ความคิดเห็นที่ 1 ทวงสิทธิ์สตรี... จากพุทธศาสนา.... ปัญหาของผู้หญิงมีเยอะ... . ขนาดภิกษุณี พระพุทธเจ้ายังกำหนดศีล หรือสิกขาบทไว้ถึง 310 ข้อ เพราะผู้หญิงกับผู้ชายมีความแตกต่างทางกายภาพ หลายประการ... ปัญหาในการออกไปแสวงหาที่วิเวก เพื่อรักษาพรหมจรรย์ ในป่าในที่เปลี่ยวก็อันตราย.. ความเสื่อมเสีย หรือความเสียหาย รวมถึงเรื่องชุ้สาว ประเด็นทางสังคม... ก็เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง... สรุปก็คือเป็นผู้ชาย... สะดวกกว่า... ในหลายๆ ด้าน.... และในทางพุทธศานา ไม่ใช่ว่าชาตินี้เกิดเป็นผู้หญิงแล้ว ชาติต่อๆ ไปจะเป็นผูหญิงตลอด.. อาจจะเกิดเป็นหญิงบ้าง ชายบ้าง แล้วแต่บุญ แต่กรรม ที่ทำไว้.. คงต้องศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมเพิ่มเติม... เพราะเป็นเรื่องยาว... เท่าที่ทราบผู้ที่จะมาเป็นศาสดา สั่งสอนคนได้นี่จะต้องเกิดมาเป็นผู้ชายเท่านั้น... ยังไม่เห็นศาสดาของศาสนาไหน เป็นหญิง.... http://www.kanlayanatam.com/sara/sara223.htm อีก Link หนึ่ง..เรื่อง เกิดเป็นหญิง เกิดเป็นชาย กระเทย เกย์ ทอม ดี้.. http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1811 _/|\_......_/|\_......._/|\_..... แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:38:28 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:32:15 จากคุณ : pakakaew เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:05:52

ความคิดเห็นที่ 2 ศาสนาพุทธมองเพศหญิงเสมอกับเพศชายโดยการบรรลุธรรมได้เหมือนกัน แต่ว่าผู้หญิงจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าไม่ได้ จากคุณ : methad เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:25:35

ความคิดเห็นที่ 3 พระพุทธเจ้าไม่มีทางเป็นผู้หญิง เพราะพระพุทธเจ้าจะได้คุณลักษณะที่ดีที่สุดเท่านั้น ความเป็นหญิงโดยธรรมชาตินั้น ด้อยกว่าชาย จึงเป็นธรรมดาที่พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ชาย (และเป็นชายที่มีลักษณะดีที่สุดด้วย) จากคุณ : KONICHIWA เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:27:58

ความคิดเห็นที่ 4 ความคิดเห็นที่ 2 อ้าวแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมและครับ ไม่ได้เป็นผู้หญิงหรอ แต่ก็นะนั่นเป็นคติฝ่ายมหายาน พระพุทธเจ้าที่เป็นเพศหญิง ไม่มีครับ แต่เพศหญิงบรรลุธรรมได้เท่าเทียมเพศชาย และจริงแล้วเพศหญิงก็บวชได้ แต่ก็ตั้งอยู่ได้ไม่นาน การสืบต่อพระภิษณี ฝ่ายเถรวาท ขาดตอนไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:33:07 จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:30:59

ความคิดเห็นที่ 5 ความเป็นชายหรือหญิง ไม่มีผลต่อ หัวใจของพระศาสนา คือการบรรลุธรรม  พ้นทุกข์ทั้งปวงมี มีญาณอันทำลายกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เป็น อนุพุทธะ คือเป็นผู้รู้โดยการรู้ตาม และยังสามารถ เป็นเอกทัคคะในด้านต่างเหมือนบุรุษ แต่การเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องใช้เวลาการบำเพ็ญบารมียาวนาน ต้องใช้ความมุ่งมั่นสูง ความเป็นสตรี อาจก่อให้เกิดอุปสรรค ทั้งสรีระร่างกายมีระดู  ความเหมาะสม สถานะทางสังคมขนาดปัจจุบัน ลูกสาวจะไปป่า หรือค้างแรมที่อื่น บางครอบครัวพ่อแม่ยังไม่อนุญาตี   สมัยพุทธกาล ยิ่งแล้วใหญ่ ศาสนาอื่น เช่น เชนนะ หรือพราหมณ์ สตรีมิอาจบรรลุธรรม ต้องทำบุญอธิษฐานขอให้เกิดเป็นบุรุษ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:53:41

