ความคิดเห็นที่ 1 ที่ยากจน  แต่ใจดีน่ะ...ส่วนมากเป็นเทวดาลงมาเกิด เพื่อสร้างบารมี และผ่านการทดสอบ จากสวรรค์.. . ..ข้อสอบ คือ ความยากลำบาก....คำเฉลยคือ มั่นในความดี... . .มารไม่มี...บารมีไม่เกิด.. . . จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 13:44:23

ความคิดเห็นที่ 2 ผมเห็นคนที่ชอบช่วยเหลือสัตว์หลายคน ดีต่อสัตว์แต่ไม่ดีต่อคนครับ คือ เลี้ยงสัตว์ จนก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับคนอื่น หรือชอบ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เท่าทีศึกษามาความร่ำรวยในทางศาสนาพุทธมักจะมาจากสองปัจจัยหลักคือ ทานที่ให้ด้วยศรัทธา กับ ศีลข้อ 2 ถ้าทำ 2 ข้อนี้อย่างสม่ำเสมอมัก ไม่ยากจน แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ประกอบ ส่วน คนที่เลี้ยงสัตว์ส่วนมากจะได้ผลเป็นบริวารมากครับ ขนาดพระอรหันต์ แต่มีบุพกรรมที่ไม่ค่อยทำทาน ยังเป็นพระอรหันต์ที่ ขัดเคืองด้านลาภสักการะเลยครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 55 13:58:28 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 13:56:13

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยกับ #2 ครับ ที่เป็นเทวดามาเกิด ใจดีจริง... เขาจะใจดีต่อทั้งคนและสัตว์  นะครับ พวกที่ใจดีเฉพาะต่อสัตว์..พวกนั้นเป็นของปลอม..ครับ... . . จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:05:16

ความคิดเห็นที่ 4 ตามความเห็นของเรา  บางทีคนที่มีฐานะธรรมดา-ยากจน  เขาเห็นความทุกข์ของการไม่มีมั้งคะ  เขาถึงมีความเห็นใจให้แก่คนอื่นที่กำลังลำบากเพราะเขาเข้าใจความลำบาก     แต่ไม่ใช่จะเสมอไป  คนที่ทั้งจนเงิน  จนปัญญา  จนน้ำใจ เยอะมากๆ ยิ่งจนยิ่งตระหนี่ก็เยอะค่ะ ส่วนคนมีฐานะที่บางคน ยิ่งมียิ่งตระหนี่  ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาไม่เข้าใจว่า น้ำใจน้อยนิดอาจมีค่ามหาศาลก็ได้   เขาไม่เคยได้รับจากใครหรือเปล่าหว่า  เพราะเขามีทุกอย่างเหลือเฟือ  ไม่เคยต้องร้องขอจากใคร  ไม่เคยได้รับ ก็เลยพลอยไม่อยากเป็นผู้ให้ไปด้วย เราก็คิดว่า  มันอยู่ที่กรรมในปัจจุบันของเราว่าเราจะให้ตัวเองไปเป็นแบบไหน  คนมั่งมีแต่ตระหนี่  ชาตินี้อาจไม่รู้สึก  แต่อย่างน้อย  เขาคงไม่เคยได้รับความรู้สึกสุขใจจากการเป็นผู้ให้  เขาก็เสียโอกาสดีๆไปอย่างหนึ่แล้ว  และชาติหน้าจะสบายเหมือนชาตินี้หรือเปล่าก็ไม่รู้  สมบัติที่หวงไว้ในชาตินี้ก็ใช้การอะไรไม่ได้หรอกถึงคราวตายก็ต้องทิ้งหมด ส่วนคนจนชาตินี้แต่หมั่นให้ทานด้วยน้ำใสใจจริง  เขาย่อมสบายใจตั้งแต่เดี๊ยวนี้ไปเลย  อาจมีแถมต่อถึงชาติหน้า   ภพชาติมันยาวนานมาก  เหมือนระยะทางถนนมันไกลๆน่ะ  กระต่ายกับเต่า  เต่ายังแซงกระต่ายเฉยเลย   สัตว์ก็คงเหมือนกัน   มัวแต่ประมาทไปไม่ได้ เนอะ พระท่านถึงว่า  ทรัพย์ในโลกมันเอาไปไม่ได้ มันเป็นโลกียทรัพย์   มีแต่บาปบุญเท่านั้นติดตัว  บาปก็ไม่อยากได้  งั้นเร่งสะสมอริยทรัพย์กันดีกว่า จากคุณ : คุณหนูขาวมณี เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:09:17

