 |
คุณ =U_U= PoRpLe ไอ้ผุดๆ แบบนี้ เขาเรียกผุดธรรม
ซึ่งมันเป็นปัญญาที่เราสะสมมา พอมีเหตุมากระทบ จิตเขาก็ผุดรู้ผุดสอน ในขณะที่เป็นสมาธิอ่อนๆ เช่นทำงานบ้าน ล้างจาน ตอนนั้นเราจะสบายๆ เกิดเป็นขณิกสมาธิ บางทีก็ถึงอุปจาระสมาธิ แต่มันเป็นขณะสั้นๆ แล้วจิตก็ผุดรู้ขึ้นมา
ที่จริงสภาวะนี้ ตอนเรายังไม่ได้ภาวนาตามแนวเถรวาท ขอเรียกอย่างนี้นะ เรามีภาวะแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาก็ศึกษา ได้คำตอบที่ตัวเองพอใจว่า "intuition"
intuition (อินทูอิช'เชิน) n. การรู้โดยสัญชาตญาณ, การรู้โดยความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองในใจ, การหยั่งรู้ความเข้าใจอันซาบซึ้ง, ความสามารถในการเข้าใจโดยสัญชาตญาณ, สหัชญาณ.
คำแปลฟังดูโอเคแมะ 555 เราก็เรียกแบบนี้มาตลอดอ่ะ คือองค์ความรู้สากล เขามีคำอธิบายให้แล้ว
เราเป็นคนที่ใช้ intuition ในชีวิตประจำวันเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการทำงาน จะเรียกว่าอะไรดี แบบมีความรู้ที่ไม่รู้มาจากไหน บางคนเขาก็เรียกสัมผัสที่ 6 แต่เราว่าจะเรียกลางสังหรณ์ก็ไม่เชิง คือ intuition นี่มันใช้ทำงานทำการได้ไงคะ
ที่จริง intuition นี่ มันมาจาก collective memory นะ อย่างเราทำงานวิจัย แบบมันศึกษาข้อมูล ซ้ำๆๆๆ เยอะๆๆๆ แล้ววันนึง มันก็ผุดความรู้ชุดนึงขึ้นมา เป็นความรู้ใหม่ ซึ่งเป็นภาพรวมของงานชิ้นนั้น แต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามลำดับ มันจะเหมือนก้าวกระโดดมากกว่า คือถ้าเราไม่ทันสังเกต เราจะคิดว่า เราผุดความรู้ขึ้นมาเอง
คือไม่ใช่ 1-2-3-4 = 5 จู่ๆ มีความรู้แบบกระโดดไป 10 เลย
แต่อันที่จริง เพราะว่า 1-2-3-4 แหละ มันเป็นปัจจัยของเลข 10 ที่โผล่ออกมาได้น่ะ
ดังนั้น ก็กล่าวได้ว่า ธรรมที่ผุดรู้ผุดสอนเรา ในบางขณะนั้น ไม่ใช่ไม่มีที่มา มันมีที่มา คือจากการอ่านการฟัง ที่เราเก็บสะสมไว้ก่อนนั้นนั่นแหละ
แต่ว่าพอมีเหตุ มีสภาวะปรากฏขึ้นตรงหน้า ธรรมในจิตก็เด้งขึ้นมาสอน
เราค่อนข้างเชื่อมั่นในกลไกนี้ ว่ามันเป็นธรรมที่พอดี คือธรรมเฉพาะหน้า เราไม่ได้ตั้งใจหรือมีความอยากจะให้มันพิจารณา แต่มันจะพิจารณาเมื่อมีเหตุ (ธรรมเกิดแต่เหตุ)
ระบบหลวงพ่อใหญ่ที่ท่านสอนเรามาก็เหมือนกัน เวลาท่านเทศน์เราจะจำไม่ค่อยได้ แบบบางทีพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อถึงเวลา ธรรมที่ท่านเทศน์ จะเด้งขึ้นมาทันสถานการณ์ทุกที
หรือบางทีเราเกิดสภาวะบางอย่าง จิตผุดรู้แล้ว แจ้งขึ้นมา ก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อสอน..
ส่วนตัวเราจะมีสภาวะในการพิจารณาแบบนี้เป็นพื้นฐาน ไม่เคยยกองค์ธรรมาพิจารณาแบบใครเขาค่ะ ไม่เคยเลยมั้งที่จะเอาหัวข้อธรรมตามสมมติบัญญัติมาพิจารณาสภาวะธรรมตามธรรมชาติ
มีแต่เกิดสภาวะธรรมตามธรรมชาติ แล้วจึงผุดสมมติบัญญัติขึ้นมารองรับ
จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เรามีสภาวะในการวิปัสสนาอยู่สองแบบ (ใครจะเรียกวิปัสสนึกเราก็ไม่ว่าอ่ะ กร๊ากก)
แบบแรก คือนอกสมาธิ อันนี้เราทำเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า 80-90 % เลยนะ
มันจะเป็นแบบว่า มีเหตุขึ้นมาก่อน เช่นอาบน้ำอยู่ ก็ถูไป ทันใดนั้น จิตแยกตัวออกเป็นผู้รู้ มันเห็นใครก็ไม่รู้ถูตัว แล้วมันก็เหมือนว่า แขนมันไม่ใช่ของเรา คือมันไม่มีความรู้สึกเลย แบบเหมือนถูพลาสติก แขนหุ่นอ่ะ
จิตก็ผุด เออ.. มันเป็นแบบนี้เอง ที่เขาว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา แต่ก็ต้องทำความสะอาดกันต่อไปนะ แขนใครไม่ฮู้.. 555
บางทีล้างๆ จานอยู่ นึกถึงปัญหาบางอย่าง แล้วมันแจ้งตรงนั้นเลย เคยทำวิจัยชิ้นนึง 5 ปี ทำแล้วไม่หลุด เหมือนมีคำตอบอะไรบางอย่างที่ไม่หลุด คำตอบที่ได้จากการวิจัย เหมือนจะใช่ แต่ใจมันไม่ลง มาหลุดตอนล้างจาน
วันนึงล้างๆ จานอยู่ เขาก็ผุด "ทำเครือข่ายให้ทำเครือข่ายสุข ไม่ใช่ทำเครือข่ายทุกข์" สั้นๆ แต่โดน.. เป็นอันว่าปิดงานวิจัยได้แบบผุดๆ (แต่ผลการวิจัยของงานนั้น มันตอบไปแบบทางโลกไง แก้ปัญหาแบบใช้ทฤษฏีฝาหรั่ง มาเจอล้างจานเข้าไป จบข่าวเลย มันย้อนทวนความเข้าใจผิดของเรา แบบต้องนั่งฟังจิตตัวเองเลคเชอร์เป็นชั่วโมง 555)
เนี่ย.. วิปัสสนาแระ ใครว่าวิปัสสนึกเราก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่านึกออก 555
นึกออก นึกเสร็จก็ออกได้ด้วย ออกจากปัญหา ออกจากสิ่งที่เกาะจิตใจ นึกออกแล้วล้างออกนะ ถือว่าใช้ได้
จากคุณ |
:
chaosy
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ย. 55 23:33:24
|
|
|
|
 |