PANTIP.COM : Y12647074 นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" และไม่ใช่อนัตตา"ครับ อย่าเอาความรู้ในตำรามาอ้างมั่วๆ []

นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" และไม่ใช่อนัตตา"ครับ อย่าเอาความรู้ในตำรามาอ้างมั่วๆ

นิพพานคือนิพพาน

โดย หลวงตามหาบัว

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒

สติเป็นสำคั_นะ เรื่องธรรมที่จะแก้กิเลสทุกประเภท สติกับปั__าจึงเป็นเครื่องมือชั้นเอกเลยขาดไม่ได้
ที่เป็นพื้นฐานของธรรมทุกขั้นก็คือสติ เป็นพื้นฐาน จากนั้นปั__าก็รอบ สติธรรม คนมีสติก็เป็นคนธรรมดาเรา
คนไม่มีสติก็พลั้ง ๆ เผลอ ๆ คนไม่มีสติจริง ๆ ก็คือคนบ้า ไม่มีผิดมีถูกคนบ้า เช่นอย่างไฟเขียวไฟแดงที่รถวิ่งสวนกันไปสวนกันมานี้
คนบ้าเขาจะไปจัดของเขาอะไรอยู่นั้นแหละ เครื่องบริขารแตก ๆ เติก ๆ ใส่ถุงใส่ย่ามเขา
เขาจะจัดนั้นจัดนี้ใส่ เราไปเห็นที่อุดรฯ นี้ โห อย่างนี้เอง เอามาพิจารณาเป็นธรรมนะ
คือพวกรถวิ่ง วิ่งมานี่ คนบ้าเขาจัดของอยู่ท่ามกลางของไฟเขียวไฟแดงเลยนะ ทีนี้รถไม่ทราบจะไปยังไงมายังไง
ตอนนั้นยุ่ง ตำรวจยังไม่มีนี่นะ ไม่มีตำรวจ รถยุ่ง เขาเฉยไม่สนใจกับอะไร เราก็ดู

อ้อ คนเมื่อขาดสติเสียจริง ๆ แล้วก็เป็นได้อย่างนี้ เอามาเทียบนะ คือสตินี้เป็นคุณภาพอันสูงสุดเทียวนะ
ทุกขั้นของธรรมสติเป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้นจนสุดยอดเลย พอสุดยอดแล้วตอนที่จะสุดยอดจริง
ๆ ท่านเรียกว่ามหาสติมหาปั__า กลมกลืนกันเป็นอันเดียว ทีแรกต้องวางรากฐานสติไว้ให้ดี
นี่เอามาพิจารณาตอนไปเห็นคนบ้าจัดอะไรต่ออะไร ของอะไรมีแต่ของทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ นั้นแหละ
เขาเอาจัดใส่ถุงใส่อะไรเขา หยิบอันนั้นใส่ หยิบอันนี้ใส่ของเขาอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วรถวิ่งไปวิ่งมา
จะตายละรถติด สี่แยกไฟแดงอุดรฯ

นี่ไปเห็นด้วยตานะ เราเอามาพิจารณา อ๋อ คนเราเมื่อขาดสติจริง ๆ แล้วก็เป็นอย่างนี้
นี่หมายถึงว่ามีแต่ความรู้คือจิต ไม่มีสติควบคุม ปั__าควบคุม เป็นเจ้าของ มีแต่ความรู้มันก็อย่างนี้
อย่างพวกบุ้งกือไส้เดือนนี้เขาก็คืบคลานของเขาไปตามเรื่อง นั่นละมีแต่ความรู้อย่างเดียวเป็นอย่างนั้น
ไม่รู้ผิดรู้ถูก เพ่น ๆ พ่าน ๆ ไป รู้ยังไงไปยังงั้น แต่ความรู้นั้นก็มีอันหนึ่งของมันอยู่นั้นละคือฝ่ายชั่ว
คือฝ่ายกิเลส มีแต่ความรู้กับกิเลสล้วน ๆ ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าความรู้มีธรรมเข้าไปแทรกก็มีความรับผิดชอบ
ต่างกันอย่างนั้นนะ

ความรู้นี่รู้อย่างนั้นแหละ ไม่เคยสู_เคยหายเคยตายเคยฉิิbหายเลยความรู้นี้ ท่านจึงบอกว่าเป็นอจินไตยพระพุทธเจ้า
ว่าอย่าไปถามถึงเรื่องว่าอดีตกาลเป็นมายังไง กำเนิดของความรู้เป็นมายังไง ความดับของจิตจะดับที่ไหนหรือไม่ดับที่ไหน
พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งนี้เป็นอจินไตย ไม่เกิดประโยชน์ ท่านจึงเทียบเข้าไปเหมือน ข้อเปรียบเทียบเทียบเข้าไปปุ๊บ
เหมือนหนามยอกเท้าเรา เมื่อหนามยอกเท้าให้รีบถอนหนามออก อย่าไปถามหาสกุลหนามว่าหนามนี้มาจากสกุลไหน
เกิดมาแต่เมื่อไร ๆ เท้าจะเน่าเฟะเสียไปหมด ไม่เกิดประโยชน์ ท่านว่าอย่างนั้น

ข้อเปรียบเทียบฟังซิเข้ากันได้ปุ๊บเลย ให้รีบถอนหัวหนามแล้วเอายาใส่ นี่เป็นประโยชน์
อย่าไปถามหาสกุลหนามว่าหนามนี้เป็นมายังไง มาจากสกุลใด มาเมื่อไรเรื่อยไปอย่างนั้น
เหมือนถามหาเรื่องจิตว่างั้นเถอะ สุดท้ายเท้าก็เน่าเฟะทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์
ท่านจึงห้าม เป็นอจินไตย ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ อันใดที่จะเป็นประโยชน์ให้รีบจัดการตรงนั้น
คือรีบถอนหัวหนาม แล้วอะไรมันขัดข้องภายในตัวของเราเวลานี้ ตัวของเราทั้งหมดมันก็เหมือนเท้า
กิเลสทั้งมวลความเชื่อทั้งมวลมันก็เหมือนหนามยอกเท้า ให้รีบถอดรีบถอนออก

นี่ละพระพุทธเจ้ารับสั่งคำไหนตรัสคำไหนหาที่ค้านไม่ได้ ให้รีบถอนหัวหนาม อย่าไปถามหาสกุลหนาม
ให้รีบถอนออกทันทีแล้วเอายาใส่แล้วหาย ถ้าไปถามหาหนามถามหาสกุลหนามแล้วเท้าเน่าเฟะตายทั้งคนไม่เกิดประโยชน์
การถามอย่างนั้นไม่ใช่เป็นประโยชน์

นี่จิตที่มีแต่จิตล้วน ๆ ไม่มีผู้อารักขา ไม่มีสติไม่มีปั__ารักษา มันก็รู้ของมันไปตามภาษีภาษาไป
แต่ความสุขความทุกข์มี แต่ความรู้ดีรู้ชั่วผิดถูกไม่มี เพราะไม่มีสติควบคุม ท่านจึงต้องให้ตั้งสติเริ่มต้น
เช่นอย่างพวกภาวนาสติขึ้นเป็นพื้นฐานเลย เวลาตั้งเข้าไป ๆ มันหากมีเครื่องหนุนกันนั่นแหละ
ตั้งสติเพื่อทำความดี ผลประโยชน์ที่จะเกิดจากสติที่กระจายออกไปนี้เราพรรณนาไม่ได้นะ
พอมีสติตั้งเข้าไปในตัว เฉพาะอย่างยิ่งตั้งเข้ามาในตัวนี้เราจะรู้สึกตัวของเราทันที
อย่างไม่มีสติตั้งกับจุดใดอย่างธรรมก็ตาม เพียงมีสติดูตัวเองพิจารณาตัวเอง ปั__าดูตัวเอง
จะมีอะไรทื่อท่าเข้ามาให้เกิดความรู้สึกตัวเรื่อย ๆ ผิดถูกชั่วดีก็จะเริ่มรู้ แล้วความแก้ไขตัวเองก็จะมาพร้อม
ๆ กัน คิดหาไตร่ตรองหาความแก้ความไขของตัวเอง ก็จะค่อยเป็นไป เพราะฉะนั้นสติจึงต้องหยั่งเรื่อย
ๆ

เช่นอย่างเราภาวนามีสติควบคุมอยู่ตลอด เรียกว่าเป็นความเพียรตลอด พอสติพรากไปเมื่อไรความเพียรขาดทันที
ๆ เวลาสติตั้งเรื่อย ๆ ก็มีกำลังขึ้น ๆ ปั__าก็ค่อยติดตามกันมา ๆ จนกลายเป็นสติปั__าอัตโนมัติ
คือไม่ต้องตั้ง ธรรมขั้นนี้ไม่ต้องตั้งสติมีตลอด ปั__าก็เหมือนกันเมื่อเวลาเข้าถึงขั้นธรรมอันละเอียดแล้ว
สติปั__าจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย เคลื่อนพร้อมกันเลย ๆ เพราะติดแนบด้วยกัน สติปั__าอัตโนมัติ
นี่ละท่านว่าสติปั__าฆ่ากิเลส ถ้าลงสติปั__าขั้นนี้เกิดขึ้นแล้วกิเลสมีเท่าไร ๆ เป็นพังทั้งนั้น
ๆ วัฏวนความหมุนของจิตเพื่อวัฏวนความเกิดแก่เจ็บตายนี้ จะประมวลเข้ามาหาเชื้อของมันคืออวิชชา
นี่ตัวฝังลึก ฝังให้สัตว์เกิดสัตว์ตายตลอดเวลา

คำว่าเกิดตายหมายถึงร่างนะ เข้าไปสู่ร่างนั้นร่างนี้เรียกว่าเกิด ร่างนั้นสลายเรียกว่าตาย
แต่จิตนั้นไม่ได้ตาย คือจิตมีอวิชชาเป็นเชื้อพาให้เกิดให้ตายอยู่ในจิตนี้ เข้าตรงนั้นออกตรงนี้เรื่อย
ๆ ตามจิตอันนี้ต้องตามด้วยแบบพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ใครจะเอาแบบไหนมาใช้สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีความหมาย
แบบพุทธศาสนาแล้วจะตรงเป๋งเลยเทียว เข้าถึงจุด เหมือนอย่างเราตามรอยโค เราเอาโคไปปล่อยที่ไหน
ถ้าเราไปดักตรงโน้นดักตรงนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวโคเมื่อไร ให้ติดตามรอยมันไปเช่นอย่างพวกชาวนาเขา
เขาปล่อยโคไว้ที่ไหนเขาติดตามรอยไป ตามไปแล้วก็ไปถึงตัวโค

อันนี้ตามรอยวัฏจักรวัฏจิตด้วยจิตตภาวนา คือด้วยความพากเพียรทุกด้านทุกทางเหมือนตามรอยโค
ตามเข้าไป ๆ ขั้นหยาบขั้นละเอียดจะทราบไปเป็นระยะ ๆ นี่ทางของพระพุทธเจ้าทางพ้นทุกข์
ตามไป ๆ ทีนี้จิต คำว่าจิตนั้นละเอียด ๆ หมายถึงสิ่งเกี่ยวข้องกับจิต จิตจะละเอียดเข้าไป
ๆ คือสิ่งเกี่ยวข้องกับจิตจะละเอียดเข้าไป ๆ ส่วนคำว่าจิตจริง ๆ มีรู้เท่านั้น ความสว่างนี้เป็นอาการอันหนึ่ง
ๆ ในเวลาบำเพ็_ จิตจะค่อยหนาแน่นเข้าไปมีสมาธิ หนาแน่นมั่นคงเข้าไป สติค่อยดีขึ้น ๆ
ปั__าค่อยกระจายออก ๆ มันจะเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายนอกภายในไปพร้อม ๆ กัน

เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ พอปลูกต้นไม้แล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบจะแตกออกไปจากต้นของมัน ออกจากลำต้นของมัน
กิ่งนั้นแตกไปนั้น กิ่งนี้แตกไปนี้กว้างแคบจะเกิดขึ้นจากลำต้นนี้ อันนี้ก็จะเกิดขึ้นจากจิต
ความรู้ความเห็นต่าง ๆ นี้จะแตกออก ๆ คือไม่ต้องไปศึกษากับใครแหละเบื้องต้นที่ปรากฏขึ้นมา
ทีนี้พอมันเกิดขึ้นมาแล้วได้ศึกษาละที่นี่นะ ศึกษาครูบาอาจารย์ผู้ท่านเชี่ยวชา_กว่าเรา
อันไหนผิดอันไหนถูกท่านจะแนะ ๆ เราก็ค่อยเดินตามท่านแล้วค่อยขยายออก ๆ สุดท้ายก็ค่อยเป็นตัวของตัวเอง

นี่เราหมายถึงเรื่องติดตามวัฏจิตวัฏจักรติดตามด้วยจิตตภาวนา ตามเข้าไป มันจะมีวงแคบเข้าไป
สิ่งเกี่ยวข้องของมันจะถูกตัดออก ๆ มันยั้วเยี้ยไปหมดนะ จิตดวงเดียวนี้มันรู้รอบโลกธาตุ
มันติดไปหมดเลย เวลาเข้าไปตรงนี้แล้วค่อยตัดทางโน้นทางนี้ ทางเหล่านั้นก็ค่อยหดเข้ามาย่นเข้ามา
เพราะออกจากจิตอันเดียว เมื่อจิตหดเข้ามาสิ่งเหล่านั้นก็หดเข้ามาลงไปรวมอยู่ที่จิต
ตัดออกไปเรื่อย ๆ ตัดเข้าไป สุดท้ายร่างกายที่เป็นอุปาทานยึดมั่นที่สุด ร่างกายนี่ยึดมั่นส่วนหยาบ
ยึดมั่นส่วนละเอียดก็นามธรรม พวกเวทนา สั__า สังขาร วิ__าณ นี่เป็นกิ่งของอวิชชาทั้งนั้นนะ
คือเป็นทางหากินของอวิชชา เหล่านี้เป็นทางเดินหากินของมันทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างออกกว้านหากินสร้างวัฏจักรเข้ามาหาวัฏจิต
สร้างเข้ามา

ทีนี้เวลามันรู้แล้วก็ค่อยตัดเข้ามา ๆ ตัดเข้ามาจนกระทั่งร่างกายตัดออก ๆ เวลารู้ชัดตรงไหน
ๆ มันจะถอนอุปาทานพร้อมกันไป ๆ นี่เรียกว่าตามรอยของจิตคือตามอันนี้ ตามเข้าไป สุดท้ายเมื่อกายก็ขาดไปแล้ว
เวทนา สั__า สังขาร วิ__าณ ก็ตามเข้าไปอีก ๆ จนกระทั่งถึงจิต ถึงจิตก็ถึงอวิชชา อวิชชาที่ฝังอยู่ในจิต
ที่นี่วัฏจักรวัฏจิตจะสิ้นสุดกันลงจุดนั้น เกิดแก่เจ็บตายมากี่กัปกี่กัลป์มีแต่อันนี้ทั้งนั้นแหละพาให้เป็น
เวลาตามเข้าไปไปถึงจุดมันแล้ว ทำลายจุดนั้นปั๊บ อวิชชาที่ฝังอยู่ในจิตเหมือนกับหนามยอกเท้ามันฝังอยู่ในจิต
หนามอวิชชายอกจิต ถอนปัวะออกมาแล้ว ทีนี้ขาดสะบั้นไปหมด กระจายไปหมดเลย ตัวเดียวเท่านี้ที่ทำให้โลกมืดมิดปิดตา
รู้หมดทันทีไม่ต้องไปถามใคร พอตัวนี้ถอนปึ๋งมานี้ขาดสะบั้นออกหมดไม่มีอะไรเหลือเลย
โลกธาตุนี้เหมือนไม่มีเพราะจิตไม่ไปหมาย จิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วไปหมายอะไร คิดกับอะไร

คำว่าจิตบริสุทธิ์เต็มที่นี้เป็นธรรมทั้งดวงไปแล้วนะ หมายถึงว่าธรรมทั้งดวงกับจิตทั้งดวงเป็นอันเดียวกันแล้ว
นั่นเรียกว่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ถึงจุดนี้แล้วขาดสะบั้นหมด เรื่องสมมุติทั้งมวลนี้ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้อง
เป็นอฐานะ คือให้เป็นไปอย่างไรอีกไม่ได้แล้ว จะบังคับให้ติดก็ไม่ติดเมื่อถึงขั้นของมันแล้ว
เมื่อยังไม่ถึงขั้นบังคับให้ถอนมันก็ไม่ยอมถอน มันยึดมั่นถือมั่นของมัน พอถึงขั้นของมันแล้วมันถอนของมันเอง
เมื่อถอนเต็มส่วนแล้วทีนี้จะบังคับให้ติดก็ไม่ติด เป็นหลักธรรมชาติแล้ว เรียกว่าเป็นอฐานะ
ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว

ทีนี้เวลาถึงขั้นนั้นแล้ว นั่นละท่านเรียกว่าขั้นอัศจรรย์ อัศจรรย์โลกสมมุติเรานี้เป็นอันหนึ่งนะ
ที่ว่าอัศจรรย์ของธรรมแท้จิตแท้ เรียกว่าจิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เรียกว่าธรรมธาตุก็ไม่ผิด
ท่านให้ชื่อว่านิพพาน ธรรมธาตุ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วพระพุทธเจ้าทรงให้ชื่อว่านิพพาน
จะแยกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คำว่านิพพานเป็นคำเดียวเท่านั้น อันไหนไม่เหมือน อันไหนไม่ถูก

อย่างที่ว่าไว้ มีผู้มาอ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ ว่าพระไตรปิฎกท่านแสดงไว้ว่านิพพานเป็นอนัตตา
หึย ว่าอย่างนี้เลยเรานะ อ้าวจริง ๆ มันยันกันเลยทันที มันเดินให้เห็นอยู่ชัด ๆ นี่นะ
นิพพานเป็นอนัตตาได้ยังไง นิพพานคือนิพพานเป็นอนัตตาได้ยังไง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
นี้เรียกว่าไตรลักษณ์เข้าใจไหม เราพิจารณาเพื่อพระนิพพาน ต้องเดินไปตาม อนิจฺจํ ทุกฺขํ
อนตฺตา เมื่อพิจารณาอันนี้รอบแล้วปล่อย ๆ พอถึงขั้น อนัตตา เต็มส่วนแล้วปล่อย อนัตตา
ปุ๊บถึงนิพพาน แล้ว อนัตตา ทำไมจะไปเป็นนิพพาน ถ้า อนัตตาเป็นนิพพาน นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ล่ะซีเข้าใจไหม
นี่ละว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อัตตา ก็เป็นส่วนสมมุติ อัตตา คือความยึดถือ อัตตา ตนจะไปเป็นนิพพานได้ยังไง
อัตตา ความถือตนถือตัว อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ

พระองค์แสดงไว้แล้วว่า สุ_ฺ_โต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต แล้วก็ อตฺตานุทิฏฺฐึ
อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ คือ ดูก่อนโมฆราช
เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตาฟังซิ
ถอนอัตตานุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิก็เป็นทางเดิน ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พ_ามัจจุราชจะติดตามเธอไม่ทันอีกแล้ว
นั่นท่านให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ แล้วยังทำไม อัตตา จะมาเป็นนิพพานเสียเอง เอาพิจารณาซิ
ยันกันอย่างนั้นซิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เป็นทางเดินเพื่อก้าวสู่พระนิพพาน อัตตาความยึดมั่นถือมั่น
ก็ต้องพิจารณาอัตตานี้เพื่อให้ผ่านอัตตานี้ไปได้แล้วจึงไปเป็นพระนิพพานได้ เหตุใดพระนิพพานจึงจะมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเสียเอง
เอาพิจารณาซิ

