ความคิดเห็นที่ 1 พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้ตรัสพระธรรมเทศนาคือคาถาที่ปรากฏ ณ เบื้องต้น ในวันหนึ่ง ขณะที่การเทศน์และการฟังธรรมยังมีอยู่ในตอนกลางคืน ฝ่ายพระบรมศาสดาทรงประทับยืน ณ แผ่นหินแก้วมณี ใกล้ประตูพระคันธกุฎี ทรงประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุเสร็จแล้วเสด็จเข้าไปในพระคันธกุฎี ในขณะนั้น พระโมคคัลลานะได้เข้าไปถามปัญหากะท่านพระสารีบุตร แม้บริษัททั้ง ๔ ก็นั่งฟังธรรมอยู่ ในขณะนั้น มีหลวงตาแก่รูปหนึ่งคิดว่า เราจะแกล้งพระสารีบุตรเล่นด้วยการถามปัญหาที่ยาก ๆ ทำให้ท่านลำบากในท่ามกลางหมู่บริษัท คนทั้งหลายก็จะได้รับรู้ว่าเราเป็นผู้มีปัญญาเป็นผู้คงแก่เรียน ก็จะทำการยกย่องนับถือเรา จึงเข้าไปหาพระเถระแล้วถามว่า “อาวุโส สารีบุตร ข้าพเจ้าขอถามปัญหาแก่ท่านสักข้อหนึ่ง ขอท่านจงช่วยแก้ปัญหาให้กระผมด้วยเถิด” พระเถระพิจารณาหลวงตารูปนี้ก็รู้ได้ทันทีว่า “หลวงตารูปนี้ มีความริษยา โง่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังอยากจะอวดความฉลาดอีก” จึงไม่ยอมตอบอะไรลงจากอาสนะแล้วก็หลีกไป  ฝ่ายพระโมคคัลลานะเห็นเช่นนั้นก็กลับกุฎิทันที พวกมนุษย์เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนั้น ก็ไม่พอใจลุกขึ้นแล้วพากันบอกว่า “พวกเราจงช่วยกันพากันจับหลวงตาแก่ใจร้ายรูปนี้ ท่านทำให้พวกเราไม่ได้ฟังธรรมที่ไพเราะจากพระสารีบุตร” หลวงตาเห็นสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจจึงรีบวิ่งหนีจากไปทันที ด้วยความโชคร้ายจึงพลัดตกลงไปในหลุมอุจจาระข้างท้ายวิหาร มีตัวเหม็นสกปรกไปด้วยของสกปรก พวกมนุษย์เห็นแล้วรู้สึกรังเกียจ จึงกลับไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 20:59:27 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 20:58:55

ความคิดเห็นที่ 2 พระพุทธเจ้าเห็นเหล่าอุบาสกและอุบาสิกามาผิดเวลาจึงตรัสถามว่า “ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย ทำไมพวกท่านจึงมาผิดเวลา”  พวกมนุษย์จึงกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทราบ พระพุทธองค์เจ้าได้ทรงสดับเรื่องทั้งหมดแล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อนท่านทั้งหลาย หลวงตารูปนี้หยิ่ง อวดดี ไม่รู้ประมาณในตนเอง ชอบแข่งดีกับคนที่เก่งกว่าจึงทำให้มีตัวเปื้อนอุจจาระ ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็เคยมีสภาพอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน” บรรดาอุบาสกและอุบาสิกาได้ฟังแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องอดีตชาดกมาสาธกยกอธิบายให้ฟัง ดังต่อไปนี้ อดีตชาติเนื้อหาชาดก ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำที่ภูเขาใกล้ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลจากนั้น มีเหล่าสุกรเป็นจำนวนมาก อาศัยอยู่ใกล้สระแห่งหนึ่ง พระดาบสทั้งหลายก็ปลูกบรรณาศาลาอยู่ใกล้สระนั้น วันหนึ่ง ราชสีห์ตัวนั้นได้ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารจนอิ่มแล้วได้ลงมาดื่มน้ำที่สระนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่มีสุกรอ้วนตัวหนึ่งเที่ยวหากินอยู่แถวนั้น ราชสีห์เห็นแล้วนึกอยากกินมันเป็นอาหาร แต่เนื่องจากตัวเองกำลังอิ่มอยู่ จึงคิดว่าถ้ามันเห็นเราจะไม่กล้ามาแถวนี้อีก จึงรีบขึ้นจากสระแล้วหลบเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง  สุกรเห็นดังนั้นจึงสำคัญผิดคิดว่า ราชสีห์กลัวตนจึงรีบหนีไป วันนี้เราควรจะต้องต่อสู้กับราชสีห์ตัวนี้ แล้วชูหัวขึ้นร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสู้กันด้วยเสียงที่องอาจในคาถาแรกว่า                               “ดูก่อนสหาย เราก็มี๔ เท้า แม้ท่านก็มี                                 ๔ เท้า จงกลับมาสู้กันก่อนเถิดสหาย                                   ท่านกลัวหรือไง จึงได้หนีจากไป” ราชสีห์ได้ฟังคำท้าของสุกรนั้นจึงกล่าวว่า “ดูก่อนสุกรเพื่อนรัก วันนี้เราจะยังไม่ยอมสู้กับท่าน แต่นับจากวันนี้ไปอีก ๗ วัน ท่านจงมาสู้กับเราตรงนี้เถิด” กล่าวดังนั้นแล้วก็หลีกไปทันที สุกรได้ยินดังนั้นก็เกิดความคึกคักว่า เราจะได้ต่อสู้กับราชสีห์จึงรีบกลับไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หมู่ญาติฟังทันที จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 21:04:53

