|
การเกิดขึ้นของพระพุทธรูปครั้งแรกในโลก
อาจารย์เสถียร โพธินันทะ
ประวัติพุทธ(๑) - หน้าที่ 108 บ่อเกิดพุทธศิลป์ ในสมัยพุทธกาล การก่อสร้างอาคารในพุทธศาสนามีเพียงสัณฐาคารสำหรับประชุมตามวัดใหญ่ๆ เช่น เชตวัน ปุปพาราม หรือโฆสิตาราม ตลอดจนชีวกัมพวัน ล้วนมีสัณฐาคารบรรจุสงฆ์จำนวนพันในบาลีสามัญญผลสูตร
พระเจ้าอชาตศัตรูไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกไม่ทรงรู้จักพระองค์ เพราะพระศาสดาประทับอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ในสัณฐาคาร หมอชีวกต้องทูลกำหนดพุทธลักษณะถวาย ในคัมภีร์ชั้นหลังกล่าวถึงกำเนิดพระแก่นจันทน์ เล่าว่า เมื่อพระศาสดาเสด็จขึ้นไปประทับบนดาวดึงส์ พระเจ้าปเสนทิทรงอนุสรณ์ถึง ทรงขอร้องให้พระโมคคัลลานะพานายช่างขึ้นไปบนดาวดึงส์จำลองพุทธลักษณะด้วยไม้แก่นจันทน์และทรงปฏิบัติพระพุทธรูปองค์นี้ดุจเดียวกับพระศาสดาประทับอยู่
ครั้นออกพรรษาพระพุทธองค์เสด็จลงสู่โลกมนุษย์ พระแก่นจันทน์ได้ลุกขึ้นรับเสด็จ ก็มีพุทธดำรัสว่าให้พระแก่นจันทน์สนองหน้าที่พระองค์ต่อไปเถิด ถ้าเชื่อตามตำนานนี้ ก็แสดงว่า พระพุทรูปมีในครั้งพุทธกาลแล้ว "แต่ข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น"
ยกตัวอย่างเช่นในบรรดาโบราณสถานซึ่งพระเจ้าอโศกทรงสร้างขึ้น มิได้มีพระพุทธรูปอยู่เลย ในที่ใดถ้าประสงค์แสดงพุทธประวัติ ก็ใช้สัญลักษณ์อื่นแทนทั้งนั้น เช่น
ตอนประสูติก็มีแต่รูปพุทธมารดาประทับยืนเหนี่ยวกิ่งไม้ และมีรูปดอกบัว ๗ ดอกอยู่ข้างๆ หามีพระกุมารไม่
ตอนตรัสรู้ก็ทำเป็นโพธิบัลลังก์เปล่าๆตอนแสดงธรรมจักรก็ทำเป็นแท่นพระธรรมจักร มีกวางหมอบอยู่สองข้าง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าธรรมเนียมของชาวอินเดียสมัยนั้น ถือว่า
"การสร้างรูปเคารพในครุฐานิยบุคคลเป็นการไม่สมควร"
ประวัติพุทธ(๑) - หน้าที่ 109
แต่จำเนียรกาลล่วงมาเมื่อศิลปะกรีกและศีลปะของพวกอินโดไซเธียนเข้าผสมปนเป ประเพณีนี้ก็ค่อยๆหมดไป
ชนชาติแรกที่ผลิตพุทธปฏิมาขึ้นคือ ชาติกรีกในอินเดียซึ่งในเวลานั้นนับถือพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธรูปองค์แรกได้เกิดขึ้นในโลกในเขตคันธาระและอาฟกานิสถาน ชนชาติกรีกเป็นเจ้าศิลปะการแกะสลัก เทวรูปของเขาเช่นอะปอลโล วีนัส ฯลฯ ย่อมแกะสลักให้เป็นเหมือนมนุษย์ที่สุด
เมื่อเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ศิลปากรเหล่านี้ได้รับความบันดาลใจในพุทธประวัติอย่างลึกซึ้ง เป็นเหตุให้ผลิตพุทธปฏิมาขึ้นบูชาแทนเทวรูป แม้ระยะกาลจะห่างจากพุทธกาลถึง ๕๐๐ ปีก็จริง
