ความคิดเห็นที่ 1 ปัญจานันตริยกรรม ถ้าให้ผลในลำดับแห่งจุติ ก็จะไปเกิดใน "อเวจีมหานรก" นรกขุมที่ลึกสุดใน มหานรก ๘ ส่วน นิยตมิจฉาทิฏฐิ ถ้าให้ผลในลำดับแห่งจุติ ก็จะไปเกิดใน "โลกันตนรก" นรกที่อยู่นอกเขาจักรวาล หนาวเหน็บ และมีน้ำกรดอยู่ด้านล่าง จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:49:53

ความคิดเห็นที่ 2 มี link ให้อ่านฉบับเต็มๆ ที่ท่านเจ้าของกระทู้ นำมาแสดงไหมครับ รบกวนด้วยครับ อยากตามไปอ่าน จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 16:12:30

ความคิดเห็นที่ 3 ก่อนอื่นผมมารายงานตัวก่อนว่าผมเชื่อเรื่องภพชาติและการเวียนเกิดเวียนตายตราบที่ยังคงมีอวิชชา แต่ที่สงสัยในประเด็นนี้คือ การเชื่อเรื่องสัสตทิฏฐินี่ไม่ต้องไปนรกหรือครับ ? หรือว่า จขกท. เอามาบางส่วนของพระสูตรครับ อีกประเด็นหนึ่ง ผมเคยอ่านและฟังผลงานหลวงพ่อพุทธทาส ที่ท่านเทศน์สอนผู้ป่วย ผมก็เห็นท่านสอนแบบนี้คือท่านสอนทำนองว่าถ้ายังไม่หมดอวิชชา(ถ้าตาย)ย่อมต้องไปเกิดใหม่) เสียแต่ว่ากัณฑ์เทศน์นี้ไม่ค่อยมีใครถอดเทปมาพิมพ์ เมื่อสัก ๑๐ ปีก่อนผมเคยถอดเทปกัณฑ์นี้มาพิมพ์ จึงเข้าใจท่านได้ดี ว่าแท้จริงแล้วท่านไม่ได้เชื่อว่าตายแล้วสูญ แต่ต้องการสอนให้คนส่วนใหญ่หันใสนใจจิตของตนในปัจจุบัน(จิตตานุปัสสนา)ครับ จากคุณ : สติ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:12:01

ความคิดเห็นที่ 4 เอาตัวหนังสือมาให้ดู นึกว่าจะเอาภพหน้ามาให้ดู จากคุณ : RouteRaideR เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:17:40

ความคิดเห็นที่ 5 คนที่เชื่อ เขาก็เชื่อ   คนที่ไม่เชื่อ เขาก็ไม่เชื่อ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:45:45

ความคิดเห็นที่ 6 ท่องอบายภูมิ ที่มา  อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย http://www.buddhism-online.org/Section06A_07.htm หรือ http://www.bodhiyalai.org/bodhiyalai/index.php?option=com_content&view=article&id=335:2009-08-08-02-16-47&catid=127:2009-08-08-00-24-11&Itemid=157 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔  พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ ติกะ [๖๘๑] ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน?             อนันตริยกรรม ๕ และนิยตมิจฉาทิฏฐิ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน.             ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน?             มรรคที่เป็นโลกุตตระทั้ง ๔ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน.             ธรรมให้ผลไม่แน่นอน เป็นไฉน?             เว้นธรรมเหล่านั้นเสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรมที่เหลือที่เป็นกามาวจร  รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และ  อสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมให้ผลไม่แน่นอน. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=34&A=5746&Z=6041 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖  พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ เอกกนิทเทส [๓๐] บุคคลผู้เที่ยงแล้ว เป็นไฉน             บุคคลผู้ทำอนันตริยกรรม ๕ จำพวก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ และ พระอริยบุคคล ๘ ชื่อว่า ผู้เที่ยงแล้ว บุคคลนอกนั้นชื่อว่า ผู้ไม่เที่ยง http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=2734&Z=2939 ----------------------------------------------------------------------------------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เรื่องพระมาลุงกยบุตรดำริถึงมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และไม่ทรงพยากรณ์             [๑๕๒] ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร ทิฏฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่  สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ ก็หามิได้ ดังนี้ เราไม่พยากรณ์. ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์  เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย  เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ เราพยากรณ์. ก็เพราะเหตุไร เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์ ข้อนั้น. เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด.             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระมาลุงกยบุตร ยินดีชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2682&Z=2813&pagebreak=0 เจริญในธรรมคะ จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:47:12

ความคิดเห็นที่ 7 [๑๐๗] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษ ผู้รู้แจ้งย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าโลกหน้าไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักทำตนให้สวัสดีได้ ถ้าโลกหน้ามี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก. อนึ่ง โลกหน้าอย่าได้มีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จงเป็นคำจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ เป็นผู้อันวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันว่า เป็นบุรุษบุคคลทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาท. ถ้าโลกหน้ามีจริง ความยึดถือของท่านบุรุษ บุคคลนี้ ปราชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบัน ถูกวิญญูชนติเตียน เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ด้วยประการฉะนี้. อปัณณกธรรมนี้ ที่ผู้นั้นถือไว้ชั่ว สมาทานชั่ว ย่อม แผ่ไปโดยส่วนเดียว ย่อมละเหตุแห่งกุศลเสีย ด้วยประการฉะนี้. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=13&A=1833&Z=2382 ไม่ต้องเลือกเชื่อ ขอให้อ่านเต็มๆพระสูตร ตามลิ้งค์ ได้เลยครับ ตรงประเด็น แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 19:57:05 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:50:49

