PANTIP.COM : Y12640948 มีใครอ่านหนังสือ จากตถาคตถึงเยซู แล้วบ้างครับ []

ความคิดเห็นที่ 1

อันนี้เป็นความเห็นของคนที่เคยพบผู้เขียน

------------------------

เคยมีคนๆหนึ่ง ซึ่งพื้นเพน่าจะเป็นคนไทยแต่โตที่ออสเตรเลีย เพราะพูดไทยชัดมาก แต่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า สตีฟ ช๊อคโกลานตี้ มาเป็นวิทยากรในหัวข้อเรื่อง "จากตถาคต ถึง เยซู" ซึ่งล่าสุดได้ทำเป็นหนังสือออกมาแล้ว โดยเนื้อหาที่เขาวิจารณ์ศาสนาพุทธในวันนั้นก็อยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย

ซึ่งถ้าวิจารณ์อย่างมีเหตุผลก็น่าฟัง แต่เนื้อหาที่นำมาโจมตีกลับเหมือนคนรู้ไม่จริงซักอย่าง ผมขอยกตัวอย่างดังนี้

1. เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีเหตุผลเลย เช่นพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ก็คือไม่อยู่แล้ว เพราะนิพพานคือความว่างไม่มีตัวตนแล้ว แล้วจะมาช่วยพวกเรายังไง ซึ่งในศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าไม่ได้ช่วยเรา แต่ท่านเพียงทิ้งคำสอนหลักธรรมให้พวกเราปฏิบัติ ดังชี้ทางให้เห็นว่าเดินทางนี้ แต่เราจะเดินหรือไม่เดิน ทำได้หรือไม่ได้ ก็แล้วแต่เรา

2. การที่ชาวพุทธจะหลุดพ้นได้ ผู้ชายต้องถือศีล 227 ข้อ ซึ่งอันนี้ก็ผิดแล้ว เพราะจะหลุดพ้นได้เราต้องฝึกสติปฐานสี่ ส่วนศีล 227 ข้อนั้นมีไว้สำหรับพระสงฆ์ แต่ฆารวาสทั่วไป 5 ข้อก็พอแล้ว

3. แล้วนายสตีฟยังยกต้วอย่างศีลบางข้อเช่น ห้ามเล่นน้ำ แล้วพูดทำนองว่าจะหลุดพ้นได้ยังไงกับแค่ห้ามเล่นน้ำ ซึ่งจริงๆแล้ว ศีลทั้ง 227 ข้อที่ให้พระสงฆ์ทำนั้นหลายๆข้อเพื่อให้พระสงฆ์มีอาการสำรวมและมีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะหลุดพ้น เช่นเวลาฉัน ห้ามไม่ให้ช้อนกระแทกบาตรจนเกิดเสียง ซึ่งข้อนี้ก็เพื่อให้พระมีสติแม้เวลาฉันอาหาร แต่นายสตีฟคนนี้ก็เอามาจับเรื่องจับโยงกันจนมั่วไปหมด

4. เรื่องกฏแห่งกรรม นายสตีฟคนนี้ก็มาทำเป็นเรื่องตลกอีก บอกไม่มีเหตุผลว่าคนเราทำไงก็ต้องได้อย่างนั้น ถ้างั้นคุณฆ่าไก่ชาติหน้าก็เกิดเป็นไก่ อย่างงี้คุณก็ไปฆ่าคนรวยสิชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนรวย พูดจบคนก็หัวเราะกันทั้งห้องบรรยายเป็นที่น่าสนุกสนาน ซึ่งจริงๆแล้วการฆ่าไก่ไม่ได้แปลว่าต้องเกิดเป็นไก่ หรือฆ่าคนรวยแล้วจะเกิดเป็นคนรวย กฎแห่งกรรมมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นมากมายไม่ใช่ สมการแค่ 1+1=2 จนพระพุทธเจ้าบัญญติให้เป็น 1 ใน 4 เรื่องอจินไตย