แต่พระพุทธรูปเหล่านี้ เป็นผลแห่งจินตนาการที่ซาบซึ้งในพุทธคุณของศิลปากร เพราะฉะนั้นจึงสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติแห่งพระปัญญา ความบริสุทธิ์ ความกรุณาในรูปปฏิมา สามัญชนเพียงแต่เห็นเท่านั้นก็รู้สึกว่าท่านผู้เป็นเจ้าของรูปนี้เป็นผู้หมดจากกิเลสแล้ว มีพระเมตตาต่อโลกอย่างมากมาย
พระพุทธรูปรุ่นแรกเรียกกันว่า แบบคันธาระ ดวงพระพักตร์กลม พระนาสิกโด่งอย่างฝรั่ง พระเนตรอยู่ในอาการครึ่งสมาธิ บางครั้งมีพระมัสสุ พระเกสามุนเกล้าเป็นเมาลี มิได้ขมวดเป็นก้นหอย
ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์จริงๆ นั้นปลงพระเกสา แต่ศิลปกรกรีกมีความคิดว่า
"ถ้าให้พระพุทธรูปปลงพระเกสาอย่างพระสาวก ก็จะไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายว่าองค์ใดเป็นพระศาสดา องค์ใดเป็นพระสาวก"
อีกประการหนึ่งเนื่องจากพระศาสดาอยู่ในวรรณะกษัตริย์ไว้พระเกสายาวรัดเกล้า เพราะฉะนั้นจึงสร้างพระพุทธรูปให้มีพระเกศา ส่วนพระวรกายนั้นนายช่างกรีก ได้สร้างให้เห็นองคาพยพ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอย่างชัดเจนภายใต้จีวรบางๆ
ประวัติพุทธ(๑) - หน้าที่ 110
พระพุทธรูปแบบที่ว่านี้ได้มีการขุดพบทั่วไปในอินเดียตอนเหนือและอาฟกานิสถาน
ต่อมาไม่นานก็เกิดพุทธศิลป์แบบอินเดียแท้ขึ้น มีศูนย์ผลิตอยู่ที่เมืองมถุราและเมืองอมราวดี
ที่เมืองอมราวดีนี้ เป็นเมืองสำคัญของรัฐอันธระในอินเดียใต้ ปกครองโดยราชวงศ์กษัตริย์สาตวาหนะ พุทธศาสนาในที่นี่รุ่งเรืองมาก
ในพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ มีการสร้างพระสถูปใหญ่ๆ และพระพุทธรูป พระพุทธรูปแบบอินเดียบริสุทธิ์ พระเกสาขมวดเป็นก้นหอย องคาพยพมีลักษณะเหมือนมนุษย์ ไม่เป็นอย่างแบบคันธาระ จำเดิมแต่นั้นมา พุทธศิลปะก็แพร่หลายไป
http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1326.0
ประติมากรรมอินเดียโบราณ ประติมากรรมอินเดียโบราณ บางครั้งเรียกว่าศิลปะแบบสาญจี หรือแบบราชวงศ์โมริยะ ประมาณ ๒๕๐ ปี ถึงประมาณ ปี ๖๐๐ เป็นช่วงสมัยราชวงศ์พระเจ้าอโศกมหาราช ที่ถือกันว่า
พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสุดขีด และยังได้มีการสร้างรูปเคารพ อันเป็นสัญลักษณ์ทาง พระพุทธศาสนา ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ – ๖๒ ซึ่งส่วนใหญ่แม้จะเป็นงานประเภทสถาปัตยกรรม แต่
ได้มีการนำ หิน หรือ ศิลา มาใช้ในการแกะสลัก เหมือนเครื่องไม้ ใช้ประกอบองค์สถูป และที่สำคัญก็คือ โตรณะ หรือประตูสถูปสาญจี ใช้แผ่นหินทรายแกะสลักนูนต่ำบรรยายเรื่องราวพุทธประวัติอย่างงดงามแต่ใช้สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า๓ โดยยุคนี้แม้ไม่มีรูปเหมือนพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูป แต่ก็ใช้สัญลักษณ์แทน เช่น ภาพบัลลังก์อันว่างเปล่าแทน ซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อที่ว่า
