ความคิดเห็นที่ 1 ((ลักษณะของตัวท่าน)) ท่านมีผิวขาว ซึ่งไม่ใช่ขาวเผือก แต่ขาวอมแดง คนอาหรับมักจะเรียกว่า ผิวขาวเจือด้วยสีน้ำตาลแกมแดง ท่านอบูฏอลิบ ได้กล่าวว่า ((ใบหน้าของท่านเป็นสีขาวเจือด้วยสีเมฆ เป็นเด็กกำพร้า และได้รับการดูแลจากหญิงหม้าย )) รูปร่างของท่านไม่สูงโกร่งและไม่เตี้ยม่อต้อ อกของท่านผายกว้าง ผมของท่านสีดำเข้ม ไม่หยิกหย็อยและไม่เหยียดตรง เป็นผมที่พันเกี่ยวซึ่งกันและกัน ผมของท่านไม่ยากจนเกินไป แต่จะปล่อยลงมาอย่างงดงาม เส้นผมของท่านนุ่มสลวย ผมของท่านดกถึงติ่งหูบางทีประบ่า ท่านมักหวีแสกกลาง หงอกสีขาวที่ผมและเคราของท่านมีไม่เกิน 20 เส้น ใบหน้าของท่านแจ่มใส เมื่อมองไปยังท่านจะเห็นเป็นเปล่งประกายและสวยงามสง่าประหนึ่งจันทร์เพ็ญ และประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสง เมื่อท่านมีความสุขท่านก็ดูเหมือนมีรัศมีเปล่งปลั่งออกมาจากใบหน้า และเมื่อท่านจะกวดขันหรืออะลุ่มอล่วย(ความต้องการเหล่านั้น)ก็จะปรากฏบนใบหน้าของท่านอย่างเห็นได้ชัด ปากของท่านกว้างพองาม ซึ่งคนอาหรับนั้นมักจะชื่นชมคนที่มีปากกว้าง และไม่ชื่นชอบปากที่เล็ก ดวงตาทั้งสองของท่านมีความงดงาม ดังที่ท่านญาบิร ได้เล่าว่า ((ดวงตาทั้งสองของท่านโตและเรียวยาว)) บางท่านกล่าวว่า ((ดวงตาขาวทั้งสองของท่านเจือด้วยสีแดง)) มือทั้งสองของท่านกว้างอวบและยาว แต่จะนุ่มมากเมื่อได้สัมผัสประหนึ่งผ้าไหม ดังที่ท่านอนัส ได้เล่าว่า ((ฉันไม่เคยสัมผัสความหนุ่มของผ้าไหมชนิดใดๆเลยที่จะนุ่มยิ่งกว่าฝ่ามือของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)) บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม ฝ่าเท้าทั้งสองของท่านหนา แต่มีความนุ่มมากเมื่อได้สัมผัส รูปร่างของท่านมีความผสมผสานระหว่างความอ่อนนุ่มเมื่อได้สัมผัสกับความเข้มแข็งของโครงกระดูก มือของท่านเย็น และมีกลิ่นหอม ท่านอบูญุหัยฟะฮฺ ได้เล่าว่า ((บรรดาผู้คนได้ยืนขึ้นแล้วเอามือทั้งสองของท่านมาลูบบนใบหน้าของพวกเขา แล้วฉันก็ได้เอามือของท่านทั้งสองมาวางบนใบหน้าของฉัน ซึ่งมันมีความเย็นยิ่งกว่าหิมะและมีกลิ่นหอมยิ่งกว่าน้ำหอมเสียอีก)) บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ท่านญาบิร อิบนุสัมเราะฮฺ ได้เล่าว่า ((ท่านเราะสูลุลลอฮฺเคยลูบแก้มฉัน ซึ่งฉันพบว่ามือของท่านั้นเย็นและมีกลิ่นหอม ประหนึ่งมันทั้งสองออกมาจากขวดน้ำหอม)) บันทึกโดยมุสลิม เหงื่อของท่านมีความหอมยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมเสียอีก ดังที่อนัสได้เล่าว่า ((เหงื่อของท่านนั้นประหนึ่งไข่มุก)) บันทึกโดยมุสลิม ท่านวาอิล อิบนุหะญัร ได้เล่าว่า ((ฉันเคยสัมผัสมือของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือผิวหนังของฉันเคยสัมผัสกับผิวหนังของท่าน ซึ่งเหงื่อของท่านที่ติดอยู่ในมือของฉันนั้น มีความหอมยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมเสียอีก)) บันทึกโดยอัฏฏอบรอนีย์และอัลบัยฮะกีย์ ท่านอุมมุสะลีมเคยรวบรวมเหงื่อของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมแล้วทำเป็นน้ำหอมของนาง ท่านอนัส ได้เล่าว่า ((เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้เดินผ่านถนนสายหนึ่งในเมืองมะดีนะฮฺ ก็จะได้กลิ่นน้ำหอมของท่าน จึงมีคนกล่าวว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้เดินมาแล้ว)) บันทึกโดยท่านอบูยุอฺลาและอัลบัซซาร ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหฺ(เชื่อถือได้) ท่านอนัสได้เล่าอีกว่า ((ฉันไม่เคยดมกลิ่นน้ำหอมหรือสิ่งใดๆเลย ที่จะมีความหอมยิ่งกว่ากลิ่นของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)) บันทึกโดยมุสลิม ต้นขาของท่านผ่องขาว มีรัศมีเปล่งประกาย รักแร้ของท่านขาวมาก ซึ่งท่านได้ดูแลทำความสะอาดและทำให้มันดูดีด้วยตัวของท่านเอง เมื่อท่านเดินจะเร็วกว่าคนอื่น เหมือนเดินลงมาจากที่สูง ซึ่งไม่มีใครที่สามารถตามทันได้ จากคุณ : SalaDin (A.TheRipper94) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:46:09