อย่าเอาหนอนแทะกระดาษมาอวดนะ ให้เอาภาคปฏิบัติจับกันทันทีไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า
นี้จริง ๆ นะ เราพูดอย่างนี้มันคึกคัก มันหากเป็นของมันนี่นะ ก็มันจัง ๆ อยู่นั่นเห็นประจักษ์
ทูลถามพระพุทธเจ้าทำไมว่างั้นเลย ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน
ถามกันหาอะไร นี่ละคำว่านิพพานต้องเป็นนิพพานเท่านั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จะเอาอัตตา
อนัตตา เข้าไปใส่ อย่าเอามูตรเอาคูถไปโปะพระนิพพานว่างั้นเลย นิพพานคือนิพพานเลิศเลอสุดยอดแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงบั__ัติเอง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แสดงไว้แล้ว นี่มีในพระไตรปิฎก แล้วพระไตรปิฎกไหนจะมาว่านิพพานเป็นอนัตตาได้อีก
เอาอย่างนี้ซิ

มี พระเจ้าฟ้าเจ้าคุณท่านมาพูดถึงเรื่องว่า ในพระไตรปิฎกท่านว่านิพพานเป็นอนัตตา ชึ่ย
ว่างี้เลยเรา ดีไม่ดีมันส่อให้เห็นผู้ไปจดจารึกพระไตรปิฎกมาเป็นคนประเภทใดอีกด้วยนะ
ถ้าเป็นคนประเภทพระพุทธเจ้าพระอรหันต์แล้วจะว่านิพพานเป็นอนัตตาไม่ได้เป็นอันขาด นอกจากพวกคลังกิเลสมันเข้าไปจดจารึก
ได้คำบอกเล่าอะไรมาก็มาว่าผิด ๆ ถูก ๆ ไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงส่อให้เห็นว่าผู้ไปจดพระไตรปิฎกมานี้เป็นคนประเภทใด
มันบอกด้วยนะ อ่านไปในพระไตรปิฎกบอกไปในตัวเสร็จ ว่าผู้จดจารึกพระไตรปิฎกเป็นคนประเภทใด
ถ้าเป็นคนประเภทเป็นพระอรหันต์จดจารึกมาแล้ว จะมีเน้นมีหนัก นี่เรียบ ๆ ไป พูดไปที่ไหนส่งเสริมแต่กิเลสเรื่อยไป
ตีกิเลสไม่มีนี่บอกแล้ว ความจริงมีนี่

เหมือนเราถากไม้นี่สมมุติว่าต้นเสานี่นะ ต้นเสาตรงนี้มันเรียบ ๆ ตรงไป เขาก็ถากเสมอ
ๆ พอไปถึงจุดคดจุดงอเขาจะถากหนักมือ คดงอที่ไหนจะต้องถากอย่างหนักมือเพื่อให้ราบเสมอกัน
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านจดจารึกตามหลักความจริง หลักความจริงมีชื่อนี่นะ
พอไปเจอหลักความจริงก็เน้นหนักลงไปจุดนั้น ๆ พอเรียบ ๆ ถึงจุดไหนที่เป็นบทหนักที่ควรจะเน้นหนัก
ก็ต้องเน้นหนัก ๆ นั่นเรียกว่าหลักความจริง อันนี้มีแต่เรียบ ๆ ไปพูดที่ไหนยกมือไหว้กิเลสไปเรื่อย
ๆ จดจารึกไปที่ไหนไหว้กิเลสไปเรื่อย ๆ มันอดคิดไม่ได้นะ เรายกให้หลักให_่ที่นำมาเป็นแบบเป็นฉบับของพวกเราชาวพุทธนี้นะ
เราไม่ได้ปฏิเสธไปหมดนะ ไอ้กิ่งก้านสาขาไปนั่นซิ ไปเอากิ่งไหนมาทับกับกิ่งไหนผสมกับกิ่งไหนก็ไม่รู้
สุดท้ายก็ยกยอกิเลส

ยกยอมันเท่าไร โคตรพ่อโคตรแม่ของกิเลสมันไม่เคยทำประโยชน์ให้แก่ใคร มีแต่เอาไฟมาเผาโลก
จะไปยกยอมันหาอะไร ธรรมต่างหากเป็นเครื่องเชิดชูสัตวโลก ควรจะยกยอธรรม เหยียบกิเลสลงไปมันถึงจะถูกว่างั้น
พูดต้องขออภัยนะ นี่ละเรียกว่าพูดตามหลักความจริงต้องพูดอย่างนั้น ให้ตรงไปตรงมา เรื่องกิเลส
โอ๋ย ไม่ได้นะ ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไพเราะเพราะพริ้งนิ่มนวลอ่อนหวาน แต่ความโกหกอยู่ในนั้นหมดเลย
ธรรมะนี้ไม่ ตรงไปตรงมา ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ดีว่าดี ชั่วว่าชั่วไปเลย จึงเรียกว่าภาษาของธรรมเป็นภาษาที่สะอาดมากที่สุด
ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยม ตรงไปตรงมา ภาษาของกิเลสเป็นภาษาที่สกปรกมากที่สุดเลย ต่างกันอย่างนี้นะ

นี่เราพูดถึงเรื่อง อัตตา อนัตตา ก่อนจะถึงพระนิพพาน ถึงธรรมชาติที่ให้ชื่อว่านิพพานนั้นต้องผ่านไตรลักษณ์ไปเสียก่อน
ไม่ผ่านไตรลักษณ์ไปจะถึงความบริสุทธิ์ไม่ได้ จะถึงนิพพานไม่ได้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
เรียกว่าไตรลักษณ์ พิจารณา ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อะไรก็ตาม ๓ ประเภทนี้จนพอแล้วมันปล่อยของมัน
ถ้าไม่พออันนี้ยังไม่ปล่อย ยังต้องพิจารณา อัตตา อนัตตา เหล่านี้อยู่ในวงเดียวกันของการดำเนินเพื่อก้าว
ๆ ผ่านไป อัตตาก็เป็นตัวกิเลสอันสำคั_จึงถอนด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ถอนอันนี้อีกทีหนึ่ง
อัตตานุทิฏฐิ ความถือว่าเป็นตนเป็นตัว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เหล่านี้ ถอนอันนี้ออก แล้วจากนั้นก็
ทั้งหมดนี้เป็น อนัตตา นะ ปล่อย เมื่อถึงขั้นสุดยอดแล้วทั้งหมดเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้นนะ
เป็น อนัตตา ทั้งนั้น จิตถอนปึ๋งออกจากนี้ ถอนจากนี้แล้วเรียกว่าอะไรตรงนั้น

นั่นละพระพุทธเจ้าเลิศเลิศจากการถอนทั้งสามนี้แล้วนะ อยู่ใน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
อัตตาเหล่านี้ถอนไม่ได้ตายอยู่นั่น ถอนจากนี้แล้วจึงจะเป็นนิพพาน แล้วนิพพานอะไรถึงจะมาแอบซ่อนอยู่ในไตรลักษณ์
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อัตตา นิพพานก็ไม่มีที่พึ่งเที่ยวไปเกาะไตรลักษณ์อยู่นั้น
เป็นอิสระได้ยังไง พูดแล้วเราคันฟันนะ โอ๋ย เถียงกันตาดำตาแดงจนกลายเป็นหมากัดกัน เถียงว่านิพพานเป็นอัตตาเป็นอนัตตา
เถียงยุ่งกันไปหมดเลย คนหนึ่งยันว่านิพพานเป็นอัตตา คนหนึ่งยันว่านิพพานเป็นอนัตตา
เอ้า กัดกันไปเราว่างั้น เฉย เอ้ากัดกันไป

ถาม ได้ยินว่าพวกนักปราช_์ทางศาสนาเขาบอกว่าจะทำการสังคายนาพุทธศาสนา จะได้เขียนว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วเขาไม่ได้ปฏิบัติอันนี้น่าเป็นห่วงค่ะ คือทุกคนที่สังคายนาก็ไม่มีใครปฏิบัติเจ้าค่ะ

ตอบ อันนี้เป็นเรื่องของเขานะ เราก็เตรียมสังคายนาเรานะ ไปสังคายนากับเขาใช้ไม่ได้
เราต้องเตรียมสังคายนาเรา พระพุทธเจ้าสังคายนาพระองค์แล้วจึงตรัสสอนโลก พระอรหันต์ทั้งหลายท่านสังคายนาท่านเรียบร้อยแล้วจึงสั่งสอนโลก
ทีนี้เขาจะเอาไปกัดกันที่ไหนมันแล้วแต่เขา

ถาม ถ้าพยายามรักษาสติ สมาธิมันจะตามมาใช่ไหมเจ้าคะ

ตอบ ทำสมาธิก็สงบง่ายถ้าสติดี สติเป็นของสำคั_มาก แม้เราจะไม่เข้าบทภาวนาก็ตาม เราทำอะไร
ๆ อยู่นี้ให้มีสติประจำตัว เรียกว่ามีธรรมประจำตัว ท่านให้ชื่อว่าผู้มีสติอยู่ตลอดทุกอิริยาบถนี้เรียกว่าสัมปชั__ะ
ความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา สติจดจ่อตรงนี้ สัมปชั__ะซ่านไปหมด เรียกว่ารู้ตัวไปหมด สติรู้อยู่จำเพาะ
เช่นอย่างเรากำหนดพุทโธ รู้อยู่กับพุทโธ พอย้ายจากพุทโธมาแล้ว เราจะเคลื่อนไหวไปมาทำหน้าที่การงานอะไร
ความรู้คือสตินี้จะซ่านไปตามความเคลื่อนไหวของเรานี้ เรียกว่า สัมปชั__ะ แยกมาจากสติ
เข้าใจไหม เอาไปสังคายนานะ

เข้าใจเหรอที่พูดอัตตา อนัตตา เป็นอย่างนี้ละ นั่นละให้ฟังเอาซิ นี้ยันเลยไม่ได้มีสะทกสะท้านนะสามแดนโลกธาตุนี้
ที่เราพูดออกมานี้เราไม่ได้สะทกสะท้าน เรารู้แล้วเห็นแล้วทุกอย่างว่างั้นเลย จะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตาม
พูดไม่พูดก็ธรรมอันเดียวกันนั่นแหละที่รู้อยู่นั้นแหละ เราจะพูดออกไปไม่พูดออกไปก็ธรรมที่เรารู้อยู่นี้แหละว่างั้นเถอะ
ส่วนพูดออกไปมีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้นเอง เช่นว่าเรารู้อย่างนี้ คนที่เขาไม่เชื่อก็เป็นอกุศลแก่เขา
คนที่เชื่อก็เป็นมงคลแก่คนนั้นเท่านั้นเอง ถ้าพูดออกไปแล้วมีส่วนได้ส่วนเสีย ถ้าไม่พูดก็ไม่มีได้มีเสีย
สำหรับธรรมชาติผู้นั้นเองแล้วนะ จะพูดหรือไม่พูดท่านก็ไม่มีได้มีเสีย แต่มันมีได้มีเสียสำหรับเวลาพูดออกไป
ผู้ฟังถ้าเชื่อตามหลักความจริงแล้วก็เป็นมงคลแก่ผู้ฟัง ถ้าไม่เชื่อไม่ยอมรับนี้ก็เป็นอัปมงคลแก่ผู้นั้น
และกิเลสครอบหัวเอาเลยว่างั้นเถอะนะ กิเลสครอบเอาเลย หามขึ้นเขียงเลย

นี่เราพูดถึงเรื่องธรรมชาติแท้เป็นอย่างนั้น ท่านให้ชื่อว่านิพพาน คือให้ชื่อธรรมชาตินั้น
ธรรมชาติที่จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เรียกว่าธรรมทั้งแท่งเลย หรือเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้
ธรรมธาตุกับนิพพานไม่ขัดกัน แต่อัตตากับอนัตตานี้ โห ไม่ได้เลยนะ อัตตากับอนัตตานี้เข้าไม่ได้เลย
เหมือนกับว่าเอามูตรเอาคูถไปโปะทองคำทั้งแท่ง ใครจะยันขนาดไหนก็ยัน ยันขนาดไหนก็เหมือนกับขนมูตรขนคูถเข้าไปโปะทองคำทั้งแท่ง
กลบหมดเลยให้มีแต่มูตรแต่คูถเต็มตัว ทองคำไม่ให้เห็นเลย นี่จะไม่ให้เห็นนิพพาน เอาอัตตาเอาอนัตตาเข้าไปเป็นมูตรเป็นคูถเข้าไปโปะเอา
ๆ หมดเลย

ก็มันไม่ได้ปฏิบัติ เรียนตามคัมภีร์ใบลานเฉย ๆ เราก็เรียนมาแล้วเราถึงกล้าพูดได้ ใครจะเรียนสูงเรียนต่ำเรียนมากเรียนน้อยก็ตาม
ถ้าไม่ได้ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุ_สงสัยบุ_ เรียนนรกสงสัยนรก
เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ เรียนนิพพานสงสัยนิพพาน สุดท้ายเรียนมาเต็มหัวอกความสงสัยเต็มหัวใจ
ไม่มีอะไรยึดเป็นของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นการเรียนมากเรียนน้อยจึงถือประมาณไม่ได้นะถ้าไม่นำออกปฏิบัติ
ถ้านำออกปฏิบัติก็เหมือนตามรอยโค โคไปไหนตามเลยก็จะถึงตัวโค นี่ก็เหมือนกันภาคปฏิบัติเป็นภาคตัดสินได้เลย
ภาคอื่นตัดไม่ได้ ความจำเป็นแนวทาง

เหมือนแบบแปลนของเรา แปลนนี้จะสร้างจะทำสักเท่าไรก็ได้เต็มศาลาก็ได้ก็เป็นแปลนทั้งหมด
ไม่ได้เป็นบ้านเป็นเรือนให้ เมื่อดึงแปลนนี้ออกมา แปลนนี้ชี้แจงว่ายังไงจะทำยังไง ตึกรามบ้านช่องหรืออะไรก็ตาม
กี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ ความกว้างความแคบแปลนเขาบอกไว้เรียบร้อยแล้ว เอานี้ออกไปกางปุ๊บใส่ลงไป
แล้วก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เริ่มวางรากฐานของตึกรามบ้านช่องขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งถึงคานถึงตัวตึกสำเร็จ นี่เป็นภาคปฏิบัติ ปฏิเวธก็คือเห็นชัด ๆ อยู่นี้ เวลานี้กำลังวางรากฐานก็เห็นอยู่นี้
ขึ้นถึงไหนแล้ว ปฏิเวธคือความรู้ ความรู้ไปตามลำดับ ความรู้ผลของมันไปตามลำดับ ก็เห็นไปเรื่อย
ๆ เห็นจนกระทั่งถึงตึกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

การศึกษาเล่าเรียนถ้าเทียบก็เหมือนกับว่าแปลนบ้าน ปฏิบัติทีนี้ดำเนินงานปลูกบ้าน ปฏิเวธก็คือว่าคอยดูผลของมันเป็นยังไง
เวลานี้ได้ถึงไหน ๆ แล้ว ปฏิเวธก็รู้ไปตามลำดับ เวลานี้เทคานแล้ว เวลานี้กำลังวางนั้น
ๆ ขึ้นไป ปฏิเวธก็รู้ไปตามลำดับจนกระทั่งถึงบ้านสำเร็จเต็มภูมิแล้วปฏิเวธก็รู้ อ๋อ
บ้านนี้เรียบร้อยแล้ว เข้าใจเหรอ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สืบเนื่องกันอยู่นี้

ศาสนาเราทุกวันนี้มีแต่ศาสนาขาดบาทขาดตาเต็ง ไม่ว่าท่านว่าเรานะ ศาสนาไม่ได้เต็มบทเต็มบาท
ศาสนาขาดบาทขาดตาเต็งเวลานี้ มีแต่ภาคปริยัติ เรียนจำได้มากน้อยเพียงไรก็เอาน้ำลายมาโปะกัน
ๆ ว่าข้าเรียนได้มากเท่านั้นเท่านี้ ได้แต่ความจำกิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก ถ้าความจริงจับเข้าไปตรงไหนกิเลสเริ่มไหวตัวนะ
จับเข้าไปมากเท่าไร ๆ กิเลสก็เริ่มร้อนละที่นี่ ร้อน ๆ แล้วไล่ขับออกได้หมดด้วยภาคปฏิบัติ
ปฏิเวธธรรม ปฏิเวธคือความรู้ ฆ่ากิเลสได้มากน้อยเพียงไรก็รู้ไปโดยลำดับ จนกระทั่งกิเลสมุดมอดหมดไม่มีเหลือทำไมจะไม่รู้
ก็ปฏิบัติเพื่อรู้แท้ ๆ

ภาคปฏิบัติเท่านั้นจะตัดสินศาสนาพุทธได้นะ เพียงภาคปริยัติตัดไม่ได้ว่างี้เลย ยันได้เลย
เพราะเรียนเราก็เรียนมาแล้ว โอ๋ย แบกความสงสัยไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราไม่ลืมนะ เพราะความมุ่งมั่นที่จะหวังมรรคผลนิพพาน
มุ่งมั่นเต็มหัวใจอยู่แล้ว แต่ยังสงสัย ฟังซิน่ะ ทั้ง ๆ ที่เรียนไปถึงนิพพานนะ แต่ยังสงสัยว่า
เอ๊ สมัยนี้มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่นา นั่นเห็นไหม
ขอให้ท่านผู้ใดมาชี้แจงให้เราทราบว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่อย่างสมบูรณ์นี้แล้ว เราจะกราบมอบชีวิตจิตใจกับครูบาอาจารย์องค์นั้น
แล้วเราจะปฏิบัติให้ถึงขีดถึงแดนให้ถึงมรรคผลนิพพานนั้น แบบเอาตายสู้เลย

พอไปถึงหลวงปู่มั่น ท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว หือ ท่านเอาเลยนะ เพราะท่านเอาเรดาร์จับไว้แล้วนี่นะ
หือ ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ อะไรเป็นมรรคผลนิพพาน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ
ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่าง ๆ ทั่วสามแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน
ไม่ใช่กิเลส ตัวกิเลสจริง ๆ ตัวมรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้ปฏิบัติใจ เอาละที่นี่ชี้เข้ามาหาใจ
อยู่ที่นี่นะ มรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่ ธรรมอยู่ที่นี่ ไม่อยู่ที่เหล่านั้น ให้ปฏิบัติใจให้เกิดความสงบร่มเย็นเข้าไปโดยลำดับนะ
เอาใจเท่านั้นนะ

แต่นั้นก็มีข้อแม้อันหนึ่งว่า เออ นี่ท่านมหาก็เรียนมามากพอสมควรจนถึงขั้นเป็นมหา อย่าว่าผมตำหนิติเตียนธรรมพระพุทธเจ้านะ
ธรรมที่ท่านเรียนมามากน้อยเวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์ ขอให้ท่านยกบูชาไว้ก่อน ให้ท่านเน้นหนักทางภาคปฏิบัติให้มาก
เมื่อเวลาถึงขั้นปริยัติที่ท่านเรียนมากับปฏิบัติจะวิ่งเข้าหากันแล้วเอาไว้ไม่อยู่
จะวิ่งประสานกัน เอาไว้ไม่อยู่ โอ๋ย มันเป็นจริง ๆ นะ พอถึงขั้นสติปั__าเกรียงไกรแล้ว
ปริยัติกับปฏิบัตินี้วิ่งใส่กันเลย เอาไว้ไม่อยู่เหมือนกันนะ มันหากเป็นของมันเอง ดีดใส่กันพับ
เอาปริยัติมาอ้างมาอิง ทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ภาคปริยัติเป็นยังไง มันจะวิ่ง สงสัยตรงจุดไหน
ๆ ปริยัติท่านว่ายังไง มันวิ่งเข้ามาใส่กันผึง ๆ เลย นี่พ่อแม่ครูจารย์ชี้ให้เห็น