ความคิดเห็นที่ 8 นอกจากในพระสูตรที่เป้นพุทธดำรัส ตาม คคห ที่ 7 แล้ว ยังมีพระอรหันต์  ระดับ อรรถคถาจารย์ รับรองไว้ ในสมัยโบราณ ..มาแล้ว วาทะ ๓                             บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ เจ ภวํ ครหติ ความว่า เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่ามิจฉาทิฏฐินี้ดี ดังนี้ก็ดี เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่า สัมมาทิฏฐินี้ไม่ดี ดังนี้ก็ดี ย่อมชื่อว่าติเตียนสัมมาทิฏฐิ.               บทว่า โอกฺกลา ได้แก่ ชาวโอกกลชนบท.               บทว่า วสฺสภญฺญา ได้แก่ ชน ๒ พวก คือพวกวัสสะ และพวกภัญญะ.               บทว่า อเหตุวาทา คือ ผู้มีวาทะเป็นต้นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย.               บทว่า อกิริยวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะปฏิเสธการกระทำอย่างนี้ว่า เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ               บทว่า นตฺถิกวาทา ได้แก่ ผู้มีวาทะเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วย่อมไม่มีผล.               ชนผู้มีวาทะดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นผู้ก้าวลงแน่นอนในทัสสนะ ๓ ประการเหล่านี้.               ถามว่า ก็การกำหนดแน่นอนแห่งทัสสนะเหล่านี้ มีได้อย่างไร?               ตอบว่า ก็บุคคลผู้ใดถือลัทธิเห็นปานนี้ นั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน สาธยายอยู่ พิจารณาอยู่ มิจฉาสติของบุคคลผู้นั้นย่อมตั้งมั่น ในอารมณ์นั้นว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เมื่อทำ (บาป) บาปก็ไม่เป็นอันทำ ทานที่ให้แล้วไม่มีผล เมื่อกายแตกย่อมขาดสูญ จิตของผู้นั้นย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่ง.               ชวนะทั้งหลายย่อมแล่นไป. ในชวนะที่หนึ่งยังพอแก้ไขได้ ในชวนะที่สองเป็นต้นก็ยังพอแก้ไขได้เหมือนกัน. แต่ในชวนะที่เจ็ด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงแก้ไขไม่ได้ เป็นผู้มีปกติไม่หวนกลับ    เช่นกับภิกษุชื่ออริฏฐกัณฏกะ.             ในบรรดาทัสสนะเหล่านั้น บางคนก้าวลงสู่ทัสสนะเดียว บางคน ๒ ทัสสนะ บางคน ๓ ทัสสนะ จึงเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคลโดยแท้ ถึงการห้ามทางไปสวรรค์และพระนิพพาน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252#%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0_%E0%B9%93 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 20:19:24 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 19:54:00

ความคิดเห็นที่ 9 #3 สัสสตทิฏฐิ ปิดกั้น มรรคผลนิพพาน แต่ไม่ได้ปิดกั้นสุคติภูมิครับ       ส่วน อุจเฉททิฏฐิ ปิดกั้น ทั้ง มรรคผลนิพพาน และปิดกั้นสุคติภูมิด้วย ----------------------------------------------- เมื่อมี กัมมัสสกตาปัญญา ก็จะละอุจเฉททิฏฐิได้ ต่อจากนั้น เมื่อมี วิปัสสนาปัญญา ก็จะละสัสสตทิฏฐิได้ เป็นลำดับถัดไป.... แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 20:05:35 จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 20:03:57

ความคิดเห็นที่ 10 งงกับตรรกะของคนที่คิดว่า คนที่ไม่เชื่อเรื่องภพหน้าจะต้อง ทำแต่ความชั่ว เพราะไม่ต้องกลัวผลบาปตามไปชาติหน้า ไม่ทำดี เพราะไม่มีผลอะไรกับชาติหน้า ทำไมไม่สงสัยตัวเองบ้างว่า เคยเห็นด้วยตาตัวเองบ้างมั้ยว่ามีนรกกี่ร้อยขุม มีสวรรค์กี่พันชั้น เคยเห็น เคยไปชมหรือก็เปล่า ท่องจำมาจากตำราทั้งนั้น เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ ส่งต่อความงมงายจากรุ่นสู่รุ่น เพียงเพราะเห็นว่ามันมีเขียนอยู่ในตำราเท่านั้น ใครว่ายังไงก็ไม่ฟัง อย่างนี้ไม่เรียกมิจฉาทิฐิบ้างหรือ? สักแต่ว่าอ่าน สักแต่ว่าท่องจำ สักแต่ลอกแปะมาให้อ่าน แต่ตีความไม่เป็น อย่างนี้ป่่าว ที่เค้าเรียกว่าเถรใบลาน จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 21:09:03

ความคิดเห็นที่ 11 #10 เท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า "คนที่ไม่เชื่อเรื่องภพหน้าจะต้องทำแต่ความชั่ว เพราะไม่ต้องกลัวผลบาปตามไปชาติหน้า ไม่ทำดี เพราะไม่มีผลอะไรกับชาติหน้า"   คนที่ไม่เชื่อเรื่องภพหน้ายังไงก็ต้องทำตามกฎหมายอยู่แล้ว ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะเดือดร้อนไม่วันใดก็วันหนึ่ง  ส่วนเรื่องบาป-บุญนั้นไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปทำไมในเมื่อชาติหน้าไม่มี บาป-บุญไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว ไม่ได้สะสมไปไหน อย่างมากทำทานก็เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็แค่นั้น ถ้าคุณคิดเรื่องบาป-บุญ ช่วยให้เหตุผลหน่อยว่าคิดไปเพื่ออะไร คนที่เชื่อเรื่องภพหน้าก็เพราะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าตามพุทธเถรวาท แล้วก็ยกคำสอนนั้นมาเผยแผ่ ส่วนใครที่ไม่เชื่อคำสอนพุทธเถรวาทก็ขอให้ผ่านไปจะดีกว่า อย่าไปตำหนิความเชื่อของผู้อื่นเลย ไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกเชื่อแบบไหน ไม่มีใครบังคับใครหรือสนใจอยู่แล้ว จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 23:37:08