ความคิดเห็นที่ 2 ((จริยวัตรของท่าน)) เป็นผู้ที่ดีเลิศที่สุด...มีความโอบอ้อมอารีอย่างที่สุดยิ่งกว่าลมที่พัดพามา ในระหว่างสองสิ่ง ท่านจะเลือกสิ่งที่ง่ายกว่า ถ้าสิ่งนั้นไม่เป็นที่ต้องห้าม ท่านขี้อายยิ่งกว่าหญิงสาวที่อยู่หลังม่านเสียอีก ท่านไม่เคยตำหนิอาหาร หากท่านชอบท่านก็จะทาน หากท่านไม่ชอบท่านก็จะละไว้ โดยจะไม่ตำหนิใดๆเลย ท่านจะทบทวนคำพูดถึงสามครั้งอย่างช้าๆ ท่านจะไม่พูดเร็ว และไม่พูดทีเดียวแบบไม่หยุด ซึ่งหากจะนับคำพูดของท่านก็ย่อมทำได้ ไม่ชอบการซุบซิบนินทา และเป็นผู้กล่าวแก่สหายของท่านว่า “พวกท่านอย่านำเรื่องของคนใดคนหนึ่งมาเล่าแก่ฉันเด็ดขาด เพราะฉันปรารถนาที่จะให้ตัวฉันออกไปยังพวกท่าน โดยที่หัวใจฉันมีความบริสุทธิ์” ท่านกล้าหาญกว่าใครทั้งมวล และมีมารยาทที่งดงามหาที่เปรียบมิได้... ดังที่ท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ((ฉันได้รับใช้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ 10 กว่าปี ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ท่านไม่เคยกล่าว“อุฟ –แสดงความไม่พอใจ-”ต่อฉัน และท่านไม่เคยกล่าวว่าใดๆในสิ่งที่ฉันได้ทำเลย “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ ? แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทำเช่นนั้น)) บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ 2015 ท่านไม่เคยตำหนิสิ่งใดเลย เมื่อมีคนมาขอ...ท่านไม่เคยกล่าว “ไม่” ท่านเป็นผู้ให้ที่ไม่เคยกลัวความจน... ท่านสุภาพนอบน้อมต่อคนโง่เขลา...มีความอดทนต่อทุกภยันตราย ใบหน้าของท่านยิ้มแย้มอยู่เสมอต่อคู่สนทนา ท่านจะยื่นมือให้สลามก่อนและจะไม่ปล่อยมือก่อนผู้อื่น ให้ความสนใจต่อคู่สนทนาเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งเขาเป็นที่รักยิ่งของท่าน ท่านมักให้สลามแก่เด็กๆและหยอกล้อกับพวกเขา ท่านรับการร้องทุกข์ ไม่ว่าจะมาจากอิสระชนหรือเป็นบ่าว หรือทั้งมวลประชาชาติ และแม้ว่าเขาจะเป็นคนยากจนก็ตาม และท่านจะเยี่ยมเยียนผู้ป่วยเสมอ เมื่อพบเห็นใคร ท่านจะเริ่มด้วยการให้สลาม ท่านเป็นผู้ที่ดีเลิศและอดทนที่สุดต่อครอบครัว ท่านจะลงโทษคนที่ทำสิ่งที่ฝ่าฝืนอัลลอฮฺถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดก็ตาม ท่านทำงานบ้านเป็นประจำ ท่านเย็บรองเท้าและปะชุนเสื้อด้วยตัวเอง ท่านจะมาเล่นกับเด็ก ท่านจะใช้มือเพื่อสื่อในสิ่งที่ท่านได้พูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และท่านจะเดินไปกับพวกเด็กๆตามที่พวกเขาต้องการ ท่านจะร่วมนั่งกับคนยากจน ท่านจะร่วมนั่งจนกว่าจะสิ้นสุดการสนทนา ท่านไม่พอใจต่อทุกคนที่ยืนเพื่อเยินยอท่าน ดั่งที่ท่านได้ห้ามการเยินยอตัวท่านที่มากเกินไป ท่านจะไม่หัวเราะแต่เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ท่านไม่พูดนอกจากมีธุระ คำพูดของท่านกระชับแต่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหา และดีเลิศในการโน้มน้าวให้คล้อยตาม หากท่านโกรธสิ่งใดจะรู้ได้ด้วยสีหน้าของท่าน ท่านไม่เคยหยาบคายและไม่ใช่เป็นผู้หยาบคาย ท่านไม่เคยด่าว่าใคร ท่านไม่เคยสนองกลับการกระทำที่ไม่ดีด้วยกับสิ่งที่ไม่ดี แต่ท่านมักจะให้อภัยอย่างสม่ำเสมอ ท่านไม่เคยด่าว่าใครตรงๆด้วยกับพฤติกรรมบางอย่างที่ท่านไม่พอใจเลย แต่ท่านมักจะกล่าวว่า ((สภาพของกลุ่มชนนั้นเป็นเช่นไรกัน ?)) ท่านจะไม่โมโหและท่านไม่เคยคิดที่จะแก้แค้นใครเพื่อตัวท่านเองเลย แต่หากมีการฝ่าฝืนในข้อห้ามของอัลลอฮฺเมื่อไหร่ ท่านก็จะลงโทษคนๆนั้นเพื่ออัลลอฮฺ   ท่านไม่เคยตีใครด้วยมือขวาของท่านเลย ยกเว้นเป็นไปเพื่อหนแนวทางของอัลลอฮฺเท่านั้น ท่านจะไม่แสดงความดีใจและไม่หยิ่งยโสกับชัยชนะที่ได้รับ ท่านเข้าพิชิตเมืองมักกะฮฺด้วยการให้เกียรติ นอบน้อม และเสมือนเป็นผู้พักอาศัย จนเคราของท่านเกือบจะสัมผัสหลังของอูฐที่เป็นพาหนะที่ท่านใช้ขี่ เนื่องด้วยความนอบน้อมต่ออัลลอฮฺและการขอบคุณต่อพระองค์ ท่านไม่ได้เข้าไปพิชิตด้วยความหยิ่งยโสและทะนงตน และไม่แสดงถึงความยินดีในความเดือดร้อนของศัตรูเลย ชายคนหนึ่งได้หยุดนิ่งอยู่หน้าท่านในขณะที่ท่านกำลังเวียน-เฏาะวาฟ-บัยตุลลอฮฺอยู่ ทำให้เขาประสบกับความยุ่งยาก เพราะเขาคิดว่าท่านนบีน่าจะเป็นกษัตริย์คนหนึ่งของแผ่นดินนี้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ จึงกล่าวแก่เขาว่า ((เจ้าอย่าทำให้มันยุ่งยากเลย เพราะฉันองก็เป็นลูกของหญิงนางหนึ่ง ที่กินเศษเนื้อเล็กๆในเมืองมักกะฮฺ)) ท่านเป็นผู้สมถะที่สุดในโลก ท่านนอนบนเสื่อ และพึงพอใจในชีวิตที่เรียบง่าย บางเดือนท่านไม่มีอาหารที่จะทานเลยนอกจากอินทผาลัม บางช่วงเวลาที่ท่านหิว กระนั้นก็ไม่มีอะไรที่ท่านจะนำมาใส่ท้อง ท่านไม่เคยอิ่มต่อเนื่องเกินสามวันจากการกินขนมปัง จนกระทั่งท่านจากโลกนี้ไป ท่านมีความเมตตาต่อประชาชาติของท่านเป็นยิ่งนัก อัลลอฮฺทรงประทานการวอนขอของท่านเป็นที่ถูกตอบรับ(มุสตะญาบ) ท่านเป็นผู้ที่อัลลอฮฺให้สิทธิ์ในการช่วยเหลือ(ชะฟาอะฮฺ)ประชาชาติของท่านในวันแห่งการพิพากษา ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ((ทุกๆนบีมีการวอนขอที่ได้รับการตอบสนอง ดังนั้นบรรดานบีจะใช้การวอนขอดังกล่าวเป็นประโยชน์บนโลกนี้ แต่ฉันได้ซุกซ่อนการวอนขอของฉันเพื่อใช้ช่วยเหลือประชาชาติของฉันในวันแห่งการพิพากษา อินชาอัลลอฮฺ การวอนขอของฉันมุ่งไปสู่ประชาชาติของฉันที่ตายไปโดยมิได้ตั้งภาคีใดๆเคียงคู่กับอัลลอฮฺ)) บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสว่า لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ ความว่า “แท้จริงมีเราะสูลคนหนึ่งจากพวกท่านเองได้มาหาพวกท่านแล้ว เป็นที่ลำบากใจแก่เขาในสิ่งที่พวกท่านได้รับความทุกข์ยาก เป็นผู้ห่วงใยย่าน เป็นผุ้เมตตา ผู้กรุณาสงสาร ต่อบรรดาผู้ศรัทธา” (สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ : 128) เราทุกคน ณ วันนี้ ควรมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ชีวประวัติของท่าน ถึงแม้เพียง 1 ครั้งในรอบสัปดาห์ก็ตาม ช่วงเวลาที่เราได้นั่งอยู่ในบ้านพร้อมกับภรรยาและลูกๆ เรามาอ่านหนังสือชีวประวัติของท่านนบีที่มีความน่าเชื่อถือกันเถิด เช่นหนังสือ “ตะฮฺซีบบุสสีเราะฮฺ โดยอิบนุฮิชาม” “อัลบิดายะฮฺวันนิฮายะฮฺ โดยอิบนุกะษีร” “อัชชะมาอิล อัลมุหัมมะดียะฮฺ โดยอัตติรมิซีย์” “ฟิกฮุสสีเราะฮฺ โดยเฆาะซาลีย์” “อัสสีเราะฮฺ อันนะบะวียะฮฺ อัศเศาะฮีหะฮฺ โดยดร.อักรอม ฎิยาอฺ อัลอุมะรีย์” (สำหรับหนังสือภาษาไทย แม้นว่า ณ ทุกวันนี้อาจจะยังไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องทั้งหมด กระนั้นก็ตามก็พอมีหนังสือที่สามารถใช้ในการเรียนรู้ได้ เช่นหนังสือ “สีเราะตุนนบี ชีวประวัติโดยละเอียดของท่านนบีมุหัมมัด” โดยดิเรก กุลสิริสวัสดิ์, “มุฮัมมัด ศาสดาแห่งอิสลาม” โดย ร.ศ.ดร.อิมรอน มะลูลีม, “วิเคราะห์บทเรียนและข้อคิดจากชีวประวัติท่านนบีมุฮัมมัด” แปลโดยฆาซาลี เบ็ญหมัด, “บุคลิกของท่านศาสดา” โดยอัตติรมิซีย์, “แฟ้มบันทึกชีวประวัติอันทรงเกียรติ มุหัมมัด มหาศาสดาแห่งโลก” โดยมันศูร อับดุลลอฮฺ เป็นต้น-ผู้แปล-)และเล่มอื่นๆ อย่างไรก็ตามสมควรยิ่งนัก สำหรับเราที่ต้องขะมักเขม้นในการเรียนรู้ชีวประวัติของท่าน โดยอาจจะทำในรูปแบบของหะละเกาะฮฺ(กลุ่มศึกษา)ในบ้านของเรา ทั้งนี้ หากว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องการที่จะสั่งสอนลูกๆและภรรยาของเรา เช่นนี้แหละคือแนวทางที่ดียิ่งในการสั่งสอนพวกเขา และมันจะเป็นอาวุธที่จะใช้ในการเผชิญหน้ากับความมดเท็จต่างๆ ที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อในรูปแบบที่หลากหลาย ด้วยสิ่งนี้ที่จะเป็นตัวช่วยปกป้องลูกๆของเราจากการถูกปลดเปลื้อง(ทางแนวคิด)และการถูกชักจูงไปภายใต้ความแพรวพราวที่ปรากฏให้เห็น อันได้แก่ “การปฏิเสธศรัทธา” “การทำบาปใหญ่” และ “การลุ่มหลงในกามารมณ์” และด้วยสิ่งนี้ ที่จะปลูกฝังให้หัวใจของพวกเขามีความรักต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺและยกย่องสรรเสริญท่าน และจะทำให้พวกเขามีความผูกพันกับแบบฉบับของท่าน อันจะส่งผลให้มีการเจริญรอยตามท่านในทุกแง่มุมของชีวิต ในการเป็นอยู่ทั่วไป และในเรื่องของศาสนกิจ ดังนั้น สติปัญญาย่อมยอมรับไม่ได้อย่างแน่แท้ หากชีวประวัติของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ที่มันถูกบันทึกให้แก่เราในทุกแฟ้มบันทึก ไม่ว่าจะในอัลกุรฺอาน อัสสุนนะฮฺ และตำราประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติที่บันทึกชีวประวัติของท่านที่มีอยู่ในมือของเรา ณ วันนี้ แต่ภายหลังจากนั้นเรากลับเพิกเฉยและผินหลังให้แก่มันอย่างไม่เลียวแล. โดย ดร.ละฏิฟัลลอฮฺ อิบนุมุลลา อับดุลอะซีม เคาญะฮฺ แปลโดย อบูอิบานะฮฺ Fityatulhaq ต้นฉบับ http://ar.islamway.com/article/2931 จากคุณ : SalaDin (A.TheRipper94) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:51:15

ความคิดเห็นที่ 3 แบบอย่างความอดทน “ท่านไม่ควรที่จะกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายกับบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งชั่วร้ายต่อท่าน หากแต่ท่านควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตาและการให้อภัย” นี่คือแนวปฏิบัติที่ศาสนทูตได้ใช้ต่อบรรดาผู้ที่รุกรานท่านและด่าทอท่าน มีหลายเหตุการณ์ที่ศาสนทูตมุหัมมัดนั้นมีโอกาสที่จะทำการแก้แค้นบรรดาผู้ที่ทำ ร้ายท่าน หากแต่ท่าน ก็ออกห่างและหลีกเลี่ยงจากการกระทำเช่นนั้น ท่านสอนให้เรามีความอดทนเมื่อต้องประสบกับความทุกข์ยาก “ผู้ ที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้ที่สามารถเอาชนะผู้คนด้วยพละกำลังของเขา หากแต่ว่าผู้ที่เข้มแข็งคือผู้ที่สามารถควบคุมตัวของเขาเมื่ออยู่ในสภาวะ แห่งความโกรธ” “การมีความอดทนอดกลั้น” ไม่ได้หมายความว่ามุสลิมที่ถูกกระทำจำต้องนิ่งเฉยและไม่ปกป้องตัวของเขาเองเมื่อถูกทำร้ายหรือโจมตี  ศาสนทูตมุหัมมัดแจ้งไว้ว่า “จง อย่าปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู แต่เมื่อท่านพบ (เผชิญหน้า) เขา ท่านก็จงอดทนเถิด (หมายถึง ยืนหยัดอย่างมั่นคงเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู)” “ความดีและความชั่วนั้นหาเท่าเทียมกันไม่ จงขับไล่ความชั่วด้วยสิ่งที่ดีกว่า และเมื่อนั้นเจ้าและผู้ที่เจ้าเคยเป็นศัตรูกันย่อมกลายเป็นมิตรสนิทกัน” (อัลกุรอาน 41:34) แบบอย่างความอ่อนโยน สหาย ของศาสนทูตมุหัมมัดท่านหนึ่งที่ได้ให้การดูแลรับใช้ศาสนทูตเป็นระยะเวลา 10 ปี ได้เล่าว่าศาสนทูตมุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยนในการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับเขาอยู่เสมอ โดยสหายท่านนั้นกล่าวว่า “เมื่อฉันกระทำสิ่งใด ท่าน (ศาสนทูต) ไม่เคยตั้งคำถามว่าเหตุใดฉันจึงทำสิ่งนั้น และเมื่อฉันไม่ได้ทำสิ่งใด ท่านก็ไม่เคยตั้งคำถามว่าเหตุใดฉันถึงไม่ทำสิ่งนั้น ท่านเป็นผู้ที่มีความเป็นกันเองอย่างมากที่สุดในหมู่ผู้คนทั้งหลาย” ครั้งหนึ่งมีคนกล่าวหมิ่นประมาทศาสนทูตมุหัมมัด ภรรยาของท่านจึงแสดงการโต้ตอบด้วยความโกรธ ดังนั้นศาสนทูตมุหัมมัดจึงให้การตักเตือนนางว่า “จงมีความอ่อนโยนและสงบนิ่งเถิด โอ้ อาอิชะฮฺ อัลลอฮฺทรงรักความอ่อนโยนในทุกๆ การงาน” และท่านยังกล่าวอีกด้วยว่า “จง แสดงความอ่อนโยน เพราะเมื่อมีความอ่อนโยนในสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีความสวยงาม เมื่อมันปราศจากซึ่งความอ่อนโยน สิ่งนั้นย่อมเต็มไปด้วยความบกพร่อง” “เนื่องด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ เจ้า (มุหัมมัด) จึงเป็นผู้ที่มีความสุภาพอ่อนโยนต่อผู้คน และหากเจ้าเป็นผู้ที่มีความแข็งกร้าวและมีหัวใจแข็งกระด้างแล้ว พวกเขาย่อมแยกย้ายหนีไปจากเจ้า” (อัลกุรอาน 3:159) ศาสนทูตมุหัมมัด บุรุษที่คุณควรรู้จัก อ่านต่อ http://anabintalislam.wordpress.com/2012/03/12/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%97%E0%B8%B5/ จากคุณ : เดอะลิง เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 11:11:09

ความคิดเห็นที่ 4 มุฮัมมัดศาสดาแห่งอิสลาม 1 http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Mt0SXC710nE แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 13:41:34 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:40:52

ความคิดเห็นที่ 5 What did they say about Muhammad? http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=WfORpUfsdRM แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 13:43:58 จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:42:32

ความคิดเห็นที่ 6 ทำไมคนไม่ทำตามแบบอย่างของ นบี มุหัมมัด ใช้แต่นิสัยของตน ช่างน่าเสียดาย จากคุณ : โอปปา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:04:08

ความคิดเห็นที่ 7 ขอยกตัวอย่างการปฏิบัติของท่านนบี ต่อบรรดาศอฮาบะฮ์ ความนอบน้อมถ่อมตนกับผู้ที่อยู่รอบข้าง              ทาสหญิงคนหนึ่งจากชาวมะดีนะฮ์ได้จับมือท่านเราะซูลลุลลอฮ์ และพาเดินออกไปตามที่เธอต้องการ(*1*) ท่านเป็นคนไม่เคยถือตัวต่อบรรดาสาวกของท่านเลย บรรดาสตรีมีความกล้าที่จะถามถึงสิทธิของนางด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่กับผู้อื่นเธอจะไม่กล้า ครั้งหนึ่งท่านอุมัรได้เข้าไปหาท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ซึ่งขณะนั้นท่านกำลังอยู่กับบรรดาสตรี และนางเหล่านั้นได้ถามท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ด้วยน้ำเสียงที่ดัง ครั้นเมื่อนางได้ยินเสียงของท่านอุมัรเข้ามาหาท่านเราะซูลลุลลอฮ์ บรรดาสตรีเหล่านั้นกลับเงียบเสียงลงทันที ท่านก็หัวเราะ อุมัรจึงถามว่า :              ท่านหัวเราะอะไรหรือ?    ท่านตอบว่า :              ฉันแปลกใจต่อบรรดาสตรีเหล่านี้ เมื่อพวกนางได้ยินเสียงของท่าน พวกนางก็หยุดพูดทันที    อุมัรจึงพูดว่า :              ท่าน(นะบี)นั้นสมควรที่จะกลัวยิ่งกว่า.. (*2*) การเยี่ยมเยือนบ้านศอฮาบะฮ์              รายงานจากท่านอนัส บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า :              ท่านเราะซูล  ได้ไปเยี่ยมบ้านหลังหนึ่งของชาวมะดีนะฮ์ ท่านได้ร่วมรับประทานอาหาร และเมื่อท่านจะออกจากบ้าน ท่านขอสถานที่ของบ้านนั้นเอาเสื่อปู แล้วท่านก็ละหมาดและขอดุอาร์ให้แก่พวกเขาด้วย(*3*) การรับของขวัญและการขอดุอาร์              ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จะรับของขวัญจากผู้ให้เสมอ และขอดุอาร์ให้แก่เขาเหล่านั้น แม้ว่าของขวัญนั้นจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม    ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ กล่าวว่า :              " لَوْ دُعِيتُ إِلَى ذِرَاعٍ أَوْ كُرَاعٍ لَأَجَبْتُ وَلَوْ أُهْدِيَ إِلَيَّ ذِرَاعٌ أَوْ كُرَاعٌ لَقَبِلْتُ "                  หากฉันถูกเชิญให้ไปรับประทานขาแกะ ฉันก็จะตอบรับ และหากฉันได้รับมอบซี่โครงฉันก็จะรับมันเช่นกัน(*4*) การเยี่ยมเยือนผู้ป่วย และปลอบใจ              ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ใช้ให้เยี่ยมคนป่วยและส่งเสริมให้ศอฮาบะฮ์ไปเยี่ยมผู้ป่วยเสมอ เมื่อท่านทราบข่าวว่าศอฮาบะฮ์คนใดป่วย ท่านจะไปเยี่ยมและขอดุอาร์ให้(*5*) ท่านแต่งงานกับภรรยาหลายคน เพื่อเป็นการปลอบใจให้แก่นางที่ต้องสูญเสียสามีไป และช่วยดูแลลูกๆให้แก่นาง เช่น การที่ท่านแต่งงานกับ อุมมุซาลามะฮ์ ที่ท่านแต่งงานเนื่องจากสามีของนางได้เสียชีวิตไปและทิ้งลูกให้กับนางถึง 4 คน (*6*) และท่านเราะซูลลุลลอฮ์ แต่งงานกับพระนางเซาดะฮ์ บินตี้ ซัมอะฮ์ เนื่องจากสามีของนางได้เสียชีวิตไป และท่านเกรงว่านางจะถูกทำร้ายจากพี่น้อง พวกพ้องที่ยังเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่ (*7*) ความโอนอ่อนกับผู้ที่กระทำความผิดพลาด              ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เป็นผู้เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของบรรดาศอฮาบะฮ์ อ่อนโยนต่อผู้ที่ทำผิดพลาด เมื่อทราบท่านจะไม่พูดว่า ท่านทำอย่างโน้นอย่างนี้ทำไม แต่ท่านจะพูดว่า :              " مَا بَالُ أَقْوَامٍ قَالُوا كَذَا وَكَذَا "              ทำไมกลุ่มต่างๆพูดอย่างนั้นอย่างนี้              ครั้งหนึ่งมีชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งเข้ามาในมัสยิดแล้วก็ปัสสาวะลงที่พื้น ผู้คนได้กรูไปยังเขาเพื่อจะทำร้ายชายผู้นั้น ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ กล่าวว่า :              دَعُوهُ وَأَهْرِيقُوا عَلَى بَوْلِهِ ذَنُوبًا مِنْ مَاءٍ أَوْ سَجْلاًمِنْ مَاءٍ فَإِنَّمَا بُعِثْتُمْ مُيَسِّرِينَ وَلَمْ تُبْعَثُوا مُعَسِّرِينَ              ปล่อยเขาไปเถิด และเอาน้ำราดลงไปที่ปัสสาวะนั้นกระป๋องหนึ่งหรือจำนวนหนึ่ง แท้จริงแล้ว พวกท่านถูกส่งมาเพื่อเป็นผู้ให้ความสะดวก มิใช่ถูกส่งมาเพื่อให้เป็นผู้ทำความยากลำบากแต่ประการใด (*8*) การเผื่อแผ่ต่อบรรดาศอฮาบะห์              หญิงคนหนึ่งได้นำผ้าคลุมมาให้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เป็นของขวัญ แล้วท่านได้รับไว้ เพราะท่านเองก็มีความต้องการผ้าผืนนั้น ท่านได้สวมใส่มัน ศอฮาบะฮ์ท่านหนึ่งเห็นเข้าจึงพูดว่า :              โอ้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ผ้าคลุมที่ท่านคลุมอยู่นั้นช่างสวยเหลือเกิน ข้าพเจ้าอยากได้สวมใส่มัน        ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ตอบว่า :              ได้ซิ    ครั้นเมื่อท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เดินจากไป บรรดาศอฮาบะฮ์ ได้ตำหนิชายผู้นั้น แล้วพูดว่า :              ท่านก็ทราบดีว่าท่านเราะซูลลุลลอฮ์ มีความต้องการผ้าผืนนั้นอยู่ แล้วท่านก็ขอมัน ความจริงท่านก็รู้ด้วยว่าท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ไม่เคยปฏิเสธผู้ที่มาขอท่านเลย    ชายผู้นั้นกล่าวว่า :              ฉันหวังว่าจะได้ความศิริมงคลจากผ้าผืนนั้น เพราะท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้สวมใส่มันแล้ว และฉันคิดว่าจะเอาผ้าผืนนี้ ห่อศพตัวของฉันด้วย (*9*) จากคุณ : senyuman เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 18:28:16

ความคิดเห็นที่ 8 การปฏิบัติของท่านรอซูล ต่อบรรดาศัตรู           ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับทุกคน แต่ทว่าบรรดาศัตรูได้พยายามทำร้ายท่าน เพราะท่านถูกส่งมาเพื่อให้ทางสว่างแก่มวลมนุษย์ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะดึงพวกเขาออกจากความมืดมิดสู่แสงสว่าง และออกจากความหลงผิดสู่หนทางที่เที่ยงตรง ท่านจะมีความสุขมากเมื่อได้ช่วยคนๆ หนึ่งออกจากความเลวร้ายสู่ความผาสุข จากความหลงผิดสู่หนทางสว่าง ท่านเราะซูลลุลลอฮ์  อดทนอย่างมากต่อการถูกทำร้ายจากกลุ่มชนที่ต่อต้าน แต่ท่านเองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในการที่จะทำให้พวกเขาได้รับแสงสว่าง เหล่านี้คือตัวอย่างจากมารยาทที่ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ปฏิบัติต่อบรรดาศัตรู ความจริงจังในการที่จะให้พวกเขาได้รับแสงสว่าง               ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เอาใจใส่อย่างมากในการที่จะชี้นำศัตรูสู่ทางสว่าง