ความคิดเห็นที่ 3 พวกญาติได้ฟังก็พากันตกใจรีบตำหนิสุกรตัวนั้นทันทีว่า “เจ้าจะพาพวกเราให้พบกับความพินาศกันหมดในคราวนี้ เจ้าไม่รู้จักประมาณตนเอง เจ้าอย่าได้ทำเรื่องที่โง่เขลาไปเลย” สุกรได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจหน้าซีดเกิดความกลัวขึ้นมาทันทีถามว่า “แล้วพวกท่านจะให้เราทำอย่างไรดี?” พวกญาติจึงแนะนำอุบายให้ว่า “ขอให้เจ้าจงไปในหลุมอุจจาระของพวกเหล่าดาบสแล้วเอาตัวลงไปเกลือกในหลุมนั้นรอให้ตัวแห้ง แล้วในวันที่๗ ให้เอาตัวลงไปกลิ้งบนหญ้าให้เปียกน้ำค้างอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น ให้ไปที่นัดแนะก่อนที่ราชสีห์จะมา ให้สังเกตทางลมให้ดี ให้ไปยืนอยู่เหนือลม ราชสีห์เป็นสัตว์สะอาด พอมันได้กลิ่นตัวแก รับรองได้ที่นี้ มันจะให้แกชนะรีบหนีไปทันที” สุกรได้ฟังก็ดีใจได้ทำตามนั้นทันที ในวันที่๗ ได้ไปยืนดักราชสีห์ทันที ใจเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว เมื่อราชสีห์มาถึง มันขยับจมูกไปมาด้วยความเหม็นแทบอาเจียนแล้วกล่าวว่า “เพื่อนสุกรเอ๋ย ท่านมีชั้นเชิงดีมากเหลือเกิน หากตัวเจ้าไม่มีตัวเหม็นละ ก็เราจักฆ่าท่านตรงนี้เอง แต่บัดนี้ เราไม่อาจใช้ปากกัดท่าน หรือเอาเท้าเหยียบตัวท่านได้เลย เรายอมให้ท่านชนะก็แล้วกัน” จากนั้น จึงได้กล่าวคาถาที่สองนี้ว่า           “ดูก่อนสุกร เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป                            ดูก่อนสหาย หากท่านอยากจะสู้กับเรา                              เราก็จะให้ชัยชนะแก่ท่านก็แล้วกัน” ความหมายของสองคาถาข้างต้น สุกรเข้าใจผิดที่เห็นราชสีห์หนีไป จึงคิดว่าราชสีห์กลัวตนเองจึงฮึกเหิมกล้าท้ารบกับราชสีห์ ด้วยความสำคัญผิดดังคาถาแรกที่มันกล่าวเอาไว้ แต่เพราะความฉลาดเจ้าเล่ห์ของพวกญาติจึงทำให้มันสามารถเอาชนะราชสีห์ ตามที่ราชสีห์ได้กล่าวตำหนิสุกรไปในคาถาที่ ๒ จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 21:09:30

ความคิดเห็นที่ 4 ราชสีห์กล่าวด้วยความอ่อนใจว่า “เราแพ้แล้ว เจ้าไปเสียเถิด” ดังนี้แล้ว ก็กลับจากที่นั้นเที่ยวออกหาอาหาร ดื่มน้ำในสระแล้วก็กลับเข้าถ้ำตามเดิม ฝ่ายสุกรก็ดีใจรีบกลับมาบอกแก่พวกญาติทันทีว่า “เราชนะราชสีห์แล้ว” พวกสุกรได้ฟังก็ตกใจกลัวว่าราชสีห์จะกลับมาฆ่าพวกตนให้ตายหมด จึงพากันอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า “สุกรในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุแก่ในครั้งนี้ส่วนราชสีห์ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล” ดังนั้น การที่เพื่อนสมาชิกท่านั้นได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้   “อย่ามัวมาสนใจในตัวผมอยู่เลย  บอกความจริงเลยว่า ผมหน้าด้านเสียแล้วครับ คุณจะยกคำอภิมหาจักรวาลอะไรที่ว่าพูดแล้วเจ็บปวด เจ็บแสบมาถวายผม ผมก็ไม่รับครับ  เพราะไม่รู้จะรับทำไม  ผมสุขสบายดีอยู่แล้ว คุณควรหาเวลาศึกษาพระไตรปิฎก ............................... คุณหันกลับไปมองดูบ้าง   เมื่อถึงเวลาทุกอย่างเรียบร้อย  ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับสำนักที่คุณชื่นชอบอีกเลย ...ดูกันต่อไปว่าเป็นอย่างไร....” เพื่อนสมาชิกท่านนั้นมีพฤติกรรมสอดคล้องกับชาดกอย่างไร ทุกท่านที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงเข้าใจได้ดี จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 21:16:24