ความคิดเห็นที่ 12 #10 คนที่เค้าเห็นด้วยตนเอง ด้วยตาทิพย์ ก็มี ไม่ใช่เชื่อแค่ตามตำรา แค่คุณไม่รู้เอง เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดร้องบอกว่าไม่เชื่อว่าโลกนี้มีสีสันต่างๆ เพราะตนมองไม่เห็น ถ้าอยากรู้ ลองฟังคลิปของ ดร.สนอง วรอุไร ดูครับ หาได้ตามยูทูป จากคุณ : ksarot เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 00:44:48

ความคิดเห็นที่ 13 กิ๊ฟสุดท้ายของเดือนนี้ ให้เจ้าของกระทู้ คคห7 ครับ จากคุณ : แมงกุ๊ดจี่ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 07:12:01

ความคิดเห็นที่ 14 ทำอย่างไรที่เรียกว่า ไม่ประมาท นั่นแหละดีที่สุด เพราะ พระพุทธองค์บอกว่า........ผู้ที่ประมาทคือผู้ที่ตายแล้ว  จริงใหมล่ะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 10:02:52

ความคิดเห็นที่ 15 ตีความไม่เป็น .. มุขนี้ ใช้จนเปื่อย บางทีก็เพลีย แนะนำให้ไปเรียนปรัชญาไม่ก็ตั้งลัทธิใหม่รับรองรุ่ง ไม่มีใครมาแย้งชัวร์ ส่วนในพระไตรปิฏก หลายๆ พระสูตร แทบจะสื่อเรื่องภพหน้ากันเป็นเรื่องปกติของคนที่ยังไม่หมดอวิชชา แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 12:48:11 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 11:41:18

ความคิดเห็นที่ 16 #11 ผมก็เชื่อคำสอนตามพุทธเถรวาทนี่แหละ แต่คัดเลือกเอาสิ่งที่ดีที่จำเป็นเท่านั้น คนที่ไม่เชื่อเรื่องภพหน้ายังไงก็ต้องทำตามกฎหมายอยู่แล้ว ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะเดือดร้อนไม่วันใดก็วันหนึ่ง  ส่วนเรื่องบาป-บุญนั้นไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปทำไมในเมื่อชาติหน้าไม่มี บาป-บุญไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว ไม่ได้สะสมไปไหน อย่างมากทำทานก็เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็แค่นั้น ถ้าคุณคิดเรื่องบาป-บุญ ช่วยให้เหตุผลหน่อยว่าคิดไปเพื่ออะไร แน่นอนว่าทุกคนต้องทำตามกฏหมายอยู่แล้ว เพราะมีผลบังคับใช้จริง แต่บุญ บาป เป็นเรื่องสามัญสำนึกที่เราควรต้องคิดได้เองอยู่แล้ว อะไรดีอะไรชั่ว อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ต่อให้ไม่เป็นพุทธก็ต้องคิดได้ หรือคุณคิดเองไม่ได้?  ข้อเสียของคนที่งมงายในเรื่องบุญ บาปแบบมีนรก สวรรค์ในชาติหน้า คือจะเสพติดการทำบุญ ทำบุญแบบหวังผล อะไรไม่ได้บุญตอบแทนก็ไม่ทำ จนบดบังวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการทำบุญไปว่า ทำบุญเพื่ออะไร สำหรับผม การทำบุญ ไม่ใช่การสะสมบุญไปใช้ชาติหน้า ต้องการแค่ความสุขใจ สบายใจที่ได้ทำ ณ ตอนนี้มากกว่า ซึ่งมันไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการทำบุญหรือครับ? การที่ทำบุญแล้วได้บุญไปใช้ชาติหน้า คุณไม่คิดว่ามันเป็นกุศโลบายสำหรับชักจูงคนที่เข้าไม่ถึงศาสนาพุทธให้ทำความดีหรอกหรือครับ คนเหล่านี้ซิ จะไม่ทำบุญหากไม่มีชาติหน้า ต่างกับคนที่เชื่อว่าไม่มีชาติหน้า แต่ก็ยังคงทำสิ่งที่เรียกว่า บุญ อยู่ โดยไม่ต้องเอาสวรรค์ เอาชาติหน้ามาหลอกล่อ แล้วการทำบุญหวังผล คุณคิดว่ามันได้บุญจริงหรือ? #12 คนที่เค้าเห็นด้วยตนเอง ด้วยตาทิพย์ ก็มี ไม่ใช่เชื่อแค่ตามตำรา แค่คุณไม่รู้เอง เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดร้องบอกว่าไม่เชื่อว่าโลกนี้มีสีสันต่างๆ เพราะตนมองไม่เห็น ถ้าอยากรู้ ลองฟังคลิปของ ดร.สนอง วรอุไร ดูครับ หาได้ตามยูทูป คุณเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง ได้แต่อ้างคนอื่น คุณเชื่อเค้ามากหรือครับ คนตาบอดอาจไม่เชื่อว่าโลกมีสี อาจจะไม่ผิด แต่ที่ต่างกันคือมีคนตาดีอีก 99%ในโลกนี้ที่เห็นนี่ครับ อันนี้มันเป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่เห็น ต่างกับเรื่องชาติหน้า นรกสวรรค์ ที่มีคนอ้างว่าเห็นเพียงไม่กี่คน แถมยังไม่น่าเชื่อถือเสียอีก คุณช่างเป็นคนที่เชื่ออะไรง่ายมาก ระวังตัวนะครับ จะตกเป็นเหยื่อโดนหลอกลวงได้ง่ายมาก #15 ตีความไม่เป็น .. มุขนี้ ใช้จนเปื่อย บางทีก็เพลีย แนะนำให้ไปเรียนปรัชญาไม่ก็ตั้งลัทธิใหม่รับรองรุ่ง ไม่มีใครมาแย้งชัวร์ ส่วนในพระไตรปิฏก หลายๆ พระสูตร แทบจะสื่อเรื่องภพหน้ากันเป็นเรื่องปกติของคนที่ยังไม่หมดอวิชชา ก็ถ้าตีความกันเป็น ศาสนาพุทธบ้านเราคงไม่บิดเบี้ยวไปอย่างนี้หรอก นับถือกันอย่างหลงไหลงมงาย ผมว่าคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้เปลี่ยนไปนับถือฮินดู ไม่ง่ายกว่าหรือครับ ไม่ต้องไปตั้งลัทธิใหม่ด้วยให้เสียเวลา มี เทพเทวดา นรกสวรรค์ อิทธิปาฏิหารย์ครบถ้วนทุกอย่างตามที่คุณใฝ่ฝันหา ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้ามาบังหน้าด้วย แต่กลัวจะเหลือคนนับถือพุทธไม่กี่คนนะซิ จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 13:26:00

