3.การรับรองความบริสุทธิ์ของพระ หนึ่งเดียวเลย ไม่ใช่รัฐบาล หรือคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่ง กลุ่มใด ทว่าหากเป็น " มหาเถรสมาคม " องค์กรเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่เคยมีมติดังที่คณะศิษยานุศิษย์อ้าง หรือแม้แต่ประกาศของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องรับรองความบริสุทธิ์ ของท่านเจ้าคุณไชยบูลย์ ปรากฎอยู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่าท่านเจ้าคุณจะมีมลทิลมัวหมอง หรือบริสุทธิ์ผุดผ่องใสนะครับ เพราะว่า
3.1.หากมีเรื่องดังกล่าวจริง ทั้งมติ มส. ประกาศ พศ. มีหรือที่ลูกศิษย์ลูกหาจะไม่รับรู้รับทราบ มีหรือจะไม่มีการบันทึกภาพหลักฐานใดๆเก็บไว้ เพื่อชี้แจงต่อสาธารณะชน เพราะเกิดความเสื่อมเสียหายแก่ท่านเจ้าคุณเมื่อมีผู้กล่าวให้ร้ายท่าน
3.2.คดีทางโลกของท่านเจ้าคุณไชยบูลย์ ได้รับการพิพากษายกฟ้อง อันเป็นมูลให้ท่านหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวงในคดีทางโลก แต่ในส่วนคดีทางคณะสงฆ์นั้น มีการฟ้องร้องกันตั้งแต่ปี 2543 ศาลสงฆ์มีการดำเนินการนิคคหกรรมท่านเจ้าคุณไชยบูล แห่งวัดพระธรรมกาย ในข้อหาทำพระธรรมวินัยให้วิปริต สอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" และข้อหาอื่น 3 ข้อหาด้วยกัน คือ 1. บิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า 2. อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน และ 3. ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน ทั้งนี้ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการวินิจฉัยชี้มูลว่าผิดหรือไม่ ดังนั้นการที่จะบอกว่าท่านไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในทางคดีความคงไม่ถูกต้องนัก
3.3.ผมไม่ทราบผู้พูดเอามาจากไหนว่า " วัดพระธรรมกาย ได้รับการยอมรับจาก คณะเถรสมาคม คณะสงฆ์ จากทางการ และรัฐบาล อย่างเป็นทางการ ...ว่าสอนตำคำสอน ตามพระธรรมวินัยพุทธศาสนา เป็นจริง " ผมขออนุมานว่าผู้ที่กล่าวเช่นนี้คงจะเป็นมือใหม่หัดแสดงความเห็น ในข้อนี้ผมไม่ขอพูดแต่ขอคำอธิบายจากผู้ที่กล่าวประโยคข้างต้นนี้ช่วยอธิบายเรื่องนี้หน่อยครับ
" เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2542 มหาเถรสมาคมได้มีการประชุมพิเศษกรณีวัดพระธรรมกาย ซึ่ง พระพรหมโมลี เจ้าคุณภาค 1 ที่ได้รับมอบหมายจากมหาเถรสมาคมให้ดำเนินการตามความเหมาะสม และพระพรหมโมลีได้สรุปประเด็นตางๆเสนอมหาเถรสมาคม โดยผ่านเจ้าคณะใหญ่หนกลาง มหาเถรสมาคมพิจารณาแล้วมีมติว่าตามรายงานการพิจารณาดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย ของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ให้คำแนะนำ 4 ประการ ให้วัดพระธรรมกายได้ตอบรับที่จะปฏิบัติตามเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ชัดเจนแล้ว จึงให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามคำแนะนำทั้ง 4 ประการนั้น โดยอย่างเคร่งครัด และให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค1 ดูผลสั่งการให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามที่ได้มีหนังสือตอบรับนั้นด้วยส่วนกรณีอื่นๆของวัดพระธรรมกาย เช่น การเรี่ยไรเป็นต้น ให้เจ้าคณะภาค 1 สั่งการให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามระเบียบมหาเถรสมาคมเป็นต้น และกฎหมายบ้านเมือง