ท่านจะเสียใจและเจ็บปวดมากขณะที่พวกเขาเหล่านั้นเมินเฉยการเผยแพร่ ท่านจริงจัง แต่พวกเขากับทำร้ายท่านมากยิ่งขึ้น    อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า :               “บางทีเจ้าอาจเป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้าด้วยความเสียใจ เนื่องจากการผินหลังของพวกเขา หากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้” ( อัลกะฮ์ฟี่ 18 : 6)    อีกโองการหนึ่ง อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา   ทรงตรัสว่า :               “บางทีเจ้า (มุฮัมมัด) เป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้า เพราะพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา”  ( อัชชุอะรออ์ 26 : 3)               หมายความว่า ท่านเสียใจ อันเนื่องจากการปฏิสธศรัทธาของพวกเขา (*1*) การขอดุอาร์ให้ได้รับทางนำและห่างไกลจากความหลงผิด               หลายๆ ครั้งที่ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้ขอดุอาร์ต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประทานทางสว่างแก่ผู้ต่อต้านศาสนา และผู้ที่หลงผิด ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา   ทรงตอบรับคำขอ โดยการให้หัวอกของบุคคลนั้นมีความเข้าใจต่ออัลอิสลาม เช่น การขอดุอาร์ให้ท่าน อุมัร บิน คอฎฏอบ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ โดยที่ท่านขอว่า :               “โอ้อัลลอฮ์ขอพระองค์ได้ทรงทำให้อิสลามสูงส่งจากชายสองคน อันเป็นที่รักของข้าพระองค์ คือ อบูญะฮัล หรือ อุมัร บิน คอฎฏอบด้วยเถิด” (*2*)                  และแล้วเผ่า เด้าซ์ ก็ตอบรับอิสลาม เนื่องจากการขอดุอาร์ของท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ให้แก่พวกเขา และในขณะที่ท่าน ตุฟัย บินอัมริ อัดเดาซีย์ ได้เรียกร้องเชิญชวนกลุ่มชนในเผ่าของเขาสู่อิสลาม และมีผู้คนคัดค้านต่อต้าน เขาจึงกลับมายังท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ท่านจึงขอดุอาร์ให้แก่กลุ่มชนของเขา แต่ทว่าเขาปฏิเสธ ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จึงขอดุอาร์ว่า :               “โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงให้ทางสว่างแด่ชาวเด้าซ์ด้วยเถิด”    แล้วท่านเราะซูลลุลลอฮ์  ก็พูดว่า :                             “เจ้าจงกลับไปเถิด จงเชิญชวนพวกเขาด้วยความนิ่มนวล”               เขาจึงกลับไปและได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนอีกครั้ง และพวกเขาได้เข้ารับอิสลาม(*3*)  เมื่อวันพิชิต ตออิฟ ในขณะที่พวกเขาฝ่าฝืนต่อบรรดามุสลิมีน ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้เรียกร้องให้บรรดาศอฮาบะฮ์เปิดการล้อมให้กับเผ่า สะกีฟ และเชิญชวนให้กลุ่มมุสลิมขอดุอาร์ให้แก่ศัตรู แต่บรรดามุสลิมปฏิเสธ ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จึงขอดุอาร์ให้แก่พวกเขาโดยกล่าวว่า :              “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงให้ทางสว่างแก่ชาวสะกีฟด้วยเทอญ” (*4*)               และไม่นานเผ่าสะกีฟ ก็มาประกาศรับอิสลาม ให้อภัยทั้ง ๆ ที่สามารถจะเล่นงานพวกเขาได้               หลังจากการเสียชีวิตของลุง คือ อะบู ฎอลิบและภรรยา ท่านหญิง คอดีญะฮ์  พวกกุเรชได้ทำร้ายท่านหนักข้อมากขึ้น ท่านจึงเดินทางไปยังฎออีฟ แต่กับพบว่าพวกเขาพยายามทำร้ายท่านยิ่งกว่าชาวมักกะฮ์เสียอีก และในขณะที่เดินทางผ่านเมืองฎออีฟ ระหว่างทาง ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้มาหาแล้วบอกว่า :                   “แท้จริง อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของกลุ่มชนของท่านแล้ว และทราบดีถึงสิ่งที่พวกเขาตอบโต้ท่าน และอัลลอฮ์ได้ส่งมายังท่านแล้ว มะลักแห่งขุนเขา เพื่อที่จะให้ท่านได้ใช้เขาให้แก้แค้นได้ตามที่ท่านต้องการ”    โดยที่มะลักแห่งขุนเขาได้เรียกท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ว่า :                   “โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย หากท่านต้องการที่จะจัดการกับพวกนี้ ข้าจะทำลายพวกนี้อย่างราบคาบ”    ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ตอบว่า :               “ฉันหวังให้อัลลอฮ์ นำเขาออกมาจากความหลงผิดสู่การทำอิบาดะห์แด่พระองค์เพียงผู้เดียว โดยไม่ตั้งภาคีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด”               ท่านเราะซูลลุลลอฮ์  อภัยโทษให้แก่ชาวกุเรชขณะที่พิชิตเมืองมักกะฮ์นั้น โดยที่ท่านกล่าวแก่พวกเขาว่า :               “พวกท่านทั้งหลายไม่มีความผิดแล้วขณะนี้ เพราะอัลลอฮฺทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาแล้ว”  (*5*)               และท่านยังได้ให้อภัยโทษให้แก่ท่าน เฆาริษ บิน ฮาริษ ทั้งๆที่เขาพยายามที่จะฆ่าท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ครั้นเมื่อเขากลับไปยังพวกพ้องของเขา เขากล่าวว่า :               “ฉันได้มาจากคนที่ดีที่สุดในหมู่มนุษย์”  (*6*) ให้เกียรติต่อสนธิสัญญาที่ทำขึ้น               ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์เลยว่า ท่านเราะซูลลุลลอฮ์   ทำสัญญากับผู้ใดแล้วท่านก็ผิดสัญญา ถึงแม้ว่าผู้ที่ท่านทำสัญญานั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม ในเรื่องนี้ศัตรูของท่านได้ยืนยัน ซึ่งขณะที่ชาวยะฮูดี คนหนึ่ง ชื่อ ฮัยยี บุตรของ อัคต็อบ ลุกขึ้นพูดกับ กะอฺ บิน อะซัด ซึ่งเป็นผู้นำยิวจากเผ่าบะนี กุรอยเซาะฮ์ ซึ่งต้องการจะฉีกสัญญาที่ทำกับท่านเราะซูลลุลลอฮ์ แล้วรวมตัวกับพวกพันธมิตร, คำพูดที่กะอฺบพูดกับฮัยย์ ในตอนแรกว่า :               “ฉันได้ทำสัญญากับมุฮัมมัด และฉันจะไม่ผิดสัญญาที่ทำไว้กับเขา เพราะฉันไม่เคยพบเลยสักครั้งที่เขาผิดสัญญา เพราะเขารักษาสัญญาและซื่อสัตย์มาตลอด” (*7*)   จำกัดขอบเขตในการทำสงครามให้อยู่ในวงแคบที่สุด               การทำสงครามของท่านเราะซูลลุลลอฮ์  กับบรรดาศัตรู จะแตกต่างกับการทำสงครามของคนอื่นๆบนแผ่นดินนี้  เพราะท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ไม่เคยคิดที่จะฆ่าคู่ปรปักษ์ของท่านเลย หากแต่ที่ต้องทำสงคราม เพราะเกิดภาวะคับขันอันเนื่องมาจากการถูกปิดกั้นการเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยเหตุนี้การทำสงครามจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายของผู้ที่จะเข้ารับอิสลาม      อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า :               “และพวกเจ้าจงต่อสู้กับพวกเขา จนกว่าความวุ่นวายจะหมดไป และการอิบาดะฮ์ทั้งมวลจะต้องเป็นสิทธิของอัลลอฮ์แต่เพีงผู้เดียว ถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอนอัลลอฮ์ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”  ( อัลอันฟาล 8 : 39)              การทำสงครามของท่านเราะซูล เป็นการทำสงครามที่ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในสนามรบ และกับบุคคลที่ทำตัวแข็งข้อกระด้างกระเดื่องต่อต้านอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเราะซูลของพระองค์ เมื่อท่านแต่งตั้งผู้นำกองกำลังทหารหรือหัวหน้า ซะรียะฮ์ (سرية   กำลังทหารมีจำนวนตั้งแต่  5 ถึง 300 นาย ) ท่านนะบี จะกำชับผู้นำทัพให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และบรรดามุสลิมีนที่อยู่ร่วมกับเขาให้กระทำสิ่งที่ดีงาม แล้วท่านนะบี  ได้กล่าวว่า :               اغْزُوا بِاسْمِ اللَّهِ فِي سَبِيلِ اللَّهِ قَاتِلُوا مَنْ كَفَرَ بِاللَّهِ اغْزُوا وَلاَ تَغُلُّوا وَلاَتَغْدِرُوا وَلاَ تَمْثُلُوا وَلاَ تَقْتُلُوا وَلِيدًا وَإِذَا لَقِيتَ عَدُوَّكَ مِنْ الْمُشْرِكِينَ فَادْعُهُمْ إِلَى ثَلاَثِ خِصَالٍ أَوْ خِلاَلٍ فَأَيَّتُهُنَّ مَا أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ ثُمَّ ادْعُهُمْ إِلَى الإِسْلاَمِ فَإِنْ أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ .....فَإِنْ هُمْ أَبَوْا فَسَلْهُمْ الْجِزْيَةَ فَإِنْ هُمْ أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ فَإِنْ هُمْ أَبَوْا فَاسْتَعِنْ بِاللَّهِ وَقَاتِلْهُمْ               “พวกเจ้าจงสู้รบด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในหนทางของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกท่านจงสู้รบกับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกท่านจงสู้รบและจงอย่าบิดพลิ้ว อย่าฉ้อฉลทรัพย์เชลยและอย่าผิดสัญญา อย่าทำสิงที่น่ารังเกรียจ อย่าทำคนตายให้เสียโฉม (ด้วยการตัดจมูก ตัดหู ในขณะที่มีชีวิตอยู่) และอย่าสังหารเด็กเล็ก และเมื่อท่านได้เผชิญหน้ากับศัตรู จากพวกมุชริกีนจงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่สิ่งสามประการ ไม่ว่าพวกเขาจะตอบรับท่านประการใด จงรับพวกเขา และจงหยุดยั้งการทำสงครามกับพวกเขา จงเชิญชวนพวกเขาเข้ารับอิสลาม หากพวกเขาตอบรับการเชิญชวนก็จงรับการตอบรับ และจงยุติการทำสงครามกับพวกเขา....