ความคิดเห็นที่ 1 งานศพเป็นเรื่องของคนเป็น ไม่เกี่ยวกับคนตายแล้ว ตายแล้วก็จบ ไม่ได้รับรู้อะไรอีก คุณอาจจะสั่งเสียไม่ให้จัดก็ได้แต่ญาติพี่น้อง จะทำตามหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว สมัยก่อนเผาศพก็เผากันง่ายๆ ชาวบ้านช่วยกันนำฟืนมาใส่ฟอน นำศพห่อเสื่อขึ้นเผา พระ-เณร ญาติพี่น้องก็ปลงอสุภะ กับซาก ที่เผาไหม้กันได้ ความตายมันเกิดประโยชน์อย่างนี้ ทำให้คนได้ พิจารณาถึงความไม่เที่ยง จากคุณ : EspressoFx เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 05:10:09

ความคิดเห็นที่ 2 เราบริจาคแล้ว และก็บอกญาติทุกคนไว้ ว่าไม่ต้องบำเพ็ญกุศลใดๆทั้งสิ้น ที่จริงอยากจะทำร่างกายให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ด้วยการให้นำร่างกายไปถ่วงทะเล(รักทะเล) จะได้เป็นอาหารแก่สัตว์ทะเลได้ ทดแทนที่กินสัตว์ทะเลมานาน ดีกว่าเผาให้สลายไปเป็นมลพิษในอากาศเปล่าๆ แต่ก็กลัวคนที่ยังกินสัตว์ทะเลอยู่ จะอ้วกแตกกันซะหมด จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 05:24:16

ความคิดเห็นที่ 3 ได้ ..ไม่มีปัญหา ...เพราะเมื่อเราตายไปแล้ว  ร่างกายที่เป็นซากศพนั้น ก็ไม่ใช่สมบัติขอเราอีกต่อไปแล้ว  ตั้งแต่วินาทีแรกที่ขาดใจตาย  ร่างกายนั้นเป็นเพียงก้อนของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น .... ดังนั้น ใครจะเอาซากศพนั้นไปทำอะไรก็ได้ ... ตัวเราแท้ๆคือตัวจิต ก็ออกจากร่างไปเกิดในภพใหม่แล้ว  ไม่รู้ภพไหน  ตามกรรม นั่นแหละ.... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 05:37:10

ความคิดเห็นที่ 4 เราตายไปแล้วร่างกายยังมีคุณค่า บริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาล เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย จากคุณ : ดุดัน (ดุดัน) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 06:51:22

ความคิดเห็นที่ 5 เจ้าของกระทู้ครับ ที่ว่าอะไรก็ "ซอง" นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาคนจัดมากกว่า เพราะพระท่านไม่ได้เรียกร้อง ส่วนใหญ่ที่เห็นต้องสิ้นเปลืองเพราะ เป็นความประสงค์ของผู้จัดมากกว่า บางคนไม่มีเงินสักบาท วัดก็จัดหาให้ตั้งแต่โลกศพ ยันเผา มันอยู่ที่เราคุยกับทางวัด  วัดเขามีทางออกให้เสมอ แต่ส่วนใหญ่เราชอบจัดให้ ใหญ่ ๆ เล็กๆ ๆไม่เอา เรียบง่ายไม่เอา อยู่โทษสิ่งที่อยู่ภายนอก ต้องโทษจากใจของเราก่อน จากคุณ : เด็กวัด (boss11589) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 07:08:09

ความคิดเห็นที่ 6 ได้ครับ แต่ในความเป็นจริง เมื่อตายไปแล้ว เราคงจะมาคอยควบคุมอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ในห้องมีอะไร ผมก็พยายามทิ้งให้หมด เวลาเราตาย คนในบ้านจะได้ไม่ต้องมาคอยคัด มาค้น หรือมาทิ้งสิ่งของๆเรา จะได้ไม่เป็นภาระให้กับคนที่ยังอยู่ เดี๋ยวเขาจะทิ้งไปบ่นไปว่าเก็บสะสมอะไรกันนักหนา ทุกสิ่งเป็นอนัตตา อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชา ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา หรือของๆเรา อนุโมทนาครับ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 07:41:16