ความคิดเห็นที่ 17 #16 ขอบคุณที่ช่วยขยายความเรื่องทำบุญเพื่่อความสบายใจสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อว่าภพหน้ามีจริง ก็แปลกดีเป็นวิธีการพักผ่อนหย่อนใจอีกแบบหนึ่ง วันไหนไม่สบายใจก็ไปทำบุญ บุญ-บาปของแต่ละศาสนาก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับคำสอนของแต่ละศาสดา ถ้าเอาความสบายใจอย่างเดียวผมว่าไปเที่ยว ไปใช้เงินน่าจะง่ายกว่า ผมเห็นพื่อนๆที่เป็นคนไม่นับถือศาสนาใดๆเขาก็ทำง่ายๆแบบนั้น แต่เขาเป็นคนดีนะครับ ไม่ค่อยทำผิดกฎหมายเท่าไหร่ แต่จะให้ถูกเป๊ะคงยากเหมือนกัน ก็แล้วแต่ความคิดครับ ของแบบนี้ไม่ว่ากัน จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 15:02:51

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณที่พิมพ์มาตั้งเยอะ แต่ผมไม่ได้อ่านหรอก ผมเป็นหนึ่งในคนไทยที่อ่านหนังสือปีละสามบรรทัดอะครับ 55+ งงกับตรรกะ (ขอเล่นบ้าง 55+) กับคนที่คิดว่า ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องภพหน้า เวลาทำบุญจะต้องทำบุญหวังผล เสพติดการทำบุญ ทำบุญแบบงมงาย .. เฮ้อ เพลีย .. คนงมงาย เขาตัดสินกันแบบนี้หรอครับ .. แนะนำให้ตีความใหม่เถอะครับ .. เออ นิผมกำลังเรียนภาษาไทยอยู่หรอ เหอๆ .. เอิ่มม มุขนี้ ฮาไปไหน -*- และ งงกับตรรกะ กับคนที่คิดว่า  ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องภพหน้า มองว่าคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ จะไม่ยอมทำกรรมดี .. เฮ้อ คิดได้ไง .. พอเถอะครับ ความจริง ส่วนใหญ่เขาหวังดี ก็แค่มาบอกเท่านั้นแหละ ไม่มีใครเสียเวลา มาเปลี่ยนแปลงความเชื่อคุณหรอก ตามสบายครับ คุณมีทิฏฐิอย่างไร คุณเป็นอย่างไร ก็เป็นไปเถอะครับ แล้วเรื่องศาสนาเสื่อม มันเกี่ยวกันได้ไง งงตรรกะ 55 คนที่เขาศีกษา เขาก็เผยแพร่ ถูกต้องอยู่ในกรอบของศาสนา มันไม่ได้เสียหายอะไรเลย .. ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอครับ เหอๆ ส่วนถ้าเนื้อหาผิดพลาดตรงไหน เดวก็มีคนมาช่วยกันถกในประเด็น ช่วยกันหาบทสรุป ที่ถูกต้องให้ ในประเด็นที่ จขกท ตั้ง ผมก็เห็นมีแต่คุณนิแหละ พูดเรื่อง นรกสวรรค์ เทพเจ้า ฮินดู แล้วกล่าวตู่คนอื่นว่าเอาพระพุทธเจ้าบังหน้า ทำศาสนาเสื่อม คนอื่นเขาก็อยู่กันเฉยๆ ไม่เห็นอะไรกัน พอมีคนยกเนื้อหาพระไตรปิฏกให้ดู ก็ด่ากลับซะอีกว่า โง่ เชื่อตำรา ตีความไม่เป็น บลาๆ ฯลฯ .. พอเถอะครับ คุณเพอร์ซีอุส บุตรแห่งซุส ระวังจะไม่ได้กลับโอลิมปัสนะครับ ซุสก็เตือนอยู่บ่อยๆ ว่าอย่ามายุ่มย่ามบนโลกมนุษย์ เฮ้อ .. สงสาร จขกท อุตสาห์สละเวลาตั้งกระทู้ดีๆ ให้อ่าน .. เสียบรรยากาศหมด ไปดีกว่า และขอ อนุโมทนาบุญ จขกท นะครับ ถ้ามีลิ้งเพิ่มเติม รบกวนช่วยนำมาแปะไว้ให้หน่อยนะครับ อยากอ่านครับ^^ ขอบคุณล่วงหน้านะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 16:51:33 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 16:34:30 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 16:32:40 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 16:16:44

