ความคิดเห็นที่ 1 ....ท้าวมหาพรหม ยัง โง่ กว่า พระพุทธเจ้า นัก... มีพระสูตรเรื่อง พระภิกษุ ถอดกายทิพย์ ไปถามเทวดา ไล่ขึ้นไปแต่ละชั้น ว่า การดับธาตุ 4 ทำอย่างไร???? เทวดาตอบไม่ได้ ก็ไปถามชั้นสูงขึ้น ก็ตอบไม่ได้อีก ก็ไปอีก จนไปถึงท้าวมหาพรหม ก็ตอบไม่ได้ จนสุดท้ายต้องมาถามพระพุทธเจ้า... แล้วเรายังจะกราบไหว้พรหม เพื่อ????? อ่านพระสูตรดังกล่าวที่นี่ "เรื่องภิกษุแสวงหามหาภูต" http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?book=1&bookZ=45&name=%E0%A1%C7%D1%AF%AF%CA%D9%B5%C3 จากคุณ : zen_ar218 (zen_ar218) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 23:06:53

ความคิดเห็นที่ 2 กราบเพื่อเทวานุสติไงลูก :-) คุณของพรหมคือ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เรากราบท่านก็ฝึกไว้ไห้มีพรหมวิหาร4 แต่อย่างไรพระพุทธองค์ก็ทรงยิ่งใหญ่เหนือ3ภพ...พระเหนือพรหม นี่คือเหตุผลที่เรากราบไหว้พระพรหมครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 01:57:29 จากคุณ : วายุมนตรา เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:56:56

ความคิดเห็นที่ 3 อยากจะไหว้พระพรหม4หน้า. ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของบริษัทครับขอถามเป็นข้อๆนะครับ 1.ใช้ธูป/เทียน จำนวนเท่าไร 2.ต้องไหว้4ทิศหรือเปล่าครับ หรือไหว้แค่ทิศเดียว 3.ของไหว้ควรเป็นอะไบ้าง 4.ไหว้เสร็จแล้วของไหว้เราควรนำมาทานเองหรือให้คนอื่นครับ 5.บทท่องบูชา ท่องแบบไหนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ericthai _______________________________________ ถ้าจะไหว้ ตามหลักภายใต้กรอบของพุทธศาสนา 1. ก็ใช้ธูป ๓ ดอก ก็ได้ครับ เพื่อระลึกถึง พระรัตนตรัย      และเหล่าพระพรหมทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ทั้งที่เป็นอริยบุคคล และกัลยาณปุถุชน 2. ก็ไหว้แค่ทิศเดียวพอก็ได้ครับ แต่ให้ตั้งจิตระลึกถึง คุณคือ พรหมวิหารทั้งสี่     อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 3. ก็เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่สะดวกหรือตามศรัทธา ที่ไม่ได้ไปเบียนเบียดผู้อื่น     หรือไม่ได้ไปฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์อื่น 4. ก็นำมาทานเอง หรือให้คนอื่นทานต่อก็ได้ทั้งนั้นครับ 5. ก็จะใช้บทไหนก็ได้ครับ ถ้าเป็นชาวพุทธก็ให้ ตั้งจิต เป็น เทวตานุสสติ      อันเป็นหนึ่งใน สมถะกรรมฐาน ๔๐ ในพุทธศาสนา --------------------------------------- (วิธีเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน)     ก็แหละ โยคีบุคคลผู้มีความประสงค์เพื่อจะเจริญเทวตานุสสติกัมมัฏฐาน พึงเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น อันสำเร็จมาด้วยอำนาจอริยมรรค แต่นั้นพึงไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ ณ เสนาสนะอันสมควร พึงระลึกอยู่เนือง ๆ ถึงคุณทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นของตน โดยตั้งเทวดาทั้งหลาย ไว้ในฐานะเป็นพยานอย่างนี้ว่า –     เทวดาชาวจาตุมหาราชิกา มีอยู่จริง เทวดาชาวดาวดึงส์ มีอยู่จริง เทวดาชาวยามา มีอยู่จริง เทวดาชาวดุสิต มีอยู่จริง เทวดาชาวนิมมานรดี มีอยู่จริง เทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี มีอยู่จริง เทวดาชั้นพรหมกายิกา มีอยู่จริง เทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น ก็มีอยู่จริง     เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้แล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศรัทธาชนิดนั้นแม้ในเราก็มี     เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลชนิดใด ประกอบด้วยสุตะชนิดใด ประกอบด้วยจาคะชนิดใด ประกอบด้วยปัญญาชนิดใด ครั้นจุติจากโลกนี้ไปแล้วจึงไปบังเกิดในภพนั้น ๆ ศีล, สุตะ, จาคะ และปัญญาชนิดนั้น ๆ แม้ในเราก็มีอยู่ ฉะนี้     แต่ว่าในพระสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนมหานามะ ในสมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกเนือง ๆ ถึงศรัทธา, ศีล, จาคะ และปัญญาของตนและของเทวดาเหล่านั้น ในสมัยนั้น จิตของเธอก็จะไม่ถูกราคะรบกวน ดังนี้ (เทวตานุสสติกถา) วิสุทธิมรรค เล่ม ๑ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๗ ฉอนุสสตินิเทศ หน้าที่ ๓๗๖ - ๓๘๑ จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 02:56:48