ความคิดเห็นที่ 5 การที่ดิฉันได้แตกประเด็นกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่าการแสดงความเห็นแฝงคำหยาบต่อสถาบันทางศาสนาแห่งหนึ่งนั้น ไม่เป็นการสมควรและไม่สามารถยอมรับได้บนเว้บบอร์ดห้องศาสนาแห่งนี้ ซึ่งดิฉันเชื่อว่ามีเพื่อนสมาชิกอีกหลายท่านที่ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนสมาชิกท่านนั้น จะออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมห้องศาสนาพันทิป มีสำนึกรู้สึกผิดและขอโทษต่อการแสดงความคิดเห็นอันแฝงด้วยหยาบคายนั้นอย่าง “ลูกผู้ชาย” ที่อ้างตัวเป็นผู้ปกป้องพระธรรมวินัย และแสดงถึงความเป็นศิษย์แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติตามโอวาทปาฏิโมกข์ว่าด้วยอนูปวาโท และหวังว่า “เขา” จะไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีกในอนาคต สุดท้าย  ขอฝากธรรมภาษิตนี้ไว้สำหรับผู้ประพฤติธรรมทุกท่านค่ะ                                      โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตวา  ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ                                     โสมํ โลกํ ปภาเสติ        อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา                                             บุคคลใดในกาลก่อน เคยผิดพลาด                                          ครั้นภายหลังเขากลับตัวได้ ไม่ประมาท                                               บุคคลนั้นย่อมทำให้โลกแจ่มใส                                         เหมือนดังดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอก                                                                       (ขุ. ธ. ๒๕/๓๓) ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุขค่ะ                   ที่มา “สุกรชาดก” : http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/02/Y7568604/Y7568604.html จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 21:21:43

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องสุกรจบไปแล้ว  งั้นต่อเรื่องสุนัขละกัน ... :P จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 21:25:38

ความคิดเห็นที่ 7 ีคคห.4 เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผมจะไม่ยุ่งกับสำนักคุณ แปลว่าอะไรครับ คุณต่อกำลังทำอะไร? สำนักคุณต่อกำลังทำอะไรครับ??? (หนังกำลังภายในหรือเปล่า สำนัก ต่อ สำนัก) (แค้นอะไรกันนักหนาครับ) จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 22:07:11

ความคิดเห็นที่ 8 สำนัก ต่อ  สำนัก มาเฟียบู๊ลิ้ม (ห้องศาสนา) ท่าจะมีจริง กระทู้ถล่มอีกสำนักถึงขึ้นกระทู้แนะนำตลอด (กระทู้ ข้าราชการอกหัก ด้วย) จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 22:20:56

ความคิดเห็นที่ 9 คุณวิศวกร ผู้มากไปด้วยปริญญาโท MCU แอบมาอ่านแล้ว ให้เวลาคิด 1 คืน การกล่าวคำขอโทษแบบสุภาพบุรุษไม่ได้ยากหรอกครับ ไม่ใช่แพ้หรือชนะ แต่เพื่อรักษาพระธรรมวินัย ตามที่คุณชอบอ้าง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 22:56:28