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าสามารถบอกคนที่อยู่ให้เขาจัดการให้ได้ ส่วนตัวก็เป็นเหมือน จขกท บริจาคร่างกายแล้ว แต่ก็เผื่อกรณีไม่เข้าข่าย ก็บอกหลานว่า ไม่ต้องจัดงาน อะไร จะเอาไปโยนให้หมาแมวกินก็ได้ หลานมันบอกว่า ไม่ล่ะ มันจะจัดงานให้ เอาแบบสนุกสุดๆไปเลย จากคุณ : r239125 เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 07:59:26

ความคิดเห็นที่ 8 ขอถามค่ะ ตามเรื่องที่ดกี่ยวข้อง เพราะสนใจอยู่พอดี ว่า หากอยู่ ตจว นี้ บริจาคร่างกายได้ไหมคะ แล้วหากเราไปเสียชีวิตไกลจากที่บริจาค เขาจะยังไปรับศพเราไหม ท่านที่ทราบ ช่วยกรุณาแนะรำหน่อยนะคะ... ขอบคุณค่ะ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 08:24:05

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อต้นปี พ่อผมท่านพึ่งเสีย  ก่อนเสีย (ไม่มีสัญญาณว่าจะเสีย) ท่านเคยพูดไว้กับแม่และชาวบ้านว่า หากท่านตายแล้วไม่ต้องเอาไว้หลายๆวันเหมือนคนอื่น ตายวันนี้ เผาพรุ่งนี้เลย พระก็ไม่ต้องนิมนต์มาสวดหลายๆวันเหมือนคนอื่น (หมู่บ้านผมเค้ามีกติกาหรือประเพณีกันอยู่) ว่าหลังเผาศพแล้วก็ยังต้องสวดไปอีก 3 คืน ถึงจะทำบุญแจกข้าว (ภาคอีสาน) หาคนตายได้ ขนาดไม่ทำหรูหรา ไม่จุดพลุตอนเผา ไม่อะไรมากมาย  ตายวันนี้ วันมะรืนเผา (เพราะท่านเสียวันจันทร์ วันถัดมาเป็นวันอังคารเค้าไม่ให้เผา)  ก็ยังหมดเป็นแสน เพราะชาวบ้านมาร่วมงานเยอะ แต่ถ้าถามว่าขาดทุนไม๊  ก็ไม่ขาดหรอก  (หากคิดแบบนั้น) เพียงแต่ทำให้มองเห็นว่า  มันหมดเยอะจริงๆ  ขนาดตั้งใจไว้ว่าไม่ทำเหมือนคนอื่น ไม่หรูหรา พ่อผมท่านแอนตี้พิธีการของชาวบ้านมากๆ  เรื่องเผาแล้วยังต้องสวดต่ออีก 3 คืน แต่ชาวบ้านเค้าก็บอกว่า  มันเป็นประเพณีที่ทำต่อๆกันมานาน พ่อผมท่านบอกว่า  มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย  สุดท้ายคนที่อยู่ก็ต้องทำตามอยู่ดี จากคุณ : อ้ายเซียงจ่อย เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 08:35:51

ความคิดเห็นที่ 10 - คห ที่ 8 ตจว ก็บริจาคได้ ดิฉันก็คิดเหมือน จขกท และบริจาคร่างกายไปหลายปีแล้ว ที่ จ.เชียงใหม่ เราต้องบอกญาติไว้ให้นำศพไปส่งให้ รพ. โดยเรา(ตัวเองคนตาย) เตรียมเงินค่าจัดการส่งศพไว้ด้วยก็จะดีไม่เป็นปัญหากับคนที่ยังอยู่และจัดการธุระให้เรา - เราก็เสียดายเงินค่าจัดการศพที่เป็นจำนวนหลายแสน ล้วนแต่เพื่อหน้าตาคนที่ยังอยู่  น่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้  หรือแม้แต่ญาติเก็บไว้ใช้เอง จากคุณ : Nay_nan เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 08:36:46