จึงว่าเรียนมากเรียนน้อยไม่พ้นความสงสัยนะ ใครอย่าเข้าใจว่าใครเรียนมากเรียนน้อยนั้นจะเป็นหลักเป็นเกณฑ์นะ
ไม่ได้เป็น ว่างี้เลย เราก็เรียนมาแล้วนี่ ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ถ้าธรรมดาเรื่องที่ยึดที่เกาะนี้ผู้เรียนมากเรียนน้อยมันพอ
ๆ กัน ดีไม่ดีผู้เรียนมากนี่ทิฐิมานะยิ่งสูงจรดฟ้า หนายิ่งกว่าคนไม่ได้เรียนเสียอีกถ้าไม่ได้ปฏิบัติ
แต่ถ้าปฏิบัตินี้จะถอนตัวออกเรื่อย ๆ กระจายออก ๆ เรื่อย จนกระทั่งถึงว่าเด็ดเลยว่างั้นเถอะนะ
ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ธรรมอันใดที่ทรงสอนไว้แล้วสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง พอเราเจอเข้าไปพับยอมรับทันที
ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว กราบพระพุทธเจ้านะ แต่เรายังไม่เห็นก็เป็นปั_หาอยู่

พอเราเจอเข้าจุดไหน ๆ เท่านั้น อ๋อ ๆ เรื่อย ๆ นั่นภาคปฏิบัติเป็นที่แน่ใจ ปริยัตินี่ไม่ได้
นอกจากเป็นหนอนแทะกระดาษ เขาก็เรียนเราก็เรียน เรียนไปเรียนมาเลยเอาความจำนั้นมาเป็นมรรคผลนิพพานเสีย
ไม่ได้เอาความจริงเป็นมรรคผลนิพพานล่ะซี ศาสนาจึงขาดบาทขาดตาเต็งเวลานี้ ศาสนาไม่ได้เต็มบาทเต็มเต็งนะ
ได้แต่ปริยัติมาโม้กันภาคปฏิบัติไม่เคยสนใจ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ ปฏิบัติให้มันรู้ตามนั้นซี
นี่เรียกว่าเริ่มจะเต็มละนะ พอปฏิบัติเข้าไปปฏิเวธก็จะมาตาม ๆ กัน ก็เป็นศาสนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถ้าศาสนามีทั้งปริยัติมีทั้งปฏิบัติแล้วปฏิเวธไม่ต้องถาม มาด้วยกัน แล้วก็เต็มบาท อันนี้มีแต่ภาคปริยัติ
เรียนจำได้เฉย ๆ กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกจากความเรียนนะ ต้องถลอกปอกเปิกหรือขาดสะบั้นไปจากการปฏิบัติต่างหาก

เอาละนะที่นี่นะ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:12:30

ความคิดเห็นที่ 1

นิพพาน คือนิพพานครับ ไม่ใช่ทั้งอัตตา และ อนัตตา ซึ่งส่วนใหญ่คนเราจะเข้าใจกันผิดว่า นิพพานเป็นอนัตตา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะนิพพานก็คือ นิพพาน ไม่ใช่ไตรลักษณ์ ซึ่งจริงๆแล้วนิพพานเป็นสภาวะที่อยู่เหนือธรรมทั้งปวง จึงไม่ใช่อนัตตาแน่นอนครับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:15:31

ความคิดเห็นที่ 2

นิพพาน ไม่ใช่อนัตตา แสดงว่า

"นิพพาน เป็นตัวเรา ของเรา"

จากคุณ : Serene_Angelic

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:49:40

ความคิดเห็นที่ 3

"เนื้อความ" นิพพานเป็นอนัตตา โดยพระศาสดา

นิพพานเป็นอนัตตา โดยพระพุทธพจน์

กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา

[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตภาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินย่อมไม่ทรงสำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะธาตุดินนั้นพระตถาคตกำหนดรู้แล้ว.

ย่อมทรงรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ...อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญาตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็น
อันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญพระนิพพานว่าของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่าเพราะพระนิพพานนั้นพระตถาคตทรงกำหนดรู้แล้ว.

กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มูลปริยายวรรค
๑. มูลปริยายสูตร
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=110&Z=237&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1

จากคุณ : Serene_Angelic

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:54:33

ความคิดเห็นที่ 4

หลวงตาท่านบอกไว้ชัดเจนครับว่า "ไม่่ใช่ อัตตาและอนัตตา"

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:55:37

ความคิดเห็นที่ 5

ไม่เป็นของเรา กับ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความหมายต่างกันนะครับ คำว่า"ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน" นั้นเป็นความหมายของ "อนัตตา" นะครับ แต่คำว่า ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ของเรา ความหมายต่างออกไปนะครับ เช่น มีกล้วยอยู่หนึ่งหวี แล้วจะบอกว่า กล้วยนั้นไม่ใช่ของเรามันถูกครับ(อาจเป็นของเพื่อน) แต่พอบอกว่า กล้วยนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือบอกว่ามันเป็น อนัตตา อันนี้บอกไม่ได้ครับ เพราะว่ากล้วยนั้นมันมีตัวตนของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็เหมือนกัน ครับ นิพพานมันมีของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:07:29

ความคิดเห็นที่ 6

ก่อนจะโต้แย้งเรื่องนี้กัน

นิยามความหมายของคำว่า อัตตา อนัตตา
ให้ตรงกันก่อนดีไหม?

ระวังจะกลายเป็นพูด "คนละเรื่องเดียวกัน"
แล้วเถียงกันไปตั้งไกลโดยไม่เข้าใจกัน

จากคุณ : ปล่อย

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:13:17

ความคิดเห็นที่ 7

เปรียบง่ายๆนะครับว่า อัตตาเป็นบวก และ อนัตตา เป็นลบ แต่นิพพานเป็น ศูนย์คือ ไม่ใช่บวกไม่ใช่ลบ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:13:47

ความคิดเห็นที่ 8

ความคิดเห็นที่ 47 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

ยิ้มๆ... และร่วมสนทนา แสดงในเชิงความเข้าใจ กันได้.

ต้องทำความเข้าใจ คำว่า "คุณลักษณะ"

เช่น ของแข็ง ของเหลว นี้เรียกว่า คุณลักษณะ

ตัวอย่าง น้ำ มีคุณลักษณะ เป็นของเหลว
ปรอท ก็มีคุณลักษณะ เป็นของเหลว

แต่ น้ำ กับ ปรอท ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หรือมีคุณสมบัติต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้่แต่องค์ประกอบภายใน.

และคำว่า "ไตรลักษณ์" ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นการกล่าวถึง คุณลักษณะ ทั้ง 3 ประการ ซึ่งเป็น คุณลักษณะ ของธรรมชาติ

(หวังว่า ท่านทั้งหลายคงพอทำความเข้าใจ ดังที่ผมเสนอด้านบนนะครับ)

ดังนั้น สังขารทั้งหลาย มีคุณลักษณะทั้ง 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พร้อม
ซึ่งก็ได้ สังขตธรรม มีคุณลักษณะทั้ง 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พร้อมเช่นเดียวกัน.

แต่มี ธรรม หรือ ธาตุ อย่างหนึ่ง ไม่มี คุณลักษณะ ของอนิจจัง ทุกขัง มีเพียง ลักษณะของ อนัตตา เพียงอย่างเดียว นั้นก็คือ นิพพาน หรือ อสังขตธรรม นั้นเอง.

หรือจะกล่าวในอีก มุมหนึ่งว่า ธรรมชาติทุกอย่าง (ทั้ง 1.สังขตธรรม และ 2.อสังขตธรรม) ต่างก็มี คุณลักษณะเหมือนกัน คือ อนัตตา.

-----------------------------------------------------------------------------
แต่ ธรรมชาติที่เป็น สังขตธรรม จะมีครบทั้ง 3 ลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมชาติที่เป็น อสังขตธรรม(นิพพาน) จะมีคุณลักษณะเดียว คือ อนัตตา.

ซึ่งแม้ สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม(นิพพาน) จะมีคุณลักษณะคือ อนัตตา แต่ สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม(นิพพาน) ไม่ใช่อย่างเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน

ดังเช่นที่ผมอุปมาอุปไมย ว่า น้ำ กับ ปรอท มีคุณลักษณะเดียวกัน คือ เป็นของเหลว แต่ น้ำ กับ ปรอท ไม่ใช่อย่างเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน

หมายเหตุ หวังว่า ท่านทั้งหลายคงทำความเข้าใจกันได้นะครับ
-----------------------------------------------------------------------------

และการที่จะเจริญจนตรัสรู้หรือบรรลุ อสังขตะธรรม(นิพพาน) จะต้องเจริญ ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เจริญ พละ 5 และ สติปัฏฐาน 4 เมื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ทำให้ โพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์ อินทรีย์ 5 ก็เจริญขึ้น เมื่อโพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมทำให้มรรค 8 สมบูรณ์

เมื่อมรรค 8 สมบูรณ์ ย่อมเกิดปัญญาญาณบรรลุธรรม ตามฐานะอริยะบุคคล ตามลำดับ

สรุป ที่เราท่านทั้งหลายสนทนากัน ก็เพื่อความเข้าใจ เจริญทั้ง สุตมยปัญญา และ จินตมยปัญญา
แต่ การจะเจริญใน ภาวานามยปัญญา นั้นต้องปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอย่างถูกต้อง จึงจะเกิดปัญญาญานบรรลุธรรมได้ ตามฐานะบุคคล.

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 10:57:58

จากคุณ : P_vicha [FriendFlock] [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 10:48:45 [แก้ไข]

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:47:49

ความคิดเห็นที่ 9

สรุปสั้นๆ เราเถียงกันด้วยเรื่องอันเป็นประโยชน์ แต่ไม่เป็นประโยชน์
ทำตนให้เนิ่นช้า เสียเวลา ใครมั่นใจทางไหนไปทางนั้นเถอะครับ
ไปให้สุดทางจะรู้เองใครผิดใครถูก

จากคุณ : เหนือฟ้าเหมันต์

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 12:40:58

ความคิดเห็นที่ 10

เรื่องนี้ ถ้ายังไม่รู้จริงแบบสันทิฏฐิโก ผมว่าควรหยุดออกความเห็นดีกว่าไหม เพราะเกิดความเห็นเราชักนำให้คนเกิดมิจฉาทิฏฐิ มันจะยุ่งนะครับ

หมายเหตุ นอกจากหลวงตาแล้วก็มีหลวงพ่อพุธที่ตอบแบบเดียวกัน ผมมีปัญญาน้อยฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าท่านกำลังบอกอะไร

จากคุณ : AnotherPractitioner

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 12:47:44

ความคิดเห็นที่ 11

ลองฟังดูครับ ผมว่าหลวงพ่อท่านตอบได้เคลียร์มาก
ปล.หากฟังแล้วไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ผมกราบขออย่างเดียว อย่าปรามาสหลวงพ่อท่านนะครับ

จากคุณ : SatoshiRenzz

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 12:55:02

ความคิดเห็นที่ 12

นิพพานมันมีของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้

จากคุณ : wutthitham
เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:07:29

--------------- หากกล่าวเช่นนี้

1. นิพพานมีอยู่อย่างนั้น ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้

ถ้าอย่างนั้นจะกล่าวดังนี้ได้หรือไม่ (เนื่องจาก ความจริงอันสูงสุด ปรมัตถ์ มี 4 คือ รูป จิต เจตสิก และนิพพาน)

2. รูป มีอยู่อย่างนั้น ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้
3. จิต มีอยู่อย่างนั้น ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้
4. เจตสิกมีอยู่อย่างนั้น ท่านจะมาบอกว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นอนัตตานั้นมันไม่ได้

ถ้ากล่าวตามข้อ 1 ได้ จะกล่าว ตามข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ได้หรือไม่ ถูกต้องหรือไม่

รอฟังความเห็นครับ

จากคุณ : วงกลม

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:06:18

ความคิดเห็นที่ 13

อนัตตา คือ ความมีในตัวตน ขันธ์ 5 อุปาทาน ไม่มีจริง เป็นเพียงสิ่งปรุง ไม่เที่ยง เป็นแค่อาการของจิต ไม่เที่ยงจึง เป็นทุกข์ จึงเป็นอนัตตา

อัตตา คือ ความรู้สึกว่าเราเป็นเรา ว่าสมมุติเป็นเรา ยึดอุปทาน ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา ยึดแล้วเป็นทุข์ จึงเรียกว่ายึดอัตตา

อนิจจัง ทุกข์ ขัง อนัตตา =คือความไม่เที่ยง ของขันธ์ 5 เป็นทุกข์ เมื่อไม่เที่ยง ก็ไม่มีอะไรจริงในขันธ์ 5 จึงเป็นอนัตตา มีแค่นี้

ทุกอย่างเป็นเรื่องของขันธ์ 5 ทุกข์ก็เพราะอุปทานขันธ์ 5 พระพุทธเจ้าท่าน scope เท่านี้เป็นหลักครับ

ดังนั้น พระนิพพาน จึงเป็นสภาวะของการไม่มีอัตตา และไม่มี อนัตตา ของขันธ์ 5 เท่านี้
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 13:38:39

จากคุณ : Karaone

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:24:23

ความคิดเห็นที่ 14

ความคิดเห็นที่ 55 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

สนทนาสรุป ให้ชัดเจนต่อ นะครับ

เมื่อท่านทั้งหลายอ่าน ในคคห.47 อย่างรอบคอบและพิจารณาดีแล้ว ผมก็สรุปให้ทราบดังนี้

ตามภาษาสมมุติที่เราใช้กันทั่วไป ดังนี้

น้ำ เป็น ของเหลว
ปรอท เป็น ของเหลว

ซึ่งเป็นการอธิบายถึง คุณลักษณะ ทั้งของ น้ำและปรอท ดังนั้น...

นิพพาน เป็น อนัตตา (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือไม่เป็นตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น)

ซึ่ง เป็นการอธิบายถึง คุณลักษณะของ นิพพาน นั้นเอง

สรุปตามพุทธพจน์
-----------------------------------------
นิพพาน เป็นธรรมอย่างยิ่ง
สัพเพธรรมา อนัตตาติ
------------------------------------------

นิพพาน เป็น อนัตตา ตามคุณลักษณะ ที่ผมได้แสดงไว้แล้วด้านบนนั้นเอง.

จากคุณ : P_vicha [FriendFlock] [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:37:45

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:39:44

ความคิดเห็นที่ 15

ผมเข้าใจแบบเดียวกับ คห.8 คุณพีอันเดอร์สกอร์วิชา ครับ
แต่ผมไม่รู้คำตอบแท้จริงหรอกครับ

มันเหมือน เอเลี่ยน ขับยานอวกาศ มาแวะโฉบๆ โลกมนุษย์
จากนั้น เอเลี่ยน ก็ลดความเร็วยานเหลือ 80 km/hr จากนั้นก็หมุนกระจกลง
"แล้วตะโกนบอกนกแถวชั้นบรรยากาศว่าอวกาศเป็นอย่างนี้ๆๆๆ นะ"

จากนั้นไม่นาน วันดีคืนดีนกก็บินลงมาเล่าเรื่อง อวกาก กับชั้นบรรยากาศ
ให้เต่ากระดองที่อาศัยในแถบป่าสนฟังว่า
"อวกาก และชั้นบรรยากาศ เป็นอย่างนี้ๆๆๆ นะ"

จากนั้นเต่ากระดองก็ลงไปในน้ำและไปเล่าเรื่อง อวกาก ชั้นบรรยายกาก กับป่าสน
ให้ปลากระดี่ฟังว่า อวกาก ชั้นบรรยายกาก และป่าสน เป็นอย่างนี้ๆๆๆ นะ
พอปลากระดี่ฟังจบก็รีบไปกระซิบบอกหอยที่มุดอยู่ในหลอดว่า
"อวกาก ชั้นบรรยายกาก และป่าสวน เป็นอย่างนี้ๆๆๆ นะ"

พอหอยหลอดตัวนั้นฟังจบ
ก็สามารถอธิบายเรื่องอวกาก ชั้นบรรยายกาก และป่าสวย ได้อย่างเป็นตุเป็นตะ
เหล่าสัตว์น้ำแถวนั้น ได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา
ต่างฟังเรื่อง "อวกาก ชั้นบรรยายกาก และป่าสวย" จากหอยหลอด
ก็วิพากวิจารย์แตกต่างกันไปต่างๆ นาๆ
บางพวกที่เห็นพ้องกับหอย ก็ต่างชื่มชมหอยอย่างมาก
และหอยก็ภูมิใจในความรู้นั้นของตัวเอง
บางพวกที่เห็นต่างก็กล่าวเหน็บแนมหอยต่างๆ นาๆ
ทำหอยหลอดน้อยตัวนั้นช้ำใจ เป็นพักๆ
เพราะตนเองศึกษาเรื่องอวกากมาเป็นอย่างดีแล้ว จากปลากระดี่

จบนิทานเรื่อง เอเลี่ยนกับหอยหลอด

ปล. เข้ามาแก้ไขนิทานครับ 55
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 14:22:19
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 14:19:18
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 13:48:03
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 13:42:51

จากคุณ : M_moshi

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 13:40:03

ความคิดเห็นที่ 16

55555

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:01:08

ความคิดเห็นที่ 17

ตอบความเห็นที่ 12 ตามตรงว่าผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าเอาความเห็นส่วนตัวคิดว่าได้

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:02:52

ความคิดเห็นที่ 18

ถ้า แปล อัตตา ว่า ยึดเอามาเป็นตัวตน ก็ จะได้ อนัตตา ว่า ไม่ยึดเอามาเป็นตัวตน
ซึ่ง น่าจะ สอดคล้อง กับ พระสูตร ที่ คห 3 ( คุณ Serene_Angelic )ยกมานะครับ

จากคุณ : a235

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:08:36

ความคิดเห็นที่ 19

ยิ้ม...

อาจจะมีบางท่านเข้าใจล่วงเลยไป ที่เสนอว่า...
-------------------------------------------
นิพพาน เป็น อนัตตา (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือไม่เป็นตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น)
-------------------------------------------

กลายเป็นว่า นิพพาน คือ สูญสิ้น ไม่มีไปเสีย.

ซึ่งความเป็นจริง นิพพาน มี (จริงๆ) และพระพุทธเจ้งทรงให้พิจารณา กำหนดรู้ ตามธรรม ดังนี้. (ตามที่มีผู้ยกพระสูตรมาให้อ่านกันแล้ว)

------------------------------------------------------------
กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใดเป็นเสขบุคคล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เมื่อ
ปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่ แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความ
เป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว อย่าสำคัญธาตุดิน อย่าสำคัญในธาตุดิน
อย่าสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน อย่าสำคัญธาตุดินว่า ของเรา อย่ายินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ
อะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกำหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ...
สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญ-
*จายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ
... วิญญาณ ที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะ
ทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน
แล้ว อย่าสำคัญพระนิพพาน อย่าสำคัญในพระนิพพาน อย่าสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน
อย่าสำคัญพระนิพพานว่า ของเรา อย่ายินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเขาควรกำหนดรู้.

กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล.

กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์
เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์
ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้
ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ไม่สำคัญในธาตุดิน ไม่สำคัญโดยความ
เป็นธาตุดิน ไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม
... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตน-
*พรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ...
อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะ-
*ต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...

ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน
แล้ว ย่อมไม่สำคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น
พระนิพพาน ย่อมไม่สำคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว.
--------------------------------------------------------

ซึ่ง นิพพาน นั้นเป็นธรรมชาติ อย่างหนึ่งจริงๆ มีอยู่จริง ซึ่งต้องปฏิบัิติธรรมตามที่พระพุทธเจ้่าตรัสสอนไว้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ จึงเกิดปัญญาญาณ บรรลุ/ตรัสรู้ได้.