ความคิดเห็นที่ 6 #4 พระ อวโลกิเตศวร ในอินเดียเดิม มีรูปสลักท่านเป็นภิกษุ เป็นบุรุษ เมื่อจิตท่านกำลังจะข้ามโค ตะ ระ สู่ อริยะ จิตของพระโพธิสัตว์ท่านหยั่งสู่มหากรุณา ส่วนเมื่อเข้าสู่จีน  ได้แปลงเป็นสตรี  เพราะท่ารเน้นด้านมหาเมตตา มหากรุณา จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:01:23

ความคิดเห็นที่ 7 พระโพธิสัตว์เป็นเพศหญิงได้ครับ เฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้ได้รับพยากรณ์เท่านั้นจึงจะไม่เป็นเพศหญิง พระพุทธองค์ทรงเห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วนำมาสอน ไม่ใช่ว่ามีทรรศนะอย่างไรแล้วจึงสอน ภาวะของเพศหญิงไม่สามารถเทียบเท่าภาวะเพศชายได้เลย ที่ยึดถือกันว่าเราหญิง เขาชาย นี่เป็นความยึดถือชั่วคราวในภพที่เกิดเท่านั้น ขอย้ำว่า ภาวะเพศหญิงเท่านั้นที่ไม่สามารถเทียบได้กับภาวะเพศชาย ไม่ใช่ "ผู้หญิงทุกคน" จะต่ำกว่า "ผู้ชายทุกคน" ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ดีครับ เปรียบเหมือนกับเราบอกว่า มีเงินดีกว่าไม่มีเงิน คนที่ไม่มีเงิน ก็รังเกียจคนมีเงิน แล้วบอกว่าคนมีเงินไม่เห็นจะดี คนที่มีเงิน ก็รังเกียจคนไม่มีเงิน แล้วบอกว่าคนไม่มีเงินไม่เห็นจะดี แต่พอคนไม่มีเงินเกิดมีเงินขึ้นมา ความคิดก็เปลี่ยนไป พอคนมีเงินเกิดไม่มีเงินขึ้นมา ก็เข้าใจหัวอกคนไม่มีเงิน เพราะฉะนั้น ความยึดถือว่านั่นเรา นั่นเขา นี่ของเรา นี่ของเขา นั่นแหละทำให้เกิดปัญหา ส่วนว่าเพศนั้น สามารถเปลี่ยนได้ โดยเนื้อแท้แล้ว สรรพสัตว์ที่เกิดมาบนโลกทั้งหมดล้วนมีเพศเดียวคือเพศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทั้งหญิงและชาย เพียงแต่ว่าเพศชายนั้นใกล้เคียงเพศบริสุทธิ์มากกว่าเท่านั้น อย่างเพศของพรหมจะมีลักษณะสวยงามของเพศหญิง แต่ทว่ามีความแข็งแกร่งของเพศชายอยู่ด้วย เพศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัตว์โลกไม่มีความบริสุทธิ์ ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า มนุษย์ในสมัยแรก ๆ เมื่อโลกตั้งขึ้นนั้น เป็นมนุษย์ที่ไม่มีเพศ แต่เมื่อความเสื่อมศีลธรรมปรากฏขึ้นโดยมาก จึงทำให้มีการจำแนกเพศเกิดขึ้น เราควรศึกษาเรื่องข้อดีข้อเสียของเพศต่าง ๆ โดยสภาวะความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ควรนำไปรวมกับความถือตัวว่าใครดีกว่าใคร เพราะหากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชายก็ไม่ดีทั้งนั้น จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:11:41

ความคิดเห็นที่ 8 พุทธ เป็นศาสนาที่แบ่งชนชั้นกันในเรื่องของกิเลส คนกิเลสหนาอยู่ชั้นต่ำ ส่วนคนกิเลสน้อยอยู่ชั้นสูง หรือบรรลุธรรมอะไรก็ว่าไป นอกจากนั้น ยังแบ่งแยกเรื่องของเพศด้วย ห้ามผู้หญิงทำโน่นนี่นั่น ขนาดแม่ของตัวเอง ผู้ให้กำเนิด ผู้ที่เลี้ยงดูตนเองมา ยังต้องตามไปกราบตัวเองเลย คิดดูเถิด จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:24:50