ความคิดเห็นที่ 11 "ถ้าเราตายแล้วเผาเลยโดยไม่จัดงานสวดศพได้ไหมคะ" ได้ครับ ง่ายเลย บอกหรือสั่งเสียญาติเอาไว้ เขียนเป็นพินัยกรรมเอาไว้ก็ได้ ความจริงงานศพจัดแบบง่ายๆก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองอะไรมาก ไม่เป็นภาระมากหรอก แบบไทยถูกมากๆ แบบจีนแพงกว่าเยอะต้องหาฮวงซุ๊ยไว้ผังศพ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 09:21:36

ความคิดเห็นที่ 12 คนที่ไปเที่ยวอินเดียเล่าให้ฟังว่า  เมื่อกำลังซื้ของในร้านเห็นขบวนศพผ่านไป เลยคุยเรื่องการจัดการศพ ได้ความย่อๆว่าตายก็เอาไปเผา จบ   ถามว่าใช้เวลาเท่าได  เขาตอบว่าประมาน 2ชม.  อย่างช้าไม่เกิน 3ชม. ?  ? เขาถามกลับว่าที่ไทยใช้เวลาเท่าได ตอบไปว่า ทั่วๆไปประมาณ 7วัน   เขาว่า โอโฮ !  ทำอะไรตั้งนานมากมายขนาดนั้น !  !   ได้ยินว่าชาวอินเดียในเมืองไทย ตายวันนี้เผาพรุ่งนี้ วัดที่เขาไปเผากันประจำรู้ดี ประหยัดไปอีกเยอะ  ไม่ต้องฉีดยากันเน่า  ไม่ต้องใช้โลงติดแอร์ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 09:25:15

ความคิดเห็นที่ 13 ตัวผมนี่แหละครับ ตายเมื่อไรญาติพี่น้องไม่วุ่นวาย เพราะอุทิศร่างกายให้แก่ม.มหิดลเรียบร้อยแล้ว ตายปุ๊ปเรียกเค้ามาเอาไปเลย ให้นักศึกษาผ่าสังขารเล่น พอใช้ประโยชน์เสร็จแล้ว ก้โยนเข้ากองไฟทันที ไม่ต้องส่งกลับมาให้ญาติพี่น้องปวดหัวอีก... http://www.sc.mahidol.ac.th/scan/thai/bodydonation.htm จากคุณ : นัยนะ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 09:31:15

ความคิดเห็นที่ 14 เอ่อ...ในฐานะที่เคยจัดการศพให้ผู้อื่นมาก่อนนะครับ   การตายปุ๊บจะให้เคลื่อนศพออกจากโรงพยาบาลขึ้นเมรุเผาไปในวันนั้นเลยมันทำได้ยากนะครับ มันมีขั้นตอนงานเอกสารเกี่ยวกับการตายเยอะพอสมควรนะครับ....และหากเป็นการตายด้วยเหตุผิดธรรมชาติก็ต้องมีการชันสูตรพลิกศพอีกด้วย....ต้องรอผลการชันสูตร  แจ้งเหตุการตายต่อ จนท.งานทะเบียนราษฎร์  ออกใบมรณะบัตร  นำหลักฐานไปขอเคลื่อนย้ายศพออกจากโรงพยาบาล....ติดต่อจองวัดจองเมรุ....หลายขั้นตอนมากๆ ครับ ดังนั้น....ถ้าจะให้เคลื่อนศพออกจากโรงพยาบาลเพื่อนำไปเผาในวันเดียวคงทำได้ยากในทางปฎิบัตินะครับ (เว้นแต่ทุกอย่างจะถูกเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว และ จนท. ขวนขวายทำงานเอกสารให้เร็ว) อย่างน้อยขั้นตอนต่างๆ ก็คงกินเวลาประมาณ 2-3 วันนะครับ จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 10:28:21