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:26:38

ความคิดเห็นที่ 20

สรุปนะครับว่า ครูบาอาจารย์ที่เป็นอรหันต์แทบทุกท่านบอกว่า นิพพานไมใ่ชอนัตตาแน่นอนครับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:32:28

ความคิดเห็นที่ 21

ยิ้มๆ... ในทิฏฐิ ทั้งหลาย ที่ปักลงไปแล้ว

แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า จงเป็นผู้ สลัดคืนคลาย ทิฏฐิ ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ลำบาก.

จากคุณ : P_vicha

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 14:52:33

ความคิดเห็นที่ 22

หรือ จะบอกว่า พระไตรปิฏก ผิด หรือครับ

จากคุณ : a235

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 16:22:06

ความคิดเห็นที่ 23

อย่าเอาคำพูดบางอย่างของพระภิกษุ ไปล้มล้างพระพุทธวจนะ ไม่ว่าพระภิกษุนั้นจะเป็นใครก็ตาม ...

โดยเฉพาะครูบาอาจารย์สายพระป่า ท่านจะมีวิธีพูด บรรยายไปตามสำนวนพิเศษของท่าน เรียกว่าสำนวนธรรมะป่า หรือสำนวนชาวบ้าน ซึ่งแม้ว่าจะใช้คำบางคำเอามาจากตำราก็ตาม แต่เนื้อหาของความหมาย ท่านจะมุ่งไปอีกแนวหนึ่ง ไม่ตรงกับความหมายในตำรา ...

ไม่อาจจะอ้างเอาคำสอนของใคร ไม่ว่าจะเป็นพระรูปไหน ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตามไปลบล้างคำสอนของพระบรมศาสดาได้โดยเด็ดขาด ...

พระพุทธเจ้า คือพระบรมศาสดา ย่อมมีคำสอนที่ถูกต้อง ตรง ที่สุด ไม่อาจที่ใครจะไปอ้างใครอื่นๆมาลบล้างได้ ใครที่ทำแบบนี้ ถือว่าดูหมิ่นพระศาสดา บาปมากๆๆๆ...

ไม่ยังงั้น ใครๆก็อาจจะอ้างเอาคำของครูบาอาจารย์ของตนมาลบล้างหลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมด แบบเดียวกับพวกสำนักธรรมโกยกำลังทำอยู่ตอนนี้...
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 18:38:21

จากคุณ : โขตาน

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 18:37:19

ความคิดเห็นที่ 24

ไม่ได้ล้มล้างครับท่านแต่ผมพยายามสื่อให้เห็นว่า ความหมายในพระไตรปิฎกกับความหมายของครูบาอาจารย์นั้นน่ะมัน มีความหมายเดียวกัน แต่พูดต่างกันทีนี้คนที่มีปัญญาในระดับเบื้องต้นฟังแล้วมันก็เลยเถิดเข้าใจกันไปคนละความหมาย ไม่รู้จะอธิบายยังไง เฮ้อ...น่าเบื่อ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 18:47:25

ความคิดเห็นที่ 25

ท่านเจ้าของกระทู้ครับ

แล้วรู้ได้ไงว่าที่หลวงตาบัวพูดน่ะมันถูก

ใครรับรองเหรอครับ

หรือว่าใครที่พูดไม่เหมือนหลวงตาบัวก็จะผิด

อย่างนั้นหรือครับ

ที่สำคัญ

พูดกันยังกะนิพพานกันแล้วทั้งนั้น

เหมือนคนตาบอด เถียงกับคนตาบอดว่า
ดวงอาทิตย์สีอะไร

ไม่รู้สึกอะไรกันบ้างหรือครับ

จากคุณ : เตาฟืน

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 19:52:57

ความคิดเห็นที่ 26

นิพพานเป็นอัตตา อัตตาหิอัตตาโนนาโถ ครับ :)
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 20:14:00

จากคุณ : NotUndo

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 20:13:22

ความคิดเห็นที่ 27

มีใครนิพพานแล้วกลับมาบอกได้บ้าง

จากคุณ : RouteRaideR

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 21:01:58

ความคิดเห็นที่ 29

สงครามอาจารย์กันนั่นเอง

จากคุณ : Zadkiel

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 22:03:46

ความคิดเห็นที่ 30

เรียนจขกท คะ
ปรกติดิฉันศรัทธาหลวงตามหาบัวมาก
และเคยอ่านเล่มที่คุณนำมาโพสด้วย
แต่ตีความแตกต่างไปค่ะ
ที่หลวงตาท่านเทศน์แบบนี้ ดิฉันตีความว่า
หลวงตาเทศน์ให้คนที่เถียงกัน หยุดการใช้สมมุติในการอธิบายนิพพาน

แต่ในโลกของความเป็นจริง เราต่างก็อยู่ในการบัญญัติ การสมมุติ
การอธิบายนิพพานว่าเป็นอนัตตาก็เป็นการใช้ภาษาสมมุติ เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงค่ะ

สังขาร ล้วนเปลี่ยนแปลงไม่สามารถรักษาสภาพเดิมไว้ได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นอนิจจัง ไม่ใช่ทุกขัง นั่นคือนิพพาน
แต่สิ่งที่ไม่อนิจจัง ไม่ทุกขัง ก็ไม่สามารถนำมายึดถือว่าเป็นของเรา เป็นของตัวเราได้
นั้นคือสิ่งนั้นเป็นอนัตตา
มาจากบทสวดที่เราเราสวดมนต์กัน กระทั่งพระสายป่านำสวดมนต์ ท่านก็สวดแบบนี้ค่ะ
สัพเพสังขารา อนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตา
ธัมมาประกอบด้วยสังขารและวิสังขารคือพระนิพพาน ฟังcd หลวงปู่เทศน์หลวงปู่สุวัจน์ก็ประมาณนี้ค่ะ
ไม่แน่ใจว่าหลวงตามหาบัวเคยเทศน์เรื่องพระไตรลักษณ์โดยตรง โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับเล่มที่คุณยกมา
เล่มนั้นดิฉันแปลเอาเองว่า หลวงตาท่านเทศน์แบบนี้เพื่อให้คนหยุดเอาสมมุติมาเถียงกันค่ะ

ขออภัย ยังเป็นผู้รู้น้อย แต่ขอออกความเห็นค่ะ ถ้าผิดพลาดประการใด ต้องบอกว่าเป็นความเห็นเฉพาะตัว
ที่บังอาจแสดงความเห็น เพราะเห็นต่างออกไปจาก จขกท ค่ะ

จากคุณ : จิตรพร

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 22:52:24

ความคิดเห็นที่ 31

พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้หรือไม่ว่า
"นิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน"

พระอรหันต์ทั้งหลายในสมัยพุทธกาลเคยกล่าวไว้หรือไม่ว่า
"นิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน"

อสีติมหาสาวก พระอรหันต์ 80 ท่านที่พระพุทธเจ้ายกย่อง ได้เคยกล่าวไว้หรือไม่ว่า
"นิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน"

เท่าที่ทราบ ได้ผ่านตาอยู่บ้าง ก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก มีพระพุทธพจน์แสดงไว้ว่า
"ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา"

บัณฑิตทั้งหลายที่เชี่ยวชาญในพระธรรมวินัย เชี่ยวชาญในพระไตรปิฏก ก็ได้ยืนยันว่า
"นิพพานเป็นอนัตตา"

บางครั้งอาจาริยวาทไม่อาจอ้างอิงอาจาริยวาท
และอาจาริยวาทไม่อาจคัดค้านพระธรรมวินัย
นิพพานเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ความเห็นของครูบาอาจารย์ อาจไม่เพียงพอที่จะถือเป็นข้อสรุป

จากคุณ : ทุกวินาที

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 23:08:16

ความคิดเห็นที่ 32

นิยามคำว่าอนัตตาในอีกความหมายหนึ่งก็คือ "ไม่มีใครเป็นเจ้าของ"
อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชา

ถ้าโฟกัสที่จุดนี้ก็มองได้ว่า นิพพานก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสั่งนิพพานให้แจ้งขึ้นมาได้
ตรงกับความหมายของอนัตตา แต่อาจไม่ตรงกับสำนวนของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านโฟกัสในจุดอื่น

ท่านพูดก็ถูกอย่างสำนวนท่าน แต่ตำราว่าไว้ผมก็เชื่อว่าถูกตามตำรา
และไม่คิดว่าท่านจาบจ้วงพระธรรมวินัยแต่อย่างใด

การที่จขกท.ยกประเด็นนี้ขึ้นมา รังแต่จะให้เกิดข้อถกเถียงไม่รู้จบ ดีไม่ดีอาจลามปามกลายเป็นการปรามาสพ่อแม่ครูอาจารย์ จนเป็นบาปติดตัวโดยไ่ม่จำเป็นเลยครับ ขอให้ระวังในจุดนี้กันด้วย

จากคุณ : Up_To_You

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 23:51:51

ความคิดเห็นที่ 33

ผู้ที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน พึงไม่ควรกล่าวว่า นิพพานนั้นเป็นอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

ผู้ที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานพึ่งไม่ควรกล่าวว่า นิพพานเป็นอนัตตา หรือไม่เป็นอนัตตา หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

หรือแม้แต่ผู้ทำให้แจ้งถึงพระนิพพานแล้วก็ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ครับ

จากคุณ : x-philes

เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 23:54:52

ความคิดเห็นที่ 34

สำหรับผมแล้ว ขอวิเคราะห์แยกย่อยตามประสาคนรู้น้อยนะครับ

1 ประเด็นว่านิพพานมีหรือไม่มีนะครับ สูญไม่สูญ

นิพพาน มีแน่นอน ไม่สูญแน่นอน
พระพุทธเจ้าไม่เสียเวลามาสอนสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดมาหลายล้านๆๆๆๆอสงไขยปี ว่าบำเพ็ญภาวนาเถอะเมื่อเธอบรรลุแล้วก็จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่เพราะเธอจะสูญสลายเป็นการถาวร มันไม่เมคเซ้นส์โดยสิ้นเชิงครับ
ดังนั้นนิพพานมีแน่ๆ ไม่สูญแน่ๆ

นิพพานสูญจะบำเพ็ญไปทำไม ทุกข์บ้างสุขบ้าง ยังดีกว่าสลายตัวโดยสิ้นเชิง
จริงไหมครับ

2 นิพพานที่เป็นอัตตาหรือไม่ ในทรรศนะผมคิดว่าไม่ใช่แน่ๆ
โดยเฉพาะประเภทเป็นเมืองแก้ว กว้างยาวเท่านั้นเท่านี้
ยังๆไงๆ ผมก็ว่าไม่ใช่แน่นอน
มันไม่เมคเซ้นส์โดยสิ้นเชิง พระองค์สอนธรรมทั้งหมดเพื่อละอัตตา
แล้วเราละอัตตาเพื่อมุ่งสู่อัตตาที่ถาวรเหรอครับ? ไม่ใช่แน่ๆ

3นิพพานที่เป็นอนัตตา เพราะเป็นอสังขตธรรม
แต่ไม่อยู่ในสภาพของ อนิจจังและทุกขัง
ในทรรศนะผมคิดว่าเป็นไปได้ครับ เป็นไปได้สูงด้วย
ตามเหตุผลที่พี่วิชาและพี่มหาวิหารยกมา
ซึ่งผมยังไม่มีภูมิความรู้พอที่จะไปถกเรื่องนี้ในตอนนี้
แต่ก็พอจะมีไอเดีย เปรียบไปกับเรื่องฟิสิกส์เหมือนกัน
แต่ยกไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยพูด เพราะวันนี้ผมอยากพูดเรื่องด้านล่างครับ

***************
มีจุดผมติดใจและคาใจมากๆ อยู่ครับ ต้องบอกก่อนว่า
ผมเคยมั่นใจว่าพระไตรปิฏกเถรวาทชุดนี้เป็นชุดเดียวกับปฐมสังคายนา
โดยอาจมีการผิดเพี้ยนบ้างเล็กน้อยจากการสะกดคำ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะที่ผ่านมา พระไตรปิฏกสำหรับผมแล้วมีความเป็นเหตุเป็นผล สอดคล้อง
และยันกันในข้อธรรมในตำแหน่งต่างๆจนผมเชื่อว่าการที่จะแก้ไขโดยคนอื่นนั้น
แทบจะเป็นไปไม่ได้

แต่แล้วผมก็กลับมาคาใจกับพระไตรปิฏกชุดนี้อีกครั้ง เพราะว่า
ข้อความที่ชี้ชัดที่สุดว่านิพพานเป็นอนัตตา กลับเป็นข้อความที่น่าเชื่อถือน้อยที่สุด
ในพระไตรปิฏกชุดนี้ เท่าที่ผมอ่านพบมาครับ

"พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘
ปริวาร
ย่อหัวข้อสมุฏฐาน
[๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา."

1 มันน่าสงสัยตรงที่ท่านวินิจฉัยนี่แหละครับ
ท่านในที่นี้ ยังไงๆก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่นอน
ไม่มีเหตุผลที่พระองค์ต้องวินิจฉัย เพราะพระองค์รู้แจ้งแทงตลอด ใน 3 โลก
ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ตีความอะไรกันอีก
ท่านในที่นี้เป็นใคร ก็๋ไม่สำคัญเท่ากับ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่ๆ

2. ถ้าเราเชื่อว่าพระไตรชุดนี้ เป็นชุดเดียวกับปฐมสังคายนา
ก็ไม่น่าจะมีคำว่าท่านวินิจฉัย เพราะล้วนแล้วแต่เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาทั้งสิ้น
ไม่ควรจะต้องมาวินิจฉัยว่านิพพานเป็นอย่างไร
อีกทั้งมีพระอานนท์ซึ่งอยู่กับพระพุทธเจ้าตลอด รู้ธรรมะ 90% ที่พระองค์ได้สอนไว้
ถ้าท่านต้องวินิจฉัยอีก ก็ไม่ต้องหาว่านิพพานเป็นอย่างไรในตำแหน่งอื่นแล้วล่ะครับ

3. เป็นไปได้ว่าพระไตรชุดนี้ ถูกสอดใส้บางส่วนเข้าไปจริงๆ
ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตรงไหนตอนไหนล่ะ แต่ "วินิจฉัย" ไม่เมคเซ้นส์มากๆ

4. สำคัญมากๆ ทำไมจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา
ถึงมาถูกระบุในพระวินัย หัวข้อย่อยและ ว่าด้วยเรื่องศีลเป็นหลัก ไม่เมคเซ้นส์มากๆ
แล้วทำไมถึงไม่มีคำว่านิพานเป็นอนัตตาที่อื่นอีกโดยเฉพาะ 3 ตำแหน่งหลักคือ
-ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นธรรมที่แสดงครั้งแรก
-อนัตตลักขณสูตร ซึ่งเป็นธรรมที่ยังให้เกิดพระอรหันต์ชุดแรก
และมีเนื้อความสำคัญมากคือเรื่องขันธ์5 และพระไตรลักษณ์
-มหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นธรรมสุดท้าย ซึ่งถ้าจะมีว่านิพพานเป็นอนัตตา
ก็ควรอยู่ตรงนั้นที่สุด

ทำไมคำอธิบายตรงๆของเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาไปอยู่ในพระวินัย?
แล้วไปอยู่ในปริวารเนี่ยนะ? แล้วไปอยู่โดยไม่มีที่มาที่ไปเนี่ยนะ?

บทก่อนหน้าน้ันพูดเรื่องนมส้ม พูดเรื่องภิกษุณีต้องอาบัติเพราะยินดีเคล้าคลึงด้วยกาย
บทหลังจากน้ันพูดเรื่องภิกษุอาบัติปราชิกเพราะเสพเมถุน

มันไม่เมคเซ้นส์โดยสิ้นเชิงที่พระอสีติสาวกระดับพระมหากัสปะ
พระอุบาลี พระอานนท์ จะเอาเรื่องนี้่ไปไว้ที่นั่น
ผมเชื่อว่ายังไงๆ ต้องมีใครเพิ่มเติมเข้าไปภายหลังแน่นอน
จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ แต่มันทำให้ความน่าเชื่อถือของพระไตร
ในข้อที่ว่า นิพพานเป็นอนัตตา สำหรับผมแล้วลดหายไปมากทีเดียว

5 ความเมคเซ้นส์ของข้อสงสัยผม ยิ่งเพิ่มขึ้นหลังจากอ่าน
คำว่า"ชึ่ย" ของหลวงตาบัวนี่แหละครับ ขนาดระดับท่านยังคิดแบบเดียวกับผมเลย
ถึงจะเทียบกันไม่ได้ระหว่าปัญญาของพระอริยะ กับระดับขี้คร่อกอย่างผมก็เหอะ

เผลอๆผมว่าเรื่องนิพพานอัตตาอนัตตา อาจเถียงกันมาตั้งแต่ยุคมหาสังฆิกะแยกตัว
ฝั่งเถรวาทเองเลยจับยัดใส่ซะจะได้ ไม่ต้องมาเถียงกันอีก
ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่สบายใจมากๆกับการที่สาวกเอาอัตตาตัวเองจับธรรมะ
ยัดใส่ปากพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฏกโต้งๆแบบนี้
จะใครหรือเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ผมไม่ชอบเลยจริงๆ
จะไปใส่ในอรรกถา ก็ยังพอรับได้อยู่ เพราะเป็นสาวกตีความไม่ใช่พุทธพจน์
แต่จับยัดเยียดใส่ปากพระพุทเจ้าในพระไตรปิฏกตรงๆนี่

จะใครทำก็เหอะ ผมรับไม่ได้แฮะ

แต่ถ้ามองอีกมุมนึง ก็มองได้ว่า
ก็เพราะพระธรรมของพระพุทธเจ้าคือพระไตรปิฏก
มีความสอดคล้องกัน มีความเป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไป ไม่ขัดแย้งกันเอง
ก็เพราะพระอริยะสาวกที่ร่วมกันทำปฐมสังคายนา ได้วางระบบไว้อย่างเหมาะสม
จึงทำให้เราเห็นได้ว่า ข้อความนี้น่าจะไม่อยู่ในปฐมสังคายนา
และไม่ได้เกิดจากพุทธพจน์ครับ
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 04:32:39
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 04:22:10

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 04:05:18

ความคิดเห็นที่ 35

ไม่มี พระพุทธภาษิตใด ตรัสว่า "นิพพาน คือ นิพพาน"

พระเถระ อริยสงฆ์ ครั้ง ปฐมสังคายนา รักษา "ตามที่ตรัสไว้อย่าง ตรงไปตรงมา" -- ก็ ไม่พบว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า" -- "นิพพาน คือ นิพพาน"

เมื่อ หลักฐาน ข้างบน ปรากฎเช่นนั้น

ดังนั้น

คำว่า
นิพพานคือนิพพาน

โดย หลวงตามหาบัว

(๑)
คุณ wutthitham อาสัย อะไร (ไม่เกี่ยวกับ หลวงตามหาบัว นะครับ)

จึงเสนอว่า --- นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" และไม่ใช่อนัตตา"ครับ อย่าเอาความรู้ในตำรามาอ้างมั่วๆ ----

2 บรรทัดบน "ถามถึง เหตุผล นะครับคุณwutthitham"

ไม่ เกี่ยวข้องกับ " คำที่หลวงตามหาบัวกล่าวว่า นิพพาน คือ นิพพาน"
ไม่เกี่ยวข้องกับ การอ้างอิง "คำของหลวงตามหาบัว" ด้วย

