|
อาบัติ แปลว่า การต้อง, การล่วงละเมิด หมายถึงโทษที่เกิดจาการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ ใช้เรียกความผิดทางวินัยของพระภิกษุว่า ต้องอาบัติ
อาบัติ มี 7 อย่าง แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ครุกาบัติ หมายถึงอาบัติหนัก อาบัติที่มีโทษร้ายแรง มี 2 อย่างคือ อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส ลหุกาบัติ หมายถึงอาบัติเบา อาบัติที่ไม่มีโทษร้ายแรงเท่าครุกาบัติ มี 5 อย่าง คือ อาบัติถุลลัจจัย อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฎ อาบัติทุพภาสิต
http://th.wikipedia.org/wiki/อาบัติ
อาบัติมี ๗ กองคือ ๑. ปาราชิก (แปลว่า ผู้พ่ายแพ้) ๒. สังฆาทิเสส (แปลว่า อาบัติอันจำปรารถนาสงฆ์ ในกรรมเบื้องต้นและกรรมที่เหลือ) ๓. ถุลลัจจัย (แปลว่า ความล่วงละเมิดที่หยาบ) ๔. ปาจิตตีย์ (แปลว่า การละเมิดที่ยังกุศลให้ตก) ๕. ปาฏิเทสนียะ (แปลว่า จะพึงแสดงคืน) ๖. ทุกกฏ (แปลว่า ทำไม่ดี) ๗. ทุพภาสิต (แปลว่า พูดไม่ดี)
อาบัติปาราชิกมีโทษหนัก ทำให้ผู้ล่วงละเมิดขาดจากความเป็นภิกษุ อาบัติสังฆาทิเสสมีโทษหนักน้อยลงมา ผู้ล่วงละเมิดต้องอยู่กรรมคือ ประพฤติวัตรตามที่ทรงบัญญัติ จึงจะพ้นจากอาบัตินี้ ส่วนอาบัติ ๕ กองที่เหลือมีโทษเบา ผู้ล่วงละเมิดต้องประกาศสารภาพผิด ต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ดังที่เรียกว่าปลงอาบัติ ) จึงจะพ้นอาบัติเหล่านี้
บทบัญญัติในพระวินัยแต่ละข้อหรือมาตรา เรียกว่า สิกขาบท แปลว่า ข้อที่ต้องศึกษา
http://board.palungjit.com/f63/ความหมายของคำว่า-อาบัติ-266137.html
บาป : ศึกษาเชิงวิเคราะห์ในมโนทัศน์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท PĂPA : AN ANALYTICAL STUDY IN THE CONCEPT OF THERAVADA BUDDHISM 1 ผจญ คำชูสังข์.
“บาป” ในทางพระพุทธศาสนานั้นมีความหมายกว้าง ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก หมายถึง “ความชั่ว”
(วิ.จุล. ๗/๓๘๘/๑๙๕.= สุกรํ สาธุนา สาธุ สาธุ ปาเปน ทุกกรํ, ปาปํ ปาเปน สุกรํ ปาปมริเยหิ ทุกกรนฺติ แปลว่า ความดี คนดีทำง่าย ความดี คนชั่วทำยาก ความชั่ว คนชั่วทำง่าย แต่กัลยาณชนทำความชั่วได้ยาก)
กล่าวโดยทั่วๆไปบาปนั้น หมายถึง ความชั่ว เป็นธรรมที่นำไปสู่หนทางแห่งความเสื่อม ความชั่ว และภาวะที่ไม่พึงปรารถนา
ยังผู้กระทำบาปนั้นให้ได้รับความเดือดร้อนและเป็นทุกข์ (วศิน อินทสระ, ๒๕๔๑ : ๒๕๘) บุคคลผู้กระทำบาปนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนบาป คนชั่ว คนพาล เป็นต้น ทั้งนี้รวมความถึงสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ การกระทำที่ไม่ดีทุกชนิด วิบากหรือผลในทางที่ไม่ดีหรือทางเสื่อม ตลอดถึงเหตุและผลในทางที่ไม่ดีทั้งปวง
คำว่า “บาป” ตามรูปศัพท์แปลว่า ความชั่ว การทำอันตราย การ ทำให้เดือดร้อน เป็นกรรมยังบุคคลให้ถึงซึ่งทุกข์ เป็นธรรมที่จะนำผู้กระทำกรรมนั้นไปสู่ทางแห่งความเสื่อม ดังรูปวิเคราะห์ว่า “…ปาปํ ป อักขรในอบาย ในประโยคว่า ยทาจ ปจฺจติ ปาปํ ปํ อปายํ เปติ คจฺฉติ เอเตนาติ ปาปํ. กรรมเป็นเหตุไปสู่อบาย (ปสัททุปบท ณ ปัจจัย เอ.โก.)” (วิ.มหา.๑/๓/๗; มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒: ๑๑๖๙.).