ความคิดเห็นที่ 19 "งงกับตรรกะ (ขอเล่นบ้าง 55+) กับคนที่คิดว่า ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องภพหน้า เวลาทำบุญจะต้องทำบุญหวังผล เสพติดการทำบุญ ทำบุญแบบงมงาย .. เฮ้อ เพลีย " ผมว่าพุทธแบบเถรวาทก็ควรไล่คนทำบุญหวังผล เสพติดการทำบุญแบบนี้ไปตั้งลัทธิใหม่เหมือนกันนะ จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้าน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 16:34:44

ความคิดเห็นที่ 20 การทำบุญหวังผล กับ การทำบุญเพื่อละกิเลสภายในใจ ใครจะทำบุญอย่างไร รูปแบบไหน ก็เป็นสิทธิ์ของคนๆ นั้นครับ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่อานิสงค์การทำบุญย่อมต่างกัน เพราะเนื้อแท้ภายในจิตใจต่างกัน (แม้จะทำบุญรูปแบบเดียวกัน) คนที่ดำเนินชีวิตตามแนวมรรคแปด ย่อมทำบุญเพื่อลด เพื่อละ เพื่อกำจัด โลภะจิต ที่เกิดขึ้นภายในใจ เป็นปกติกันอยู่แล้ว การที่จะเสพติด การทำบุญ หวังผล ฯลฯ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่เกิดขึ้นได้เลย ส่วนคนที่ทำบุญแบบขาดสติ หน้ามืดตามัว หวังชื่อเสียง หวังทรัพย์ แม้จะได้บุญก็จริงอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ย่อมสั่งสมอวิชชาภายในจิตใจเพิ่มขึ้นๆ ทุกขณะจิต ยากที่จะบรรลุมรรคผลในอนาคต เพราะมีแต่อัตตาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้มีมานาน มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนา และในขณะเดียวกันคนที่เขา ตั้งใจรักษาศีล ซึ่งถือว่าเป็นมหาทาน มีอานิสงค์ใหญ่กว่าทานทั้งปวง คนเหล่านี้ก็มีมานาน มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนา เช่นกัน (ไม่ขอยกพระสูตรมาไว้นะครับ เพราะคุณเคยบอกว่า คุณไม่อ่าน) คนเหล่านี้ มีมานาน มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนา ดังนั้นอย่าเหมารวมว่า ชาวพุทธส่วนใหญ่ เสพติดการทำบุญ ทำบุญหวังผล ฯลฯ ตีความไม่เป็น เชื่อแบบงมงาย ฯลฯ เพราะมันไม่จริงเลย ชาวพุทธของจริง ย่อมใช้ชีวิตตามแนวมรรคแปด ไม่ใช่มัวเมาในการทำบุญ หรือเชื่อแบบงมงาย อย่างที่คุณเพอซีอุสบุตรแห่งซุสกล่าวตู่ แบบไม่รู้เหนือ ไม่รู้ใต้ คนที่เขาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็มีเยอะแยะ ทำไม ไปมองคนส่วนนึง ว่าเป็นคนส่วนใหญ่ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 22:31:23 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 18:10:54

ความคิดเห็นที่ 21 ท่านไม่ได้มีกุศโลบายลึกซึ้งอะไรหรอก เพียงแต่ชอบด่วนสรุปเขียนอะไรๆออกมาเป็นหนังสือเสียก่อน ประมาณว่าจะได้รับการยกย่องว่าข้าได้ค้นพบก่อนใคร แต่มีหลายเรื่องที่พุทธทาสมาเปลี่ยนใจเอาตอนบั้นปลายชีวิต เรื่องภพหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น สาวกก็เลยงงไปตามๆกัน ตกลงเอาไงกันแน่ จากคุณ : transformation (TRANSFORMATION) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 20:59:51

ความคิดเห็นที่ 22 #16 ขอให้โชคดี ในการท่องสังสารวัฏ อันยาวไกลนะครับ แต่จริงๆ  โชค ไม่มีในศาสนาพุทธ มีแต่ กรรม และผลของกรรม ที่เราทำไว้ ความจริงคนที่ไม่เชื่อแบบคุณ ก็มีมาตลอดทุกยุคสมัย ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สองพันกว่าปีที่แล้ว ก็มีคนคิดแบบนี้กันแล้ว  ไม่ได้เป็นความคิดสมัยใหม่ทันสมัยโก้เก๋แต่อย่างใด จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ปฏิบัติ สมาธิภาวนา วิปัสสนากรรฐาน ไปเรื่อยๆนะครับ เมื่อปัญญาแก่กล้า คุณจะรู้ด้วยตนเอง ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณ เมื่อคุณไม่รู้ จึงได้แสดงความเห็นอย่างนี้ ที่ผมยกตัวอย่าง ดร.สนอง ก็เพราะ ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ( จากที่ท่านพูดเอง) แบบคุณนี่แหละ  แต่ท่านลงมือพิสูจน์ ด้วยวิธีการทางพุทธ ฝึกสมาธิ วิปัสนา อย่างจริงจัง เมื่อปัญญาเิกิดก็รู้ได้ด้วยตนเอง   ผู้มีปัญญาที่แท้ ไม่ใช่แค่เอาแต่นั่งคิดเอา ผมเชื่อว่าคุณเป็นผู้มีปัญญาที่แท้ สักวันคุณจะลงมือพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีการของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่การคิดเอาเอง ยินดีที่ร่วมสนทนาครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 21:55:40 จากคุณ : ksarot เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 21:54:40

