก "มหาสติ" ไปพร้อมด้วย เพื่อให้ความคิดชัดเจนขึ้นครับ จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 18:08:00

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องนี้จะตีพิมพ์เมื่อไหร่หรอ จากคุณ : จิ้งจอกสามหาว เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 20:48:37

ความคิดเห็นที่ 37 ความคิดส่วนตัวนะคะ จขกท เป็นผู้มีปัญญามาก มีการสร้างเหตุ ไปทางศึกษาวิทยาศาสตร์ มีสัญญา ความรู้ ไปแล้ว ทางวิทยาสตร์ ก็เลย เชื่อไปในแนววิทยาศาสตร์ อยาก ให้ลองศึกษา สิ่งที่พระพุทธเจ้าพบนั้น อย่างจริงจัง ด้วยปัญญาของท่านที่มีแล้วจะเข้าใจพระพุทธเจ้ามากขึ้น เช่น เรื่องการเวียนเกิด เวียนตายนี้ ท่านบอกว่า เกิดใหม่ก็มี หยุดการเกิดได้ก็มี แต่ มีเหตุนะ สร้างเหตุให้เกิด สร้างเหตุให้ไม่เกิด ผล และอานิสงส์ของการสร้างเหตุนี้ๆ มีรายละเอียดมากมาย เหมือนที่คุณ สติ บอกว่า "ตรงนี้ผมว่าพระพุทธศาสนาเรียกสิ่งนี้ว่า "กฎอิทัปจยตา ปฏิจจสมุปบาท" ปัญญาขนาดนี้ หากตายไปก่อน ที่จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง น่าเสียดายมาก การเป็นคนครั้งนี้ เพราะ จะเสียโอกาส แล้วจะเวียนเกิด เวียนตาย ไม่รู้จบ เราว่า หาทางศึกษาให้ เข้าใจ ประพฤติปฏิบัติ ไปตามลำดับ ตามอริยมรรคมีองค์แปด ทำแบบนี้ ตายไป หากยังเหลือกิเลสอยู่ ก็จะยังเหลือ อนุสัยเดิมๆ มาสร้างเหตุให้เรียนรู้และปฏิบัติต่อ ก็จะสามารถ ถึงที่สุดได้ และ ไม่ต้องเกิด ดีกว่า ไปศึกษาวิทยาสตร์อย่างเดียว คือเรียนทางโลกนั้นก็ดีอยู่แล้วนะ แต่ศึกษาธรรมะควบคู่กันไป หากเข้าใจแล้วจะรู้ว่า ข้อมูลทางวิทยาสตร์ ที่โพสมานั้น ไม่น่าสนใจ มาช้ากว่าความรู้พระพุทธเจ้ามากนัก และบางเรื่อง พระพุทธเจ้า ก็บอกว่าไม่ให้ไปสนใจ เพราะว่า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน  แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 55 10:11:37 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 55 10:11:10 จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 10:10:08

ความคิดเห็นที่ 39 เด็กหนอเด็ก ใครๆก็รู้ตรรกะง่ายๆแค่นี้หนู ^.^ จากคุณ : transformation (TRANSFORMATION) เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 07:25:33

ความคิดเห็นที่ 40 ความเห็นที่37 คุณการบูร (Camphor) ชอบความเห็นคุณค่ะ ไม่มีถูกไม่มีผิด เราอยู่กันด้วยเมตตา นี่แหละพุทธแท้ จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 18:55:12

ความคิดเห็นที่ 41 อจินไตย.... น่ากลัวแค่ไหนหากพบว่า.... โลกของเราเป็นเหมือนเม็ดเลือดแดงเม็ดเลือดขาวในร่างของอะไรสักอย่าง จากคุณ : มุมม่วง เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 23:58:25