ความคิดเห็นที่ 10 คุณเจ้าของกระทู้ อย่านำ พุทธภาษิต มาเป็น เครื่องมือในการใช้ด่าว่าเสียดสีผู้อื่นเลยนะครับ --------------------------------------------------- วัดธรรมกาย สอนบิดเบือนจาก พระธรรมวินัย ว่า นิพพาน เป็นอัตตา ทั้งๆที่พระพุทธองค์สอนชัดแล้วว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา และวัดธรรมกายก็ยังคงแฝงตนอยู่ใน นิกาย เถรวาท จึงไม่ต่างจาก โจรที่แอบแฝงอยู่ในพระศาสนา ไม่ต่างจาก กาฝากที่เกาะอาศัยต้นไม้ใหญ่         และยังทำลายต้นไม้นั้นให้เสียหายอีก --------------------------------------------------- ส่วน คุณต่อmcu ผมเห็นว่า ไม่ต้องมาขอโทษตามที่ กลุ่มธรรมกาย "จัดตั้ง" กระทู้นี้ขึ้นมานะครับ ก็เพียงแต่ใช้ขันติให้มากๆ รักษาวาจาให้อยู่ในกรอบตามสมควร และก็ ขอเป็นกำลังใจให้เผยแพร่สิ่งที่ถูกต้องต่อๆไป ให้ชาวพุทธได้รู้ถึงความผิด ความไม่ดี ของวัดธรรมกายต่างๆ จะได้ไม่เผลอหลงผิดไปตามทางที่ผิดของวัดธรรมกาย จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 14:46:09

ความคิดเห็นที่ 11 จัดตั้ง ปากพล่อย นะครับ ใครจะมาจัดตั้งผมได้ รู้อยู่เป็นพวกโจมตีวัด โจมตีพระ โจมตีคนทำบุญ เพิ่งทราบว่านิยม คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ปากพล่อยมากนะท่าน แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 15:52:10 จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 15:20:41

ความคิดเห็นที่ 12 ***โจรที่แอบแฝงอยู่ในพระศาสนา*** ปากพล่อย ซะไม่มี มีเย็ว ๆ ในเนตรวมแล้วกี่คนเอง อนาถน่ะ จะทำไรกัน รีบ ๆ ทำซะทีซิครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 15:26:16

ความคิดเห็นที่ 13 ท่านที่ผ่านการปฏิบัติธรรมจากธรรมกายก็น่าจะเปิดใจให้กว้างนะครับ การที่คุณบังคับให้เค้าขอโทษ ถ้าคุณต่อมาบอกว่าเจตนาจะสื่อที่ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ จิงๆ แต่เพื่อความสบายใจคุณต่อขอโทษที่ทำให้พวกคุณเข้าใจผิด ผมคนนอกเข้ามาอ่านคงรู้สึกดีกับคุณต่อคับ จากคุณ : นู่ปลาป๋อง เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 15:35:25

ความคิดเห็นที่ 14 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 19:05:39 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 19:05:06 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 18:59:48

ความคิดเห็นที่ 15 คห. 10 คุณชาวมหาวิหาร เข้าใจอะไรผิดรึป่าวคะ ใครกันแน่คะที่ด่าว่าและเสียดสี การแสดงความคิดเห็นแฝงคำหยาบคายเป็นการด่าว่าและเสียดสีรึป่าวคะ ย้อนคิดให้ดี ๆ นะคะ เรื่องคำสอนฯ ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ค่ะ อย่าบิดเบือนนะคะ ส่วนการขอโทษนั้น ก็ไม่ได้มีใครบังคับให้เขามาขอโทษนี่คะ การที่คุณแนะนำให้เขารักษาวาจาเป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่หากเขาขอโทษก็จะทำให้เขาดูดีขึ้นสำหรับเราและอาจเป็นคนอื่น ๆ ด้วย หรือคุณชาวมหาวิหารเห็นว่าสมควรหรือไม่คะ ที่จะมีการแสดงความเห็นแฝงคำหยาบคายแบบนี้ หากคิดว่าต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรทำตามหลักอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งข้อแรก คือ สัมมาวาจาค่ะ  การแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับวัดพระธรรมกาย หรือวัดไหน สายไหน ปฏิบัติอย่างไร ก็สามารถแสดงความเห็นด้วยสัมมาวาจาได้ทั้งนั้นนะคะ  จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 19:31:39

ความคิดเห็นที่ 16 ครับ การกล่าวคำหยาบคายเป็นสิ่งไม่สมควรครับ แต่ วัดธรรมกาย กรุณา "แยกไปตั้งนิกายใหม่" เสียทีได้ไหมครับ แล้วจะไปประกาศ นิพพานเป็นอัตตา อย่างไร ก็เชิญได้ตามสบายจะไม่มีใครไปยุ่งด้วยเลย... จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 20:11:25

ความคิดเห็นที่ 17 ตกลงคุณชาวมหาวิหารยืนยันแล้วนะ ว่าการกล่าวคำหยาบคายเป็นสิ่งไม่สมควร   ความคิดเห็นที่ 16    ครับ การกล่าวคำหยาบคายเป็นสิ่งไม่สมควรครับ . . จากคุณ : ชาวมหาวิหาร   เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 20:11:25  จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 20:21:20