ความคิดเห็นที่ 23 #16 พระพุทธเจ้าสอนระดับมหภาคและจุลภาค ท่านสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ วัฎฎสงสาร เพื่อให้เห็นภาพรวมของชีวิต เรื่องบาป-บุญเป็นเรื่องของกรรมเหมือนคะแนนสะสม  ไม่มีใครมานั่งให้คะแนนแต่มันจะไปสะสมที่จิตตามธรรมชาติแล้วติดตัวไปเรื่อยๆในสัตว์ผู้ยังมีอวิชชาอยู่ ชาวพุทธเถรวาทที่ปฎิบัติจริงๆไม่มีใครงมงายในการทำบุญหรือเสพติดการทำบุญหรอกเพราะการภาวนานั้นเป็นบุญกุศลอยู่แล้วมากกว่าการทำบุญด้วยทรัพย์ เป็นการขัดเกลากิเลส ยกเว้นพวกธรรมกายที่สอนให้คนทำบุญด้วยทรัพย์มากๆ ปีหนึ่งๆผมทำบุญด้วยเงินไม่มาก(ไม่ได้ร่ำรวยอะไร) ไม่ได้ทำเพื่อความสุขหรือความสบายใจ แต่ทำเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนาให้ดำรงสืบไป รักษาไว้เพื่อลูกหลานรุ่นต่อไป บางคนบอกตายแล้วถ้าไปเกิดใหม่จริงก็จำอะไรไม่ได้ เป็นคนใหม่ เป็นตัวใหม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราในชาตินี้ ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว ก็แล้วแต่จะคิด ไม่ว่ากัน ผมคิดว่า คนที่มีลูกนั้นก็อยากที่จะให้ลูกของตนเองนั้นได้ดีมีความสุขเพราะลูกเป็นส่วนหนึ่งของเราที่แยกตัวออกไปเกิดใหม่ ส่วนชีวิตในภพหน้านั้นเป็นทายากรรมของเราในชาตินี้และจากชาติก่อนๆหน้านี้ ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้ทายาทกรรมนั้นเกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์และไปแก้ปัญหาเอาเองซึ่งถึงตอนนั้นมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เช่น ไปเกิดอยู่ในอบายเป็นต้น อยากให้ทายาทกรรมของผมได้ดีมีความสุขและได้ปฏิบัติธรรมต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพพาน แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 23:20:01 จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 55 23:05:56

ความคิดเห็นที่ 24 พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ 543 อนาคตของคนจิตเศร้าหมองและผ่องใส http://84000.org/true/543.html ---------------------------------------------------------------- 021 มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ http://www.84000.org/true/021.html ------------------------------------------------------- 073 คนเกิดเป็นสัตว์ได้ http://www.84000.org/true/073.html ------------------------------------------------------ 074 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก http://www.84000.org/true/074.html ------------------------------------------------------ 072 นรกมีจริงหรือ http://84000.org/true/072.html --------------------------------------------------- 495 ตรัสว่าคนตายแล้วเกิดจริง http://www.84000.org/true/495.html ---------------------------------------------------- 526 พระพุทธองค์ทรงรับรองการตายแล้วเกิด http://www.84000.org/true/526.html ----------------------------------------------------- 061 เหตุให้เชื่อชาติหน้า http://www.84000.org/true/061.html -------------------------------------------------------- 037 โลกหน้ามีจริงหรือไม่ http://www.84000.org/true/037.html ----------------------------------------------------------- 166 เหตุให้เกิดในภพ http://www.84000.org/true/166.html ------------------------------------------------------------ 046 พุทธทำนาย http://www.84000.org/true/046.html ------------------------------------------------------------- พระอภิธัมมัตถสังคหะ อารมณ์ของสัตว์ที่มรณะ http://abhidhamonline.org/aphi/p5/083.htm -------------------------------------------------- กรรมอารมณ์ http://abhidhamonline.org/aphi/p5/084.htm ------------------------------------------------------- กรรมนิมิตอารมณ์ http://abhidhamonline.org/aphi/p5/085.htm ----------------------------------------------------------- คตินิมิตอารมณ์ http://abhidhamonline.org/aphi/p5/086.htm ----------------------------------------------------------- วิบากกรรมของ  อกุศลกรรมบถ ๑๐  และ  บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่ส่งผลภายหลังการเกิดเป็นมนุษย์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=21279 อนึ่งมนุษย์ที่มีสภาพแตกต่างกันนั้น มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย แสดงไว้ว่า ฆ่าสัตว์ ไม่มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุสั้น ไม่ฆ่าสัตว์ มีความกรุณา เป็นเหตุให้ อายุยืน เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคมาก ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคน้อย มักโกรธ มีความคับแค้นใจมาก เป็นเหตุให้ ผิวพรรณทราม ไม่โกรธ ไม่มีความคับแค้นใจ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณผุดผ่อง มีใจประกอบด้วยความริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพน้อย มีใจไม่ริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานุภาพมาก ไม่บริจาคทาน เป็นเหตุให้ ยากจน อนาถา บริจาคทาน เป็นเหตุให้ มีโภคสมบัติมาก กระด้าง ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลต่ำ ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในสกุลสูง ไม่อยากรู้ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญาน้อย อยากรู้ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 06:08:43