ความคิดเห็นที่ 9 เท่าที่ทราบ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจะเกิดเป็นชายไปตลอดจนถึงชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่อีกฝั่งหนึ่งคือคู่บุญที่เคยอธิษฐานร่วมกัน สร้างบารมีด้วยกันมาในฝ่ายหญิงก็ตามติดกันไปในเส้นทางของโพธิสัตว ครองคู่กันไปตลอดเช่นเดียวกัน และจะไม่เกิดเป็นชายอีกเลยตราบจนบรรลุนิพพาน เหมือนพระนางพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง ์ ็ จากคุณ : Up_To_You เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:26:51

ความคิดเห็นที่ 10 สัตวโลกผู้มืดบอด...เหมือนจะเข้าใจ  แต่แท้จริงไม่เข้าใจ  ทั้งยังบิดเบือนไป....เหตุไฉนใยมารดาจึงต้องกราบบุตร ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา... จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:44:16

ความคิดเห็นที่ 11 การเป็นหญิงหรือชาย ล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรมที่ปรุงแต่งสมมติขึ้น แม้ปู่ย่าตายาย พ่อหรือแม่ ยังกลับมาเป็นลูกของลูก หลานของหลานได้อีก จิตนั้นไร้เพศ ไร้สมมติใดๆ จึงต้องพิจารณาก่อนว่าที่เป็นหญิงเพราะเหตุใด ไม่ใช่ต้องเป็นตลอดทุกภพทุกชาติ  เพศหญิงเป็นเพศอาภัพ ซึ่งจะต้อง เป็นไปตามแต่บารมี แม้ได้เป็นพุทธมารดา เมื่อต้องเปลี่ยนภพชาติยังไปเกิดเป็นสันดุสิต จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:05:14

ความคิดเห็นที่ 12 ภพชาติที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ได้รับพุทธพยากรณ์ไม่ไปบังเกิด  ได้แก่ ภพที่พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจะไม่ไปบังเกิดมี ๑๖ คือ ๑. ไม่เกิดเป็นคนป่า ๒. เป็นมารเทวบุตรไม่ได้ ๓. เป็นอสัญญสัตตพรหมไม่ได้ ๔. เป็นสุทธาวาสพรหมไม่ได้ ๕. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น ๖. ไม่เป็นอรูปพรหม ๗. ไม่เป็นผู้หญิง ๘. ไม่ไปเกิดกับคนที่เป็นทาส ๙. ไม่เกิดเป็นคน บอด หนวก ใบ้ ๑๐. ไม่เป็นคนขี้เรื้อนกุฏฐัง ๑๑. ไม่เปลี่ยนแปลงเพศ ๑๒. ไม่ทำปัญจานันตริยกรรม ๑๓. ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑๔. ไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรกและไม่เป็น ขุปปิปาสิกเปรต, นิชฌามตัณหิกเปรต และ กาลกัญจิกเปรต ๑๕. ไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ที่เล็กกว่านกระจาบ และไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่าช้าง ๑๖. เป็นพระอริยะไม่ได้ ในระหว่าง ๔ อสงไขยแสนมหากัป (หรืออยู่ในระหว่างบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับ พุทธพยากรณ์จนถึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) www.baanaree.net/downloads/book/book9.pdf ที่มา  มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา วิถีมุตตสังคหะ ปริจเฉทที่ 5 อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เจริญในธรรมคะ จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:07:36

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 6     #4 พระ อวโลกิเตศวร ในอินเดียเดิม มีรูปสลักท่านเป็นภิกษุ เป็นบุรุษ เมื่อจิตท่านกำลังจะข้ามโค ตะ ระ สู่ อริยะ จิตของพระโพธิสัตว์ท่านหยั่งสู่มหากรุณา ส่วนเมื่อเข้าสู่จีน  ได้แปลงเป็นสตรี  เพราะท่ารเน้นด้านมหาเมตตา มหากรุณา จากคุณ : กอบัวสวรรค์   ---------------------------------------- คำว่าอวโลกิเตศวร เป็นเสมือนฐานะ มีอยู่ 2 ประเภท 1.พระมนุษย์โพธิสัตว์  ผู้ที่ต้องสั่งสมบารมีจนกว่าจะเต็ม 2.พระธยานิโพธิสัตว์ ผู้มีบารมีเต็มปราถนาเข้าพุทธภูมิเมื่อใดก็ได้ พระอวโลกิเตศวรกวนอิม ไม่ใช่ อวโลกิเตศวรพระศิวะ(พระอิศวร) จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:18:07