*****************************************

อ้างอิง "พระพุทธภาษิต หรือ จาก พระโอษฐ์" ตามที่ตรัส แก่ ภิกษุทั้งหลาย เนื่องด้วย "นิพพาน" แล้ว พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา เป็นต้นว่า

(ดู คคห ต่อไป)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 06:58:53

ความคิดเห็นที่ 36

นิพพาน ตาม ที่พระบรมศาสดา ตรัสไว้ ---- สาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ พิจารณา ฯ

************************

พระสูตรนี้ ท่านพุทธทาสแปล แล้ว "เสนอว่า"
(ในวงเล็บ ผม เสนอเอง เพื่อ มุมมองฯ)

ผู้ปฏิบัติ (โพธิปักขิยธรรม ๓๗ คือเหตุ เกิด ผล คือ) เพื่อ ความดับ (สนิดแห่งกิเลสด้วย) เย็น (เพราะว่างจากกิเลสที่อัตตภาพนี้ด้วย) "เป็น" นิพพาน

ขนฺธ สํ ๑๗/๒๕-๖/ ๓๖ -๘

ภิกษุทั้งหลาย (ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ)

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ล่วงไปแล้วก็ดี
(โดยเฉพาะ วิญญาณ ที่ตรัสในคำว่า --- วิญญาัณัง โหติ ตทุปาทานัง -- "ท่านพุททธทาส แปลว่า --- วิญญาณอันตัณหาในอารมณ์ คือ รูป เป็นต้น อาสัยแล้ว วิญญาณนั้นคือ อุปาทาน ภิกษุผู้มี อุปาทาน (กิเลส) ย่อม ไม่ปรินิพพานในทิฏฐธรรม (ทันควัน ดู นิพพานธาตุ ๒ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)

ภิกษุทั้งหลาย (ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ)
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ล่วงไปแล้วก็ดี
ที่จะมาข้างหน้าก็ดี --------------- (เนื่องกับ พระอนาคามี มั๊ง)
ล้วนเป็นของไม่เที่ยง ------------ (ทนได้ยาก อนัตตา)

จักกล่าวไปใย ถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นปัจจุบันนี้เล่า ---- (วิชชา ๓ จะเนื่องกับ ขันธ์ทั้ง ๕ อันเป้นที่ตั้งแห่งกิเลส คือ อุปาทาน ทั้งฝ่าย อดีต อนาคต ปัจจุบัน ฯ)

ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ (พระโสดา -- พระสกทาคา พระอนาคา พระอรหันต์)
ผู้มีการสดับแล้ว (ดู ที่ตรัส จิตนี้ เป็นประภัสสรฯ)

เห็นอยู่อย่างนี้ (ตามที่ตรัส)

ย่อม หมดอาลัยยินดีในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ได้ล่วงไปแล้ว (ทั้ง ๓ ภพ)

ย่อมไม่นึกเพลิน เกี่ยวกับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่จะมีมา (ในฐานะ นักปฏิบัติธรรม ฯ)

แต่จัก
เป็นผู้ปฏิบัติ (ยังไม่ใช่ขั้น พระอรหันต์ขีณาสพ ตาม มูลปริยายสูตร)
เพื่อหน่าย เพื่อคลายออก

เพื่อได้ดับสนิทเสีย ซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เป็นปัจจุบันนี้ แล

^^^^
พระอรหันต์ คือ ผู้ ดับสนิทเสีย ซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง ฝ่ายอดีย อนาคต และ ปัจจุบัน

--- ตามพระสูตร นี้---
ขนฺธ สํ ๑๗/๑๐๕-๑๑๐/๑๕๘-๑๖๔

**********************************************

สรุป
พระสูตรนี้

ท่านพุทธทาส เสนอว่า "ความดับกิเลส (อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ สิ้นเชิง) เป็น นิพพาน

แล้ว สอดคล้อง กับ พระพุทธภาษิต ใด ไหม?
(ดู คคห ต่อไป)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 07:21:45

ความคิดเห็นที่ 37

พระสูตร สฬา. สํ ๑๘/ ๔๔๑ ๖๗๔

ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง ซึ่ง อสังขตะ (สิ่งที่ไม่ถูกอะไรๆ ปรุงแต่ง) แก่ พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น

ภิกษุทั้งหลาย อสังขตะ เป็น อย่างไรเล่า? (เป็น = คือ ก็ได้ มั๊ง)

ภิกษุทั้งหลาย

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด
(ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ)

ภิกษุทั้งหลาย

อันนี้ แล เราตถาคตเรียกว่า อสังขตะ

****************************************

^^^^
อสังขตะ คือ นิพพาน หรือ เป็น นิพพาน ----- ไหม?

พิจารณา พระสูตรนี้

สฬา. สํ ๑๘/๔๕๒/๗๔๑

ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง ซึ่ง นิพพาน (คือ ? หรือ เป็น ?) แก่ พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น

ภิกษุทั้งหลาย นิพพาน เป็น อย่างไรเล่า? (เป็น = คือ ก็ได้ มั๊ง)

ภิกษุทั้งหลาย

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด
(ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ)

ภิกษุทั้งหลาย

อันนี้ แล เราตถาคตเรียกว่า นิพพาน

**************************************************

หมายเหตุ ๑
(๑) ท่านพุทธทาส --แปลพระสูตร --- ว่า ความสิ้น กิเลส (ราคะ โทสะ โมหะ เนื่องกับ ความดับสนิทแห่ง อุปาทานกิเลส) --- "เป็นนิพพาน"

(๒) หลวงตามหาบัว เสนอว่า "นิพพาน คือ นิพพาน" ---ท่าน หมายความ? ----

--- นิพพาน คำแรก คือ --- ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ -- ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ---- ใช่หรือไม่? (ผมว่า ใช่แน่ๆ)

--- นิพพาน คำหลัง (ก็)คือ --- ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ -- ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ---- ใช่หรือไม่? (ผมว่า ใช่แน่ๆ)

หมายเหตุ ๒
ทีนี้
ถ้าหลวงตามหาบัว ยังไม่ละสังขาร
แล้ว "ศิษย์หลวงตามหาบัว" นำ ความข้างบนไปถามท่าน

ลองเดาว่า "หลวงตามหาบัว ท่านจะ "อย่างไร?"

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 07:33:21

ความคิดเห็นที่ 38

ถ้า เซนเถรวาท จะตอบคำถามว่า นิพพาน คือ ? หรือ นิพพาน เป็น ?

ก็จะตอบว่า

นิพพาน "ของพระพุทธเจ้า คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ" นั้น

(๑) --ไม่ใช่ --"ตัวตน (อัตตา)" ของ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา = นิพพาน เป็น อนัตตา หรือ --- นิพพาน คือ อนัตตา

(๒) --ไม่ใช่ --"ตัวตน (อัตตา)" ของ สิ่งสูงสุดใดนั้น ไม่ว่า สิ่งนั้นจะคืออะไร"ตามอวิชชาของผู้นั้น" (ดู มูลปริยานสูตรประกอบ) = นิพพาน เป็น อนัตตา หรือ --- นิพพาน คือ อนัตตา

(๓) ธรรมทั้งปวง อนัตตา ที่ตรัสนั้น ---- ทำไม ไม่ พิจารณาจาก พระสูตร ต่อไปนี้
(ดู คคห ต่อไป)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 07:39:20

ความคิดเห็นที่ 39

อิติ วุ ขุ ๒๕/๒๙๘/๒๗๐

นิพพาน คือ วิราคะธรรม

ภิกษุทั้งหลาย

สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด ---- (ใช่ ธรรมทั้งปวง ?)
"วิราคะธรรม" เราตถาคตกล่าวว่า
เป็นเลิศยอดของ สังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้น ทั้งหมด ----(ธรรมทั้งปวง ได่แก่ วิราคธรรม ที่เป็นเลิศยอดของ สังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้น ทั้งหมด ใช่หรือไม่?)

วิราคธรรม นั้น ได้แก่ (อะไร? พิจารณา ที่ตรัส)

ธรรมอันเป็นที่สร่างแห่งความเมา (จาก กิเลส ทุกๆ ชนิด ใช่หรือไม่?)
ธรรมอันเป็นที่ ขจัดความกระหาย (จาก สำนัก วิชา ทุกๆ ชนิด ใช่หรือไม่?)
ธรรมอันเป็นที่ถอนความอาลัย (ยินดี ใน ความมี ความเป็น ทุกๆ ชนิด ใช่หรือไม่?)
ธรรมอันเป็นที่ ตัด วัฏฏะ (วน) -- วนอยู่ซึ่ง ตัวกุ ของกุ ไม่ว่า ฐานะอะไร ใช่หรือไม่?
ธรรมอันเป็นที่ สิ้นตัณหา (กิเลส ใช่หรือไม่)
ธรรมเป็นที่คลายความกำหนัด (จาก ความมี ความเป็น ทุกๆ ชนิด ใช่หรือไม่?)

ธรรมอันเป็นที่ ดับกิเลส (คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ" ตาม สฬา. สํ ๑๘/๔๕๒/๗๔๑ ใช่หรือไม่

(วิราคธรรม) นี้แล คือ นิพพาน

********************************

ถ้า เซนเถรวาทฯ เสนอว่า

(๑) วิราคธรรม คือ นิพพาน ---- ขัด(ไม่สอดคล้อง)กับ ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษา พระพุทธภาษิต ไหม

(๒) นิพพาน คือ วิราคธรรม ---- ขัด(ไม่สอดคล้อง)กับ ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษา พระพุทธภาษิต ไหม

(๓) อายตนะนั้น (ตทายตนัง) คือ วิราคธรรม (คือ นิพพาน) มี อยู่ (ตามที่ตรัสฯ) ---- ขัด (ไม่สอดคล้อง) กับ ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษา พระพุทธภาษิต ไหม

**********************************

สรุป

อายตนนิพพาน ----- เป็น อนัตตา เพราะ

อายตนะนั้น --ไม่ใช่ --"ตัวตน (อัตตา)" ของ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา = นิพพาน เป็น อนัตตา หรือ --- นิพพาน คือ อนัตตา

อายตนะนั้น --ไม่ใช่ --"ตัวตน (อัตตา)" ของ สิ่งสูงสุดใดนั้น ไม่ว่า สิ่งนั้นจะคืออะไร"ตามอวิชชาของผู้นั้น" (ดู มูลปริยานสูตรประกอบ) = นิพพาน เป็น อนัตตา หรือ --- นิพพาน คือ อนัตตา
**********************************

หมายเหตุ
ถ้า เสนอว่า --- วิราคธรรม คือ วิราคธรรม ---- ทำไมไม่ = นิพพาน คือ นิพพาน ?

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 07:56:37

ความคิดเห็นที่ 40

ประเด็น
นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" และไม่ใช่อนัตตา"ครับ อย่าเอาความรู้ในตำรามาอ้างมั่วๆ

เสนอโดย ท่าน จขกท

คคห นี้ เสนอ มุมมองว่า

นิพพาน ไม่ใช่ อัตตา --- (ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม)

และ

นิพพาน ใช่ อนัตตา (ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม)
(เมื่อ อนัตตา คือ คำ ปฏิเสธ ว่า มีอัตตา)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 07:59:46

ความคิดเห็นที่ 41

คุณ cantona_z ครับ
คำว่า"ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา" เป็นสำนวนการแปลจากบาลีเป็นไทยใช่หรือไม่
ได้ลองเทียบกับพระไตรปิฏกบาลีแท้ ๆหรือยังครับ เอาหลาย ๆฉบับเลย ที่สังคายนากันในยุคหลังไล่ลงไปมีเนื้อความตรงกันเป๊ะหรือไม่

ถ้าอย่างที่คุณวิเคราะห์มาก็น่าเคลือบแคลงจริง ๆแต่ขอให้ยืนยันในอรรถและพยัญชนะให้ชัวร์ก่อนครับ
เพราเท่าที่รู้มาการแปลรูปประโยคจากบาลีเป็นไทย บางทีก็สื่อความหมายได้ไม่ตรง100%
ขึ้นอยู่กับการตีความของศาสนาจารย์ผู้แปลด้วยเหมือนกัน

จากคุณ : Up_To_You

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 09:45:32

ความคิดเห็นที่ 42

ท่าทางคุณหนูยิ้มจะใช้คำพูดผิดนะครับ คำว่าสีกาน่ะเค้าใช้หมายถึง "ภรรยา" ของพระนะครับ ถ้าเป็นโยมทั่วไปเค้าใช้ "โยม" หรือไม่ก็ "โยมผู้หญิง" ถึงจะถูก
ในความเห็นที่ 28 น่ะครับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 10:18:39

ความคิดเห็นที่ 43

โอเคเข้าเรื่องกันครับ ผมยอมรับในข้อคิดเห็นของคุณ จิตรพร และ คุณ cantona_z นะว่าอาจมีการคลาดเคลื่อนไปบ้าง อย่างเช่นที่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านได้เคยพูดไว้ว่า พระไตรปิฏกชุดปัจจุบันนี้ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ ประมาณ 3 % เห็นจะได้ เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นอย่างที่ท่าน cantona_z วิเคราะห์ และประเด็นที่คุณจิตรพรพูดก็ถูกที่ว่า ครูบาอาจารย์นั้นท่านได้บอกไว้ประมาณว่า การใช้สมมุติบัญญัติไปกำหนดให้นิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่ถูก เพราะนิพพานนั้นเป็นอยู่ในสภาพของ "ปรมัตถ์บัญญัติ" แล้วไม่สมควรและไม่สามารถที่จะนำเอา "สมมมุติบัญญัติ" มาเทียบได้การที่จะไปกำหนดเอาไว้ว่า สภาพที่เป็นสัจจะสูงสุดอย่างพระนิพพานนั้นไปเทียบกับ ถ้อยคำสมมุติอย่างคำว่า อนัตตาจึงไม่ควร และใครมีหลักฐานที่เกี่ยวกับคำพูดจากพระโอษฐ์จริงๆบ้างที่ว่า "นิพพานเป็นอนัตตา" เอาจากที่เป็นคำพูดจากพระโอษฐ์จริงๆนะครับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 10:37:35

ความคิดเห็นที่ 44

ไปเจอส่วนนี้มาครับ ไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ ผมไม่เก่งบาลี แต่อ่านๆดูน่าจะพอไปไหว
แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ในส่วนที่ผมคาใจ

ปล. คุณเซนครับ
"นิพพานคือนิพพาน" ไม่ต้องหาในพระไตรปิฏกหรอกครับ
คำกล่าวนี้พูดล้านครั้งก็ถูกล้านครั้งครับ

-----------------------------------------------------
“สังขารทั้งปวง ที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพาน และบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา
( อ้างอิง อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา. : วิ.ป. ๘/๒๕๘/๑๙๔. ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๐๐. )

อรรถกถาอธิบายว่า “คำว่า ‘ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา’ คือ ท่านวินิจฉัยแล้วว่าเป็น อนัตตา”
( อ้างอิงจาก อนตฺตา อิติ นิจฺจยาติ อนตฺตา อิติ วินิจฺฉิตา. : วิ.อ.๓/๒๕๗/๔๒๒. ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๔.)

การแปลอย่างนี้ เพราะ นิพฺพานํ เป็น นปุงสกลิงค์ ปณฺณตฺติ เป็น อิตถีลิงค์ เป็นประธานทั้ง ๒ บท นิจฺฉยา เป็นกิริยานามกิตก์ ประกอบเป็นอิตถีลิงค์เพราะอยู่ใกล้บทกว่า ปณฺณตฺติ หลักการประกอบวิภัตติวจนะ และลิงค์ของบทที่เกี่ยวข้องเป็นวิเสสนะเป็นกิริยาของบทนามนามหลายบท และต่างลิงค์กัน จะประกอบวิภัตติและลิงค์อนุวัตรตามบทนามนามที่อยู่ใกล้

เรื่องนิพพานและบัญญัติเป็นอนัตตานี้ ที่ท่านนำมากล่าวไว้คู่กัน ฎีกาได้อธิบายเหตุผลไว้ว่า
“ในคำนี้ว่า นิพฺพานญฺเจว ปญฺญตฺติ ในพระบาลีมีอธิบายว่า เพราะการบัญญัติว่า บุคคลเป็นต้นอันเป็นสมมติสัจจะ ซึ่งท่านอาศัย สังขตธรรมบัญญัติไว้ ไม่ควรที่จะกล่าวว่าประกอบด้วยลักษณะสอง คือ อนิจจลักษณะและทุกขลักษณะ

ซึ่งกำหนดเป็นวัตถุธรรมที่ประกอบด้วยความเกิดขึ้นและความพินาศไปเพราะไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ แต่ควรที่จะกล่าวว่าเป็นอนัตตา เพราะเว้นจากความเป็นอัตตาที่กำหนดโดยความเป็นผู้กระทำและเป็นผู้เสวยผลการกระทำ เพราะฉะนั้น แม้บัญญัตินี้พร้อมด้วยนิพพานซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ ท่านกล่าวว่า ‘วินิจฉัยว่าเป็น อนัตตา’ เพราะเสมอกันโดยความเป็นอสังขตะ. จริงอยู่สมมติแม้ไม่มีอยู่ก็เป็นอสังขตะ เพราะไม่ถูกปัจจัยใดๆ กระทำขึ้น”
( อ้างอิงจาก วิมติ.ฎีกา ๒/๒๕๗/๓๕๑. ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๗. )
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 11:04:46

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 11:01:26

ความคิดเห็นที่ 45

roman pali text
อันนี้มาจาก สังคายนาครั้งที่ 6 เข้าใจว่าเป็นคราวพระพุทธโฆสะ ไปชำระอรรกถาที่ลังกา
This web site is based on the Chaṭṭha Saṅgāyana CD published by the Vipassana Research Institute. Based at Dhamma Giri, Igatpuri, near Mumbai, India, the Vipassana Research Institute also publishes literature & disseminates information related to Vipassana Meditation Technique as taught by S.N.Goenka in the tradition of Sayagyi U Ba Khin.
อ้างอิง http://www.tipitaka.org/romn/

ปรากฏว่าตรงกับของเรา คือมีท่านวินิจฉัยด้วย

Samuṭṭhānasīsasaṅkhepo

Samuṭṭhānassuddānaṃ

257.
Aniccā sabbe saṅkhārā, dukkhānattā ca saṅkhatā;
Nibbānañceva paññatti, anattā iti nicchayā.

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 11:17:14

ความคิดเห็นที่ 46

งานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกลา ของชาวพุทธคือ.........นิพพานคืออะไร .........ฮิ ฮิ 5555

จากคุณ : ไม่คิดมาก

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 11:17:24

ความคิดเห็นที่ 47

แสดงว่าท่านที่วินิจฉัยในที่นี้ไม่ใช่พระพุทธองค์

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 11:20:11

ความคิดเห็นที่ 48

เทียบกับขอนไม้ที่ลอยไปตามลำน้ำไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ติดฝั่งซ้ายก็ติดฝั่งขวา บ้างก็ถูกนำ้วนอยู่ตรงกลาง

แต่นิพพานคือนิพพานนั้นจะตีความยังไงดี ถ้าไม่ติดฝั่งอัตตาก็ต้องติดฝั่งอนัตตา
พอพ้นสมมุติบัญญัติแล้ว จะลอยวนอยู่ตรงกลาง มันก็ชักยังไง ๆอยู่

พวกเรายังติดสมมุติบัญญัติ ยังต้องใช้สมมุติบัญญัติในการสื่อความหมายของนิพพานอยู่ดีครับ
และอนัตตากับนิพพานก็มีสามัญลักษณะที่ไปด้วยกันได้จากการใช้จินตามยปัญญา โดยไม่อาจเทียบสภาวะได้เหมือนกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านแจ้งตลอดสายแล้ว