"ไม่มีสิ่งใดแทนที่พระพุทธเจ้า"
ก่อนกำเนิดพุทธปฏิมา๔ ประติมากรรมในสมัยนี้สามารถแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
๑. ประติมากรรมหินทรายประดับสถาปัตยกรรม ประติมากรรมหินทรายที่ใช้ประดับ สถาปัตยกรรมพุทธสถาน หรือเทวสถาน เช่น หินทรายแกะสลักนูนต่ำที่ประดับองค์สถูปสาญจีหรือรั้วที่รอบสถูปสาญจี และที่รั้วรอบพุทธคยาสถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า ที่มีการแกะสลักหินทรายประกอบ ประดับเรื่องราวพุทธประวัติ และรูปสัตว์ พืชพันธุ์ ดอกไม้ เป็นต้น
๒. ประติมากรรมหินทรายลอยตัวกลางแจ้ง ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ เสาหินพระ เจ้าอโศกที่สร้างเป็นพุทธานุสรณ์แสดงถึงสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่วนบนยอดก็จะเป็นรูปสัตว์ เป็นประติมากรรมลอยตัวที่มองเห็น ได้ ๓ มิติ นอกจากนั้น ในยุคหลังได้มีการสร้างประติมากรรมรูปธรรมจักร รูปกวางหมอบ อีกด้วย
๓. ประติมากรรมหินทรายในถ้ำ เป็นประติมากรรมที่แกะสลักหินหน้าผา ที่ช่างมีการ เจาะทะลุเข้าไปกลายเป็นถ้ำ หรือบางทีก็เป็นถ้ำ หน้าผา แล้วมีการขุดเจาะหินแล้วสร้าง ประติมากรรมเป็นประติมากรรมลอยตัว เช่น แกะหินเป็นรูปสถูป เจดีย์ มีการแกะสลักเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ พระพุทธเจ้า รูปสัตว์ ตลอดจนรูปอื่นๆ เพื่อสร้างองค์ประกอบของภาพ ที่ค้นพบ ได้ใน ถ้ำอชันตา (Ajanta)แอลโลร่า(Ellora) ภาคกลางของอินเดีย ซึ่งต่อมาก็ได้ขยายไปสู่อัฟฆานิสถานและจีน
๔. ประติมากรรมชนิดอื่นๆ ประติมากรรมชนิดนี้เป็นประติมากรรมดินเผาที่พบในสมัยก่อนอินเดียโบราณ โดยขุดค้น ณ อหิจฉัตรา (Ahicchatra) ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ตามแบบการขุดค้นพื้นดินไปแต่ละชั้น ได้เผยให้เห็นประติมากรรม ดินเผาเล็กๆ ซึ่งอาจเก่าไปถึงสมัยราชวงศ์โมริยะ ราว พ.ศ. ๒๕๐-๓๕๐๕ เป็นประติมากรรมรูปร่างหยาบๆ ฝีมือชนพื้นเมืองราคาถูกและมักเป็นภาพแม่พระธรณี
นอกจากนั้น ยังพบประติมากรรมรูปสัตว์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบัวหัวเสาสมัยพระเจ้าอโศก อันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะอิหร่าน สมัยราชวงศ์อาเคเมนีด ก็คือรูปช้างที่สลักอยู่บนก้อนหินที่เมืองเธาลิ ในแคว้นโอริสสา บนหินก้อนเดียวกันนั้นมีจารึกของพระเจ้าอโศกปรากฏอยู่ด้วย
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๔ ประติมากรรมลอยตัวและภาพสลักนูนสูงก็มีลักษณะสวยงาม ยิ่งขึ้น ความหนักของทรวดทรงหายไป และรูปร่างของประติมากรรมก็ดูเด่นขึ้น ณ เมืองภารหุต ทางภาคกลางของประเทศอินเดีย ภาพสลักนูนต่ำเล่าเรื่องของอินเดียจึงปรากฏขึ้นเป็นเรื่องราวอย่างแท้จริง ภาพเหล่านี้ได้ตกแต่งลูกกรงตั้ง และทับหลังของรั้วล้อมรอบสถูปแสดงถึงเรื่องชาดกต่างๆ และพุทธประวัติ แต่ ณ ที่นี้จะใช้แต่สัญลักษณ์แทนพระพุทธรูป๖