๑. ความหมายของบาปตามนัยแห่งพจนานุกรมและทรรศนะของท่านผู้รู้
คำว่า บาป ตามที่นักปราชญ์และท่านผู้รู้ทั้งหลายได้ให้ความหมายไว้ดังต่อไปนี้ ๑) ในหนังสือธาตุปฺปทีปิกาหรือพจนานุกรมบาลี-ไทย ให้ความหมายของคำว่า “บาป” ไว้ว่า “ปาปํ = บาป, ความชั่ว, ลามก, เลว, ทราม, สิ่งที่คนดีรักษาตนให้ไกล” (หลวงเทพดรุณานุศิษฏ์ (ทวี ธรมธัช ป. ๙) ๒๕๓๔: ๒๓๗).
๒) ในหนังสือปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ให้ความหมายของคำว่า “บาป” ไว้ว่า “ปาปํ = กรรมยังบุคคลให้ถึงซึ่งทุกข์ลามก; บาป, evil, sin, demerit; ” (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ. ๒๕๓๗: ๕๒๑.)
๓) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายของคำว่า “บาป” ไว้ว่า “บาป หมายถึง การกระทำผิดหลักคำสอนหรือข้อห้ามทางศาสนา ความชั่ว ความมัวหมอง…” (ราชบัณฑิตยสถาน,๒๕๓๙: ๔๗๖).
๔) ในหนังสือพุทธศาสตร์ ภาค ๓ ให้ความหมายของคำว่า “บาป” ไว้ว่า “บาป แปลว่า เลว (ปิ่น มุทุกันต์, ๒๕๒๗: ๑๐ – ๑๑).
๕) หนังสือพุทธธรรมของพระเทพกวี(ประยุทธ์ ปยุตโต) ให้ความหมายคำว่า บาปไว้ว่าบาป มักแปลตามรูปศัพท์ว่า สิ่งที่ทำให้ถึงวัฏฏทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้ถึงทุคติ (= สิ่งที่ทำให้ตกไปในที่ชั่ว) คำแปลสามัญของบาป คือ ลามก (ต่ำทราม หรือเลว) บางครั้งใช้เป็นคำวิเศษณ์ของวิบาก แปลว่า ทุกข์ หรืออนิฏฐ์ (ไม่น่าปรารถนา) ก็ได้ ((อิติ.อ. ๑๐๒, ๑๙๙ - ๒๐๐;อง.อ. ๑/๕๓๘;๒/๓, อุ.อ. ๒๗๕;วินย.อ. ๑/๔๙๕;วิภงค.อ. ๑๘๓;วินย.ฏีกา ๒/๑๔๒, ๒๗๕;วิสุทธิ ฏีกา ๓/๖๗,๒๖๔)
๒. ศัพท์ที่เป็นไวพจน์ของบาป
ในปกรณ์บาลียังปรากฏคำที่เป็นไวพจน์หรือคำที่มีความหมายเดียวกัน (Synonym) กับคำว่า “บาป” นี้อีกหลายคำ เช่น อกุศล = ความไม่ฉลาด, ทุจริต = ความประพฤติชั่ว, อกรณียะ = กิจไม่ควรทำ, วิสมจริยา = ความประพฤติไม่เสมอ, อธัมมจริยา = ความประพฤติไม่เป็นธรรม เป็นต้น ดังตัวอย่าง เช่น-;
๑) ในที่เรียกว่า บาป นั้น “…ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอสั่งสมบาปมิใช่บุญไว้มากนัก เพราะมีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตคิดฆ่า ยังโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น..” ( วิ.จุล. ๗/๓๗๒/๑๘๓) ๒)ในที่เรียกว่า อกุศล นั้น “…ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละอกุศล อกุศลอันบุคคลละได้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์(หิตาย) เพื่อความสุข(สุขาย)…” (อง.ทุก.๒๐/๒๖๕/๗๔)
๓) ในที่เรียกว่า ทุจริต และ อกรณียะ นั้น “…ดูก่อนอานนท์ เรากล่าวกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็นกิจไม่ควรทำโดยส่วนเดียว(อกรีณีย)…” ((อง.ทุก. ๒๐/๒๖๕/๗๓)
๔) ในที่เรียกว่า วิสมจริยา และ อธัมมจริยา นั้น “…ดูก่อนพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เพราะประพฤติอธรรม(อธัมมจริยา) ประพฤติไม่สม่ำเสมอ(วิสมจริยา)…” (ม.มู. ๑๒/๔๘๓/๕๑๙
จากการศึกษาวิเคราะห์บาปในมโนทัศน์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาททำให้ทราบเรื่องบาปตามวัตถุประสงค์โดยสังเขปได้ดังนี้
๑. ความหมายและมูลเหตุของการเกิดบาป บาป หมายถึงความชั่ว สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจสำหรับบัณฑิต
บาปนั้นมีคำที่เป็นไวพจน์อีกหลายคำ เช่น อกุศล ทุจริต อกรณียะ วิสมจริยา อธรรมจริยา เป็นต้น
ส่วนแรงจูงใจหรือมูลเหตุให้เกิดบาปหรือความชั่วมาจากสิ่งที่เรียกรวมๆ ว่า กิเลส ได้แก่
สภาวธรรมฝ่ายชั่วที่มีอยู่ในสันดานมนุษย์ปุถุชน มีลักษณะทำให้จิตเสื่อมทรามที่มีอยู่ในจิตใจของผู้นั้น ชักจูงทำให้ความชั่วต่างๆ กิเลสเหล่านั้นเป็นสภาวะที่มีความสลับซับซ้อนและแฝงลึกอยู่ในจิตของมนุษย์ เป็นตัวคอยบังคับบัญชาพฤติกรรมทั้งหลายของมนุษย์ให้เป็นไปต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ของมันทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว กิเลสที่เป็นรากเหง้าของบาปหรือความชั่วที่กระตุ้นชักจูงเป็นสาเหตุให้มนุษย์หรือสรรพสัตว์กระทำความชั่ว ได้แก่
อกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ และโมหะ (หลง, โง่) นั่นเอง
๒. ลักษณะของบาป ที่จะเรียกว่า บาปนั้นจะต้องอยู่ในลักษณะหรือกรอบของกรรม ๓ ทวาร ๓ เป็นกรรมชั่วหรือการกระทำที่ประกอบด้วยอกุศลเจตนาในการกระทำต่อสรรพสิ่งเหล่านั้น
ซึ่งอาจเกิดขึ้นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นที่ใจแล้วย่อมเป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันธ์กันกับกายวาจาด้วย แต่อย่างไรก็ตามอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นทางกายและทางวาจานั้นจะปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรมที่สำแดงออกมา ส่วนอกุศลกรรม/บาปที่เกิดขึ้นทางใจซึ่งถือว่ามีอิทธิพลมากที่สุดนั้น
อาจจะสังเกตเห็นได้ยากกว่าที่มีลักษณะปรากฏออกมาทางกายและวาจา ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจง่ายตรงนี้ว่า
"ลักษณะที่จะเป็นบาปจะต้องเกิดขึ้นทางกาย วาจา และใจ ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศล เท่านั้น"
๓. เกณฑ์ตัดสินที่จัดว่าเป็นบาป การที่จะเข้าใจเรื่องกรรมและความดีความชั่ว (บาป) ให้ชัดเจน จะต้อง "แยกแยะขอบเขตระหว่างนิยามและนิยม"ให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจสับสนเรื่องบาปกับบุญและกรรม ดังนั้น เกณฑ์วินิจฉัยหรือตัดสินเรื่องกรรมดีและกรรมชั่ว (บาป) มีอยู่ว่าในแง่ของกรรม (การกระทำ) ให้ถือเอาเจตนาเป็นหลักตัดสินว่าเป็นกรรมหรือไม่ และกรรมในแง่ที่ว่ากรรมนั้นดีหรือชั่ว ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ดังนี้
๓.๑ เกณฑ์หลัก ตัดสินด้วยความเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล โดย
๓.๑.๑ พิจารณามูลเหตุว่าเป็นเจตนาที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือเกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ
๓.๑.๒ พิจารณาตามสภาวะว่าเป็นสภาพเกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจหรือไม่ ทำให้จิตสบาย ไร้โรค ปลอดโปร่ง ผ่องใส สมบูรณ์ หรือไม่ ส่งเสริมหรือบั่นรอนคุณภาพและสมรรถภาพของจิตช่วยให้กุศลธรรม (สภาพที่เกื้อกูล) ทั้งหลายเจริญงอกงามขึ้น อกุศลธรรมทั้งหลายลดน้อยลง หรือทำให้กุศลธรรมลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญงอกงามขึ้น ตลอดจนมีผลต่อบุคลิกภาพอย่างไร
๓.๒ เกณฑ์ร่วม ใช้มโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเองพิจารณาการที่กระทำนั้นตนเองติเตียนตนเองได้หรือไม่ เสียความเคารพตนหรือไม่ พิจารณาความยอมรับของวิญญู หรือนักปราชญ์หรือบัณฑิตชน ว่าเป็นสิ่งที่วิญญูยอมรับหรือไม่ ชื่นชมสรรเสริญ หรือตำหนิติเตียน พิจารณาลักษณะ และผลของการกระทำ - ต่อตนเอง – ต่อผู้อื่น
๓.๒.๑ เป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ทำตนเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่ ๓.๒.๒ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข หรือเป็นไปเพื่อโทษทุกข์ ทั้งแก่ตน และผู้อื่น
http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%9B+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2+%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98&source=web&cd=1&cad=rja&ved=0CCEQFjAA&url=http%3A%2F%2Fpirun.ku.ac.th%2F~fhumpjk%2Ftitle%2Fpapa_concept_buddhism.doc&ei=sypcUIzbLse4rAf--IBg&usg=AFQjCNFv1d85F7bVd44ne55rulvi0RJX_w
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ย. 55 16:04:18
|
|
|
|
|