5. เรื่องเกิดใหม่ก็บอกไม่มีเหตุผล เพราะเมื่อก่อนคนมีอยู่เท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้คนมีเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ แล้วคนมาจากไหนเพิ่มขึ้น ซึ่งผมฟังแล้วก็สลดจริงๆ เพราะความคิดเขาตื้นมาก เพราะในวัฏสงสาร ไม่ได้มีมนุษย์แค่ภพเดียว ยังมีสัตว์ทั้งหลายอีกกว่า 31 ภพภูมิ แล้วในส่วนตัวผม ผมก็ไม่เชื่อว่าในจักรวาลนี้จะมีแค่โลกเราเท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่

6. เขาแจกหนังสือหลอกลวงประชาชนครับ เขาแจกหนังสือโดยเอาคำอ้างอิงของบุคคลสำคัญทั่วโลกมาบอกว่าเชื่อในพระเจ้า ซึ่งในนั้นก็มีไอสไตน์อยู่ด้วย โดยอ้างว่าไอสไตน์เชื่อในพระเจ้า ซึ่งอันนี้ก็โกหกหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง เพราะจริงๆแล้วไอสไตน์ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่ไอสไตน์เชื่อในพระพุทธศาสนา โดยยกให้เป็น cosmic religion หรือศาสนาแห่งจักรวาล โดยเขาได้เขียนไว้เองใน New York Times Magazine ฉบับวันที่ 9 พฤจิกายน 1930 ตามลิงค์นี้ http://en.wikiquote.org/wiki/Albert_Einstein#Religion_and_Science_.281930.29

7. อย่างเรื่องกรรมมี 3 ชนิดคือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ปี เขาก็บอกว่าศาสนาคริสต์นิกายเขาก็สอนเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนเรามาเกือบ 2600 ปีแล้ว ก่อนศาสนาคริสต์จะตั้งขึ้นมากว่า 600 แล้ว นายสตีฟเขามาบอกว่าศาสนาพุทธถ้ามีมโนกรรมไม่ผิด แต่เป็นคริสต์แค่คิดก็ผิดแล้ว ซึ่งในศาสนาพุทธก็บอกว่าผิด เพราะแค่ความคิดก็เกิดวิบากได้ แต่ความผิดของมโนกรรมจะผิดเท่ากายกรรมไม่ได้ เหมือนผมคิดว่าผมจะฆ่าคนแต่ไม่ได้ฆ่า กับได้ไปฆ่าจริงๆ ผลของกรรมย่อมไม่เหมือนกัน แต่ถึงแม้มโนกรรมจะก่อให้เกิดผลแห่งกรรมน้อยที่สุด แต่ก็เป็นกรรมที่อันตรายที่สุด เพราะคนเราจะพูดหรือทำอะไรได้ มันย่อมเกิดจากความคิดก่อน ดังนั้นมโนกรรมนี่แหล่ะจะก่อให้เกิดวจีกรรมและกายกรรมตามมา ดังคนโบราณบอกไว้ว่าอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เพราะความคิดคนนี่ถ้าเราไม่ทันระวังตัวแล้วคิดสิ่งนั้นไปมากๆ สิ่งนั้นก็จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเรา และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม และมีเวลาที่เหมาะสมเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกเราก็จะแสดงตนออกมา ดังนั้นที่บอกว่าศาสนาพุทธมีมโนกรรมไม่ผิด อันนี้เขาก็มั่วอีกแล้ว เพราะมันผิดแต่ผลของกรรมไม่หนักเท่าวจีกรรมและกายกรรม

นี่ยังมีเรื่องต่างๆอีกมากมายที่ผมได้ยินจากวันนั้น แต่หลังจากเรื่องหลายๆเรื่องที่ผมได้ยินเข้าหูในวันนั้นทำให้ผมไม่อยากรับฟังที่เหลืออีก เพราะผมรู้เลยว่าคนๆนี้เชื่อไม่ได้ เพราะมั่วทุกอย่าง ข้อมูลไม่มีเลย แต่เอามาโยงให้ศาสนาพุทธเสียๆหายๆ หนังสือเล่มนี้ที่ผมได้มา ผมก็ไม่สามารถอ่านให้จบได้ เพราะทำใจไม่ได้จริงๆ ตอนแรกคำนำอะไรก็ดี เหมือนเปิดใจรับฟังความเห็นต่างจากคนต่างศาสนา แต่อ่านๆไปก็เจอกับสิ่งที่ไม่เป็นความจริงทั้งนั้น