ความคิดเห็นที่ 4 จขกท. นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เหรอครับ ถึงบูชาพระพรหม จากคุณ : Han Goog เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 05:31:31

ความคิดเห็นที่ 5 ผมนับถือศาสนาพุทธ แต่ผมก็สวัสดีพระพรหมเวลาเจอหน้าท่านครับ... "พรหฺมา  จ  โลกาธิปตี  สหมฺปติ กตฺอญฺชลี  อนฺธิวรํ  อยาจถ สนฺตีธ  สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ  ธมฺมํ  อนุกมฺปิมํ  ปชํ" จากคุณ : นัยนะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 08:21:16

ความคิดเห็นที่ 6 มหานามสูตร ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมเจริญเทวตานุสสติ(ความระลึกถึงเทวดาเนืองๆ) ว่า เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่ เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่ เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอยู่ เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้วอุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศีลเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้นสุตะเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น จาคะเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้น แม้ของเราก็มีอยู่ ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ของตนและของเทวดาเหล่านั้นเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภเทวดา ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม... http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=6756&Z=6837&pagebreak=0 เทวตานุสสติ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/10/Y8409126/Y8409126.html อนุสสติ 10 หมายถึงกรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึงประกอบไปด้วย พุทธานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธะ+อนุสสติ=พุทธานุสสติ) ธัมมานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม สังฆานุสสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์ สีลานุสสติ การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา จาคานุสสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้ เทวตานุสสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดาเช่นหิริ โอตตัปปะ และพระคุณของพ่อแม่ที่เป็นเทวดาของบุตรธิดา เทวดาหรือบุคลที่เคารพนับถือ อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน มรณานุสสติ การระลึกถึงความตายที่สัตว์โลกย่อมประสบ อานาปานุสสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ) กายคตานุสสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ32มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (ปัญจตจกรรมฐาน) เป็น 10 สมถกรรมฐานในสมถกรรมฐาน 40 ทั้งกอง คือกสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, พรหมวิหาร 4, อรูปกรรมฐาน 4 จตุธาตุววัตถาน1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณานุสสติ เป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจาระสมาธิ สีลานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน(ฌาน1) กายคตานุสสติและอานาปานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน(ฌาน4) http://th.wikipedia.org/wiki/อนุสสติ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 09:55:53 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:42:42