ความคิดเห็นที่ 15 คิดว่าเป็นการสบายใจของผู้จัด เช่น ทำบุญ ทำดีแล้ว ให้ผู้เสีย และ จะมีญาติหรือเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานๆมาพบปะกัน ทำให้มีกำลังใจ จากคุณ : โอปปา เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 10:41:02

ความคิดเห็นที่ 16 ของเราทำ-Living Will ใส่กรอบแขวนไว้ที่ห้องทำงานในบ้าน สั่งไว้สามข้อคือ ๑ ถ้าเจ็บป่วยรุนแรงมาก ไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ เมื่อหยุดหายใจไม่ต้องทำ CPR (เพราะอายุมากแล้วโอกาสหายมีน้อย) ๒ ให้ทำศพเสร็จภายใน ๑ วัน เผาให้หมดไม่ต้องเก็บกระดูกไปลอยที่ไหนต่อ ไม่ต้องบอกใครเป็นพิเศษ ๓ พินัยกรรมทำไว้แล้วอยู่ที่อำเภอ ผู้จัดการมรดกคือ..... แจ้งให้พ่อแม่ พี่น้อง สามี รับทราบว่านี่คือความต้องการของเรา มรณานุสติ มีไว้เป็นประจำ ไม่ประมาท คนเราตายได้ทุกเวลา ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าให้มีอะไรที่คิดว่ายังตายไม่ได้เพราะยังไม่ได้ทำ ทุกวันนี้ คิดว่าตายเมื่อไรก็ได้ ไม่มีอะไรติดค้าง เป็นความสงบในใจอย่างสูงทีเดียว จากคุณ : poohnim เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 11:17:04

ความคิดเห็นที่ 17 ความรู้หลายอย่างของคนสมัยก่อนที่ผ่านการสืบทอดมาช้านาน อย่างเช่นเรื่องตำราสมุนไพรไทยถูกทำลายลงอย่างไม่รู้คุณค่า ตั้งแต่สมัยร.5ที่เริ่มรับเอาการแพทย์ใหม่เข้ามาก็เพราะวิทยาศาสตร์ มันยังเจริญไม่พอๆที่จะรู้คุณค่าของพืชสมุนไพรไม่ใช่แค่ การแพทย์แผนไทยทำนั้นที่ถูกทำลายแต่ยังรวมเอาพุทธศาสนาด้วย ก็มิวายที่จะถูกกระแสวิทยาศาสตร์สมัยนั้นดูถูกดูแคลนถึงขนาด มีพระสังฆราชนิกายใหม่เขียนว่าอิทธิปาติหาริย์ของพระพุทธองค์ ที่สามารถลูบคลำดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ได้นั้นมีความหมายเพียง ความสามารถในเชิงคำนวนทางคณิตศาสตร์เท่านั้น มิใช่ไปสัมผัสได้จริง คนพุทธเราทำบุญงานศพกันสามวันอย่างน้อย ส่วนพวกสันติอโศกตายแล้วเผาเลย ผมเคยเป็นเจ้าภาพจัดงานศพ ให้คนในครอบครัวมาสามครั้ง ศพแรกเป็นน้องสาวผมเห็นเธออยู่ร่วม ในงานทั้งสามวันสามคืน งานศพของน้องสาวมีแต่ญาติไม่กี่คน ทุกคนในงานมีใจที่สงบคอยอุทิศกุศลจิตให้ผู้ล่วงลับ น้องสาวคนนี้ตายแล้วไม่ได้ไปเกิดในภพอื่นทันที กายทิพย์เขาอยู่กับผมเกือบเดือนตอนผมเอาเถ้ากระดูกเขา ไปลอยอังคารไม่ไกลจากฝั่งนักเขาก็มาบอกว่าเขาอยู่แถวนั้นแล้ว แต่ยังไม่ไปเกิดแต่พอจะไปเกิดเขาก็มาบอกว่าจะไปเกิดแล้ว อาจารย์ที่เป็นเทพรักษาของผมยังตามไปช่วยเหลือให้เขาไปสู่สุคติภพ เมื่อไปเกิดใหม่ได้เป็นคนธรรพ์แล้วเขาก็กลับมาบอกผมอีก จากประสบการณ์ชีวิตหลังความตายของน้องสาวคนนี้ ทำให้ผมเชื่อถือข้อมูลในคำภีย์มรณะศาสตร์ของนิกายวัชรยาน ของธิเบตจนหมดสงสัย อย่าได้คิดอะไรว่าพิธีศพหรือศพ ไม่มีสาระสำคัญลองหาคำภีย์มรณะศาสตร์มาอ่านดูก่อนเถิดครับ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 55 12:14:45 จากคุณ : คนกรุงธน เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 12:07:02