ความคิดเห็นที่ 14 พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๘ ข้อ ๔๖๒ ถึงทุกข์ของสตรีที่ต้องแต่งงานมี ๕ ประการซึ่งเป็นทุกข์ที่บุรุษไม่ต้องมี ทุกข์ของหญิง ๕ ประการดังนี้ ๑. สตรีเมื่อเป็นสาวไปสู่สกุลแห่งสามีย่อมต้องพรากจากญาติทั้งหลาย ๒. สตรีย่อมมีโรคอยู่ทุกๆ เดือน ๓. สตรีย่อมมีครรภ์ ๔. สตรีย่อมคลอดบุตร (คลอดแต่ละครั้ง เจ็บปวด ทรมาน เป็นตายเท่ากัน) ๕. สตรีต้องทำหน้าที่บำเรอบุรุษ (เป็นที่ระบายอารมณ์ทั้งราคะโทสะของบุรุษ) ยังไม่รวมลักษณะนิสัยติดตัวสตรีอีก เช่น มักโลเล เจ้าน้ำตา ไม่ค่อยมีกำลัง ฯลฯ โดยลักษณะพวกนี้มันเป็นโทษในตัวมันเอง  คนที่เกิดเป็นผู้หญิงก็พ้นเรื่องพวกนี้ยาก ลักษณะพวกนี้มันขาดความเด็ดเดี่ยว ขาดพละกำลัง  ขาดความสะดวก  หลายๆประการ กรรมจัดสรรโดยปริยายนะคะเราว่า ไม่เคยได้ยินว่าห้ามสตรีตั้งสัจจอธิษฐานสร้างบารมีต่างๆ  แต่ถ้าเพียรไป เพียรไป  กรรมก็คงจัดสรรให้ไปเกิดเป็นชายโดยปริยาย เพราะมันเหมาะสมกว่า   อีกอย่าง  เราว่า โบราณกาลมา  การอยู่ร่วมกันของชายหญิง มันเป็ฯลักษณะของสังคมรู้หน้าที่มากกว่านะ  ชายทำหน้าที่ชาย  ออกทำมาหากินไม่เกี่ยงหญิง  หญิงทำหน้าที่ของหญิงได้เต็มที่  เลี้ยงลูก ทำกับข้าว  ร้องเพลง บำเรอปรนเปรอไปตามเรื่อง   มันก็คือ ไม่เห็นมีใครเหลื่อมล้ำใคร  ต่างคนต่างทำหน้าที่ตนไป    ก็เลยไม่อต้งมาเรียกร้องความเท่าเทียมอะไร   เรียกร้องความเท่าเทียมนี่  มันกิเลสยุคปัจจุบันหรือเปล่าเนี่ย  งงๆ   หลวงปู่ชา สุภทฺโท  ท่านเคยสอนใจไว้ว่า  คนส่วนใหญ่จะเข้าถึงความดีก็เข้าได้ยาก  เพราะไปติดอยู่ตรงนี้  ตรงที่คิดว่า เราไม่ได้บวช เป็นแค่ฆราวาสมั่ง  เราเป็นหญิง ไม่ได้เป๋็นชาย คงไม่มีโอกาสบวชมั่ง ฯลฯ  ไม่มองว่าตัวเองเป็นกายหนึ่ง จิตหนึ่ง  เท่านี้ก็หมดเรื่องแล้ว หมดอุปสรรคในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความดี   แสดงความเห็นเท่านี้ค่ะ  ผิดถูกต้องขออภัย  ชี้แนะด้วยจ้า แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 13:44:27 จากคุณ : อยากเห็นเธอตอนแก่จัง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:44:12