ศิลปะที่สาญจีเป็นสุดยอดของศิลปะที่ภารหุต ภาพสลักนูนต่ำที่สาญจีมีปรากฏอยู่บนประตู หรือโตรณะของสถูปที่ ๑ และ ๓ ณ ที่นั้นความเจริญขึ้นมีอยู่ทั้งในด้านการประกอบภาพ ทัศนียวิสัย วิธีการในการสลัก และทรวดทรงของประติมากรรมแม้จะเป็นภาพสลักที่ต้องการเล่าเรื่องและมีภาพบุคคลหนาแน่นยิ่งกว่าที่ภารหุต แต่ภาพต่างๆ ก็ได้ระเบียบ เพราะใช้ทัศนียวิสัยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ภาพยังคงซ้อนกันขึ้นไปเป็นแนวตั้ง แต่ก็ยังคาบเกี่ยวกัน ทำให้แลดูลึกยิ่งกว่าแต่ก่อน๗
๒ สมเกียรติ โล่เพชรรัตน์, วิเคราะห์ประวัติการนับถือศาสนาพุทธและศิลปะพระพุทธรูปในเอเชีย,(กรุงเทพมหานคร : อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พลับลิชชิ่ง, ๒๕๔๖), หน้า ๓๑. ๓สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะอินเดีย, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา,๒๕๓๔), หน้า ๗.๑๕ ๔ สมเกียรติ โล่เพชรรัตน์, วิเคราะห์ประวัติการนับถือศาสนาพุทธและศิลปะพระพุทธรูปในเอเชีย,หน้า ๓๑. ๕ สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะอินเดีย, หน้า ๔๗.๑๖
http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/library1/Thesis/1202554.pdf
ผลงานการค้นคว้าของ คุณวรณัย พงศาชลากร ซึ่งเป็นนักค้นคว้าอิสระ คัดลอกบางส่วนจาก หนังสือ "อัฟกานิสถาน แหล่งผลิตพระพุทธรูปองค์แรกในโลก" โดย สำนักพิมพ์มติชน สุจิตต์ วงษ์เทศ : บรรณาธิการ
เมนนันเดอร์กษัตริย์กรีก – อารยัน แห่งแบคเตรียสร้างพุทธประติมากรรมครั้งแรกที่แคว้นคันธารราฐ
หลังการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอโศกมหาราชา ประมาณปีพุทธศักราช ๓๑๙ ราชวงศ์โมลียะของพระองค์ก็สิ้นสุดลงในเวลาอีกเพียง ๕๐ ปีต่อมา จากความขัดแย้งทางความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนาที่ซ่อนตัวอยู่ในการเมืองของราชสำนัก มหาอำมาตย์บุษปมิตรผู้นิยมพราหมณ์ฮินดูเข้าชิงอำนาจที่นครหลวงปาฏลีบุตรเป็นผลสำเร็จ
นำราชวงศ์สุงคะหรือศากยวงศ์ผู้เลื่อมใสในศาสนาพราหมณ์เข้ามาปกครอง พราหมณ์เข้าทำลายล้างอิทธิพลของคณะสงฆ์ในพุทธศาสนาไปทั่วแว่นแคว้นของมคธราช มีการประหารพระภิกษุสงฆ์ ทำลายศาสนสถานและวัตถุธรรมในพุทธศาสนาที่สร้างขึ้น ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชตามนครต่างๆรวมทั้งในนครตักศิลา
จนมีตำนานเล่าว่ากษัตริย์พราหมณ์แห่งปาฏลีบุตรตั้งรางวัลเป็นค่าหัวพระภิกษุสงฆ์
"มันผู้ใดนำศีรษะสมณะมาให้แก่เรา เราจะให้รางวัลหนึ่งร้อยกินาร์แก่ผู้นั้น"