หากพวกเขาปฏิเสธ ก็จงเรียกเก็บ อัลญิซยะฮ์ (ภาษีหัว) และหากพวกเขายอมจ่ายให้แก่ท่าน ก็จงรับการตอบรับและจงยุติการทำสงคราม และหากพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมจ่ายภาษีหัว ก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และจงทำสงครามกับพวกเขา”  (*8*)   การปฏิบัติต่อผู้ที่รอดชีวิตตามสิทธิและหน้าที่               มีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้สัญญาคุ้มครองและดูแลของมุสลิม หรือเป็นกลุ่มมุนาฟิกีน(พวกกลับกลอก)ที่แสดงถึงการยอมรับนับถืออิสลามภายนอก แต่ปกปิดซ่อนเร้นการปฏิเสธศรัทธา และการเป็นศัตรูกับบรรดามุสลิมเอาไว้ ท่านเราะซูล จะปฏิบัติในส่วนที่เป็นสิทธิ และหน้าที่สำหรับพวกเขาอย่างดี               ดังเช่น สิทธิในการเป็นเพื่อนบ้าน หากพวกเขานั้นเป็นเพื่อนบ้าน หรือสิทธิในการเป็นญาติ หากพวกเขาเป็นญาติ               ท่านเราะซูล เคยมีเพื่อนบ้านที่เป็นยิว  และท่านมีเด็กรับชาวยิว เมื่อเด็กคนนั้นป่วยเขาได้หายหน้าไป ท่านเราะซูล ได้ไปเยี่ยมและได้เชิญชวนให้เขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเขาก็ได้รับอิสลาม (*9*) จากคุณ : senyuman เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 18:58:11

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดเห็นที่ 6 MsgStatus(Msv[6], 6); ทำไมคนไม่ทำตามแบบอย่างของ นบี มุหัมมัด ใช้แต่นิสัยของตน ช่างน่าเสียดาย จากคุณ : โอปปา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:04:08 ผมก็อยากให้เป็๋น อย่างนั้นก็พยายามอยู่ แต่ถ้าเหมือน นบี กันหมด โลกนี้คงงดงาม ผมเชื่อว่า อิสลามิชน นั้น มีเปอร์เซนต์ เข้าใกล้ท่าน ศาสดา มากกว่า ชนในศาสนิกอื่นนะครับ  อัลฮำดูลิ้ลาห์ ด้วยเพราะหลักการที่เข้มแข็ง แบบอย่างที่ดี ของท่านศาสดา เลยทำให้ เปอร์เซนต์ คนที่ห่างไกล ท่านศาสดามีจำนวนน้อย นั้นเอง แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 19:54:40 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 19:53:55

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น และปลื้มใจทุกครั้งที่ได้อ่านประวัติ และบุคลิกลักษณะของท่านนบี คนอาหรับสมัยนั้น และอาจจะสมัยนี้ด้วย มีนิสัยที่ค่อนข้างกระด้าง ไม่ค่อยเป็นมิตร และมักจะหยาบคาย แต่ท่านนบีที่กำเนิดในสังคมแบบที่ว่า โตมาในสังคมนั้น ในสมัยที่ศาสนาใดๆ ก็ไม่อาจปรับเปลี่ยนใจคนอาหรับได้ แต่ท่านนบีมุฮัมมัด กลับเป็นผู้ที่มีนิสัยอ้อนน้อมถ่อมตนชนิดที่ผมก็ไม่เคยอ่านประวัติใครที่จะอ่อนน้อมได้ขนาดนี้ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นมิตรเสมอ แต่ในความอ่อนน้อมนั้น กลับมีความกล้าหาญ เข้มแข็ง อดทน และเด็ดเดี่ยวอย่างสุดยอดชนิดที่ผมก็ไม่เคยอ่านเจอใครจะทำได้แบบท่านอีกเช่นกัน ท่านได้รับการกระทบกระเทือนทั้งจิตใจ และเหน็ดเหนื่อยร่างกาย อย่างที่มนุษย์คนไหนก็ไม่น่าทนได้ จากการเผยแผ่สัจธรรม แต่ท่านผ่านไปได้ด้วยความเมตตาจากอัลลอฮฺ ผมว่านี่ก็น่าจะเป็นการอัศจรรย์หนึ่งของอัลลอฮฺ ที่ประทานมาให้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายอย่างนึงเช่นกัน ท่านไม่ได้เป็นศาสดาเพียงแต่ชื่อ หรือเพราะตั้งศาสนาเอง แต่บุคลิก แบบอย่างของท่าน เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นแบบอย่างให้มุสลิมได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย อีกทั้งไม่ใช่เพราะมาจากการบังคับ หรือเป็นหน้าที่ ที่ต้องพยายามเชื่อ หากแต่เราสามารถยอมรับได้อย่างปราศจากข้อกังขาใดๆ  สำหรับแบบอย่างของศาสนาฑูตท่านสุดท้าย ที่อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงส่งมาให้มวลมนุษยชาติ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 20:02:20 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 20:01:47 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 20:00:17

ความคิดเห็นที่ 11 แสดงว่าไอ้พวก ตาลีบัน ที่มันเอาระเบิดมาทำลายพระพุทธรูป ในอัฟกานิสถาน นี่พวกมันไม่เคยศึกษา หรือ ทำตาม นบี เลยแม้แต่น้อยใช่ไหมครับ และก็ถือว่าพวกมันไม่ใช่ชาวมุสลิมด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่ได้ทำตนตาม นบี จากคุณ : midnight wolf เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 13:46:06

ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 11 MsgStatus(Msv[11], 11); แสดงว่าไอ้พวก ตาลีบัน ที่มันเอาระเบิดมาทำลายพระพุทธรูป ในอัฟกานิสถาน นี่พวกมันไม่เคยศึกษา หรือ ทำตาม นบี เลยแม้แต่น้อยใช่ไหมครับ และก็ถือว่าพวกมันไม่ใช่ชาวมุสลิมด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่ได้ทำตนตาม นบี จากคุณ : midnight wolf เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 13:46:06 พวกตาลีบัน คือมุสลิมครับ คุณ Midnight Wolf นับถือศาสนาอะไรครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 20:57:37