พ้นจากนี้ปุถุชนกิเลสหนาอย่างเราก็ไม่รู้จะตีความยังไงแล้วล่ะครับ

จากคุณ : Up_To_You

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 11:40:55

ความคิดเห็นที่ 50

ถาม ก่อนว่า

อรหันต์ ท่าน อยู่ในแดน นิพพาน หรือ เปล่า ครับ

ถ้า อยู่ อยุ่แบบไหน
(คือ อยุ่แบบ ตอนนี้อยู่ อีกครู่ไม่อยุ่ หรือ อยุ่ตลอดเวลา)

ถ้า ไม่อยู่ เพราะยังไม่ตาย(กายยังไม่แตก)
ก็ ถามว่่า งั้นทำไม นิพพานธาตุ จึงมี 2 อย่าง

-------------------------------------------
ผม จะได้ เข้าใจความได้บ้าง ครับ

จากคุณ : a235

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 13:11:36

ความคิดเห็นที่ 51

ที่จริงผมว่าจะอ่านเฉย ๆ เพราะได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่มาโพสต์จนกว่าจะเข้าสู่ช่วงกลางเดือนตุลาคม (ขอสะสางงานที่คั่งค้างให้เสร็จ) แต่เรื่องนี้เห็นว่าควรจะต้องมาพูดอะไรบ้างซักหน่อย

ความจริงคำว่า อัตตา หรือ อนัตตา เป็นคำที่เข้าใจได้ง่ายมาก (หมายถึงเข้าใจในความหมายของคำ ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้)

อัตตา คือ สภาพความเป็นตัวตน ยืนโรง ไม่แปรผัน

อนัตตา คือ ไม่ใช่อัตตา

ความหมายมีเพียงเท่านี้

ถ้าไปแปลว่า อนัตตา = ไม่มีตัวตน มันก็จะกลายเป็นว่า มีสภาวะสองอย่าง อยู่ตรงข้ามกัน คือ มีตัวตน อย่างหนึ่ง กับ ไม่มีตัวตน อย่างหนึ่ง

ดังนั้น คำว่า อนัตตา จึงเป็นเพียงการปฏิเสธสภาวะทุกอย่างที่จะบอกว่าเป็นอัตตา แต่อนัตตาไม่ได้มีความหมายโดยเฉพาะในตัวมันเอง (การไปมัวบัญญัติความหมายของคำว่า อนัตตา ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำให้ผู้เริ่มศึกษา เข้าใจได้ยาก ดังนั้น ให้ตั้งอยู่ในความหมายเบื้องต้นว่า เป็นการปฏิเสธความเป็นอัตตา)

เมื่อบุคคลเข้าใจถึงสภาวะแห่งอนัตตลักษณะ เขาก็จะถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นว่ามีอัตตาตัวตนได้ เพราะแท้จริงอัตตานั้นก็ไม่เคยมี มันไม่มีอะไรเลย มีแต่ความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันเกิดขึ้น เมื่อสิ่งใดมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นขึ้น สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นตัวตนของมันเอง ดังนั้น จึงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่อัตตา

การทีจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่ใช่ของง่าย ดังนั้น จึงไม่เคยมีนักปรัชญาศาสนาใด ๆ ในอินเดีย เข้าใจ และรู้จัก หรือยอมรับได้เลยว่า สภาพธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น

ขอให้ยืนหลักอยู่ง่าย ๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสังขารธรรม และวิสังขารธรรม ล้วนแต่เป็นอนัตตา เพราะปราศจากอัตตา

ในเมื่อปราศจากอัตตา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม คือจะพูดว่า นิพพานเป็นอนัตตา หรือจะพูดแบบหลวงตามหาบัวว่า "นิพพานเป็นนิพพาน" ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะนิพพานก็ไม่ใช่อัตตา

เมื่อไม่ใช่อัตตา ก็ต้องเป็นอนัตตา

การบอกว่า "นิพพานไม่ใช่อัตตา" ก็เท่ากับ "นิพพานเป็นอนัตตา"

แต่นิพพานเป็นอนัตตา ก็ไม่ได้หมายความว่า นิพพานนั้นสูญเปล่า นิพพานไปก็ไม่มีอะไร คนที่ยังคิดอย่างนั้น ก็คือคนที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา หรือที่จริงก็คือ ยังติดในความเป็นอัตตาอยู่นั่นเอง

นิพพานเป็นอนัตตา ก็เพราะ นิพพาน "ไม่ใช่อัตตา"

แต่นิพพานไม่ใช่อัตตา แล้วนิพพานจะเป็นอย่างไร นิพพานก็เป็นนิพพานนั่นแหละ แต่ "นิพพานไม่ใช่อัตตา" (นิพพานเป็นอนัตตา)

จะพูดอย่างหลวงตามหาบัวก็ถูก แต่ถูกแค่ท่อนแรก คือหลวงตาท่านบอกว่า นิพพานไม่ใช่อัตตา (เมื่อไม่ใช่อัตตา ก็เท่ากับบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา)

แต่ถ้าบอกว่า นิพพานไม่ใช่อนัตตาด้วย แล้วนิพพานจะเป็นอะไร ก็ต้องเป็นอัตตาสิ

คำว่า อัตตา กับ นิพพาน จึงเป็นคนละเรื่องกัน ไม่มีทางเอามาเกี่ยวกันได้ เพราะในลัทธิศาสนาโบราณสมัยนั้น ถือกันว่า มีอะไรซักอย่างหนึ่งยืนโรงมั่นคง คือตัว อัตตา

ลัทธิศาสนาในสมัยโบราณ เชื่อว่า มนุษย์มีอัตตา ซึ่งเป็นสภาวะเที่ยงแท้ (ตามที่เขาเชื่อกันอย่างนั้น) และมีทั้งอัตตาเล็ก อัตตาใหญ่ เราจะต้องไปรวมกับอัตตาใหญ่ การไปรวมอัตตาใหญ่ เรียกว่า โมกษะ (หรือการเข้าถึงพรหม อะไรก็แล้วแต่)

เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ตรัสถึงการหลุดพ้นในพระธรรมวินัยของพระองค์ ว่านิพพาน ก็แสดงว่า ทรงปฏิเสธเรื่องอัตตา

เมื่อพระองค์ปฏิเสธเรื่องอัตตา ก็เท่ากับตรัสถึง "อนัตตา" (ปฏิเสธอัตตา) นั่นเอง

เพราะฉะนั้น นิพพาน จึงเป็นอนัตตา เพราะปฏิเสธอัตตา

Get ไหม?

ผมพยายามจะทำความเข้าใจศัพท์สำนวนของท่านหลวงตามหาบัว ว่าท่านต้องการจะกล่าวถึงนิพพาน ในลักษณะของการปฏิเสธความเป็นอัตตา แต่ที่ท่านพูดถึงว่านิพพานไม่ใช่อนัตตา อาจเป็นเพราะท่านต้องการจะระวังไม่ให้คนเข้าใจผิดว่านิพพานไม่มี (เพราะคนที่เป็นลัทธิอัตตานิยม พอมาเจอคำว่าอนัตตา ก็นึกว่าเป็นอย่างเดียวกับอุจเฉท อย่างที่นักบวชนอกศาสนาสมัยนั้นเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าผิด ๆ) เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านสำนวนพูดบางอย่าง ท่านจึงอาจจะพูดในแง่ที่เข้าใจได้มากที่สุดว่า นิพพานไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา (หมายถึงความหมายแบบพวกอุจเฉททิฏฐิเข้าใจ)

แต่ท่อนหลังที่ท่านพูดถึงเรื่องพระไตรปิฎกอะไรต่าง ๆ นั้น ผมไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เรื่องจะเป็นอย่างไรผิดถูกอย่างไรก็อยู่ที่หลวงตาและลูกศิษย์ที่ถามท่านนั่นเอง
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 15:34:09
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 15:29:29

จากคุณ : chohokun

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 15:27:34

ความคิดเห็นที่ 52

ถ้าแปลอนัตตาว่าไม่ใช่อัตตานี่จบข่าวเลยครับ นึกอะไรไม่ออกเลย เช่น
สมมติว่า อัตตา = สีดำ
อนัตตา คือ อะไรก็ได้ทุกอย่างที่ไม่ใช่สีดำเช่น
สีขาว สี.....etc หรือ อย่างอื่นก็ได้ เช่น เสื้อสีอื่น ร่มสีอื่น ไม้กอล์ฟ ลูกกอล์ฟ ส้มเขียวหวาน ก๊วยเตียวแห้ง etc. ทุกอย่างขอแค่ไม่มีสีดำ ไม่ใช่อัตตาทั้งนั้นเลย

คือแปลเท่ากับไม่แปลแหละครับ
เหมือนท่านหลวงตาบัวบอกว่านิพพานคือนิพพาน
อ่านยังไงก็ถูก
อ่านกี่รอบก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยครับ

โปรดพิจารณาครับ

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 17:01:24

ความคิดเห็นที่ 53

ปุถุชนย่อมรู้จักแต่นิพพานปลอม นิพพานที่นึกเอา เดาเอา คาดคะเนเอา

พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้นที่จะรู้จักพระนิพพานจริงๆ

เว้นจากพระอริยบุคคลแล้ว ทุกๆคนรู้จักแต่นิพพานปลอมทั้งนั้น

ไม่ต่างอะไรไปจากตาบอดคลําช้างนั่นเอง

จากคุณ : swinger (swinger)

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 17:54:42

ความคิดเห็นที่ 54

ผมขอสรุปดังนี้ครับว่า การที่ไม่สามารถบัญญัติว่า นิพพานเป็นอนัตตาได้ก็เพราะ การที่เราจะเอาสมมุติบัญญัติไปเปรียบเทียบกับปรมัตถ์บัญญัตินั้นไม่ควร เพราะสมมุติบัญญัตินั้นเป็นแค่บัญญัติในโลกที่ยังเกลือกกลั้วไปมากับกิเลสด้วยมูตรด้วยคูถกันอยู่ แต่สำหรับพระนิพพานแล้ว ผมว่าไม่มีอะไรในสมมุติบัญญัติที่จะนำไปเปรียบเทียบได้หรอกครับ ถ้าเปรียบก็เปรียบดังฟ้ากับดิน มันไม่สามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 18:33:32

ความคิดเห็นที่ 55

55
เห็นด้วยครับ ว่าเหมือนตาบอดคลำช้าง
และก็เหมือนกันทั้งโลกนี้แหละครับ ตาบอดกันถ้วนหน้า
มีคนตาสว่างรู้ว่านิพพานจริงๆเป็นยังไง ในเวลานี้นับหัวไม่น่าเกิน 10 คนมั้งครับ
ขนาดพระโสดาบัน - อนาคามี เผลอๆผมว่ายังไม่รู้เลยมั้ง
อาจได้เพียงเลียบๆเคียงๆเท่านั้น
คงมีแต่พระอรหันต์แล้วนั่นแหละถึงจะรู้ได้

แต่อย่างน้อยถึงบอดก็ขอลูบๆคลำๆ จินตนาการถึงช้างซักกระติ๊ดก็ยังดีน่า
ในเมื่อเราตั้งใจว่าจะเดินทางไปหาช้างทั้งที
ก็ขอรู้คร่าวๆซักหน่อยเหอะว่าช้างมันเป็นยังไง
มีปีก สองปีก มีขาร้อยขา พ่นไฟทางปากรึปล่าว

ถ้าบอกว่าไม่ต้องฝันหรอก ไปถึงก็รู้เอง พูดอีกก็ถูกอีกแหละครับ
และส่วนใหญ่ร้อยละ 99.99 ของคนพูดแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนคนถามแหละ
แล้วก็ไม่รู้จะตอบไงดี ก็เลยออกมุกนี้ไป 555
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 18:43:01

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 18:41:26

ความคิดเห็นที่ 56

ทำเป็นเล่นไปท่านพระอรหันต์ทุกวันนี้มีเยอะเป็นร้อยนะครับ หลวงตาท่านยืนยันเอาไว้แล้ว

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 19:19:11

ความคิดเห็นที่ 57

จริงอะ คุณwuth เป็นร้อยเลยเหรอครับ
แสดงว่าผมมองโลกแง่ร้ายสิเนี่ย 555

จากคุณ : cantona_z

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 19:32:05

ความคิดเห็นที่ 58

จริงขอรับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 20:08:55

ความคิดเห็นที่ 59

ลอง พิจารณา "แบบ broad mind" + มุมมองแบบ "สังเคราะห์" ว่า

--- ทำไม "สาวกท่านนั้น" จึง กล่าวว่า "นิพพาน คือ นิพพาน" ? ---

(๑) เป็นไปได้หรือไม่ว่า
เพราะ ผู้ที่เรียนถามท่าน ถามนิพพานธรรม ที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ (ตาม พระสูตรใดนั้น) + อ้างอิง "คำสอนวัดใดนั้น ที่ สอนว่า
---- "นิพพาน เป็นอัตตา" และหรือ
---- "นิพพาน คือ สถานที่ ที่พระอรหันต์ จะไปอยู่ที่นั่น หลังจากตายแล้ว -- คือ เหตุ

(๒) สาวกท่านนั้น จึง กล่าว ด้วย "เหตุ ปัจจัย" ที่ "น่าจะถูกฝาถูกตัว กับ ผู้ถามนั้น" ด้วย "คำว่า ------ นิพพาน คือ นิพพาน ----- "

(๓) ข้างบน น่าจะ สังเคราะห์ ได้ว่า ---- จะทำให้ ผู้ถามนั้น เกิด ความเห็นว่า นิพพาน ตามที่พระบรมศาสดาตรัสไว้นั้น --- นิพพาน ไม่ใช่ อัตตา + นิพพาน ไม่ใช่ สถานที่ ------ ตามที่ ได้ ฟังมา จาก ฯลฯ

ถ้า "สังเคราะห์" เช่นที่ลองเสนอ ข้างบน เป็นต้น

ก็ จะ นำไปสู่ ผล คือ ---- มองเห็นได้ว่า ---- ทำไมสาวกท่านนั้น จึง กล่าวว่า "นิพพาน คือ นิพพาน"

และ เมื่อ สังเคราะห์ ด้วย มีสติ ปลอดจาก "อคติ ๔" ด้วย ไม่เนื่องกับ "พระพุทธวจนะนิยม" ตามที่สามารถ ฯ

"ข้อความ" ว่า --- เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ ... ไม่เช่นนั้น ... " ... ความอันตรธานของสุตตันตะ ที่เป็นคำของตถาคตเป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้...

ก็ จะ ไม่ เข้า ข่าย "นันทิใดในขันธ์ใด นันทิคืออุปาทาน" (3 บรรทัดบน จะเนื่องกับ (๑) ยังมี จิตอนุเสติในสิ่งใด ฯ (๒) นันทิในสิ่งใด องค์รวมนั้นคือ นันทิ+สังขารขันธ์ (รวมทั้ง สังขารคือ ทิฏฐิ ฯ) = สังขารูปาทานักขันธ์ --- สัพพ สังขา สมถะโถ --- ที่ตรัส ---- น่าจะหมายถึง ขันธ์ทั้ง ๕ (ทีละขันธ์) ที่ กำลัง เป็นปรากฎการณ์ คือ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นั่นเอง (สังขารขันธ์ ที่หมายเอาแค่ คิด (เจเตติ) ดำริ (ปกัปเปติ) ก็ รวมอยู่ใน สัพพะ สังขาร ฯ)

ข้างบน
อาจเรียกว่า มองแบบ positive thinking and right attitude ก็ได้ "หรือไม่" พิจารณาเอง

หมายเหตุ
ปัญหา ที่ เนื่องกับ "ท่านผู้กล่าว" วาทะ "นิพพาน คือ นิพพาน" ก็ "น่าจะมีอยู่" คือ

(๑) ศิษย์ (ตัวจริง) ของท่านนั้น ----- นำมาอ้างอิง เพื่อ ผล ฯ
(๒) ศิษย์ (ตัวปลอม) ของท่านนั้น --ก็มีอยู่ "ในสมัยนี้ที่ เต็มไปด้วย ผู้ เฉโก" ฯ

ทั้ง 2 ข้อ เนื่องกับ มูลปริยายสูตร เสมอ
**********************************

^^^^
ท่าน จขกท ---- มี ความเห็น เป็นประการใด ไหมครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 07:51:22

ความคิดเห็นที่ 60

กำหนดตาม มูลปริยายสูตร

(๑) นิพพาน เป็น อัตตา --- โ ค ต ร มิจฉาทิฏฐิ ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม
---- ใคร ค้าน เชิญ ค้าน (อย่าลืม ทำวามเข้าใจ มูลปริยายสูตร ด้วย)

(๒) นิพพาน คือ นิพพาน --- ไม่ เป็น มิจฉาทิฏฐิ ตามที่ตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิ มี ๒ ประการ
---- ใคร ค้าน เชิญ ค้าน (อย่าลืม ทำวามเข้าใจ มูลปริยายสูตร ด้วย)

(๓) นิพพาน คือ นิพพาน -- เป็น สัมมาทิฏฐิ ตามที่ตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิ มี ๒ ประการ
---- ใคร ค้าน เชิญ ค้าน (อย่าลืม ทำวามเข้าใจ มูลปริยายสูตร ด้วย)

****************************

ข้างบน เสนอโดย "เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม" ที่ไม่ใช่ "ศิษย์ ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ ฯ

และ ไม่เนื่องกับ ที่เสนไว้ว่า

(๑) ศิษย์ (ตัวจริง) ของท่านนั้น ----- นำมาอ้างอิง เพื่อ ผล ฯ
(๒) ศิษย์ (ตัวปลอม) ของท่านนั้น -- ก็มีอยู่ "ในสมัยนี้ที่ เต็มไปด้วย ผู้ เฉโก" ฯ

กระทู้ที่ เกี่ยวเนื่องกับ กระทู้นี้
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12651440/Y12651440.html

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 07:56:45

ความคิดเห็นที่ 61

เถียงกันให้ตายก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกคับ
ปฎิบัติไปตามทางของอริยมรรคมีองค์ 8
ผมว่ามันมีคําอธิบายอยู่ในนั้นนะคับผมเชื่ออย่างนั้นคับ

จากคุณ : สิริพงศ์ (cellumax1515)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 09:11:07

ความคิดเห็นที่ 62

คคห 61

ที่ผมเสนอ คคห ข้างบนฯลฯ "เถียงกันให้ตายก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกคับ"

(๑) คุณ สิริพงศ์ (cellumax1515) -- เห็นว่า-- ผม "เถียง" กับ ? ครับ

(๒) คุณ สิริพงศ์ (cellumax1515) -- แสดง คคห "หักล้าง" คือ ไม่เห็นด้วย + อ้างอิง "หลักฐานปฐมภูมิ คือ พระพุทธภาษิตแปลไทย" กับ ที่ผมเสนอ --- ไหมครับ

(๓) ข้อ ๒ ถ้าคุณ สิริพงศ์ (cellumax1515) เสนอ ฯ
ผม จะ ไม่ ใช้คำว่า "เถียงกันให้ตายก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกคับ"

อย่าลืม ลำดับแห่ง ปัญญา ๓ ที่ได้แก่ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ---- แบบ ที่ พระปัญจวัคคีย์ ท่าน ฟัง ที่ตรัส ฯ หรือ ที่ อุปติสสะ ฟัง พระอัสสชิ ฯ

**********************************

ไม่ปฏิเสธ "ที่เสนอว่า" --ปฎิบัติไปตามทางของอริยมรรคมีองค์ 8 นะครับ

ว่าแต่ว่า

อยู่ๆ ก็ ลงมือปฏิบัติ โดย ไม่ ผ่านด่าน "สุตมยปัญญา" ได้ หรือครับ?
(ข้อนี้ ผมอ้าง มูลปริยายสูตร นะครับ)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:24:01

ความคิดเห็นที่ 63

นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" ????