ความคิดเห็นที่ 18 ครับ แต่ไหนแต่ไรมา ผมก็ไม่เคยแสดงวาทะว่า การใช้คำหยาบคายจะเป็นสิ่งสมควร ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนๆก็ตาม คุณ ต่อmcu ก็เป็นปุถุชนอยู่ ตราบใดที่ ยังไม่ได้บรรลุซึ่ง อนาคามิมรรคญาณ บุคคลทุกคนก็ย่อมยังไม่สามารถละผรุสวาจาได้เด็ดขาด ก็ต้องขันติไปตามสมควร ในกรณี ที่คุณ ต่อmcu ได้ กล่าวชี้แจงเปิดเผย ความไม่ดี ของ หมู่โจรพุทธศาสนา คือวัดธรรมกาย บางครั้ง ก็ย่อมมีโทสะเกิดขึ้นผลั้งเผลอบ้าง เป็นธรรมดาของปุถุชน เพราะ พวกกลุ่ม โจรวัดธรรมกายเอง ก็กล่าวยั่วยุ คุณต่อmcu ไม่ใช่น้อย -------------------------------------------- ถึงผมจะเห็นว่า การกล่าวคำหยาบคายไม่สมควร แต่คุณต่อmcu ก็คงจะใช้ขันติระวังต่อไปได้เอง แต่ไม่จำเป็นต้องมา ขอโทษ "โจร" หรอกนะครับ มีที่ไหนบ้างหรือครับ ที่ประชาชนออกมาโพทนาว่าโจร แล้วต้องมาขอโทษ "โจร" ด้วย -------------------------------------------- ผมก็ขอเพียงแค่ เตือนสติ คุณต่อmcu ว่าให้ขันติมากๆ และพยายามรักษาวาจาให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง แต่คงไม่ต้องไปขอโทษ "โจร"ในพุทธศาสนา ที่บิดเบือนประกาศ พระนิพพานเป็นอัตตา แล้วยังคงแฝงแอบอยู่ในเถรวาทของเรา... แล้ว สิ่งที่คุณเจ้าของกระทู้นำพระธรรมวินัย นำชาดก มาใช้เป็นเครื่องมือด่าว่าเสียดสีผู้อื่นนั้น นี่ก็ไม่สมควรครับ ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองดูด้วยนะครับ..... จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 20:52:02

ความคิดเห็นที่ 19 คุณชาวมหาวิหารก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องของ "สัมมาวาจา" นะคะ คุณเข้าใจ "สัมมาวาจา" มั้ยคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องสัมมาวาจาไว้เป็นข้อแรกของอริยมรรคมีองค์ 8 และไม่ได้แยกไว้ว่าห้ามใช้กับใคร แต่ทรงสอนให้มีสัมมาวาจากับทุกคนมิใช่หรือ แม้แต่ "โจร" เช่น องคุลีมาร ก็ตาม พระพุทธองค์ก็ยังทรงใช้สัมมาวาจาในการโปรด  เพราะฉะนั้น หากจะประกาศตัวเป็นผู้รักษาพระธรรมวินัย พระศาสดาทรงปฏิบัติอย่างไร ก็ควรปฏิบัติเช่นนั้น จำไว้นะคะ เข้าใจมั้ยคะ น่าจะเข้าใจนะคะ คุณชาวมหาวิหาร จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 21:11:11

ความคิดเห็นที่ 20 ใช่ครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสด้วยสัมมาวาจาเสมอ แต่ ประชาชนทั่วไป ที่เค้าทนไม่ไหวกับ กลุ่มโจรในพระศาสนา ก็มีการโพทนากล่าวว่าเป็นธรรมดา การบัญญัติพระวินัยต่างๆ ก็เกิดขึ้นจาก ประชาชน ที่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของ โจรในพุทธศาสนา ได้มีการกล่าวว่าโพทนาติเตียนกันทั่ว  เมื่อเรื่องไปถึง พระพุทธองค์ จึงได้ทรงติเตียนภิกษุ หรือ "ขับให้สึก" ออกไปบ้าง คุณต่อmcu ไม่ใช่พุทธองค์ แต่เป็น ประชาชนที่ทนไม่ไหวกับ กลุ่มโจรวัดธรรมกาย ถ้า คุณเจ้าของกระทู้ ประสงค์จะเรียกร้องให้ ขอถอนคือคำพูดเหล่านั้น ก่อนอื่น ก็ควร ทำทิฏฐิให้ตรงก่อน คือ แสดงให้ชัดว่า ตนเองเห็นว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา และเห็นว่า การแสดง นิพพานเป็นอัตตา ของวัดพระธรรมกาย เป็นการบิดเบือนพระธรรมคำสอน เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ถ้าตนเอง แสดงความเห็นให้ตรง กระทำคืนในการสนับสนุน สิ่งที่ผิด เสียก่อน จึงจะสมควรมาเรียกร้องต่อคนอื่นครับ -------------------------------------------------- อนึ่ง การที่คุณ จขกท. นำชาดก ของพระพุทธองค์ มาใช้กล่าวเสียดสีผู้อื่น ก็ต้องพิจารณาดูให้ดีด้วยนะครับ.... จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 21:30:08