ความคิดเห็นที่ 25 ก็ถ้าตีความกันเป็น ศาสนาพุทธบ้านเราคงไม่บิดเบี้ยวไปอย่างนี้หรอก นับถือกันอย่างหลงไหลงมงาย ผมว่าคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้เปลี่ยนไปนับถือฮินดู ไม่ง่ายกว่าหรือครับ ไม่ต้องไปตั้งลัทธิใหม่ด้วยให้เสียเวลา มี เทพเทวดา นรกสวรรค์ อิทธิปาฏิหารย์ครบถ้วนทุกอย่างตามที่คุณใฝ่ฝันหา ไม่ต้องเอาพระพุทธเจ้ามาบังหน้าด้วย แต่กลัวจะเหลือคนนับถือพุทธไม่กี่คนนะซิ จากคุณ : Persimon   --------------------------------------- มี ศิษย์ท่านพุทธทาส ท่านหนึ่ง  นาม "รถเรณู"ถึงกับด่า ผู้ที่เชื่อตาม สัมมาทิฏฐิ ว่า เป็น "สาวกโอปปาติกะ " คุณ Persimon ทิฏฐิของคุณน่าจะเข้าได้กับ ท่านพุทธทาส  ไปตั้งลัทธิใหม่ ก็ดีน่ะ การกล่าวตู่ พระรัตนตรัย  ของท่านพุทธทาส http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=15&group=1&gblog=2 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=21&group=1&gblog=3 จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 06:21:46

ความคิดเห็นที่ 26 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ” อยสูตร ติ. อํ. (๕๕๗) ตบ. ๒๐ : ๓๔๕ ตท. ๒๐ : ๓๐ พระอรหันต์  ระดับ อรรถคถาจารย์ รับรองไว้ ในสมัยโบราณ ..มาแล้ว อนึ่ง ทั้งสวรรค์ ทั้งมรรค ย่อมไม่มีแก่คนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ในคราวกัปพินาศ เมื่อมหาชนพากันเกิดในพรหมโลก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ไม่เกิดในพรหมโลกนั้น (แต่กลับ) เกิดที่หลังจักรวาล.               ถามว่า ก็หลังจักรวาลไฟไม่ไหม้หรือ.               ตอบว่า ไหม้. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็เมื่อหลังจักรวาลแม้ถูกไฟไหม้อยู่ คนผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ในโอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ. http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=191 จากคุณ : รู้คุณ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 10:14:54

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ขอบคุณที่ยกพระสูตรมาแสดงครับ   คนที่เชื่อก็จะบอกว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบพุทธเถรวาท คนที่ไม่เชื่อก็จะบอกว่าเป็นคำสอนของพราหมณ์ปลอมปนมา จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 11:08:02

ความคิดเห็นที่ 28 ถึงคุณ รู้คุณ คห 26 ผมเคยยกพระสูตรนี้ มาแล้ว แต่ท่านผู้นั้นผู้เป็นบุตรแห่งซุสกลับบอกว่า "เสียเวลา ถ้าจะเอาพระสูตรมาก๊อปวางให้อ่าน เพราะเขาไม่อ่าน   ซ้ำยังด่ากลับ ด้วยถ้อยคำดูถูกผู้อื่นว่า โง่ งมงาย และ ตีความไม่เป็น" ทั้งๆ ที่ พระพุทธเจ้าท่าตรัสแต่คำจริง มีประโยชน์ และถูกกาล ซ้ำพระสูตรบทนี้ เป็นคำสอนในขั้นพื้นฐาน ของเรื่องสัมมาทิฏฐิ แท้ๆ ทั้งที่ สัมมาทิฏฐิในชั้นโลกุตะ ก็แบบอีกระดับนึง ที่ต้องทำองค์มรรคให้เกิดขึ้นสมบูรณ์ แต่กลับดูถูกพระสูตรบทนี้ อันเป็นพื้นฐานสำคัญ ในการพัฒนาองค์แห่งมรรคให้สมบูรณ์ .. ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมนะครับ ย้ำอีกครั้งนะครับ คนที่เชื่อเรื่องภพหน้า ไม่มีใครเดือนร้อน และมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อผู้อื่นเลย แม้แต่น้อย มีแต่จะนำความรู้ และคำสอนดีๆ มาให้ เพื่อให้ผู้อื่นดำเนินชีวิตตามแนวมรรคแปด เพราะในพระสูตร มีหลายๆ ตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่า คนที่เคยมีมิจฉาทิฏฐิมาก่อนหลายท่าน ก็สามารถกลายเป็นสัมมาทิฏฐิได้เอง เมื่อฟังคำสอน และปฏิบัติตามคำขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวอย่างที่ทุกคนต่างทราบดี ก็คือ ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนท่านอยู่ในสำนักที่มีมิจฉาทิฏฐิ และนับถือคนๆ นั้นเป็นอาจารย์ แต่พอ ท่านพบกับท่านพระอัสชิ และได้ฟังคำสอนเพียงสั้นๆ ท่านก็มีดวงตาเห็นธรรม กลายเป็นสัมมาทิฏฐิโดยทันที ตามวาสนาที่ท่านสะสมมาอย่างยาวนาน หลายภพ หลายชาติ (ซึ่งภายหลังท่านบรรลุอรหันต์แล้ว ท่านก็เล่าชาติก่อนๆ ของท่านให้ฟัง ว่าท่านสั่งสมบารมีมาในลักษณะไหน) หลังจากที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ท่านก็ยังไม่ดูถูกอาจารย์ของท่าน ซ้ำยังชักชวนอาจารย์สัญชัย (ที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ) เข้าสู่ร่มพระพุทธศาสนาซะอีก ดังนั้น พวกเราซึ่งยังเป็นปุถุชน คนธรรมดา กันอยู่ แม้มีความเชื่อต่างกัน เราก็ไม่ควร มาดูถูก ในเรื่องความเชื่อ หรือ ทิฏฐิ ของกันและกัน ว่า โง่ หรือ งมงาย ตลอดจน กล่าวตู่ว่าทำศาสนาเสื่อม เอาพระพุทธเจ้ามาบังหน้า เพราะนั่นมันไม่ใช่คุณธรรมพื้นฐานของคนที่จะดำเนินชีวิตตามแนวมรรคแปดได้เลย สำหรับเรื่องพระสารีบุตร คงจะเป็นตัวอย่างที่ดี แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมสูงส่งของท่าน จิตใจของท่าน เป็นกลาง พิจารณาทุกอย่างตามความเป็นจริง ตามความเหมาะสม แม้ว่าท่านเคยอยู่ในสำนักมิจฉาทิฏฐิมาก่อน ท่านยังไม่เคยดูถูกอาจารย์ของท่านเลยแม้แต่น้อย ลองย้อนดูตัวเองนะครับ ว่า วันๆ นึง ทิฏฐิของเราช่างร้ายกาจ และแรงกล้า มาก ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนอุบายสลัดออกจากทิฏฐิเหล่านี้ ไว้หลายประการ ตั้งแต่ฝึกสติรู้ลมหายใจ ทำสมาธิ เจริญวิปัสสนา ฯลฯ แต่พวกเรากลับยึดทิฏฐิ ไม่ยอมรับในสิ่งที่ถูก ที่ควร และกลับดูถูกผู้อื่น ด้วยถ้อยคำไม่สมควร อีกทั้งยังปฏิเสธคำสอนพื้นฐานของพระพุทธเจ้าตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่ คำสอนพื้นฐานหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องใช้การตีความด้วยซ้ำ เช่น พระสูตรที่ คุณ จขกท ยกมาใน คห ข้างบน ============================================= ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ” ควรศึกษาเพิ่มเติมในพระสูตรที่ท่านพระสารีบุตร กล่าวไว้เกี่ยวกับเพราะเหตุเพียงเท่าไรหนอ? จึงจะเรียกคนๆ นั้นว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ด้วยนะครับ (พระสูตรบทดังกล่าวที่ว่านั้น เป็นเรื่องสัมมาทิฏฐิชั้นโลกุตระ ที่ได้มาจากการปฏิบัติเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่มาจากการอ่าน หรือการคิดเอาเอง) มีหนังสือให้ดาวโหลดฟรีเฉพาะพระสูตรนี้ด้วยนะครับ ลองหาดูครับ มีคยเคยเอาลิ้งมาแปะไว้เมื่อนานมาแล้วครับ^^ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 55 11:57:41 จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 11:53:41