*******************************************************
นิพพาน ตามที่พระบรมศาสดาตรัสไว้

สฬา. สํ ๑๘/๔๕๒/๗๔๑

ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง ซึ่ง นิพพาน (คือ ? หรือ เป็น ?) แก่ พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น

ภิกษุทั้งหลาย นิพพาน เป็น อย่างไรเล่า? (เป็น = คือ ก็ได้ มั๊ง)

ภิกษุทั้งหลาย

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ อันใด
(ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ)

ภิกษุทั้งหลาย

อันนี้ แล เราตถาคตเรียกว่า นิพพาน

******************************************************

ตรัสว่า (สมัยพุทธกาล)
------> หา อัตตา ได้ ๓ <---- (ที่) คือ

(๑) หาอัตตา (มีอัตตา) ที่ กายนี้ (ดู อัสสุตวตาสูตร)

(๒) หาอัตตา (มีอัตตา) ที่ กายที่สำเร็จจากจิต (ดู อิทธิวิธี เป็นต้น)

(๓) หาอัตตา (มีอัตตา) ที่ สัญญา (ที่เนื่องกับ สมปฤดี - ดู โปฏฐปาทสูตร)

*****************************************************

เอา ที่ตรัส ไป "แทน ที่คำว่า" ---- นิพพาน เป็น อัตตา"

--ได้ ข้อความว่า--

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) เป็น กายเนื้อ (---คืออัตตา)

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) เป็น กายทิพย์ (ที่สำเร็จจากจิต ---- คืออัตตา)

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) เป็น สัญญา (ที่เนื่องกับ สมปฤดี ---- คืออัตตา)

**************************************************

ใครว่า นิพพาน เป็น อัตตา ครับ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:32:27

ความคิดเห็นที่ 64

นิพพาน เป็น อนัตตา (ถูกต้องกว่า นิพพานเป็รน อัตตา) ?

เมื่อ คำว่า อนัตตา = คำ ปฏิเสธ ว่า ------มี อัตตา (หรือ สื่อสารว่า ไม่มีอัตตา นะ)
เมื่อ คำว่า อนัตตา = คำ ปฏิเสธ ว่า ---- No อัตตา (หรือ สื่อสารว่า ไม่มีอัตตา นะ)

********************************************************

ก็จะได้ ทิฏฐิ ว่า

(๑)
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) = ไม่มี อัตตา ที่ กายเนื้อ (--- คืออัตตา) นะ

(๒)
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) = ไม่มี อัตตา ที่ กายทิพย์ (--- คืออัตตา) นะ

(๓)
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) = ไม่มี อัตตา ที่ สัญญา (ที่เนื่องกับ สมปฤดี --- คืออัตตา) นะ

***********************************************
ใคร ค้าน คำว่า "นิพพาน เป็น อนัตตา" ข้างบน ว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ บ้าง (ตามที่ตรัส มิจฉาทิฏฐิ ๒)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:37:38

ความคิดเห็นที่ 65

นิพพาน คือ นิพพาน (คำชั้นสาวก สมัยนี้)
********************************************************
เอา นิพพานที่พระบรมศาสดาตรัส ไปแทน ตรงคำว่า นิพพาน ได้ พยัญชนะ

ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ (นิพพาน) =

หมายเหตุ

หลวงตามหาบัว กล่าวไว้ ฯ ---- ใครว่า ตามที่ หลวงตามหาบัว กล่าวนั้น เป็น มิจฉาทิฏฐิ ? ---

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:40:07

ความคิดเห็นที่ 66

นิพพาน เป็น อัตตา ได้ อย่างไร เมื่อพิจาณณา พระสูตรนี้

ขอบคุณคุณหลังไมค์ที่ อ้างอิง ให้
http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/1735/index.html

"ดูก่อนท่าน ! ธรรมที่ว่า 'ความดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่กระผมก็หาเป็นพระอรหันตขีณาสพไม่.

ดูก่อนท่าน ! เปรียบเหมือนบ่อน้ำ มีอยู่ริมหนทางอันกันดาร, ที่บ่อนั้น เชือกก็ไม่มี ครุสำหรับตักน้ำก็ไม่มี. ลำดับนั้น มีบุรุษผู้ถูกความร้อนแผดเผาแล้ว ถูกความร้อนครอบงำแล้ว อ่อนเพลียอยู่ หิวกระหายอยู่ มาถึงบ่อนั้นแล้ว ; บุรุษนั้นมองลงในบ่อนั้น เขามีความรู้สึกว่า น้ำในบ่อนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่อาจจะทำให้น้ำนั้นถูกต้องกายเขาได้, ฉันใด;

ดูก่อนท่าน ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น : ธรรมที่ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่กระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่".

สูตรที่ ๘ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๔๐/๒๖๘.

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:43:26

ความคิดเห็นที่ 67

นิพพานคือ นิพพาน = นิพพาน เป็น อนัตตา <---> สอดคล้องกับ <---> ธรรมที่ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่กระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่". (ดู มูลปริยายสูตร)

ข้างบน เสนอ แบบ เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม
ไม่ใช่ แบบ ศิษย์ของท่านที่กล่าวคำนั้น ฯ

หมายเหตุ
หลวงตามหาบัว กล่าวไว้ ฯ ---- ใครว่า ตามที่ หลวงตามหาบัว กล่าวนั้น เป็น มิจฉาทิฏฐิ ? ---

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:53:04

ความคิดเห็นที่ 68

เอางี้ท่าน ใบลานเปล่า ผมอยากเห็นถ้อยคำหรือพระวจนของ พระพุทธเจ้าท่านที่ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า นิพพานเป็นอนัตตา "น่ะ มีมั๊ย ถ้าไม่มีก็แสดงว่ามันมีการใส่ความคิดเห็นของผู้คัดลอกพระไตรปิฎกลงไป แค่นี้เองครับ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 11:16:22

ความคิดเห็นที่ 69

คุณหลังไมค์ เสนอ + อ้างอิง "ว่าด้วย นิพพาน คือ นิพพาน"

http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7-638.html

(ข้อความ "น่าจะตรงกับที่ จขกท เสนอไว้)

และ แสดง คคห ไว้ หลังไมค์ ดังนี้
*******************************************************

^^^^

จากการวิเคราะห์ มีความเห็นว่า ท่านผู้เทศน์ เริ่มเทศน์ด้วยคำเทศนาของท่านเองตั้งแต่แรก โดยยัง "มิได้มี" ผู้ "ตั้งคำถาม" ใดๆ ...

และเมื่อมีผู้ตั้งคำถาม (คำถามที่ ๒) ...

ถาม ถ้าพยายามรักษาสติ สมาธิมันจะตามมาใช่ไหมเจ้าคะ

>> เมื่อท่านตอบอรรถธิบายในส่วนประเด็นที่ถูกถามแล้ว ท่านได้อธิบายโยงไปถึงเรื่อง "นิพพาน" ... ดังนี้ ...

… นี่เราพูดถึงเรื่องธรรมชาติแท้เป็นอย่างนั้น ท่านให้ชื่อว่านิพพาน คือให้ชื่อธรรมชาตินั้น

ธรรมชาติที่จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เรียกว่าธรรมทั้งแท่งเลย หรือเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้

ธรรมธาตุกับนิพพานไม่ขัดกัน
แต่อัตตากับอนัตตานี้ โห ไม่ได้เลยนะ อัตตากับอนัตตานี้เข้าไม่ได้เลย

เหมือนกับว่าเอามูตรเอาคูถไปโปะทองคำทั้งแท่ง ใครจะยันขนาดไหนก็ยัน ยันขนาดไหนก็เหมือนกับขนมูตรขนคูถเข้าไปโปะทองคำทั้งแท่ง
กลบหมดเลยให้มีแต่มูตรแต่คูถเต็มตัว ทองคำไม่ให้เห็นเลย

นี่จะไม่ให้เห็นนิพพาน เอาอัตตาเอาอนัตตาเข้าไปเป็นมูตรเป็นคูถเข้าไปโปะเอา ๆ หมดเลย …

*********************************

จากการวิเคราะห์ มีความเห็นว่า ท่านผู้เทศน์ เริ่มเทศน์ด้วยคำเทศนาของท่านเองตั้งแต่แรก โดยยัง "มิได้มี" ผู้ "ตั้งคำถาม" ใดๆ ...

ก็ น่าจะ แปลว่า "นิพพาน - ของพระพุทธเจ้า (เนื่องกับ มูลปริยายสูตร) กับ นิพพาน ของหลวงตามหาบัว (เนื่องกับมูลปริยายสูตร)"

----- ไม่ตรงกัน เพราะ -----

(๑) ไม่มี พระพุทธภาษิตในพระไตรปิฎก "เท่าที่ผม อ่านเจอแล้ว" (ยังไม่อยู่ตามเหตุปัจจัยฯ) --- ตรัสว่า "นิพพาน คือ นิพพาน"

รวมทั้ง

(๒) ไม่มี พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ฯ --- ตรัสว่า "นิพพาน คือ เมืองแก้ว"

(๓) ไม่มี พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ฯ --- ตรัสว่า "นิพพาน คือ แหล่งแห่งที่ ที่พระอรหันต์ เมื่อตายแล้ว จพฃะไป ทีนั่น (ที่อ้าง คำที่ตรัสคำว่า อายตนะนิพพาน)

(๔) ไม่มี พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ฯ --- ตรัสว่า "นิพพาน คือ อัตตา"

(๕) ไม่มี พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ฯ --- ตรัสว่า "นิพพาน คือ อนัตตา

ฯลฯ

ดังนั้น
ที่ผมเสนอมุมมองไว้ใน ความคิดเห็นที่ 59
ก็ เป็น มุมมอง ส่วนตัวของผม ในแง่ positive thinking ชนิด มองเลยไปจาก ข้อความที่ท่านนั้น กล่าว ด้วยเหตุปัจจัยใดนั้น "ตามลิงค์" --- เป็นมุมมอง ที่ ไม่เนื่องกับ มีผู้ถาม ฯ -- แต่ อาจเนื่องกับ นิพพานแบบธัมมกาย ก็ เป็นไปได้

สรุป?
(๑) หลวงตาฯ กล่าวแน่ๆ ว่า ----- "นิพพาน คือ นิพพาน"

(๒) ข้อความตาม ๑ ไม่ ตรง กับ พระพุทธภาษิตในพระไตรปิฎก เถรวาท 45 เล่ม (แต่ จะสอดคล้อง หยั่งลงได้หรือไม่ เป็นอีก กรณีหนึ่ง)

(๓) ทั้ง ๒ ข้อ ---- คุณหลังไมค์ ก็ดี ผมก้ดี -- กำหนดที่ มูลปริยายสูตร ด้วย
หาก ต้องการ "สังเคราะห์" ว่า นิพพาน คือ ? นิพพาน เป็น ?

แน่นอน ต้อง อาสัย "พระพุทธวจนะ เป็น ประธาน" --- ว่าแต่ว่า จะ อาสัย สำนวนแปล ท่านใด -- ซึ่งก็ ต้อง เนื่องกับ

มูลปริยายสูตรด้วย มหาปเทสสี่ด้วย โคตมีสูตรด้วย และ "มีสติในสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ ตาม มูลปริยายสูตรว่า " อัตตภาพ อนัตตานี้ ยังมี อาการคือ ยังมี จิตอนุเสติในสิ่งใด หรือไม่ ฯลฯ

(ยังมีต่อ)
********************************************************

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:00:52

ความคิดเห็นที่ 70

คคห 68
อ่าน คคห 67 ดีดี ฯ ด้วย ฯลฯ
*******************************************************
(๑)
คุณ wutthitham "เป็น นักปฏิบัติธรรม แบบ ไม่สนใจ "ใบลาน (พระสูตร ในพระไตรปิฎก" ใช่หรือไม่? -- ไม่ใช่คำถาม ---

หรือว่า

(๒)
คุณ wutthitham "เป็น ชาวพุทธประเภท หัวหมอความนิยม หรือ เป็นชาวพุทธแบบนักโต้วาทีนิยม ในการ สื่อสาร ในห้องศาสนาแห่งนี้ --ไม่ใช่คำถาม --

หรือว่า
คุณ wutthitham "เป็น ------ (ตามที่เป็นอยู่) ---- ไม่ใช่คำถาม

จบความนำ
********************************

ถามกลับ (ปฏิปุจฉา) ว่า

(๑)
เมื่อ ถามว่า --- เอางี้ท่าน ใบลานเปล่า ผมอยากเห็นถ้อยคำหรือพระวจนของ พระพุทธเจ้าท่านที่ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า นิพพานเป็นอนัตตา "น่ะ มีมั๊ย ถ้าไม่มีก็แสดงว่ามันมีการใส่ความคิดเห็นของผู้คัดลอกพระไตรปิฎกลงไป แค่นี้เองครับ ----

(๒)
คุณ wutthitham ถาม "ใบลานเปล่า คือ ผู้ที่ สนใจอ่าน พิจารณา ศึกษา"พระพุทธวจนะ" ในพระไตรปิฎก"

-----ทำไม ครับ ---- ถามไปเพื่้อ?----- แล้ว ---

(๓)
คุณ wutthitham รู้ได้อย่างไรว่า "ใบลานเปล่า ใดนั้น ไม่ใช่ นักปฏิบัติ อานาปานสติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ + สอบทานกับ พระพุทธวจนะ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา ตามสำนวนแปล พระป่า ปักษ์ใต้ (สวนโมกข์)

-- ไม่ สอบทานกับ "คำกล่าว สายพระป่า อิสาน" ไม่ว่า รูปใดๆ เพราะ พระป่า ฯ ไม่ แปล พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ไว้ ---

ว่าไง คุณ wutthitham -- ตอบ ผมข้อที่ ๒ และ ๓ มั๊ย

***********************************

หมายเหตุ
(๑)
ถ้า เป็นนักปฏิบัติสายพระป่า ฯ --- จริงๆ ---- ก็ ต้อง รู้ว่า "หลวงปู่มั่นฯ"ท่านก็ อาศัยใบลาน เช่นกัน

ส่วนจะใบลาน ชั้น "จากพระโอษฐ์" หรือ ชั้น "อภิธัมมัตถสังคะ" ---- ศึกษาเอง

(๒)
ที่สำคัญ
พระป่าสายอิสาน ได้ สอบทาน ผลของการปฏิบัติธรรมของตนเอง กับ "พระพุทธภาษิต ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัยมา หรือไม่ อย่างไร? --- ข้อนี้ ยกไว้

(๓)
แต่ ใครในที่นี้ ที่ อ้างเป็นศิษย์สายพระป่า --ได้ สอบทาน ผลของการปฏิบัติธรรมของตนเอง กับ "พระพุทธภาษิต ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา ธรรม วินัยมา ---- มั๊ย ---

(คุณ wutthitham ---- เป็นศิษย์สายพระป่า ใช่หรือไม่? --เป็นคำถาม จะตอบไหม?)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:08:01

ความคิดเห็นที่ 71

ต่อ
(คุณหลังไมค์ เสนอต่อมาว่า)
**************************

... ก็มันไม่ได้ปฏิบัติ เรียนตามคัมภีร์ใบลานเฉย ๆ เราก็เรียนมาแล้วเราถึงกล้าพูดได้ ใครจะเรียนสูงเรียนต่ำเรียนมากเรียนน้อยก็ตาม

ถ้าไม่ได้ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุ_สงสัยบุ_ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ เรียนนิพพานสงสัยนิพพาน

สุดท้ายเรียนมาเต็มหัวอก ความสงสัยเต็มหัวใจ ไม่มีอะไรยึดเป็นของตัวเองได้
เพราะฉะนั้นการเรียนมากเรียนน้อยจึงถือประมาณไม่ได้นะถ้าไม่นำออกปฏิบัติ

ถ้านำออกปฏิบัติก็เหมือนตามรอยโค โคไปไหนตามเลยก็จะถึงตัวโค ….

^^^^

เมื่อสังเคราะห์ โดยปลอดจาก "อคติ ๔" แล้ว ท่านผู้เทศน์ ประสงค์จะให้ความหมายของ "นิพพาน" ตามที่ท่านได้เข้าใจ + เข้าถึง จากการปฏิบัติของท่านว่า "นิพพาน คือ นิพพาน" …

>> และ พระธรรมเทศนา ใน คคห ถัดไป ... ไม่ทราบว่าท่านเป็น "ศิษย์สาวก" หรือไม่ ? ก็มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันคือ ...

… พระบ้านพระป่าไม่มี เพราะบวชด้วยอุปัชฌาย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าประพฤติปฏิบัติจริงหรือไม่จริง ทำจริงหรือไม่จริง ได้ประโยชน์จริงหรือไม่จริง อันนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นความจริง “นิพพานคือนิพพาน” เอวัง ...

****************************************************

^^^^
วิเคราะห์ แบบ เซนเถรวาทปฐมสังคายนา + มูลปริยายสูตร

โดยเฉพาะข้อความ --- "ก็มันไม่ได้ปฏิบัติ เรียนตามคัมภีร์ใบลานเฉย ๆ" ---- + --- นิพพาน คือ นิพพาน

(๑) บุคคล ที่กล่าวฯ ---- เรียน ใบลาน แน่ ---- แต่ ใบลานชั้นไหน สอดคล้องกับ "คำที่ตรัส" คำว่า สันทัสเสตัพพะ + โอสาเรตัพพะ หรือไม่?
(ผู้จะวิเคราะห์ ต้อง มี ข้อมูล เพียงพอ + ปลอดจาก อคติ ๔ เป็นต้น)

(๒) บุคคล ที่กล่าวฯ ---- ปฏิบัติ แน่ -- แต่ปฏิบัติ แบบ "สายพระป่า" ใช่หรือไม่ ฯลฯ

(๓) บุคคล ตาม ๑ และ ๒ ---- เมื่อ เกิืด "สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ" (คำของพระศาสดา) ---- สอบทาน "วิมุตติ ญาณ ทัสนนะ สัมมา" กับ ?????
ข้อนี้ บุคคลนั้น ย่อมรู้แก่ใจ

(๔) ดังนั้น เมื่อ บุคคลนั้น (กำหนด ตามมูลปริยายสูตร) กล่าว ด้วย ภาษาน้ำนม ของท่านว่า "นิพพาน คือ นิพพาน" --- กล่าว ในฐานะอะไร ก็ตาม --- แม้น ไม่ ตรงกับ ที่ พระบรมศาสดาตรัสไว้ ---- อื่นจาก ผู้กล่าว ---- กำหนดตาม มูลปริยายสูตรด้วย + กาลามสูตรด้วย "ในฐานะ ฆราวาส" (เพราะ กาลามสูตร ตรัสแก่ ฆราวาส ไม่ได้ ตรัสแก่ ภิกษุ ฯ)

จะ วิเคราะห์ "ตัวบุคคล หรือ วาทะนั้น" ละ ----- แยกเป็นเรื่องๆ ตาม นิยามคำว่า "วิภัชชวาท + ขณิกวาทะ" -- (อย่าง มั่วร์ แบบ หัวหมอความว่า มันเรื่องเดียวกัน)

ข้อที่ ๔ ---- สำคัญหรือไม่ ---ชาวพุทธ ฆราวาส พิจารณาดีดี --- อย่าเพลิน เมามัวตกเป็น "บ๋อย" ของภิกษุรูปใดๆ (ทาสของภิกษุรูปใดนั้น) ไม่เว้น ท่านพุทธทาสภิกขุด้วย

สรุป
ผมแสดง คคหนี้ มีมุมมอง ต่างกับ ที่คุณหลังไมค์ เสนอ -- ตรงไหน อย่างไร? --- อ่านถี่ๆ ฯ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:23:15

ความคิดเห็นที่ 72

ต่อ
(คุณหลังไมค์ เสนอว่า)
********************************************

ผู้วิเคราะห์ ก็มิได้มี "นันทิใดในขันธ์ใด นันทิคืออุปาทาน" ในเรื่อง ... "ความอันตรธานของสุตตันตะ ... "

แต่เป็นเพราะ พระศาสดา และ พระอรหันต์ ต่างก็รู้ยิ่งด้วยปัญญา กำหนดรู้ "นิพพาน" ได้ตรงตาม "สภาวะ" ที่เป็นจริง ที่คือ "ธรรมทั้งปวง อนัตตา" ...