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 10     สัตวโลกผู้มืดบอด...เหมือนจะเข้าใจ  แต่แท้จริงไม่เข้าใจ  ทั้งยังบิดเบือนไป....เหตุไฉนใยมารดาจึงต้องกราบบุตร ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา... จากคุณ : Cathode_tube   เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 12:44:16     ----------------------------------------------------------------------------------------- พะพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้มารดากราบบุตรนะคะ   ดังเช่นพระสูตรนี้  ท่านกลับยกย่องให้มารดา คือ ผู้ที่บุตรควรกราบไหว้ คือ อาหุเนยโยบุคคล  เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา  ของบุตร ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เทวทูตวรรคที่ ๔ พรหมสูตร             [๔๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์ สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อ ของมารดาและบิดา คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ                          มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์                          และว่าอาหุไนยบุคคล เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการและ                          สักการะ มารดาบิดา ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การ                          อบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการ                          ปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาใน                          โลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=3468&Z=3481&pagebreak=0 ----------------------------------------------------------------------------------------- หากแต่ถ้าหมายถึงพระแล้ว   ในศาสนาพุทธ   คนเคารพกราบไหว้กันที่คุณวุฒิ หมายถึง  คุณธรรมที่คนเราได้เข้าถึง  จนกระทั่งถึงพระอรหันต์  และเคารพกันที่วัยวุฒิ (อายุแก่กว่าอ่อนกว่า ) แต่ ชาติวุฒิ (ชาติกำเนิด) แล้วแต่ความเหมาะสม ศึกษาได้ที่  บุญกิริยาวัตถุ 10 ในหัวข้อ  อัปจายนะ   อัปจายนะ  คือ  การประพฤติอ่อนน้อมด้วย กาย หรือด้วยวาจา  แก่บุคคลผู้มีคุณวุฒิและวัยวุฒิ บุคคลที่ควรเคารพนอบนบ 3 ประเภท อัปจายนะแท้ 2 ประเภท  คือ 1.คุณวุฒิบุคคล     เป็นผู้ใหญ่   ด้วยอำนาจแห่ง ศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ 2.วัยวุฒิบุคคล      เป็นผู้ใหญ่   ด้วยอำนาจแห่งอายุ อัปจายนะไม่แท้  แต่คนในโลกนับถือโดยอนุโลม ประเพณีนิยมทั่วไป 3.ชาติวุฒิบุคคล    เป็นผู้ใหญ่   ด้วยอำนาจแห่งวงศ์สกุล อัปจายน  มี 2 อย่างคือ สามัญญจายตนะ  การแสดงความเคารพนบนอบบิดามารดา ปู่ย่า ครูอาจารย์ โดยมาระลึกนึกว่าเมีหน้าที่ต้องทำความเคารพนอบนบแด่ท่านเหล่านี้ เพราะเป็นญาติผู้ใหญ่  เป็นครูอาจาย์ของเรา เป็นต้น วิเสสอัปจายตนะ  การแสดงความเคาพนอบนบอ่อนน้อมในพระรัตนตรัยด้วยการระลึกนึกถึงคุณต่างๆ มี อรหํ เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งมหากุศลจิตที่ประกอบด้วยศรัทธา ปัญญา โดยเปล่งวาจาว่า  พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  เป็นต้น ที่มา ที่มา  มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา วิถีมุตตสังคหะ ปริจเฉทที่ 5 อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ----------------------------------------------------------------------------------------- การไหว้พระถือว่าเป็นการเคารพโดยพิเศษ  คือ วิเสสอัปจายนะ  คือ การเคารพในพระรัตนตรัย  มิใช่การเคารพกราบไหว้แบบธรมดา  เป็นการให้ความเคารพในขั้นสูงสุด  ในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง ในที่นี้ไม่ว่าพระจะมีชาติเนิดใด   อายุเท่าใด  แต่ในด้านคุณธรรม  ถ้าอายุ 7 ขวบ บวชเป็นเณร  หรือแม้แต่เณรที่บรรลุพระอรหันต์ ก็ยิ่งต้องเคารพและกราบไหว้  ผู้ที่สูงกว่าด้วยคุณธรรมเหล่านั้น  เพราะท่านเหล่านั้นชื่อว่า  เขามีศีลมากกว่าเรา  มีคุณธรรมมากกว่าเรา  สามารักษาศีลได้  หรือ  สามาถบรรลุธรรมได้   ในขณะที่เรากำลังทำอกุศลอยู่  เป็นผู้ทำความชั่วได้   ยิ่งต้องเคารพกราบไหว้คนเช่นนี้  และยิ่งต้องพิจารณาตนเองว่า  เหตุใด  เราผู้เกิดมาก่อน  จึงทำไม่ได้เช่นนั้น  จึงไม่สามารถสูงด้วยคุณธรรมกว่าผู้ที่ตนกราบไหว้   ได้เช่นนั้น   จึงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กราบไหว้สูงสุด พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ บุคคลที่ไม่ควรไหว้ ๑๐ จำพวก             [๒๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๑๐ จำพวกนี้ อันภิกษุไม่ควรไหว้ คือ   อันภิกษุผู้อุปสมบทก่อนไม่ควรไหว้ภิกษุผู้อุปสมบทภายหลัง ๑ ไม่ควรไหว้อนุปสัมบัน ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุนานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่ไม่ใช่ธรรมวาที ๑ ไม่ควรไหว้มาตุคาม ๑ ไม่ควรไหว้บัณเฑาะก์ ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้อยู่ปริวาส ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรมานัต ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ประพฤติมานัต ๑ ไม่ควรไหว้ภิกษุผู้ควรอัพภาน ๑             บุคคล ๑๐ จำพวกนี้แล อันภิกษุไม่ควรไหว้ ฯ บุคคลที่ควรไหว้ ๓ จำพวก             ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ ภิกษุควรไหว้ คือภิกษุผู้อุปสมบทภายหลัง ควรไหว้ภิกษุผู้อุปสมบทก่อน ๑ ควรไหว้ภิกษุนานาสังวาสผู้แก่กว่า แต่เป็นธรรมวาที ๑ ควรไหว้ตถาคตผู้อรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ในโลกทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์             บุคคล ๓ จำพวกนี้แล ภิกษุควรไหว้ ฯ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=2258&Z=2271&pagebreak=0 เจริญในธรรมคะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 14:28:50 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 14:25:10 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 14:23:36 จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 14:18:50