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ผมแนะนำคุณเพอร์ซีอุส เรื่อง ไปตั้งลัทธิใหม่ หรือว่า ไปเรียนทางปรัชญา ผมพูดจริงๆ นะ เพราะเรื่องศาสนา ถ้าเรื่องไม่ยกพิมพ์เขียว (พระไตรปิฏก) มาอ้าง หรือมาถกกัน มันก็เป็นเรื่องของทิฏฐิส่วนตัว เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนตัว ซึ่งมันเหมาะมากๆ สำหรับคนที่เรียนทางด้านปรัชญา เพราะไม่จำเป็นต้องทำตามหลัก หรือ ศึกษาอะไรเกี่ยวกับ เนื้อความของศาสนานัั้นๆ ซึ่งการที่ได้มาดิสคัสกันในบอร์ดโดยมีพิมพ์เขียวเป็นประธาน นี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะจะทำให้ หลายๆ พระสูตรที่หลายๆ คนยังสงสัย หรือตีความไม่ออก ได้เข้าใจมากขึ้น และนำไปปฏิบัติ ใช้จริงในชีวิตประจำวัน .. ซึ่งมีพระสูตรนึง ที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่า "การถกในธรรมที่ตัวเองยังไม่เข้าใจกับผู้รู้ เป็นสิ่งที่ควรทำ สำหรับพุทธบริษัท" อีกทั้งความรู้ทางปฏบัติ จะก้าวหน้าได้เร็ว ก็มีพื้นฐานมาจากการอ่าน การฟัง มาก่อน ดังนั้น ถ้าคิดจะมาศึกษาความรู้ หรือ คำสอน ในศานาใดๆ ก็ต้องวางทิฏฐิตัวเอง และเปิดรับคำสอนในศาสนานั้นๆ ดูก่อน ตัวอย่าง ก็ที่ยกไปนะครับ ท่านพระสารีบุตร ถ้าวันนั้น ท่านเชื่อฝั่งหัวกับคำสอนในลัทธิอาจารย์สัญชัย ท่านก็ไม่มีทางบรรลุธรรมจากท่านพระอัสชิได้เลย แต่ถ้ายังยึด ยังถือทิฏฐิตัวเอง ความเชื่อตัวเอง ก็แนะนำไปเรียนทางปรัชญาเลยครับ ถกกันได้ไม่รู้จบ เพราะแถได้เรื่อยๆ ตามความเชื่อ และความคิด เพราะไม่มีอ้างอิง ไม่มีพิมพ์เขียว เป็นประธาน ในความคิด และความเชื่อนั้นๆ อักทั้งยังดูเป็นคนหัวไว ทันสมัย และทันคน ไม่งมงาย เหมือนคุณเพอร์ซีอุส ด้วยนะครับ^^ .. เยี่ยมไปเลยอะ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 12:13:22