ความคิดเห็นที่ 7 "พรหฺมา  จ  โลกาธิปตี  สหมฺปติ กตฺอญฺชลี  อนฺธิวรํ  อยาจถ สนฺตีธ  สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ  ธมฺมํ  อนุกมฺปิมํ  ปชํ" สวดแบบความเห็นที่ 5 ก็ได้ครับ หรือจะใช้หัวใจพระพรหมก็ได้ครับ "เม กะ มุ อุ" (เค้าใช้กันจริงๆ น่ะครับ ไม่ได้มั่วขึ้นมาเอง) มาจาก เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จากนั้นระลึกและปฏิบัติพรหมวิหารสี่ครับ เครื่องบูชาก็เป็นอะไรก็ได้ ผลไม้ พืชผักก็ได้ครับ เราถวายเป็นอนุสสติ เป็นทาน (เพื่ออานิสงแห่งการบูชาผู้ที่ควรบูชา ด้วยของที่พึงบูชา) ท่านไม่ได้กิน จริงๆ จัดเป็นอนุสติอย่างนึง จะนำมาทานเอง หรือให้ผู้อื่นก็แล้วแต่เราครับ ธูปใช้กี่ดอกก็ได้ แต่ถ้าอยากมีระเบียบ แบบแผนหน่อย ก็ 16 ดอก แสดงถึงพรหมทั้ง 16 ชั้น หรือจะ 5 ดอก 9 ดอกก็ได้ครับ ทั้งนี้และทั้งนั้น จะกราบไหว้บูชาสิ่งใด ก็ขอให้กราบไหว้บูชาในคุณธรรมความดีที่ท่านมี ตามหลัก อนุสสติ 10 ซึ่งจัดเป็นการปฏิบัติกรรมฐานอย่างนั้น และที่สำคัญอย่าทิ้งพระพุทธเจ้า ให้ท่านอยู่เหนือสุด สำคัญสุด ปฏิบัติดีปฏิบัติไปเถอะครับ เดี๋ยวก็จะชักนำเรามาสู่ทางที่ถูกที่ควร ตามจริตของเราเอง จากคุณ : hellotawan เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:14:44

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณ ความคิดเห็นที่ 6  ต็กโกวคิ้วป้าย ครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:18:15

ความคิดเห็นที่ 9 จะไปกราบพระพรหม ถ้าจะกราบให้ถูกองค์ท่านต้องเดินทางขึ้นไปกราบในพรหมโลกเลยครับ วิธีการก็ไม่ง่ายไม่ยาก หมั่นเจริญสมถภาวนา จนได้ฌาณ พอตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นพรหม ตอนนั้นนึกจะกราบองค์ไหนก็ได้ทั้งนั้นครับ ท่านคงมีหลายองค์ที่อยู่บนพรหมโลกน่ะครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 17:03:18

ความคิดเห็นที่ 10 ถาม... อยากจะไหว้พระพรหม4หน้า. ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของบริษัทครับขอถามเป็นข้อๆนะครับ 1.ใช้ธูป/เทียน จำนวนเท่าไร 2.ต้องไหว้4ทิศหรือเปล่าครับ หรือไหว้แค่ทิศเดียว 3.ของไหว้ควรเป็นอะไบ้าง 4.ไหว้เสร็จแล้วของไหว้เราควรนำมาทานเองหรือให้คนอื่นครับ 5.บทท่องบูชา ท่องแบบไหนครับ ตอบ... เอาแบบความเชื่อของฮินดูเลยนะ(ฮินดี)คือเป็นแบบที่เชื่อสนิทใจว่ามีพระพรหมเทพอยู่จริงๆ 1.ธูปเก้าดอกขึ้นไป เทียนสองเล่มขึ้นไป 2.ให้ไหว้แค่ทิศเดียว คือตรงหน้าเท่านั้น 3.ของไหว้ควรเป็นดอกไม้ โดยเแพาะดอกบัวดีที่สุด ถ้าเป็นอาหารก็ควรเป็นผลไม้เท่านั้น 4.ไหว้เสร็จแล้ว จะเอามากินเองก็ได้ ให้คนอื่นกินก็ได้ ทอ้งเอาไว้เลยก็ได้ 5.คาถากล่าวบูชาคือ   "โอม พรัมมะเร นะมะฮะ"  สามครั้ง หมายเหตุ. ข้าพเจ้าไม่ได้มีความนับถือใดใดในเหล่าเทพ นับถือเพียงพระรัตนตรัยเท่านั้น แต่ที่ตอบเพราะอยากสงเคราะห์ผู้ที่ยังเชื่ออยู่เท่านั้น จากคุณ : เตาฟืน เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 19:40:50