ความคิดเห็นที่ 16 สาธุ สาธุ สาธุ ขอบพระคุณท่าน goodsthailand ที่เมตตาแสดงใน คห.ที่ 15   เพื่อสัตวโลกผู้มืดบอดจักได้ศึกษาพิจารณาให้เข้าใจในเหตุ  หากเดิมเข้าใจไม่ตรงก็จะได้เข้าใจและทำความเห็นให้สมควร   แต่หากเดิมแท้เจตนาไม่ตรงแม้จักแสดงธรรมด้วยพิศดารอย่างไร...อนาคตสัตวโลกผู้มืดบอดก็ยังคงบิดเบือนต่อไป     และข้อธรรมที่แสดงมานี้ยังประโยชน์แก่ผู้ที่ยังศึกษาอยู่จักได้รู้ได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกที่ควร อนุโมทนา..._/l\_ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 16:35:28 จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 14:43:25

ความคิดเห็นที่ 17 ความจริงก็คือเพศหญิง มีสภาพจิตสู้เพศชายไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องน้อยใจไปเลย ผมเป็นเกย์ สภาพจิตแย่กว่าเพศหญิงซะอีก ยังไม่คิดมาก เพราะเชื่อในเรื่องกรรม จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:00:20

ความคิดเห็นที่ 18 ความจริงก็คือเพศหญิง มีสภาพจิตสู้เพศชายไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องน้อยใจไปเลย ผมเป็นเกย์ สภาพจิตแย่กว่าเพศหญิงซะอีก ยังไม่คิดมาก เพราะเชื่อในเรื่องกรรม *********************************** ไม่จริงเสมอไป เป็นบางคนเท่านั้น ผู้หญิงบางคนก็แกร่งเกินชาย อยู่ที่การฝึกจิต สำหรับคุณ สภาพจิตดีมาก กล้าบอกว่าตัวเองเป็นเกย์นี่น่ะ สำหรับพระพุทธเจ้า ต้องเป็นชายเท่านั้น เพราะมีความสมบูรณ์ ความยอดเยี่ยมสูงสุด ความเหมาะสมกับการบำเพ็ญภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์ เพศชายจะทำได้ดี และมีโอกาสได้ทำมากกว่า พระอรหันต์ในโลกนี้ จึงเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง คิดดู พวกที่เป็นข้าราชการ ให้ชายลาบวชได้ แต่หญิงให้ลาคลอดได้เป็นส่วนใหญ่ นี่ก็ด้อยในเรื่องโอกาส จากคุณ : จางปาง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 17:08:57

ความคิดเห็นที่ 19 ผู้บรลุธรรมขั้นสูงเช่นพระพุทธเจ้า หรือพวกมีไปเป็นพรหมระดับหนึ่ง ไม่มีคำว่าเพศหญิงหรือเพศชายแล้ว (แต่รูปลักษณ์ที่เราเห็นคล้ายเป็นชาย) คือตัดเรื่องกามโดยเด็ดขาด จึงไม่มีความรู้สึกทั้งหญิงและชาย กรณีพระแม่กวนอิม ทำไมเป็นหญิง คือ ชาติสุดท้ายพระอวโลกเตศวรก่อนที่จะสำเร็จพระโพธิสัตว์ ท่านเสวยพระชาติขอเกิดเป็นหญิงเป็นบำเพ็ญ มีประวัติคือ เกิดเป็นพระนางเมี่ยวซัน ราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน ราว สองหมื่นปีมาแล้ว ยุคพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ได้หนีออกจากวัง ไปบำเพ็ญ พระราชบิดาโกรธแค้นมากสั่งทหารตามไปฆ่า แต่นายทหารที่ตามไปฆ่านั้น กลับไปเฝ้าอารักษ์ขา ปกป้องให้พระนางเมี่ยวซันบำเพ็ญจนสำเร็จพระโพธิสัตว์ และโปรดพระราชบิดาให้นับถือพุทธศาสนา แต่คนจีนนิยมท่านในรูปของหญิง ซึ่งมีความอ่อนโยนและเมตตาเห็นชัดกว่าชาย ซึ่งจริงๆแล้วเป็นชาย(ตามรูปลักษณื) หรือไม่มีเพศนั่นเอง นายทหารผ้นั้น คือชาติก่อนของท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระนั่นเอง แต่ในคนจีนจะรู้จักท่านในนาม ฮู้ฮวบซิ้ง (เทพผู้พิทักษ์ธรรม)  ตามโบสถ์วัดจีนทุกวัด ด้านหน้าจะมีรูปปั้นคล้ายกษัตริย์จีนถือง้าวใหญ่ๆองค์หนึ่ง ชี้ตรงมาที่โบสถ์ แสดงว่า ท่านจะปกป้อง พิทักษ์พุทธศาสนาตลอดไป ทั้งหมดที่เล่ามา จำมาจากสมเด็จโตไขข้องข้องใจของผู้ถามไว้ที่สำนักปู่สวรรค์ เพราะเขาหาคำตอบที่ไหนไม่ได้ ไปหาอ่านเพิ่มเติมกันเองนะจ๊ะ สาธุชน ฟังไว้เล่นๆนะ.......ไม่ต้องเชื่อ จ่ายสดดีกว่า......5555555 จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 02:23:04

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าเป็นคนปฏิบัติจริง เรื่องเพศไม่ใช่ปัญหาเลย นั่งคู้เข่าเข้ามาหลับตาซะ ภาวนาดูจิตดูใจตัวเอง ถามใจมันดูว่ามันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ใจจริง ๆ มันไม่มีเพศหรอก มีแต่กายสังขารเท่านั้นที่เราสมมติให้เป็นเพศชายเพศหญิง ถ้าตั้งใจจริง รู้ธรรมได้เหมือนกัน จากคุณ : Klaibann เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 07:56:02

ความคิดเห็นที่ 21 ผมคิดว่า กิเลสบางอย่าง เพศหญิง ตัดยากกว่าเพศชาย และที่สำคัญเป็นกิเลส อย่างละเอียดเสียด้วย เช่น ความรักสวยรักงาม  ยึดติดในรูปลักษณ์ จากคุณ : ongardnrp เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 20:40:47

ความคิดเห็นที่ 22 เเท้จริงเเล้วเจ้าเเม่กวนอิมเป็นผู้ชายนะครับ จากคุณ : SurferSwing เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 55 07:01:00