รายงานการพิจารณาดำเนินการ กรณีวัดพระธรรมกาย ของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
เนื่องด้วยในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 22/2541 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า สื่อมวลชนต่างๆได้เสนอข่าวเรื่องวัดพระธรรมกายอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นเรื่องสำคัญ คือการก่อสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โตเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของวัดอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการกล่าวอ้างถึงอภินิหารของหลวงพ่อสด และการรวบรวมเงินบริจาคจำนวนมาก จึงขอหารือมหาเถรสมาคม ที่ประชุมพิจารณาแล้ว ลงมติมอบหมายให้เจ้าคณะภาค 1 ไปพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร แล้วนำเสนอมหาเถรสมาคม โดยผ่านเจ้าคณะหนใหญ่หนกลาง
เจ้าคณะภาค 1 ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆที่ได้รับจากกรมการศาสนาและคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลกรณ๊วัดพระธรรมกาย กระทรวงศึกษาธิการ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี คณะกรรมาธิการศาสนา ศิลป และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กับทั้งประชาชนทั่วไป เป็นจำนวนมากมายหลายฝ่ายหลายประเด็น วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นแล้วเรียกผู้บริหารวัดพระธรรมกายมาไต่ถามข้อเท็จจริงแล้วเดินทางไปวัดพระธรรมกาย เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นไปโดยประจักษ์ ได้ข้อสรุปที่มีน้ำหนักควรหยิบยกขึ้นมาพิจารณาดำเนินการ รวมเป็น 4 ประการดังต่อไปนี้
ประการที่ 1 พิจารณาเห็นว่า วัดพระธรรมกายมีความรู้ความเข้าจในด้านคันถธุระหรือพระปริยัติธรรมยังไม่สมบูรณ์ จริงอยู่ แม้วัดพระธรรมกายจะเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมที่ใหญ่ มีพระภิกษุสามเณรเปรียญ ถึง 202 รูป พระภิกษุสามเณรนักธรรม ถึง 845 รูป เป็นการยากที่วัดใจสามารถจะทำให้เกิดมีขึ้นได้มากมายขนาดนี้ จึงเป็นเรื่องน่าชื่นชมอนุโมทนา แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับวัดในขณะนี้ คือ ปัญหาเรื่องการก่อสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โต และปัญหาการระดมเงินบริจาคมากมายเป็นต้น วัดก็ไม่สามารถชี้แจงให้ผู้สงสัยเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมที่ลึกซึ้ง คือ วิชาอภิธรรม เมื่อได้ศึกษาพระอภิธรรมแล้วก็จะสามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้ทันที ตั้งแต่เริ่มต้นว่า
การสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โตก็ดี การบริจาคก็ดี เกิดขึ้นจากจิตดวงไหน อะไรบันดาลให้จิตดวงนั้นเกิดขึ้น จิตดวงนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นบุญหรือบาป บุญบาปอยู่ที่ไหนรู้ตลอดสายไปจนถึงว่าวิบากหรือผลของบุญบาปเป็นอย่างไร อิทธิปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่ ซึ่งความรู้ในสภาพธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อนเหล่านี้ จะมีขึ้นได้ก็โดยการศึกษาวิชาพระอภิธรรม เท่านั้น
จึงดำเนินการให้วัดพระธรรมกายจัดตั้งสถานศึกษาพระอภิธรรมให้มีการเรียนการสอนวิชาพระอภิธรรมกันอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพในด้านคันถธุระของวัดพระธรรมกายให้สูงขึ้น อันจะก่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผลแก่วัดพระธรรมกายเอง และแก่ปวงชนผู้ใฝ่ใจในธรรมทั่วไป