แต่เหตุผลสำคัญของการทำลายล้างพุทธศาสนาคงอยู่ที่เรื่องของ
"การเมืองการปกครองมากกว่าเรื่องความแตกต่างทางศาสนา"
เพราะเวลานั้นคณะสงฆ์ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชามีอำนาจและอิทธิพลต่อระบบการเมืองการปกครองของจักรวรรดิอย่างมาก หลายๆรัฐและแว่นแคว้นของจักรวรรดิมคธราชถือโอกาสแยกตัวเป็นอิสระ เหตุผลหนึ่งเพื่อหลบเลี่ยงการทำลายล้างพุทธศาสนา ของพราหมณ์แห่งราชวงศ์สุงคะ รวมทั้งจักรวรรดิมคธราชเองก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางแคว้นคันธารราฐในลุ่มน้ำคาบูลและสินธุถูกพระเจ้าเดเมตริอุส (Demetrius) แห่งจักรวรรดิแบคเตรียของชาวกรีกผสม กลับเข้ามายึดครองจนถึงนครตักศิลา ยุติการทำลายล้างพระพุทธศาสนาในนครตักศิลาลงเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๓๖๐
อาณาจักรแบคเตรียขยายจักรวรรดิเข้ามาทางช่องเขาไคเบอร์ ปัญจาบ อินเดียเหนือ ต่อมาจนถึงนครปาฏลีบุตร เข้าล้อมพราหมณ์นครแห่งแคว้นมคธราช แต่เกิดเหตุการณ์จลาจลในดินแดนเปอร์เซียขึ้นเสียก่อนที่จะสามารถหักเอานครแห่งนี้ได้
เดเมตริอุส จึงจำต้องยกกองทัพกลับสู่ตะวันตก พระเจ้าปุษยมิตรแห่งราชวงศ์สุงคะ (ศากยะ) ยกกองทัพเข้าขับไล่กองทัพกรีกที่ปักหลักอยู่ในลุ่มแม่น้ำคงคาให้ถอยกลับไปตั้งรับในแคว้นปัญจาบลุ่มแม่น้ำสินธุ
แม่ทัพกรีกนามเมนันเดอร์ ( Menander) หรือพระเจ้ามิลินท์ ผู้พ่ายวาทะแห่งเหตุและผลต่อพระนาคเสนในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้สร้างนครสกลขึ้นใกล้กับนครตักศิลาเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรขยายดินแดนจรดเมืองมถุราในลุ่มแม่น้ำยมุนาในช่วงเวลาต่อมา
อิทธิพลของกองทัพและวัฒนธรรมแบบกรีก – เปอร์เซีย ในสมัยกษัตริย์เมนันเดอร์แห่งแบคเตรียก่อให้เกิดการนับถือรูปเคารพมากขึ้น ในลุ่มน้ำคาบูลและสินธุของแคว้นคันธารราฐ ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ในนครตักศิลา
นอกจากจะมีความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาในสายมหายานที่มีความเชื่อในเรื่องพระโพธิสัตว์ อิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธประวัติ ความเชื่อในไสยศาสตร์ คาถา เวทมนต์ ดูจะเป็นที่นิยม
และสามารถเข้ากับชาวอารยันที่นับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูเดิม ได้ดีกว่านิกายเถรวาทหรือหินยานที่เคร่งครัดในหลักธรรมตามตัวบทบัญญัติในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา
รูปแบบเทวนิยมนิกายมหายาน จึงกลายมาเป็นทางเลือกหนึ่งของชาวกรีกผสมอารยันที่มีความเชื่อดั้งเดิมแบบเทวนิยมหรืออำนาจเหนือธรรมชาติในรูปของบุคคลอยู่แล้ว ทางเลือกที่ผสมผสานทางวัฒนธรรมนี้ง่ายต่อการบูชาสรรเสริญ บวงสรวง และอ้อนวอนในพิธีกรรมต่างๆ...
...ในขณะที่ชาวอารยัน – กรีก ที่เชื่อและศรัทธาในศาสนาพราหมณ์และฮินดู ก็ยังคงนับถือรูปแบบของเทพเจ้าเช่นเดียวกับชาวกรีกดังที่เรารู้จักกันดีหลายๆพระองค์เช่น พระศิวะหรืออิศวร พระวิษณุหรือพระนารายณ์ พระพรหม เทวีอุมา พระอินทร์ และเทพเจ้าอีกมากมายหลายองค์เทพจะประอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ
ในความเหมาะเจาะลงตัวที่นิกายมหายานก็นับถือในกึ่งเทวนิยมกับพระพุทธบัญญัติ ความศรัทธาของความเชื่อที่ผสมผสานนี้นำไปสู่ความต้องการ ในการสร้างรูปเคารพที่แตกต่างออกไปจากเดิม ของชาวอารยันผสมกรีกในแคว้นคันธารราฐ
ในช่วงที่พระเจ้าอโศกมหาราชยังครองคันธารราฐไม่มีพุทธศาสนานิกายใดกล้าที่จะสร้างรูปเคารพขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อถือกันว่า
"เป็นการดูหมิ่นไม่ให้ความเคารพ"
แต่เมื่อวัฒนธรรมของกรีกและเปอร์เซียเข้ามาที่คันธารราฐ ในจักรวรรดิแบคเตรียเองก็มีการสร้างรูปเคารพ อิทธิพลแรกๆของกรีกแบคเตรียส่งให้มีการสร้าง รูปเคารพในสมัยพระเจ้าอโศกแกะสลักเป็นรูปสมมุติขึ้นแทนรูปเคารพบุคคล เช่น รูปดอกบัวแทนสัญลักษณ์ของการประสูติ รูปม้าที่ไม่มีคนขี่และรอยพระพุทธบาทแทนการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ รูปพระแท่นและรูปต้นโพธิ์แสดงตอนตรัสรู้ รูปกงจักรหมายความถึงวงล้อของการเวียนว่ายตายเกิด รูปกวางหมอบคู่หนึ่งหน้าธรรมจักรหมายถึงสวนกวางของป่ามฤคทายวัน รวมทั้งพระสถูปเป็นสัญลักษณ์แสดงตอนปรินิพพาน
รูปแบบสมมุติทางพุทธศาสนานี้กระจายไปทั่วโลก ตามเส้นทางทั้งเก้าเส้นที่สมณะทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชาเดินทางไปเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา เมื่อจักรวรรดิกรีกผสมกลับเข้ามาสู่นครตักศิลาในสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์อีกครั้ง ชาวกรีกผสมอารยันเริ่มที่จะยอมรับนับถือเลื่อมใสศรัทธาในความเชื่อทางพุทธวัฒนธรรม
ช่างปฏิมากรชาวกรีกในนครตักศิลาและแคว้นคันธารราฐจึงได้สร้างพระพุทธรูปองค์แรกขึ้น ในความหมายของพระโพธิสัตว์ของมหายาน มหาบุรุษในคัมภีร์มหาปุริสลักขณะของพราหมณ์ ผสมผสานกับเทพเจ้าแห่งความเมตตาของชาวกรีก มหาเทพซีอุสหรือเทพอพอลโลในรูปแบบของสรีระมนุษย์ เพื่อประดับสถูปสถานเจดีย์ในพุทธศาสนา
รูปแบบพุทธปฏิมากรรมของช่างกรีกในเริ่มต้นนี้ จึงน่าจะเรียกว่าศิลปะแบบ สกุลช่างแบคเตรียแห่งแคว้นคันธารราฐอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ – ๔
คติในการสร้างพุทธปฏิมาของช่างกรีก น่าจะเริ่มต้นมาจากการนำพุทธประวัติมาใช้เป็นแนวทาง ในการสร้างผสมกับลักษณะของมหาบุรุษในคัมภีร์ของพราหมณ์ที่ให้พระเศียรทรงอุณหิสมงกุฏหรือเครื่องทรงที่พระเศียร
พุทธปฏิมาองค์แรกจึงมีพระเกศายาวขมวดมุ่นเป็นเมาฬีไว้บนพระเศียร อย่างเกศาของกษัตริย์แต่ไม่มีเครื่องประดับ
ด้วยความแตกต่างของรูปที่มีพระเกศานี้เชื่อว่า
"ในคราวที่ช่างกรีกได้สร้างพระอัครสาวกถ้าหากมีพระเกศาด้วยจะทำให้แยก พระพุทธองค์กับพระสาวกออกจากกันได้ยาก"
จึงจำต้องใช้คติความเชื่อแบบมหายานผสมพราหมณ์ โดยให้ถือเหตุที่พระพุทธองค์เป็นกษัตริย์หรือพระโพธิสัตว์จึงมีพระเกศามาลาให้แตกต่างไปจากรูปพุทธสาวก
คติดังกล่าวสืบทอดมาสู่ศิลปะคันธารราฐแบบมถุรา ของช่างกุษาณะในช่วงเวลาต่อมา ในช่วงแรกๆนั้น ช่างกรีกจะแกะสลักพระพุทธโพธิสัตว์ในปางนั่งสมาธิเพชรเพียงอย่างเดียว (หงายฝ่าพระบาททั้งสองข้างขึ้น) การครองผ้าทำทั้งอย่างห่มดองและห่มคลุมทำลวดลายผ้าตามความเป็นจริงเช่นเดียวกับเทพเจ้าของชาวกรีก รวมทั้งทำดวงพระพักตร์ให้งดงามเช่นเดียวกับเทพเจ้า พระรัศมีทำอย่างประภามณฑลเป็นแผ่นวงกลมอยู่ข้างหลังพระเศียร
กิริยาท่าทางทำตามพุทธประวัติแบบมหายาน เช่น
ในตอนตรัสรู้ก็จะทำรูปนั่งซ้อนพระหัตถ์เป็นกิริยาสมาธิ ในตอนชนะมารทำพระหัตถ์ขวาห้อยลงมาที่พระเพลา แสดงองค์ว่าทรงชี้อ้างพระแม่ธรณีเป็นพยาน ในคราวปฐมเทศนารูปพระโพธิสัตว์จะจีบนิ้วพระหัตถ์เป็นรูปวงกลม หมายถึงพระธรรมจักร ในปางยมกปาฏิหาริย์สร้างเป็นรูปประทับนั่งอยู่บนดอกบัว ส่วนเมื่อคราวปรินิพพานก็ทำเป็นรูปประทับนอน
ได้ยกเอาพระธรรมเทศนาบางส่วนของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) จากหนังสือ "จาริกบุญ – จารึกธรรม" ซึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปไว้ด้วยเช่นกัน พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานฌาปนกิจศพนาง สุวลักษณ์ จันทนะศิริ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์สุรวัฒน์
ต้นโพธิ์ – พระสถูป – พระพุทธรูป ทยอยมา อชันตา – เอลโลรา แถมมีโพธิสัตว์รูปด้วย ในเรื่องถ้ำเหล่านี้ ยังมีสิ่งที่ควรรู้ซ่อนอยู่อีกดังได้พูดไปแล้วว่า ถ้ำพระพุทธศาสนายุคแรกเป็นเถรวาท แล้วต่อมายุคหลังเป็นมหายาน ความแตกต่างที่จะเห็นได้ชัดระหว่างถ้ำเถรวาทกับถ้ำมหายานก็คือ
ในพุทธศาสนาเถรวาทยุคแรกนั้นไม่มีพระพุทธรูป เหมือนในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งยังไม่มีพระพุทธรูป เพราะว่าชาวอินเดียแต่โบราณนับถือพระพุทธเจ้ามาก จนไม่กล้าสร้างรูป ไม่ใช่หมายความว่ารังเกียจรูป แต่เคารพมาก จึงไม่กล้าสร้างรูป ต่อมา พวกกรีกที่สืบสายมาจากแม่ทัพต่างๆ ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ตั้งทิ้งไว้ได้มาเป็นมหากษัตริย์ปกครองดินแดนถิ่นแคว้นต่างๆ ในอินเดียสืบกันมา พวกเชื้อสายกรีกเหล่านี้ก็มีความนิยมตามแนววัฒนธรรมเดิมของตนในการสร้างรูปเคารพ เมื่อนับถือพระพุทธศาสนาก็เลยสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา
ประมาณกันว่าราว พ.ศ. ๕๐๐ ได้เริ่มมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาโดยศิลปะแบบกรีก ถ้ำของเถรวาทนั้น เมื่อกี้นี้บอกแล้วว่าสร้างประมาณ พ.ศ. ๓๕๐ ถึง ๕๐๐ หรือ ๕๕๐ ในยุคนั้นเริ่มต้นก็ยังไม่มีพระพุทธรูป มีแต่พระสถูป ต่อมาตอนหลังๆ เมื่อถึงยุคมหายาน ก็มีพระพุทธรูปชัดเจน แต่ถ้ำยุคแรกๆเองต่อมาก็มีการไปสร้างพระพุทธรูปเติมเข้าในภายหลัง ที่ว่าไม่มีพระพุทธรูปนั้นหมายถึงเถรวาทยุคแรก แต่เถรวาทยุคต่อมาก็มีพระพุทธรูปเหมือนกัน
ยิ่งกว่านี้ยังมีตำนาน แต่ไม่ใช่ตำนานของเก่าแท้ที่บอกว่ามีการสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทร์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังอยู่แต่ไม่ใช่เป็นหลักฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับ
อย่างไรก็ตามในสมัยเดิมนั้นถึงแม้ไม่มีพระพุทธรูปก็มีสิ่งที่เป็นอนุสรณ์เป็นเครื่องเตือนใจ เป็นที่ระลึกแทนพระพุทธเจ้า เช่น ต้นโพธิ์ ยกตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่พระเชตวัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็คิดว่าทำอย่างไรดีจะได้มีอะไรเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็เลยได้ปลูกต้นโพธิ์ขึ้นต้นหนึ่ง ต้นโพธิ์นั้นอยู่ที่พระเชตวันเรียกว่า อานันทโพธิ คือต้นโพธิ์ของพระอานนท์ สำหรับเป็นเครื่องระลึกถึงแทนองค์พระพุทธเจ้า
อย่างไรก็ตามเรื่องพระพุทธรูปยังไม่สำคัญเท่าไหร่อันนั้นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์เท่านั้น เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านมาชาวพุทธเถรวาทก็มีพระพุทธรูปตามสมัย
http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1326.0
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ก.ย. 55 10:20:22
|
|
|
|
|