ความคิดเห็นที่ 5 มีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้การมองผิวเผิน อาจผิดพลาดได้ ยกตัวอย่างบางส่วน 1. เรื่องเขาจะดีจริงหรือไม่  ต้องดูที่จิตใจเขา เจตนาแท้จริงของเขา ว่าจริงใจหรือไม่ บริสุทธิ์ใจหรือไม่ เป็นต้น จะมองแต่ที่แสดงออกมาให้เห็น เพียงอย่างเดียวไม่ได้ 2. การกระทำของเขา ส่งผลอย่างไรต่อส่วนรวม ส่วนรวมได้รับประโยชน์ หรือ เดือดร้อน เป็นต้น 3. ถ้าเขาดีจริง และทำดีจริง(ทำถูก)  ต้องถามว่าเพิ่งจะมาดี หรือดีมานานแล้ว เป็นเรื่องของเวลา   4. เรื่องกรรมเก่า ที่ยังผล ให้ร่ำรวย หรือยากจน   5. และเรื่องกรรมใหม่ ที่ตอกย้ำกรรมเก่า หรือทิ้งห่างกรรมเก่า และสร้างอนาคตใหม่ ต่อไปจะดีหรือร้าย จากจนเป็นรวย  รวยเป็นจน   ฯลฯ ขึ้นกับจิตใจและการกระทำของตนเอง ถ้ากรรมเก่ามีมาก  ก็จงสปึดหนีให้เร็วและ ต่อเนื่อง ด้วยการหมั่นทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อได้ที่แล้ว  สื่งดีๆ ก็จะไหลเข้ามาเอง และเมื่อได้ดีแล้ว ก็อย่าหลงระเริง อันเป็นเหตุให้ หยุดทำความเพียร จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:32:25

ความคิดเห็นที่ 6 ปัญหาเล็ดรอดหลบหนีในหลักสูตรมนุษย์กบ พวกผมผ่านไปแถวบ้านหลังใหญ่ ๆ โต ๆ บากหน้าเข้าไปขอข้าวกิน เพราะไม่ได้กินมาหลายวันละ โดนไล่ยังกะอะไรดี บางคนบอกจะโทรเรียกตำรวจมาจับอีก ถ้าไม่รีบออกจากบ้านเค้า สุดท้ายข้าวที่ตกถึงท่องของพวกผม มีแต่บ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกในที่ห่างไกลผู้คน ขนาดข้าวหมดหม้อ ยังหุงให้ใหม่เลยครับ สุดยอดแล้ว จากคุณ : บ่าวบ้านบาก เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:33:02

ความคิดเห็นที่ 7 เหตุแห่งความรวย ความจน เกิดจากกรรมในอดีตครับ  คนรวยก็อาจมีทั้งประเภทใจดีหรือจิตใจไม่ดี เนื่องมาจากการสะสมบุญประเภทต่างในอดีตมาไม่เท่ากัน จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:41:15

ความคิดเห็นที่ 8 ผู้ที่เข้าสู่เส้นทางสร้างบารมี. จิตจะโน้มนำไปในทางบุญกุศล การจะบรรลุอริยะมรรค อริยะผล. ต้องผ่านภพผ่านชาติมากมาย จาติสุดท้ายบรรลุอรหันต์ เข้าสู่นิพพาน จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:42:09

ความคิดเห็นที่ 9 เพราะจัดลำดับบุญจากการทำทานไว้รั้งท้ายสุด ... = = จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:50:12

ความคิดเห็นที่ 10 บางคน ดี เพราะ จน บางคน จน เพราะ ดี บางคน รวยเพราะดี บางคน ดี เพราะ รวย ------------------- ดี เพราะ จน อาจเพราะ เข้าใจว่า ลำบากเป็น อย่างไร เห็นใครลำบาก ก็ เข้าใจแ้ล้วอยากช่วยเหลือ หรือ อาจเพราะ จนแล้ว คิดว่า เพราะ ทำกรรมไม่ดีมาก่อน ก็พยายามทำดี เพื่อ ต่อไปจะไม่ลำบากอีก จน เพราะ ดี อาจ เพราะ ดึแล้ว ไม่ประกอบด้วย ปัญญา ก็เลย การเป็นเหยื่อของ คนไม่ดี หรือ ทำดี แล้ว ไม่รู้จัก ประมาณ ก็ได้ ดี เพราะ รวย อาจเพราะ คิดแล้วว่า ตนเอง มีมากกว่า ชึวิตมั่งคงกว่า ก็จะ ให้ทาน กับคนที่มีน้อยกว่า ลำบากกว่า เสมอ รวย เพราะ ดี อาจ เพราะ ทำดี อย่างถึงพร้อม คิดดีรอบคอบ จุดมุ่งหมายดีแน่วแน่ อิทธิบาท พร้อม ทำบุญกุศล อย่างต่อเนื่อง ใครเห็น ก็รักชอบเอ็นดู ทำอะไร ก็ง่ายไปหมด ก็เลย ถึงจุดหมายในชีวิตได้ไม่ยากนัก หรือ รวยก็ได้ ---------------------------------- คิดเห็นส่วนตัว ครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 14:53:57

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นคนดีแต่ยากจน กรรมเก่าเคยทำไม่ดีไว้ผลกรรมก็เลยมาปรากฎเอาชาตินี้ ชาตินี้ทำดี ผมของกรรมดีก็จะปรากฎไม่ในชาตินี้ก็ในชาติต่อๆไป จากคุณ : ซุปเปอร์เดปอร์ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 15:25:13

ความคิดเห็นที่ 12 คนจนเห็นแก่ตัวเพราะถูกบีบด้วยความจนนั้นเยอะมาก คนจนที่ชอบช่วยเหลือคนก็มี คนรวยแสนตระหนี่ก็เยอะ คนรวยที่ชอบทำทานชอบช่วนเหลือผู้อื่นก็มี อย่างความเข้าใจ จขกท.นั้นเป็นอะไรที่ตายตัว...? พระพุทธองค์ไม่เคยสอนและกล่าวอะไรที่เป็นด้านเดียวแบบนั้น ท่านกล่าวว่า"คนดีทำดีง่ายทำชั่วยาก  คนชั่วทำชั่วง่ายทำดียาก" คนจนที่ดีก็อย่างหนึ่ง คนจนที่ชั่วก็อย่างหนึ่ง คนรวยที่ดีก็อย่างหนึ่ง คนรวยที่เห็นแก่ตัวก็อย่างหนึ่ง ในสังคมมีคนอยู่ทุกประเภท แล้วแต่ว่าเราจะเลือกมองไปที่กลุ่มไหน แล้วลองหันมามองตนเองสิครับว่าเราจัดอยู่กลุ่มไหน จะเลือกทางสว่างหรือทางมืดมิดให้กับตนเองดี จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 15:37:00

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องของกรรมเป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ สลับซับซ้อนยากที่เข้าใจด้วยปัญญาธรรมดาๆได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นผลจากยุติธรรมของกฏแห่งกรรมอย่างแน่แท้ ฉนั้น ทำให้ดีเท่าที่จะทำได้หรือยัง ถ้ายัง ปลงว่า เราทำได้แค่นี้ ผลตอบแทนจึงได้แค่นี้ ถึงยากจนก็ขอให้ทำดีไว้ก่อน เพราะรวยหรือจน ตายไปก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ได้ทำความดีโดยช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว...... ชีวิตก็ไม่ได้อะไร จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 16:10:59

ความคิดเห็นที่ 14 ที่ยากจนเพราะไม่ได้ทำเหตุของความร่ำรวยไว้ ก็ง่ายๆตรงไปตรงมานี่แหล่ะครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 16:47:43

ความคิดเห็นที่ 15 คนรวย ย่อมไม่เข้าใจถึงความทุกข์ยาก จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 20:16:02

ความคิดเห็นที่ 16 คหบดี! ในบรรดากามโภคีเหล่านั้น กามโภคีผู้ใด แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัด (เกินไปจนทรมานตน) ด้วย, ครั้นแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัดแล้ว ทำตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนําด้วย, แบ่งปันโภคทรัพย์บำเพ็ญบุญด้วย, ไม่กำหนัด ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก บริโภคทรัพย์เหล่านั้นอยู่ด้วย, คหบดี! กามโภคีผู้นี้ ควรสรรเสริญโดยฐานะทั้งสี่ คือ ควรสรรเสริญโดยฐานะที่หนึ่ง ในข้อที่เขาแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม โดยไม่เครียดครัด, ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สอง ในข้อที่เขาทำตนให้เป็นสุข อิ่มหนํา, ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สาม ในข้อที่เขาแบ่งปันโภคทรัพย์ บำเพ็ญบุญ, ควรสรรเสริญโดยฐานะที่สี่ ในข้อที่เขาไม่กำหนัด ไม่มัวเมา ไม่ลุ่มหลง มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก บริโภคทรัพย์เหล่านั้น. คหบดี! กามโภคีผู้นี้ ควรสรรเสริญโดยฐานะทั้งสี่ เหล่านี้. คหบดี! กามโภคีจำพวกนี้ เป็นกามโภคีชั้นเลิศ ชั้นประเสริฐ ชั้นหัวหน้า ชั้นสูงสุด ชั้นบวร กว่ากามโภคีทั้งหลาย, เปรียบเหมือนนมสด เกิดจากแม่โค นมส้มเกิดจากนมสด เนยข้นเกิดจากนมส้ม เนยใสเกิดจากเนยข้น หัวเนยใส เกิดจากเนยใส, หัวเนยใสปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดารสอันเกิดจากโคทั้งหลายเหล่านั้น, ข้อนี้ฉันใด, กามโภคีพวกนี้ ก็ปรากฏว่าเลิศกว่าบรรดากามโภคีทั้งหลาย เหล่านั้น ฉันนั้นแล. คนรวยที่แบ่งปันมีเยอะครับ เพียงแต่ไม่ประกาศตนแสดงตัว จากคุณ : พูเก็จ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 21:52:07

ความคิดเห็นที่ 17 ผู้มีพละมากใช่ว่าจะดี ผู้มีพละน้อยใช่ว่าจะยากไร้ ข้อดีขอการมีพละแต่พอดี คือมันมีเหลือแบ่งปันให้คนอื่น ... ก็ทุกคนมีกำลังจำกัดเป็นของตน เขาเลือกจะเจือจานกำลังตน เลยไม่ใช่คนรวยซักที แต่เชื่อได้เลยซิ ว่า ก็จะไม่มีจน แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 12:09:33

ความคิดเห็นที่ 18 วิบากกรรมของ  อกุศลกรรมบถ ๑๐  และ  บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=21279 อนึ่งมนุษย์ที่มีสภาพแตกต่างกันนั้น มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย แสดงไว้ว่า ฆ่าสัตว์ ไม่มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุสั้น ไม่ฆ่าสัตว์ มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุยืน เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคมาก ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคน้อย มักโกรธ มีความคับแค้นใจมาก เป็นเหตุให้ ผิวพรรณทราม ไม่โกรธ ไม่มีความคับแค้นใจ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณผุดผ่อง มีใจประกอบด้วยความริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพน้อย มีใจไม่ริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพมาก ไม่บริจาคทาน เป็นเหตุให้ ยากจน อนาถา บริจาคทาน เป็นเหตุให้ มีโภคสมบัติมาก กระด้าง ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลต่ำ ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลสูง ไม่อยากรู้ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญาน้อย อยากรู้ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก --------------------------------------------- ๑. ทานมัย การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ในปวัตติกาล(ภายหลังการเกิด) ดังนี้ ๑) เป็นที่มาของทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ๒) เป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งปวง ๓) ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข ๔) ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก ๕) ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีผู้อื่นไว้ได้ ๖) ทำให้เป็นผู้มีเสน่ห์น่านับถือ ๗) ทำให้เป็นที่น่าคบหาของคนดี ๘) ทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้คล่องแคล่ว ๙) มีบุคลิกองอาจ สง่าผ่าเผย ๑๐) ทำให้มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี ๑๑) ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ -------------------------------------- พระพุทธองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถ ตรัสรู้สิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน ด้วยพระเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเวไนยสัตว์ ท่านจึงทรงแสดงธรรมเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีเหตุทั้งสิ้น ผลต่าง ๆ ที่เราได้รับ ล้วนมาจากเหตุที่เราสร้างกันมาเอง เหตุนั้นก็คือ "กรรม" ที่เราได้กระทำมาในอดีตชาติ ผลที่ได้รับก็คือ "วิบาก" ในปัจจุบันชาติ ซึ่งถ้าเปรียบแล้วชีวิตเราอุปมาได้กับชาวนา ที่ต้องมีหน้าที่ทำนา ในขณะที่ปีนี้เรากำลังหว่านข้าวหอมมะลิ ปีหน้าเราก็จะได้กินข้าวหอมมะลิที่หว่านนั้น แต่ขณะที่เรากำลังหว่านนั้นยังเอามากินไม่ได้ ก็ต้องกินข้าวที่ได้หว่านมาเมื่อปีที่แล้ว ถ้าปีก่อนเราหว่านข้าว ๕ % เราก็ต้องกินข้าว ๕% นั้น ฉันใดฉันนั้น ใครที่สร้างกรรมดีย่อมต้องได้รับผลดีจากการกระทำของเขาเอง ส่วนผลชั่ว (วิบากชั่ว) ที่เราได้รับ ก็คือผลที่เราได้รับจากการกระทำชั่วของเราเองทั้งสิ้น ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นจึงมีเหตุเช่นเมล็ดข้าวคือเหตุ ส่วนผลคือต้นข้าวที่งอกและออกรวงเป็นเมล็ดข้าวใหม่ ต้นข้าวจะเจริญได้ก็ต้องอาศัยปัจจัย นั่นคือ ดิน น้ำ และ ปุ๋ย เช่นเดียวกับผลของกรรม หรือวิบากที่เราได้รับก็ต้องมีเหตุและปัจจัยเป็นตัวสนับสนุน ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้างแล้วว่า มีบุคคลที่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน แต่เมื่อเขาได้ไปนั่งสมาธิเจริญภาวนากับพระ เขาก็หายเป็นปกติ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการนั่งสมาธินั้นเป็นกุศล อันเป็นปัจจัยเร่งกรรมที่เป็นเหตุกุศลในอดีตชาติส่งผลให้เขาได้รับวิบากกุศลที่เขาได้กระทำมานั้น โรคภัยจึงได้บรรเทาหายลงได้ ดั่งพระอัสสชิได้บอกอุปติสสปริพาชก (พระสารีบุตร) ถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่า "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต" แปลว่า "ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ พระตถาคตตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น" บางครั้งเราอาจพบว่า แม้ผู้ป่วยด้วยอาการเดียวกันก็ตาม แต่ชีวิตของเขาได้รับผลแตกต่างกัน ดั่งคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "สัตว์โลกต่างมีกรรมเป็นของตน" =================================== ศึกษา เรื่องการให้ผลของกรรม ในชาติต่าง ๆ ในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ได้อธิบายไว้ดังนี้ หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ค. ปากกาล http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/052.htm --------------------------------------------------------- อำนาจกรรม http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=8827&page=1 อำนาจกรรม ๒ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=8831&page=1 ดังนั้น ตัวการที่บันทึกบาปบุญไว้ ก็คือ ชวนจิต ดวงที่ ๑ ถึง ๗ นั่นเอง จะเป็นตัวส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของกรรมได้รับผล ในโอกาสอันสมควร หน้าที่ของชวนจิต ๗ ดวง ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ (ชวนจิต ๗) ดวงที่ ๑ มีกำลังน้อย ให้ผลในปัจจุบันชาติ เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นกรรมที่ส่งผลในชาติปัจจุบัน ดวงที่ ๗ เป็นตัวส่งผลในชาติหน้าต่อไป ซึ่งมีความสำคัญมาก เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม ดวงที่ ๒ ถึง ดวงที่ ๖ ( ๕ ขณะ ) จะส่งผลในชาตต่อๆไป เรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม --------------------------------------------------- จิต ปรมัตถ์ธรรม http://www.abhidhamonline.org/thesis/thesis2.files/thesis2.htm จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 05:26:27

ความคิดเห็นที่ 19 พระอภิธัมมัตถสังคหะ http://abhidhamonline.org/aphi/p9/115.htm เนกขัมมบารมี ย่อมมีทานบารมีเป็นเครื่องอุปการะ กล่าวคือ บุคคลบางคนมี สัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยากจะสละเวลามาถือสีล ฟังธรรม เล่าเรียนศึกษาธรม แต่ก็ติดขัดเพราะไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ ต้องทำมาหากินตัวเป็นเกลียว ก็ยังไม่ใคร่จะคุ้มปากคุ้มท้อง ทั้งนี้เป็นเพราะไม่ได้สร้างสมทานบารมีมาแต่ปางก่อน ในชาตินี้จึงต้องยากจน ถ้าเป็นผู้ที่ได้สร้างสมทานบารมีมาพอควร ก็จะไม่ถึงกับขัดสน ไปฟังเทศน์ศึกษาธรรมได้สะดวก อันจะเป็นเหตุให้เกิดสติปัญญาเห็นโทษในการหมกมุ่นอยู่ในกามคุณ มีความเบื่อหน่ายต่อความเป็นอยู่ในทางโลก สละบ้านเรือนอันเป็นสมบัตินอกกาย ไปแสวงหาทรัพย์ภายใน คือ การออกบวชเรียน บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาสืบไป http://abhidhamonline.org/aphi/p9/116.htm ทาน ก็เป็นเครื่องอุปการะให้เกิดปัญญา กล่าวคือ คฤหัสถ์ ผู้ครองเรือน หรือ บรรพชิต ผู้ครองวัด ก็ตาม ถ้าขัดสนเงินทองของกิน ที่อยู่ มีปัจจัย ๔ ไม่เพียงพอแก่ความเป็นอยู่ตามสมควรแล้ว ย่อมขาดการศึกษาเล่าเรียน หรือว่าได้ศึกษาเล่าเรียนบ้าง แต่ก็ไม่สู้จะสมบูรณ์ เมื่อขาดการศึกษาก็ด้อยปัญญา ทั้งนี้ก็เป็นเพราะขาดทานบารมี ที่จะมาอุปถัมภ์ให้เกิดปัญญาบารมี http://abhidhamonline.org/aphi/p9/123.htm ลำดับของบารมี ตอนที่กล่าวถึงเนกขัมมบารมีอันเป็นลำดับที่ ๓ นั้นได้กล่าวว่าเนกขัมมบารมี เป็นหัวใจแห่งบารมี ๑๐ ทัส ก็น่าจะสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ยกหัวใจขึ้นมาแสดงก่อนเป็นลำดับแรก แต่แสดงทานบารมีและสีลบารมีก่อนเป็นลำดับที่ ๑ และ ๒ ที่เป็นเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุว่า บุคคลทั้งหลาย ย่อมมีความตระหนี่เป็นนิสสัยสันดานด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันแต่ว่ามีมากหรือน้อย การสร้างบารมีต้องทำลายความตระหนี่ให้ลดลงเสียก่อนดังนั้นจึงได้ทรงยกเอาทาน เป็นปฐมบารมี ============================ ขออนุญาตถามผู้รู้ค่ะ เพราะสงสัยมานานแล้ว (คนถามปัญญายังน้อยเลยต้องมาห้องนี้) ว่าทำไมคนที่ชอบช่วยเหลือคน ช่วยเหลือสัตว์มักจะฐานะยากจน อยากจะช่วยแต่ไม่มีเงินช่วย ---------------------------- ผมว่า  เพราะยังขาดทานบารมี  มาช่วยส่งเสริมครับ   แต่บางคน ร่ำรวย  แต่ขาดปัญญา   ดังนั้น  ทาน ศีล ภาวนา จึงควรควบคู่กันไป จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 05:36:25

ความคิดเห็นที่ 20 เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จากคุณ : เพื่อมหาชน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:16:27