ความคิดเห็นที่ 21 ชาวมหาวิหาร คุณพูดไม่จริงหลายเรื่องครับ 1) พระนิพพานเป็นอนัตตา มีในพระสูตรใดครับ ที่เป็นพุทธพจน์ 2) ควรแยกแยะความเห็นต่าง กับการกล่าวคำหยาบคายในที่สาธารณะโดยเฉพาะห้องศาสนา 3) พระพุทธองค์ไม่เคยสอนว่า ใช้คำหยาบคายด้วยจิตอกุศลต่อโจรได้ครับ 4) ส่วนตัวไม่มีปณิธานตามติดไปทุกภพทุกชาติ 5) ผมอยากได้ความเห็นแบบคุณ แต่ขอให้ไปโพสในเว็บของ MCU นะครับ ได้คำตอบอย่างไร ช่วยกลับมาโพสด้วยครับ ุ6) มันไม่น่าอายหรอกครับ ทำผิดแล้วขอโทษ ให้สมกับการอ้างตนเองว่า รักษาพระธรรมวินัย ศีลง่ายๆของตนยังรักษาไม่ได้ ถ้าสร้างมาตราฐานแบบนี้ อีกหน่อย เราคงไปแก้ไขว่า ฆ่าคนที่ติดคุกได้ด้วยสิครับ ใช่ไหม จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 22:50:28

ความคิดเห็นที่ 22 พระนิพพานเป็นอนัตตา ก็มีแสดงอยู่ใน พระไตรปิฎก ดังนี้ครับ --------------------------------------------------------------------------------   วินย. ปริวาโร - หน้าที่ 224 สมุฏฺฐานสีสสงฺเขปํ    [๘๒๖] อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา         ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา ฯ                 นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ           อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา ฯ     พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร              [๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา                           พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. เมื่อดวงจันทร์ คือ                           พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัย                           ขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก. พระมหา-                           วีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรง                           บำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรง                           แสดงพระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข. พระอังคีรส-                           ศากยมุนี ผู้อนุเคราะห์แก่ประชาทุกถ้วนหน้า อุดมกว่าสรรพสัตว์                           ดุจราชสีห์ ทรงแสดงพระไตรปิฎก คือ พระวินัย ๑ พระสุตตันตะ ๑                           พระอภิธรรม ๑ ซึ่งมีคุณมาก อย่างนี้  http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=8&A=5897&Z=5921 -------------------------------------------------------------------------------- ผมยกธรรมวินัยจากพระไตรปิฎกมาแสดง คุณเวนเจอร์ ก็คงจะกล่าวต่อไปเหมือนทุกครั้งว่า  ท่านในที่นี้คือใคร? ผมก็ตอบต่อไปว่า ท่านในที่นี้คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ คุณเวนเจอร์ ก็คงจะแย้งต่อไปเรื่อยๆได้ไม่มีวันจบเหมือนเดิม (ref) .... แต่ก็พึงทราบไว้นะครับ ธรรมที่ได้ยกมาแสดงนี้ ก็สืบมาแต่ ปฐมสังคายนา พระอรหัตมหาสาวกทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะ พระอุบาลี พระอานนท์ ก็เป็นผู้ได้เห็นพระนิพพานที่เกิดขึ้นในขณะแห่ง อริยมรรค ผลจิต ทุกท่านย่อมแสดงธรรมตรงกันทั้งหมด อีกทั้งยังได้สดับฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ก็มี แต่วัดพระธรรมกายเท่านั้นที่จะบิดเบือน พระนิพพานให้เป็นอัตตาให้ได้ เพราะยังมี "ตัณหา" ในภพ ในการเกิดอีก  แล้วก็ไปบิดเบือน พระสูตรที่กล่าวถึงคำว่าแดนเกษม  ที่ทรงกล่าวด้วยสำนวนโวหารอย่างพระสูตร  มาใช้บิดเบือนว่า นิพพานเป็นอัตตา.... ส่วนเรื่องคำหยาบคายก็ได้แสดงความเห็นไว้แล้วว่า  ไม่เคยสนับสนุน และไม่เห็นด้วย ลองกลับไปอ่านให้ดีก่อนนะครับ เพียงแต่ถ้าจะเรียกร้องให้ใครขอโทษ ก็ควรขอโทษก่อน ที่ตนนั้นได้ร่วมกลุ่ม โจรในพุทธศาสนา บิดเบือนพระนิพพานว่าเป็นอัตตา.....   ______________________________________ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 23:31:41 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 55 23:27:16 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 23:20:33

ความคิดเห็นที่ 23 พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. แล้วท่านคือใคร  ทำไมจึงลดสรรพนาม จาก พระพุทธองค์ เหลือคำว่า ท่าน คุณตอบไม่ชัดเจน แล้วมีอาการไม่สงบบ่อยครั้ง ทำไม ท่าน ยังต้องมา วินิจฉัยอีกครับ บุรี แดนเกษม เมือง ภูมิภาค คือสำนวนโวหาร ถ้าอย่างนั้น แปลคำว่า ท่านวินิจฉัย คือสำนวนโวหารว่า การกล่าวถึงพระุพุทธเจ้า เหลือสรรพนามเพียง ท่าน มีปรากฏอยู่ในพระสูตรใดอีก ที่คุณฟันธงได้ทันทีว่า ท่าน คือใคร การกล่าวหาว่าร่วมกลุ่มโจร นี่ก็คือวจีกรรมอีกหนึ่งที่คุณต้องรับไป ส่วนตัวศึกษาทั้งการอ่าน การฟัง แลกเปลี่ยนความเห็นจากท่านผู้รู้ ก็ไม่เคยเจอใครจะต้องกระแทกกระทั้น ด้วยอาการเยี่ยงคุณนะครับ เราคุยกันด้วยความเมตตาก็ได้ ยังจะช่วยคนที่เกิดอกุศลจิต ด่าด้วยคำหยาบคาย คงสะใจที่ได้ โพส คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ใช่ไหมครับ มาตราฐานเดียวกันครับ ถ้านำไปโพสในสถานที่ที่สอนพระพุทธศาสนา อย่างมหาลัยสงฆ์ แล้วบอกว่านี่คือคำด่า องค์กรอื่นแบบนี้ ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์เห็นสมควรอย่างยิ่ง ในหน้าที่ของคนที่อ้างว่ารักษาพระธรรมวินัย แต่กลับมองข้ามศีลของตน หิิริโอตตัปปะไม่เหลือแล้วครับ ทำไมจึงตีโพยตีพายไปล่วงหน้า ว่านี่คือ การร่วมกลุ่มโจรครับ ประเด็นคือ การเรียกร้องจริยธรรมในห้องศาสนาครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 01:58:45 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 01:58:10

ความคิดเห็นที่ 24 ขอผมสะเออะซักนิดนะครับคุณชาวมหาวิหาร ขอโทษที่ใช้คำนี้นะครับเพราะผมมีความรู้สึกว่าใครๆก็ไม่อยากจะคุยกับผมอิอิ ขอบอกและขอบอกแค่ว่า กลุ่มโจร ของคุณมันเป็นแค่ตำกล่าวหาลอยๆนะครับ ขอหลักฐานที่มีการแสดงยืนยันหมายหมายจับกลุ่มโจรหน่อยที่คุณกล่าวอ้างหน่อยครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูงยิ่ง แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 03:01:10 จากคุณ : พัดลมเย็นๆ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 03:00:37

ความคิดเห็นที่ 25 #23 คำว่า วินิจฉัย ในที่นี้ก็มาจาก นิจฉยา ที่ได้ยกมาให้ดูแล้วนะครับ เป็นคำที่มาจากคำบาลี พระพุทธองค์ ท่านทรง วินิจฉัยธรรม จำแนกแจกแจงธรรม ตรัสรู้ธรรม และก็นำมาสอนแก่พระสาวก เหล่าพระอรหันตสาวก ท่านก็ได้รู้เห็นพระนิพพาน เหมือนอย่างพระพุทธองค์ คำว่าวินิจฉัยในที่นี้ จึงไม่ได้เหมือนอย่างในภาษาไทย ที่เป็นไปในทำนองว่า คิดเอาวิเคราะห์เอา  แต่หมายถึง การตรัสรู้ธรรม เกิดอรหัตมรรคญาณ เกิดมรรคจิต ผลจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ และก็มีปัจจเวกขณญาณพิจารณา ในสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เมื่อ เหล่าพระมหาสาวกในที่ปฐมสังคายนา ได้ร่วมกันแสดงว่า ท่านทรงวินิจฉัยธรรม ก็ย่อมหมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณ venture จะให้หมายถึง ศาสดาองค์อื่นมี ศาสดาสัญชัยเป็นต้นไปได้อย่างไรครับ หรือ คุณ venture เห็นว่า เหล่าพระอรหัสตสาวกในที่ปฐมสังคายนา ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์เลยหรืออย่างไร   หรือต้องการกล่าวหาว่าเหล่าพระอรหันต์ร่วมกันโกหก หรือครับ -------------------------------------------------------- การที่ผมได้กล่าวเปรียบ การการทำของวัดธรรมกาย ที่บิดเบือนพระธรรมวินัย ดัง โจรในพุทธศาสนานี้ ก็เพราะทิฏฐิที่เจือด้วยสัสสตทิฏฐิ และนำไปสู่การ ประกาศ พระนิพพานเป็นอัตตา นั่นเอง ---------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ๓. โจรสูตร    [๑๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ ย่อม ตัดที่ต่อบ้าง ย่อมปล้นทำลายบ้าง ย่อมทำการปล้น เฉพาะเรือนหลังเดียวบ้าง ตีชิงในทางเปลี่ยวบ้าง ....... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้น เหมือนกันแล ปาปภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูก กำจัด ถูกทำลาย เป็นผู้มีโทษ มีข้อที่วิญญูชนจะพึงติเตียน และย่อมประสบ บาปเป็นอันมาก ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ปาปภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ อาศัยกรรมที่ไม่สม่ำเสมอ ๑ เป็นผู้อาศัยที่รกชัฏ ๑ เป็นผู้อาศัยคนมีกำลัง ๑ เป็น ผู้ใช้จ่ายโภคทรัพย์ ๑ เป็นผู้เที่ยวไปคนเดียว ๑ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปาปภิกษุเป็นผู้อาศัยกรรมที่ไม่สม่ำเสมออย่างไร คือ ปาปภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ไม่ สม่ำเสมอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปาปภิกษุเป็นผู้อาศัยกรรมที่ไม่สม่ำเสมออย่างนี้แล ก็ปาปภิกษุเป็นผู้อาศัยที่รกชัฏอย่างไร คือ ปาปภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นมิจฉาทิฐิ ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฐิ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=22&A=2950 บทว่า อนฺตคฺคาหิกาย ความว่า ยึดถือสัสสตทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ. http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=103 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 05:35:05

ความคิดเห็นที่ 26 ผมคงต้องแสดงความเห็นแตกต่างจากคนอื่น ๆ บ้าง คนในนี้มักจะคิด เหมือนกัน ตรงคำ ว่า อัตตา อนัตตา        ความจริง มันก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักพยายาม ตีความจากตัวหนังสือ เอาทั้งนั้น เพราะเอาเข้าจริง ก็ไม่รู้ ว่านิพพาน มันเป็นอย่างไร       เรื่องนี้ ท่าน ชาวมหาวิหาร จะพูดว่า เป็นกลุ่มโจร หรือบิดเบือนนั้น ก็ ยังไม่แน่ชัดนัก  เพราะ แนวทางของวัดธรรมกาย  อ้างอิงกับวิชชาธรรมกาย ซึงเป็นแนวทาง ที่ต้องปฏิบัติ ตามแนวของ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ทั้งนั้น ฉะนั้น นิพพานของวัดธรรมกาย จึง หมายถึง วิชชาธรรมกายที่ต้องปฏิบัติ  ไม่ใช่ การ ยกตำรามาอ้างอิงเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่การบิดเบือน ไปเพียงสำนักเดียว       แนวทางการปฏิบัติ คือ มรรคมี องค์ 8  หรือทางสายกลางเหมือนกัน ฉะนั้น จะต้องถึงเป้าหมายเดียวกันคือ นิพพาน จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 08:27:09

ความคิดเห็นที่ 27 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 15:31:08 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 15:30:28 จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 15:29:54

ความคิดเห็นที่ 28 การเบี่ยงประเด็นของคุณมหาวิหารไม่ได้ทำให้จริยธรรมของเพื่อนสมาชิกดูดีขึ้นเลยค่ะ คห. 20 . . อนึ่ง การที่คุณ จขกท. นำชาดก ของพระพุทธองค์ มาใช้กล่าวเสียดสีผู้อื่น  ก็ต้องพิจารณาดูให้ดีด้วยนะครับ.... จากคุณ : ชาวมหาวิหาร   เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 21:30:08  ที่เรานำมาชาดกมาแสดง เพราะชาดก เป็นเรื่องในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่าง ๆ บางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหลังของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟัง บางครั้งก็เพื่ออธิบายเหตุ สาระสำคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในชาดกนั้น ๆ ดังนั้น หากอ่านอย่างพิจารณาแบบ "ดูละครแล้วย้อนดูตัว" และนำหลักธรรมไปใช้เป็นคุณประโยชน์ ผู้ปฏิบัติที่มีธรรมะเป็นเครื่องดำเนินชีวิต ย่อมประสบแต่ความสุขและความเจริญอย่างแน่นอนค่ะ  จากคุณ : รัตนมาลี เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 15:37:26

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่ได้อ่านหมดนะคะ แต่ไอ้ ค = คิด ว = วิเคราะห์ ย = แยกแยะ เนี่ยนะ มันเป็นมุขที่เขาเล่นกันทั่วไป เล่นกันมาตั้งนานแล้ว สมเจตนารมณ์ของคนแต่งคำสามคำนี้ ไม่น่าเอามาเป็นประเด็นเล้ย จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 21:18:31