แต่ไม่น่าเชื่อครับ วันนั้นมีชาวพุทธมากมายตัดสินใจยอมเปลี่ยนศาสนาไปเชื่อในพระเจ้า ถึงกับหลั่งน้ำตาเวลาเข้าพิธีเลยก็มี แล้วหลังจากหนังสือเล่มนี้ออกมาก ก็มีคนสำคัญในประเทศรวมถึงนักธุรกิจหมื่นล้านหลายคนสนใจที่จะเปลี่ยนศาสนาเพิ่มขึ้นอีก กรรมใครกรรมมันจริงๆครับ

แต่สิ่งนี้โทษใครไม่ได้ครับ ต้องโทษชาวพุทธด้วยกันเอง พระมากมายดังๆในปัจจุบันนี้สอนอะไรจนบิดเบือนจากพระธรรมของพระพุทธเจ้าไปหมด หลักการของศาสนาพุทธหลักๆคือสอนให้เราพ้นทุกข์ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่ทุกวันนี้คนเข้าใจว่าศาสนาพุทธคือ พระเครื่อง ปลักขิก เครื่องรางของขลัง วิชาอาคมไสยศาสตร์ ขนาดไม้รูปอวัยวะเพศชายยังเอามาห้อยคอ แขวนไว้หน้าบ้านกราบไหว้บูชากันอยู่ได้ โดยคิดว่านี่คือศาสนาพุทธ ผมเคยบอกกับคนอื่นว่า พุทธแท้ไม่มีพระเครื่อง เพราะในสมัยพุทธการไม่มี อย่าให้สิ่งไม่มีชีวิตมาดูแลชีวิตเรา เราต้องดูแลชีวิตเราเอง แต่ผมกลับโดนโจมตีกลับมา ว่าช่างกล้านะ ปากดีจริงๆ หลายคนหัวเราะเยาะผมครับ บอกว่าผมบ้า พุทธแท้ไม่มีพระเครื่อง แล้วอย่างงี้ที่วัดที่บ้านที่เขากราบไหว้บูชาก็ไม่ใช่ชาวพุทธสิ ซึ่งจริงๆวัตถุประสงค์ในการแจกจ่ายพระเครื่องคือ ให้พวกเราระลึกและมีสติในการดำรงชีวิต ทำสิ่งดีละเว้นชั่ว พระห้อยคออยู่นะ ทำอะไรให้คิด แต่ทุกวันนี้คนไทยไม่คิดว่าจะมีสติด้วยตนเอง โดยคิดว่าเดี๋ยวมีอะไรพระเครื่องที่ห้อยคอจะช่วยเอง ขนาดห้อยพระองค์ละ 10 ล้านไว้ที่คอ ถ้าคุณห้อยพระองค์ละ 10 ล้านที่คอ แบบนี้ไม่ใช่ให้พระมาคุ้มครองคุณแล้วครับ มันเป็นคุณครับที่ต้องไปคุ้มครองพระ

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธป่นปี้ไปหมดแล้ว ด้วยน้ำมือพวกเราคนไทยที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธเองทั้งนั้น หลายๆคนเอือมระอากับพุทธศาสนา ชาวบ้านมาหุ้มผ้าเหลืองแล้วก็มาทำให้พุทธศาสนาเสียหาย สิ่งต่างๆเหล่านี้แหล่ะที่เป็นช่องโหว่ให้ศาสนาอื่นเอามาเป็นเครื่องมือในการชักจูงให้ชาวพุทธมากมายเปลี่ยนศาสนา ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ให้ชาวพุทธได้เข้าใจศาสนาพุทธจริงๆ เพราะทุกวันนี้น้อยคนนักที่จะเข้าใจจริงๆว่าศาสนาพุทธสอนอะไรเรา ทั้งๆที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ลึกซึ้งที่สุดแล้ว หลักแห่งการพ้นทุกข์พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อย่างละเอียด พวกเรามีของดีในมือ แต่ไม่เคยเห็นค่าของสิ่งนี้เลย

ที่มา :http://www.mythland.org/v3/archiver/tid-2754.html

จากคุณ : Mr.Terran

เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 23:44:31