ภิกษุ ท .! ภิกษุใดเป็น พระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว
มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ;

ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่ง ซึ่ง นิพพานโดยความเป็นนิพพาน ;
ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว.

ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มญฺญติ) ;
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มญฺญติ) ;
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน (นิพฺพานโต น มญฺญติ) ;
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่านิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มญฺญติ) ;
ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่งซึ่ง นิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ).

ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว

^^^^^
ข้อความ
"ผู้วิเคราะห์ ก็มิได้มี "นันทิใดในขันธ์ใด นันทิคืออุปาทาน" ในเรื่อง ... "ความอันตรธานของสุตตันตะ ... "" ----- กำหนดให้ สอดคล้องกับ มูลปริยายสูตร --- เพื่อ -- เป็นไปตาม

มหาปรินิพพานสูตร ที่ตรัส ปัจฉิมวาจา ว่า -- เธอทั้งหลาย (ภิกษุ ไม่ใช่ ฆราวาสใช่ไหม) จงสมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ---

หมายเหตุ
มูลปริยายสูตร --- ที่ตรัส "อนัตตาใดที่ เนื่องกับ "สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท"

ในขั้น แรกสุดๆ ไม่ อาสัย "ใบลาน ชั้น จาพระโอษฐ์" หรือ?

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:26:52

ความคิดเห็นที่ 73

ต่อ
(คุณหลังไมค์ เสนอว่า)

และ ... มีความรู้สึกที่ละม้ายคล้ายคลึงกับท่านผู้ที่กล่าวว่า ....

... ลำดับนั้น มีบุรุษผู้ถูกความร้อนแผดเผาแล้ว ถูกความร้อนครอบงำแล้ว อ่อนเพลียอยู่ หิวกระหายอยู่ มาถึงบ่อนั้นแล้ว ;

บุรุษนั้นมองลงในบ่อนั้น เขามีความรู้สึกว่า น้ำในบ่อนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่อาจจะทำให้น้ำนั้นถูกต้องกายเขาได้, ฉันใด;

ข้อนี้ก็ฉันนั้น : ธรรมที่ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่กระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่".

ขอให้คำปรึกษา + วิเคราะห์แต่เพียงเท่านี้ เพราะ "ตัวจริง" ก็ย่อมเป็น "ตัวจริง" ... ส่วน "ตัวปลอม" ก็ยังคงเป็น "ตัวปลอม" อยู่วันยังค่ำ ... :)

จะเอามูตรคูถเข้าไปโปะทองคำทั้งแท่ง ได้อย่างไร...

*******************************************

^^^^
ข้อความ --- "จะเอามูตรคูถเข้าไปโปะทองคำทั้งแท่ง ได้อย่างไร... "

ขอให้ มีสติในสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ ที่ สอดคล้องกับ มูลปริยายสูตร ด้วย

เพื่อ เป็น ฆราวาส ผู้ เนื่องกับ พระพุทธภาษิต ---- "สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท"

(และแน่นอนว่า ---- ในขั้น แรกสุดๆ ต้องอาสัย "ใบลาน ชั้น จาพระโอษฐ์")

หมายเหตุ
ถ้า ไม่มี เจโตปริยญาณ (พระสารีบุตร ยังไม่มี ฯ แต่ ท่านอาสัยอะไร? ดูเอง)
เรา ก็ -- ไม่อาจรู้ได้ ตามที่เป็นจริงว่า ทองคำแท้นั้น มี สนิมทอง อยู่หรือไม่ ---

2 บรรทัดบน ก็ เนื่องกับ มูลปริยายสูตร ด้วย (และ พระสูตรอื่นๆ ด้วย ฯ)

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:34:10

ความคิดเห็นที่ 74

จบ ความ จากคุณหลังไมค์ --- คำเทศนา เรื่อง "นิพพาน คือ นิพพาน" หาเจอที่ link ด้านล่างนี้ ….
********************************************************

คคห 68

จะแสดง คคห ตามที่ คคห 68 เสนอไว้ ทีหลัง คุณ wutthitham ชี้แจงว่า

(๒)
คุณ wutthitham ถาม "ใบลานเปล่า คือ ผู้ที่ สนใจอ่าน พิจารณา ศึกษา"พระพุทธวจนะ" ในพระไตรปิฎก"

-----ทำไม ครับ ---- ถามไปเพื่้อ?----- แล้ว ---

(๓)
คุณ wutthitham รู้ได้อย่างไรว่า "ใบลานเปล่า ใดนั้น ไม่ใช่ นักปฏิบัติ อานาปานสติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ + สอบทานกับ พระพุทธวจนะ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา ตามสำนวนแปล พระป่า ปักษ์ใต้ (สวนโมกข์)

-- ไม่ สอบทานกับ "คำกล่าว สายพระป่า อิสาน" ไม่ว่า รูปใดๆ เพราะ พระป่า ฯ ไม่ แปล พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ไว้ ---

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 08:37:37

ความคิดเห็นที่ 75

เรื่องนิพพานเป็นอัตตา อนัตตา เห็นถกเถียงกันมาหลายกระทู้ หลายปีแล้ว
ยังไม่มีใครที่เถียงกันไปนิพพานซักคน
ต่อให้คนนั้น คนนี้ บอกว่าเป็นแบบนี้ แล้วเรายังไม่ถึง เชื่อได้ยังไงว่าที่เค้าพูดมาจริง
เถียงกันไปก็ไม่รู้ว่าที่แน่นอนจริงๆเป็นอย่างไร เสียเวลาไปเปล่าๆ

จากคุณ : 4ปีจบ

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 11:44:04

ความคิดเห็นที่ 76

ผมว่าท่านมหาโชติ จะร้อนตัวหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะว่าผมยังไม่ได้ระบุเลยว่า"ท่านใบลานเปล่า" หมายถึงใครและมีข้อสังเกตุอยู่ว่า หลังสมัยพุทธกาลแล้วผมไม่เห็น ผู้ที่ศึกษาจนจบ เปรียญ ๙ ประโยคจะได้เป็นอริยะบ้างเลย

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:10:23

ความคิดเห็นที่ 77

คำถาม คำตอบ แบบนี้ "เยาชนไทยสมัยนี้" รู้ไหมว่า ตอบแบบ ?

(๑)
ถาม พระพุทธเจ้าคือ ?
ตอบ พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า
(ตอบแบบนี้ เรียกว่า ตอบแบบ กำปั้นทุบดิน / แล้ว ตอบแบบกำปั้นทุบดินอะ ?)

(๒)
ถาม นิพพาน ตาม ปัญญา พระพุทธเจ้า คือ ? (ดู มูลปริยายสูตร)
ตอบ นิพพาน ตาม ปัญญา พระพุทธเจ้า คือ นิพพาน ตาม ปัญญา พระพุทธเจ้า

(ตอบแบบนี้ เรียกว่า ตอบแบบ กำปั้นทุบดิน / แล้ว ตอบแบบกำปั้นทุบดินอะ ?)

(๓)
ถาม นิพพาน ตาม ปัญญาของสาวก เช่น หลวงตาฯ
ตอบ นิพพาน คือ นิพพาน (ตาม ปัญญาของสาวก เช่น หลวงตาฯ)

(ตอบแบบนี้ แปลว่า ????)

ปัญหามี ต่อมาว่า
-- แล้ว "ใครก็ตาม ที่ อ้างอิง ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ + ไม่ใช่ใบลานเปล่านะ" --- เสนอว่า นิพพาน คือ ?

แล้ว ก็ "ยืนยัน นั่งยัน" ว่า นิพพานคือนิพพาน + อ้าง (๓)

บุคคลเช่นนี้ ไม่ว่าใคร "ในกระทู้นี้ คือ ผู้ที่เสนอ คคห 68 ----- ครั้น จน ต่อ เหตุผล + หลักฐาน ชั้น ปฐมภูมิ

ก็มักจะ "ออกทะเล" ด้วยการ เสนอว่า

ความคิดเห็นที่ 68 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

เอางี้ท่าน ใบลานเปล่า ผมอยากเห็นถ้อยคำหรือพระวจนของ พระพุทธเจ้าท่านที่ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า นิพพานเป็นอนัตตา "น่ะ มีมั๊ย ถ้าไม่มีก็แสดงว่ามันมีการใส่ความคิดเห็นของผู้คัดลอกพระไตรปิฎกลงไป แค่นี้เองครับ

จากคุณ : wutthitham [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 11:16:22 [แก้ไข]
ถูกใจ : SatoshiRenzz

แล้ว ก็ ตามด้วย

ความคิดเห็นที่ 76 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

ผมว่าท่านมหาโชติ จะร้อนตัวหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะว่าผมยังไม่ได้ระบุเลยว่า"ท่านใบลานเปล่า" หมายถึงใครและมีข้อสังเกตุอยู่ว่า หลังสมัยพุทธกาลแล้วผมไม่เห็น ผู้ที่ศึกษาจนจบ เปรียญ ๙ ประโยคจะได้เป็นอริยะบ้างเลย

จากคุณ : wutthitham [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:10:23 [แก้ไข]

จบความนำ
*****************************************************

คุณwutthitham จะตอบ ไหม
(๒)
คุณ wutthitham ถาม "ใบลานเปล่า คือ ผู้ที่ สนใจอ่าน พิจารณา ศึกษา"พระพุทธวจนะ" ในพระไตรปิฎก"

-----ทำไม ครับ ---- ถามไปเพื่้อ?----- แล้ว ---

(๓)
คุณ wutthitham รู้ได้อย่างไรว่า "ใบลานเปล่า ใดนั้น ไม่ใช่ นักปฏิบัติ อานาปานสติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ + สอบทานกับ พระพุทธวจนะ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา ตามสำนวนแปล พระป่า ปักษ์ใต้ (สวนโมกข์)

-- ไม่ สอบทานกับ "คำกล่าว สายพระป่า อิสาน" ไม่ว่า รูปใดๆ เพราะ พระป่า ฯ ไม่ แปล พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ไว้ ---

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 06:42:20

ความคิดเห็นที่ 78

คำไทยโยราณคำว่า อย่า ถ่มน้ำลาย รดฟ้า ---หมายความอย่างไร? ยกไว้

ประเด็น (หัว) กระทู้ นี้

นิพพานไม่ใช่ "อัตตา" และไม่ใช่อนัตตา"ครับ อย่าเอาความรู้ในตำรามาอ้างมั่วๆ
นิพพานคือนิพพาน

โดย หลวงตามหาบัว

ถามคุณ wutthitham "อีก ข้อว่า

คำตอบว่า นิพพาน คือ นิพพาน -- ใช่ คำตอบแบบ "กำปั้นทุบดิน" มั๊ย?

หมายเหตุ
ส่วนที่ กล่าวไว้ "ตามที่คุณหลังไมค์" ชี้ไว้
และที่คุณ wutthitham เสนอไว้ ในกระทู้ ข้อความ

**********************************
อย่างที่ว่าไว้ มีผู้มาอ้างในพระไตรปิฎกก็มีนี่นะ ว่าพระไตรปิฎกท่านแสดงไว้ว่านิพพานเป็นอนัตตา
หึย ว่าอย่างนี้เลยเรานะ อ้าวจริง ๆ มันยันกันเลยทันที มันเดินให้เห็นอยู่ชัด ๆ นี่นะ
นิพพานเป็นอนัตตาได้ยังไง นิพพานคือนิพพานเป็นอนัตตาได้ยังไง

***********************************

4 บรรทัดบน --- ไม่ใช่ คำตอบว่า นิพพาน คือ นิพพาน มั๊ง
แต่คือ การ ยืนยัน "ว่า ตนเอง --- ในฐานะใดนั้น (ดู มูลปริยาสูตร ประกอบ)
มี ทิฏฐิ อัน เนื่องกับ ปัญญา (? ดู มูลปริยายสูตร ประกอบ) แห่ง ตนเองว่า

นิพพาน ตาม ปัญญาของตน ในฐานะใดนั้น --- ถูกต้อง -- ส่วน พระพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก ตามที่ พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" รักษามา ---- ไม่ใช่ นะ ---- (ใช่หรือไม่?)

*********************

สรุป
นิพพานคือนิพพานเป็นอนัตตาได้ยังไง --- คือ คำถามของ ผู้ที่กล่าว วาทะกรรม นี้ --
พิจารณา ดังนี้ (มั๊ย นักปฏิบัติ ที่ ปฏิเสธ พระไตรปิฎกฯ)

(๑) นิพพาน คือ นิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่า นิพพาน คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ ----- คคห 37 --- สฬา. สํ ๑๘/๔๕๒/๗๔๑

ใคร จะ ตอบไหมว่า นิพพาน ตาม สฬา. สํ ๑๘/๔๕๒/๗๔๑ เป็น อนัตตา เพราะ ?

ส่วน
(๒) นิพพาน คือ นิพพาน ตามที่หลวงตาฯ เสนอไว้ว่า --- "อนัตตา ปุ๊บถึงนิพพาน" --

ใคร จะตอบไหมว่า นิพพาน ตามเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒ คือ นิพพาน -- ไม่ใช่ ตอบแบบ กำปั้นทุบดิน?

ที่สำคัญ
ทำไม พระพุทธเจ้าไม่ตรัส สอน พระปัญจวัคคีย์ ว่า -- --- "อนัตตา ปุ๊บถึงนิพพาน" --

******************************
หมายเหตุ
นิพพาน ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก ศึกษาเสีย อย่าได้ ไม่ศึกษา แล้ว เที่ยวอ้าง คำชั้นสาวก สมัยนี้ ไม่ว่า "ใครๆ"

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 06:59:31

ความคิดเห็นที่ 79

คุณหลังไมค์ เสนอว่า

.... เข้าใจไปว่า ที่ครูจะให้เป็นที่ปรึกษานั้น โยงไปยัง 2-3 กระทู้ ที่ครูกำลังแสดงความคิดเห็นอยู่เสียอีก ... เลยให้ข้อสังเกต ไปตามการวิเคราะห์อย่างที่เรียนเสนอ ก็คิดอยู่ว่า อาจกระทบกับศรัทธาของผู้อ่านบางท่านก็เป็นได้ ...

ครูบาอาจารย์ของใคร ใครก็รัก ... และยิ่งถ้าผู้ใดนั้น เกิดเข้าใจในธรรมที่ครูบาอาจารย์นั้นสอนสั่ง ก็ยิ่งรักและเคารพมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกเป็นร้อยๆ เท่า ...

แย่ ไม่น่าเข้าใจไปคนละเรื่อง ... ไม่อยากให้ท่านผู้ใดเกิด "อกุศลจิต" ขึ้นในใจเลย...

^^^^^

ตัวไม้ สอนช่างไม้ เสมอ เมื่อ ช่างไม้ อาศัย อิทธิบาท ๔ --- ที่เนื่องกับ มูลปริยายสูตร

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 07:12:29

ความคิดเห็นที่ 80

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12663726/Y12663726.html#1

เนื่องกับ คำว่า --- ทำไม พระพุทธเจ้าไม่ตรัส สอน พระปัญจวัคคีย์ ว่า --- "อนัตตา ปุ๊บถึงนิพพาน"

-- กำหนดตาม พระธรรมเทศนากัณฑ์แรกสุดๆ --ธัมมจักกัปวัตนสูตร --

**********************************

หมายเหตุ
อย่า อม (คำสอนชั้นสาวก) แล้วบ้วน ----- ไม่ว่า จะ เป็น ใบลานเปล่า หรือ เป็นนักปกิบัติ (สมัยนี้ไม่ว่า แบบไหน)

การ อม (คำของพระพุทธเจ้าตรัสฯ) แล้ง บ้วน ---- ชื่อว่า "ตั้งต้น แรกก้าวของก้าวแรก ของ ทางสายกลาง" -- ถูกฝาถูกตัว ยิ่งกว่า -- อย่า อม (คำสอนชั้นสาวก) แล้วบ้วน

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 07:16:46

ความคิดเห็นที่ 81

ที่ว่าอนัตตาปั๊บถึงนิพพานน่ะ เพราะว่า เมื่อรู้ชัดแจ้งแทงตลอดแล้วว่า สภาวะที่แท้จริงของอนัตตานั้นเป็นยังไง จิตมันก็จะเข้าถึงสภาวะนิพพานได้โดยพลัน เปรียบเหมือนกับว่าได้ชิมรสชาติของเกลือก็รับรู้รสชาติความเค็มได้ทันที เพราะฉะนั้นถ้าพูดง่ายๆตามภาษาชาวบ้านก็คือผลของอนัตตานั้นก็คือ นิพพาน อันนี้มหาโชติเข้าใจมั๊ยครับ ผมเองไม่ได้แบ่งสายนะครับว่าต้องเป็นพระป่าสายใต้สายอีสานเพราะโดยกำเนิด นั้นเป็นคนกรุงเทพ แต่ผมนับถือบุคคลที่คุณธรรมครับ ไม่ว่าพระหรือโยม เพราะฉะนั้นความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านว่าก็คือ พอรู้จักสภาวะที่แท้จริงของอนัตตาแล้วก็ย่อมถึงนิพพานโดยพลัน อันนี้ต้องแยกแยะนะครับ เหมือนกับการจะอธิบายว่า เกลือ คือ ความเค็มนั้นมันไม่ถูก หรือจะบอกว่า นิพพานคือ อนัตตานั้นมันไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่า ผลของอนััตตานั้นคือนิพพานน่ะได้ เหมือนกับที่บอกว่า รสชาติของเกลือคือความเค็ม อย่างนี้เข้าใจและเคลียร์มั๊ยครับ ท่านมหาโชติ

จากคุณ : wutthitham

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:33:20

ความคิดเห็นที่ 82

ในวิกิพีเดียมีอธิบายความหมายของนิพพานไว้ผมว่าอ่านง่ายดี เช่น

คัมภีร์พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะของฝ่ายเถรวาท ระบุไว้ชัดเจนว่า "นิพพานอันว่างจากตน" "นิพพานเป็นอนัตตา" เช่น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ปริวารระบุว่า อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา "สังขารทั้งปวงอันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติเป็นอนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้" (วิ.ป.บาลี 8/257/194)

ในคัมภีร์มิลินทปัญหา พระนาคเสนทูลแก้ปัญหาของพระยามิลินท์ที่ทรงถามว่า ถ้านิพพานไม่มีที่ตั้งอาศัย นิพพานก็ย่อมไม่มี โดยกราบทูลว่า
"ขอถวายพระพรมหาบพิตร โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานหามีไม่ แต่นิพพานนั้นมีอยู่ พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำให้แจ้งนิพพาน ด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย มหาบพิตร เหมือนดั่งว่าชื่อว่าไฟย่อมมีอยู่ แต่โอกาสอันเป็นที่ตั้งของไฟนั้นหามีไม่ เมื่อบุคคลเอาไม้สองอันมาขัดสีกันก็ย่อมได้ไฟขึ้นมาฉันใด มหาบพิตร นิพพานก็มีอยู่ฉันนั้นนั่นแล โอกาสอันเป็นที่ตั้งของนิพพานนั้นไม่มี (แต่) พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติชอบ ย่อมทำนิพพานให้แจ้งด้วยการพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย..."(มิลินฺท.336)

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99

จากคุณ : CupJok

เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:26:37

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป