ผมเคยสงสัยในเรื่องพวกนี้มานานมากแล้วครับ
ผมทั้งเข้าโบสถ์ ทั้งอ่านหนังสือ ทั้งเข้าค่ายกิจกรรมต่างๆ เดินทางไปไหนมาไหน ได้พบอะไรมากมาย ผมมีคำถามอยู่ในใจแล้วผมก็หาคำตอบมาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน
เวลาที่ผมจะเชื่ออะไรซักอย่าง ผมจะคิดและไตร่ตรองอย่างละเอียดจริงๆ ซึ่งคำตอบของคำถามเกี่ยวกับชีวิตของผมนั้น ผมได้พบว่าศาสนาพุทธบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งนั้นแล้ว
ผมเชื่อในศาสนาพุทธอย่างมีเหตุผลและศึกษาศาสนาพุทธมาโดยตลอดนับแต่นั้น
ผมอยากให้พิจารณาที่ความไม่เที่ยงให้ดี ให้ดูว่าทุกสิ่งไม่ใช่ของๆเรา ให้ดูอะไรที่เป็นสิ่งสมมติ อะไรที่เป็นของแท้ แม้กายเราก็ไม่ได้คงทนถาวร เป็นความไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
หลักธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปตามปกติของมันอยู่แล้วไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม ทุกอย่างตั้งอยู่ที่รากฐานเดียวกันซึ่งหลักธรรมก็ได้บอกว่าสิ่งต่างๆนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งที่เราสมมติให้มันเป็นเช่นนั้นไปเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ไม่เที่ยงแปรผันเปลี่ยนไปตลอด ความเป็นคนก็สิ้นสุดที่การตาย แล้วก็ต้องเริ่มต้นเป็นสิ่งใหม่ต่อไป หลังจากที่เราตายแล้วรูปกาย กลิ่น สี การรับรู้ต่างๆก็จะไม่เหมือนเดิมแปลเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราเป็นหลังจากนั้น ซึ่งเราก็รับรู้แบบใหม่ต่างจากเดิม เราก็จะคิดไปว่าสิ่งที่เป็นนั้นคือเรา ยึดติด ยึดมั่นในตัวตน หากแต่เห็นทางส่วางอยู่ก็จะพบว่า เราได้ตายจากกายมนุษย์มาเกิดเป็นแบบนี้นะ
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่อธิบายก็ไม่เข้าใจ หากไม่ได้พบประสบความจริงนั้นด้วยตนเอง เราจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ด้วยการศึกษาด้วยตนเท่านั้น
เป็นเรื่องที่ศึกษาได้และรับรู้ได้เฉพาะตน
ขอฝากให้คิดนิดนึงนะครับ ลองมองในมุมคนอื่นบ้าง คิดว่าทำไมดร.วรภัทร์ ภู่เจริญที่เป็นถึงคนที่มีโอกาสได้เข้าทำงานในองค์กรนาซ่าถึงลาออกมา แล้วพักหลังยังลาออกจากการสอนที่จุฬาหันมาให้คำปรึกษาแทน งานที่ได้รับเกียรติและทรงคุณค่าขนาดนั้นทำไมท่านถึงไม่ทำ แล้วคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์จนถึงขั้นนั้นทำไมกลับศรัทธาในศาสนาพุทธ ท่านเข้าใจหรือได้เห็นอะไรบางสิ่งที่บางคนไม่มีโอกาสได้เห็น และคงเป็นเวลาอีกนานมากกว่าที่คนเหล่านั้นจะมีโอกาสได้พบกับความจริงที่ซ่อนอยู่รอบตัวเรา
สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง คำตอบของทุกสรรพสิ่งวนอยู่รอบตัวเรา เพียงแต่เราไม่มีสติและมีสมาธิพอที่จะรับรู้ได้ นี่เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ศึกษาศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ตาม และคำถามนั้นผมตอบตัวเองได้หมดทุกข้อแล้ว รวมถึงนรก สวรรค์ที่ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจมาบ้างแล้วบางส่วน ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น เหมือนกับว่า ถ้าผมได้กินอาหารรสเลิศจานหนึ่ง ถึงผมจะบรรยายสรรพคุณยังไงก็ตาม คุณก็ไม่มีทางได้รู้อยู่ดีว่ารสชาติอย่างนั้นเป็นยังไง คุณได้แต่จินตนาการว่ามันหวานอร่อยตามแบบที่คุณคิดไปเอง แต่สุดท้ายก็ไม่มีวันได้รับรู้รสความหวานนั้นด้วยปากตนเองจริงๆ
และไม่ใช่ทุกคนที่ปฏิบัติจะพบความสำเร็จนั้นเลย ขนาดพระอานนท์กว่าจะบรรลุอรหัตผลยังต้องใช้เวลานานจนกระทั่งหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว
ผมไม่รู้ว่าคุณจะมีโอกาสรับรู้เรื่องพวกนี้ไหนวันไหน แต่ถ้าคุณคิดว่านี่คือชีวิตสุดท้ายก็ขอให้คุณทำให้ดีที่สุด และแม้ความตายจะไม่ใช่จุดจบจริงๆก็ขอให้คุณได้รับรู้ในวันใดวันหนึ่ง(ซึ่งอาจกินเวลาควบกันหลายแสนล้านการตายเกิดเลยก็ได้) ลองคิดดูเล่นๆก็ได้ครับ ถ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย คุณก็จะเกิดมาใหม่ทำสิ่งเดิมๆแล้วก็ตายไป และแน่นอนดีไม่ดีมันอาจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายล้านล้านล้านปีแสงเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเราควรทำตัวให้พร้อมสำหรับการไม่เกิดไม่ดีกว่าหรือ วิธีนั้นมีอยู่จริง เป็นสิ่งที่เราต้องศึกษาและรับรู้ได้เฉพาะตน
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