ประการที่ 2 พิจารณาเห็นว่า วัดพระธรรมกายมีความรู้ความเข้าใจในด้านวิปัสนาธุระหรือพระปฏิบัติธรรมยังไม่สมบูรณ์
จริงอยู่ แม้ว่าวัดพระธรรมกายจะเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่ใหญ่ มีผู้คนพากันมาเจริญภาวนามากมายแต่การเรียนการสอนก็เป็นเพียงแค่วิปัสสนาญาณเบื้องต้น โดยอนุโลมเท่านั้น คราวใดเมื่อกล่าวอ้างถึงพระนิพพานอันเป็นวิปัสสนาญาณชั้นสูงจึงไม่ตรงกับพระนิพพานที่ปรากฎมีในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นเหตุให้บัณฑิตชนผู้มีความรักหวงแหนพระพุทธศาสนา เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็เกิดความหงุดหงิดอึดอัดใจ และยอมรับไม่ได้ ยิ่งเกิดมีปัญหาสำนวนใหม่ขึ้นมา คือปัญหาที่ว่าพระนิพพานเป็นอัตตา ก็ยิ่งก่อให้เกิดข้อกังขาสับสนวุ่นวายกันไปใหญ่
ความจริง พระนิพพานเป็นธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา คนเราในโลกมนุษย์ยุคเนยยบุคคลนี้จะมีโอกาสบรรลุถึงพระนิพพานได้ จะต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง จนเกิดภาวนามยปัญญา ผ่านขั้นตอนวิปัสสนาญาณตามลำดับ ดังนี้
1. นามรูปปริจเฉทญาณ
2. ปัจจยปริดคหญาณ (เห็นนิมิตเข้าใจผิดว่าเป็นนิพพาน)
3. สัมมสนญาณ
4. อุทยัพพยญาณ (ญาณนี้ตอนต้นเป็นวิปัสสนูปกิเลสเข้าผิดว่าเป็นนิพพาน และบางท่านพอถึงญาณนี้ก็เข้าว่า
ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์)
5. ภังคญาณ (อุปปาทนิโรธเกิดขึ้น เข้าใจผิดว่าเป็นนิพพาน)
6. ภยญาณ
7. อาทินวญาณ
8. นิพพิทาญาณ
9. มุญจิตุกัมยตาญาณ (อุปปาทนิโรธเกิดขึ้นอีก เข้าใจคิดว่าเป็นนิพพาน)
10. ปฏิสังขาญาณ
11. สังขารุเปกขาญาณ (สภาวะคล้ายพระนิพพานเกิดขึ้นได้บางครั้ง)
12. อนุโลมญาณ
13. โคตรภูญาณ
14. มรรคญาณ (พระนิพพาน)
15. ผลญาณ (พระนิพพาน)
16. ปัจจเวกขณญาณ
ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ต้องปฏิบัติผ่านขั้นตอนผ่านนิมิตตามลำดับชั้น จนถึงวิปัสนาญาณชั้นสูง คือ วิปัสสนาญาณที่ 14 ที่ชื่อว่า มรรคญาณ จึงจะถึงพระนิพพานจริงแท้ถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา สามารถที่จะรู้เห็นด้วยการภาวนามยปัญญาว่า พระนิพพานเป็นอย่างไร หรือเป็นอะไร
ในเมื่อวัดพระธรรมกายสอนวิปัสสนาธุระ นับได้ว่าถึงสถาวะวิปัสสนาญาณที่ 2 โดยอนุโลม (ยังปนสมถกรรมฐานอยู่) แล้วจะให้อธิบายเรื่องพระนิพพานให้ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ก็คงเป็นเรื่องที่เหลือวิสัย วิเคราะห์โดยสรุปได้ว่า
วัดพระธรรมกายมีความรู้ความเข้าใจในด้านวิปัสสนาธุระยังไม่สมบูรณ์ จึงดำเนินการให้วัดพระธรรมกายจัดตั้งสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ให้มีการปฏิบัติการบอกวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์กันอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพในด้านวิปัสสนาธุระของวัดพระธรรมกายให้สูงขึ้น อันจะเกิดคุณประโยชน์แก่วัดพระธรรมกายเอง และแก่ปวงชนผู้มีวาสนาบารมีทั่วไปอย่างมหาศาล
ผมขอยกแค่ 2 ข้อเท่านี้พอนะครับ หวังว่าคงกระจ่างกันแล้ว เอาละนี้ก็ดึกมากแล้ว เรื่องที่สกลนครผมยังไม่ขอออกความเห็น เพราะอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล อยู่ไว้จะมาคุยด้วยใหม่ครับ .... สวัสดี