ความคิดเห็นที่ 11 พระพุทธศาสนา 1.  พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องพรหมวิหาร สี่ประการ คือ  สอนให้สาวกมีเมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา....มิใช่สอนเรื่องพระพรหมมีสี่หน้า สมัยพระพุทธเจ้า  มีผู้คนมากมายที่เชื่อถือศาสนาอื่นๆ ที่มีมาก่อนพุทธ .....เข้าใจว่าท่านนำเอาคำว่า" พรหม" ของศาสนาอื่นมาใช้ในหลักธรรมของท่าน  เพื่อเป็นสื่อชักนำให้คนที่ยังติดอยู่กับศาสนาอื่น ๆ  นั้น  หันมาเข้าใจในหลักธรรมแท้จริงของพระพุทธองค์ พรหมวิหารของพระพุทธองค์   เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ใหญ่  หรือผู้ครองเรือนที่ดี  พึงมีความเมตตา  กรุณา  มุทิตา  และอุเบกขา ต่อบุคคลผู้อื่น มีอยู่สี่ประการเช่นเดียวกับ  สี่  ของหน้าพระพรหม  เทพของศาสนาอื่น ที่เป็นเจ้าถิ่นอยู่ในสมัยนั้น ดังนั้น  พวกที่ยังนับถือศาสนาอื่น  ๆ  ที่มีแต่พิธีกรรมโดยไม่มีคำอธิบาย....จงหันมาเข้าทางพุทธเสียเถอะ  จะได้เป็นคนดี พระพุทธเจ้าของเราท่านล้ำเลิศไหมล่ะ ? ? ? 2.  ขอเรียนว่า  หากท่านเจ้าของกระทู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่นิยมกราบไหว้บูชาพระพรหม หรือเทพอื่นใด ก็เป็นสิทธิของท่านอันไม่มีใครไปละเมิดได้   ส่วนเรื่องการกราบไหว้บูชาพระพรหม  นั้น  เท่าที่เห็น ๆ มา  ตามสี่แยกราชประสงค์  หรือศาลพระพรหมอื่นๆ  ทั่วประเทศไทย........ ไม่มีตำรา  ไม่มีสูตร  ไม่มีกฎเกณฑ์....เคร่งครัดตายตัวว่า  จะต้องใช้ธูป/เทียนเท่านั้น  เท่านี้ดอก  หรือจะต้องใช้เครื่องไหว้  เครื่องเซ่น  เป็นอาหาร  หรือเป็นสิ่งของประเภทใด ทั้งยังไม่มีทิศ  ไม่มีบทสวดหรือบทบริกรรมใด ๆ กำหนดไว้ตายตัว  ขณะกราบไหว้แต่อย่างใด สรุป....ของจริงก็คือ  ต่างคนต่างไหว้  ต่างคนต่างหาสิ่งของชนิดต่างๆ  มาเซ่นไหว้....ตามที่ใจตนศรัทธา  และที่ตนชอบ..... ด้วยใจ   ใครชอบอะไร  ใครจะทำพิธีกรรมอย่างไร  จะใช้ธูปกี่ดอก  10  ดอก หรือ 100  ดอก  ก็หามา  ก็ดีทุกอย่าง  ดีทั้งนั้น เคยไปเห็นในอินเดีย  ตอนเหนือ  ผู้คนทั้งพราหมณ์/ฮินดู  เวลากราบบูชาสารพัดเทพเจ้าของพวกเขา  ส่วนใหญ่ใช้แค่ดอกดาวเรือง  จะทำเป็นมาลัยน้อยก็ได้ มีน้อยที่เขาใช้ธูป หรือเทียนนำมาประกอบ  ไหว้สักการะ ( ในวิหารเขามีแสงไฟจากน้ำมันอยู่แล้ว  วิหารจุดกำยานส่งกลิ่นแทนธูป).....ยิ่งการนำของกินอื่นๆมาประกอบเซ่นไหว้  ก็ยิ่งน้อย ยังจำได้ว่า  คนอินเดียเวลาบูชาหนุมาณ ( เทพลิง) ตามวัดหนุมาณ  เขาใช้ใบกระเพรา ( ที่ไทยนำมาผัดกระเพราไก่-หมู  นั่นแหละ )  นำมาบูชาเทพแห่งลิง .......... คนไทยที่ได้ไปเห็นก็แปลกใจ  ส่วนคนอินเดียที่มาเห็นคนไทยนำกระเพราที่เขามีไว้บูชาเทพลิง  เอามาปรุงอาหารกิน  ก็แปลกใจเช่นเดียวกัน ) ก็เพียงแค่นำดอกไม้  และใจศรัทธามาบูชาทวยเทพ ........ คนพราหมณ์  คนฮินดูในอินเดียก็สบายใจกันแล้ว แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 13:35:32 จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 13:20:43

ความคิดเห็นที่ 12 #11"เข้าใจว่าท่านนำเอาคำว่า" พรหม" ของศาสนาอื่นมาใช้ในหลักธรรมของท่าน" นี่เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่พุทธพจน์ ซึ่งขัดแย้งในพระสูตรมีปรากฏเรื่องพรหม ขอยกตัวอย่างบางส่วน ๙. สุภสูตร ทรงโปรดสุภมาณพ (ที่มาของพรหมวิหารสี่) พ. ดูกรมาณพ บุรุษผู้เกิดแล้วทั้งเจริญแล้วในบ้านนฬการคามนั้น ถูกถามถึงทางของ บ้านนฬการคาม ไม่พึงชักช้า หรือตกประหม่าแล ตถาคตถูกถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่ชักช้า หรือตกประหม่าเช่นเดียวกัน ดูกรมาณพ เราย่อมรู้จักทั้งพรหมโลกและปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก อนึ่ง ผู้ปฏิบัติด้วยประการใด จึงเข้าถึงพรหมโลกเราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย.             สุ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระสมณโคดมทรงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม ข้าพเจ้าขอโอกาส ขอท่านพระโคดมโปรดทรงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมแก่ข้าพเจ้าเถิด.             พ. ดูกรมาณพ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว. สุภมาณพโตเทยยบุตรทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว. ทางไปพรหมโลก             [๗๓๐] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรมาณพ ก็ทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมเป็นไฉน ดูกรมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ "เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ กรรมใดเป็นกามาพจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น" ดูกรมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษเป่าสังข์ผู้มีกำลังพึงให้คนรู้ได้ตลอดทิศทั้งสี่โดยไม่ยาก ฉันใด เมื่อเมตตาเจโตวิมุติที่ภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ ก็ฉันนั้น กรรมใดเป็นกามาพจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้นแม้ข้อนี้ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม ดูกรมาณพ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจประกอบด้วยกรุณา ... มีใจประกอบด้วยมุทิตา ... มีใจประกอบด้วยอุเบกขา ... แผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ "เมื่ออุเบกขาเจโตวิมุติอันภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ กรรมใดเป็นกามาวจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น" ดูกรมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษเป่าสังข์ผู้มีกำลังพึงให้คนรู้ได้ตลอดทิศทั้งสี่โดยไม่ยาก ฉันใด เมื่ออุเบกขาเจโตวิมุติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ก็ฉันนั้น กรรมใดเป็นกามาวจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=13&A=11249&Z=11547 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 19:45:07

ความคิดเห็นที่ 13 แด่ความเห็นที่   11  ท่านผู้ใช้นามว่า  " ต๊กโกวคิ้วป้าย " ขอเรียนท่านด้วยความเคารพว่า......................................... ขนาดท่านเป็นผู้สามารถลอกพระสูตร  หรือข้อความในพระไตรปิฎกเอามาแสดงภูมิในห้องศาสนาแห่งนี้ได้......ฯลฯ ก็โปรดจงพิจารณาการเข้ามาเล่นในพันทิพ  สักนิด..........................ณ  ที่นี้ ที่นี่  พันทิพในห้องต่างๆ  เขามีกฎ  กติกา  มารยาท  ไว้ควบคุมความประพฤติ  และไถยจิตสกปรกของบางท่านที่ชอบเข้ามาวิจารณ์ความเห็นผู้อื่นโดยไม่เคารพในความเห็นของผู้อื่น  ที่ตนไม่เห็นด้วย  หรือเป็นความเห็นที่ไม่เหมือนตน ตรงนี้  แหละ  ที่สำคัญยิ่ง..........โปรดเปิดดู  กฎ กติกา  มารยาท  ในการเข้ามาเล่นในพันทิพดูได้  ที่ช่องล่างสุด  ช่องขาว  ของการจะพิมพ์ข้อความแสดงความเห็น  มุมบน  ด้านซ้ายมือ  ( กติกามารยาท)  หากไม่สนใจ  จะนำมาแสดงให้ดู ดังนี้.......................................มีในข้อ  4 ข้อ 4. เปิดใจให้กว้าง ยินดีรับฟังและเคารพในเสรีภาพของการเสนอความคิดเห็นของผู้อื่น พึงตระหนักอยู่เสมอว่านี่เป็นเสมือนสังคมหนึ่งที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ พันทิพ  เขามีกฎ กติกา  มารยาท  นี้ไว้ควบคุมคนบางคนที่เข้ามากระชากความเห็นของผู้อื่นที่ตนไม่ชอบ  หรือคิดเห็นไม่เหมือนใจตนเอามาวิจารณ์แบบพฤติกรรมของอันธพาลในอินเตอร์เนต ขอเรียนว่า  อย่างท่านผู้ใช้นามว่า  ต็กโกวคิ้วป้าย....คงไม่ใช่ทุรบุรุษในลักษณะนี้...เพราะดูว่าท่านก็พอจะรู้ศาสนาพุทธอยู่บ้าง  เพราะเห็นท่านลอกเอาพระสูตร  หรือข้อความในพระไตรปิฎกมาอวดภูมิในห้องศาสนาแห่งนี้  ( ไม่ต้องเหงา  ท่านมิใช่คนแรก ) ก็เข้าใจ  เพราะท่านไม่มีความรู้  ไม่มีความคิดอ่านทางพระศาสนาเป็นของตัวเอง  จึงได้เที่ยวไปลอกตำราต่างๆ  มาอ้างอวดเหนือคนอื่น ขอย้ำ........ เพราะท่านไม่มีความรู้  ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง   จึงได้แต่ลอกตำรามาอ้าง    มาอวดภูมิ  มาเย้ยกับคนอื่นเขา ขอเรียนในที่สุด  เพื่อสติปัญญาของท่านว่า.....ที่นี่  ในพันทิพ  เขาเปิดเวทีแสดงความเห็น.......ใครเห็นอย่างไร  มีความรู้อย่างไร  ก็แสดงไป  โดยไม่ต้องไปพาดพิงความเห็นคนอื่น โดยไม่ต้องไปพาดพิงความเห็นคนอื่น โดยไม่ต้องไปพาดพิงความเห็นคนอื่น โดยไม่ต้องไปพาดพิงความเห็นคนอื่น ย้ำ.............................. "เปิดใจให้กว้าง ยินดีรับฟังและเคารพในเสรีภาพของการเสนอความคิดเห็นของผู้อื่น พึงตระหนักอยู่เสมอว่านี่เป็นเสมือนสังคมหนึ่งที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ " สรุปว่า  ในพันทิพแห่งนี้  หากใครมีความรู้จริง  ก็แสดงไป....โดยไม่ต้องไปลากเอาความเห็นที่ตนไม่เห็นด้วย  เอามาวิจารณ์ เพราะนี่คือการกระทำของอันธพาลบัณเฑาะว์ในอินเตอร์เนต ขอเน้นว่า  ที่นี่  ไม่ใช่เวทีโต้วาที  แต่เป็นแค่เวทีแสดงความเห็น ขอเน้นว่า  ที่นี่  ไม่ใช่เวทีโต้วาที  แต่เป็นแค่เวทีแสดงความเห็น ไปพาดพิงคนอื่นเขาทำไม......ท่านต็กโกคิ้วป้าย  บัณเฑาะว์ผู้ไม่มีความคิดทางศาสนาเป็นของตนเอง  นอกจากลอกตำราเก่าๆ  มาอวดภูมิ หวังในที่สุดว่า  คงจะไม่เจอพฤติกรรมของท่านในที่ใด ๆ  อีก  (  ดูท่านรู้จักธรรมะดีนะ  คงเข้าใจเรื่องง่ายๆ อย่างนี้ได้ไม่ยาก .....อย่าให้ชื่อเสียในพันทิพเลย ) จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 22:44:11

ความคิดเห็นที่ 14 "นามแฝงหมิ่นประมาทคนอื่น กล่าวว่าให้ร้ายผู้อื่นที่ระบุตัวตนได้นั้น ฟ้องได้" สำเนียงส่อภาษา กิริยาก่อสกุล พอแถไม่ชนะ ก็หาเรื่องข่มขู่เลย อันธพาลจริงๆ แสดงว่าที่สูอวดว่ารู้ โดยกล่าวตู่แบบไม่มีหลักฐานนี้ ไม่ช่วยพัฒนาสันดานให้ดีขึ้นเลยสิ อย่างว่าคิดเอง เออเอง สรุปเอง ถึงทำให้การบิดเบือนแผ่ขยาย ไปตั้งลัทธิเองเลยอย่ามาอาศัยคำว่าพุทธหากิน ที่นี้เป็นบอร์ดสาธารณะ สามารถแสดงความเห็นได้ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แบบเผด็จการ "ท่านไม่มีความรู้  ไม่มีความคิดอ่านทางพระศาสนาเป็นของตัวเอง  จึงได้เที่ยวไปลอกตำราต่างๆ  มาอ้างอวดเหนือคนอื่น" ถ้าไม่ร้อนตัวคงไม่พูดสินะ คัมภีร์ถ้าเชื่อถือไม่ได้ ที่สูพูดมาก็ตั้งตัวเป็นศาสดาเองใช่ไหม ไม่ใช่พุทธพจน์ ไม่มีหลักฐานอ้างอิง เป็นความเห็นส่วนตัวที่สรุปเองทั้งสิ้น ถ้ามาแถ การแสดงความเห็นเพื่อให้รู้ว่ามีหลักฐานทางเอกสาร สูคิดมิชอบไปหาว่าเย้ยหยันเอง แสดงว่าผิดไม่ยอมรับผิดจะแถให้ถูกท่าเดียว ไม่ยอมรับความเห็นต่าง แล้วเที่ยวกล่าวให้ร้ายผู้อื่น ไม่ใช่วิสัยของสุจริตชน ถือเป็นปีศาจคาบคัมภีร์ หวังว่าจะไปแถที่ห้องอื่นๆบ้างนะ จะได้รู้ว่าอย่างไร ห้องนี้ส่วนใหญ่ไม่นำความเห็นส่วนตัว มาปนกับหลักศาสนา เพื่อจะได้ถกเชิงวิชาการ ไม่ใช้มากล่าวตู่ตีขลุม เหมาเข่ง แล้วมายกตนข่มท่านเยี่ยงนี้ ความรู้ที่ไร้ราก ย่อมไม่เข้าใจผลที่ออกมา ย่อมตีความผิดๆ การไม่ยอมรับความเห็นต่างแบบมีหลักฐานรองรับ เป็นการกล่าวบิดเบือน แถมมีความคิดทางลบ แสดงว่ามีแต่อัตตา ไหนสูตู่ตนเองว่ารู้จริง ทำไมยังมีอัตตาอยู่ล่ะ หลักการพุทธ เถรวาทมีบันทึกไม่ต่ำกว่าสองพันปี ไม่มีการอ้างถึง แล้วบอกว่าที่พูดเป็นความจริง จะให้คิดยังไง สมัยนาลันทายังอยู่ มีสอนหลายนิกายก็ยอมรับกันทั้งนั้นว่าสาวกชั้นหลังตีความต่างกัน แต่งขึ้นก็มี ไม่เห็นต้องมีข่มขู่เป็นนี้ แล้วยังมาพูดว่าวิเศษกว่าคนอื่นอีก ควรแล้วหรือ หวังว่าจะเลิกสันดานแบบนี้ ไม่ต้องมาแสดงความเห็นให้คนอื่นต้องกล่าวโต้แย้งอีก คนเราเข้าใจผิดกันได้ แต่ไม่ควรมาวางก้ามกร่างแบบนี้ จะแสดงความเห็นส่วนตัวก็เขียนไว้ด้วย ไม่มีใครไปแตะหรอก เพราะเป็นความเห็นส่วนตัว จะถกวิชาการก็ต้องรับได้ เพราะมีเอกสาร หลักฐานที่ยอมรับในวงวิชาการแล้ว จากหลายประเทศ แต่ถ้าอยากแก้ไข ก็ไปร่วมประชุมพุทธศาสนาโลกก็ดี เพราะมีอีกหลายอย่างที่ยังสรุปไม่ได้ เช่น พุทธศักราช "โคลงโลกนิติ" ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดินฯ คำครูอาจารย์กล่าวไว้ดีแล้ว จะไปเปลี่ยนทำไม เรียนให้หมดความรู้ท่านก่อนเถอะ แล้วค่อยไปพัฒนาต่อยอด อย่าร้อนวิชาเลย ธาตุไฟจะเข้าแทรก แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 14:36:09 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 09:29:03