ความคิดเห็นที่ 18 "ถ้าเราตายแล้วเผาเลยโดยไม่จัดงานสวดศพได้ไหมคะ" ได้ครับ แต่ถึงแม้จะสั่งเสียไว้อย่างชัดเจน แต่พอตายไปแล้วคนที่อยู่จะจัดการอย่างไรก็ต้องสุดแล้วแต่เขาล่ะครับ ส่วนเรื่องการถ่ายสำเนามรณะบัตรให้กับทางวัด เป็นเรื่องทางกฎหมายครับ เข้าใจว่าเอาไว้ป้องกันการแอบเผาศพ จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 14:27:43

ความคิดเห็นที่ 19 จริงๆข้อดีของงานศพก็มีหลายอย่างนะคะ อย่างเช่นว่าได้ให้ผู้ที่มางานได้มีโอกาสมองเห็นสัจธรรมของชีวิตก็คือความตาย หนึ่งในการเกิดแก่เจ็บตาย ได้มีโอกาสมาร่วมไหว้พระทำบุญ บางงานศพก็จัดใ้ห้มีพระเทศน์ เทศน์ให้คนเป็นได้ฟังได้เห็นแง่คิด เปิดโอกาสให้คนที่มางานได้มีโอกาสสร้างสมบุญกุศลจากงานเรา ได้มีโอกาสให้ญาติอาจจะเป็นพ่อแม่พี่น้องทำบุญให้เรา (ซึ่งเขาเองก็ต้องได้บุญด้วย) หรือถ้าเราจัดให้งานศพเป็นการสอนคนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ งานศพก็ยังน่าจัดอยู่นะคะ แล้วแต่มุมมองคนน่ะค่ะ จากคุณ : plemarine เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 14:28:13

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณทุกท่านที่มาตอบค่ะ เราโดนเรียกซองตั้งแต่โลงศพเลยค่ะ สั่งโลงศพไว้5พัน พอมาจริงทางร้านบอก7พันเป็นค่าธูปเทียนอะไรจิปาถะแบบทางเค้าไม่ได้บอกแต่แรก แถมคนขับรถของร้านยังมาทวงเรายิกๆแบบจิกเลยว่าให้เอาซองให้จนท.ที่รพ.ด้วย2คน บอกหลายเที่ยวเลย พอมาถึงวัด วัดเอาเอกสารค่าใช้จ่ายมาให้ดูเลย ในนั้นเขียนว่ามีค่าอะไรบ้าง ค่ายกโลง(ขึ้นครู) ค่าน้ำมันเผา ฯลฯ ซึ่งเราว่าก็ดีจะได้ไม่มีใครมาแอบอ้างเรียกเพิ่ม  แต่ตบท้ายว่าให้ซองกับสัปเหร่อวัด5ซองด้วย สัปเหร่อไม่ได้มัดตราสังให้เพราะมัดมาตั้งแต่รพ.แล้วปิดโลงเรียบร้อย แต่เราก็โดนเรียกซองค่าสัปเหร่อ มาสับโลงแล้วก็พูดจาไม่ดีกับเราแล้วก็ไปไม่ได้ทำอะไรแล้ว พอวันงานเผาทางสัปเหร่อก็มาพูดๆๆไว้อาลัยพูดผิดๆถูกๆจนเราอยากจะลุกไปพูดเอง และก็เรียกรับซอง พอถึงพิธียกโลงไปเผาก็ให้ญาิติๆยกโลงเอง แล้วเรียกซองค่ายกเผาอีก มีพวกแกงค์แม่ครัวที่มาหากินกับวัดมาวีนใส่เพราะว่าเราไม่ได้จ้างพวกเค้าทำอาหารให้แต่ญาิติๆทำกันเอง เราไปเห็นอีกศาลานึงพวกเค้าทำกะเพาะปลาใส่เส้นหมี่ให้เจ้าภาพด้วย แต่โชคดีที่น้าเรารู้จักหนี่งในแกงค์เรื่องก็เลยจบได้   ระหว่างจัดงานเราจ่ายซองไปเยอะมากเพราะมีคนเรียกรับซองจริงๆค่ะ เราไม่ได้คิดแจกเองเลยจนอยากจะเอาเงินโปรยแล้วให้ไปเก็บกันเอาเองเลยค่ะ อยากได้เท่าไรเอาไปเลยฉันมีอยู่แค่นี้เก็บเอาไปเลยแต่ก็ทำไม่ได้ได้แต่คิดอยู่ในใจ งานนี้ดูสภาพแล้วหลักแสนค่ะ ขนาดครอบครัวเราจัดแบบเรียบๆที่สุดแล้วนะคะ แขกที่เชิญมาก็น้อยค่ะเพราะไม่อยากรบกวนใครมาก แต่ญาิติบางคนก็พูดจาดูถูกว่าคนมางานน้อย นี่เรายังสั่งพี่เราไว้ถ้าเราตายเราขอโลงราคาถูกที่สุด แล้วถ้าอยากสวดก็วันเดียวแล้วเผาไปเลย ใครอยากจัดใหญ่โตก็ให้จ่ายกันเองเพราะเราไม่ต้องการค่ะ ตอนที่มีคนเรียกรับซองเราก็จ่ายๆๆอย่างเดียวเลยค่ะเพราะที่บ้านยังไม่มีปสก.จัดงานศพไม่ได้ไปโต้ไปแย้งอะไรเลย เพราะไม่รู้พิธีกรรมอะไรเลย แต่พอรู้ก็รู้สึกปลงแล้วค่ะว่าไม่เอาแล้ว เราเคยได้ยินมาว่าคนตายขายคนเป็น เราก็ยังไม่เชื่อว่ามีการกู้เงินมาจัดงานศพด้วยหรือแต่ก็มาเข้าใจแล้วค่ะ จากคุณ : quilt เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 14:30:35

ความคิดเห็นที่ 21 น่าเห็นใจท่าน จขกท ครับ ตราบใดที่ผู้คนยังไม่บรรลุโสดาบันกันทุกคน ก็ต้องเจอแบบนี้เรื่อย ๆ ล่ะครับ สงสัยจะต้องรีบไปทำเหมือนกับท่าน คห. 16 แล้วกระมัง จากคุณ : ความเชื่อ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 15:13:27

ความคิดเห็นที่ 22 เราว่าไม่เผาก็ยังได้เลย จากคุณ : จิ้งจอกสามหาว เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 18:02:16

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าคนไทยฉลาดคิด ฉลาดสงสัยเหมือน จขกท. ป่านนี้ประเทศไทยคงเจิญขึ้นเยอะ ปัจจุบันการจัดงานศพ  จะเรียกว่าเป็นธุรกิจก็ได้  มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องทุกอย่าง ตั้งแต่เจ้าภาพยันคนรับจัดงาน คนตายมันนอนอยู่ในโลง นิ่งเหมือนท่อนไม้ ไม่รู้สึกอะไร  ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่คนเป็นกลับจัดงานกันเอิกเกริกเฮฮา บอกคนกันมากมายเพื่อหวังซองทำบุญ  บางศพตายกันทีนึงตั้งศพเป็น 100 วัน ตั้งไว้ให้มันฟื้นกลับขึ้นมาเหรอ ? ที่จริงตายเสร็จก็เผาภายในวันเดียวเลย (เหมือนอิสลามที่ฝังภายใน 24 ชม.)  คนจะได้ไปสู่สุคติมันอยู่ที่กรรมตอนยังมีชีวิต  ไม่ใช่อยู่ที่พิธีกรรมตอนตาย จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 20:02:45

ความคิดเห็นที่ 24 มันก็เพราะเจ้าภาพเองนั่นแหละที่ริเริ่มการให้เงิน ทำให้เกิดการเรียกร้องมาเมื่อภายหลัง ในกรุงเทพหรือเมืองใหญ่ๆมีเยอะมาก เราจัดงานศพผู้ใหญ่มาหลายงาน ถ้าเราใส่ใจเราจัดการเองก็ได้ ที่บ้านเวลามีคนตายในบ้านเราก็ตั้งศพที่บ้าน อาบน้ำศพกันเอง ต่อเตียงตั้งศพกัน มีสวดพระธรรม ทำบุญเลี้ยงพระ ตามปกติ ทุกๆคนก็มาช่วยกัน หุงข้าวต้มแกงก็ทำกันเอง พอถึงเวลาก็ยกศพออกไปเผาที่วัด ก็ทำตามประเพณีทุกอย่าง มันอยู่ที่ว่าเราเคยสนใจบ้างหรือเปล่า กลัวศพหรือเปล่า มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นหรือเปล่า งานศพญาติเราคนช่วยงานเต็มโรงครัวไม่เห็นจะต้องจ้างใคร เห็นส่วนใหญ่ที่จะต้องจ้างก็มีแต่พวกที่ทำราชการ งานสูงที่เลยหัวคน พวกไม่เอาใคร พอถึงเวลาก็ต้องใช้เงินหว่าน ส่วนใหญ่จะอ้างไม่มีเวลา มาถึงก็ยื่นซองแล้วกลับ พอถึงคราวงานของตัวเองก็เคว้งทำอะไรไม่เป็น สมัยก่อนศพเขาตั้งสามคืนก็อย่างเก่งแล้ว บางงานคืนสองคืนญาติมาพร้อมก็เผาเลย ไปทำบุญใหญ่เอาเจ็ดวันโน่น แล้วเรื่องลอยอังคาร ไปเอามาจากใหนกัน เถ้ากระดูกพ่อแม่เอาไปลอยน้ำ ทำไมไม่เอาไปฝังตามโคนต้นไม้หรือต้นโพธิ์ ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังให้ฝังอังคารของพระอัครสาวกไว้ข้างซุ้มประตูวัดพระเชตวันเลย คุณไปลอยอังคารเสียค่ารถค่าเรือไม่ใขเรื่องที่จำเป็นเลย แล้วจะมาบ่นทำไม ส่วนอัฐิถ้าไปเจอบางที่เรียกร้องที่บรรจุทำไมไม่เอาไว้ที่บ้าน พระเจ้าแผ่นดินยังเอาไว้ในวังเลย พอสงกรานต์ก็บังสกุลเสียหน่อยก็สิ้นเรื่อง  โดยสรุปก็คือถ้าเราหนักแน่น ไม่สนใจเสียงชาวบ้านทำยังไงก็ได้ ไม่อยากล้มวัวล้มควาย ก็ทำมังสวิรัต ก็บอกเขาว่าเป็นมังสวิรัต ก็จบ งานศพบ้านเราไม่เคยเลี้ยงเหล้าเลย ไม่เห็นมีใครเขาว่า ก็เจ้าของบ้านเขาไม่กิน แขกที่มาเขาก็ไม่กล้าเรียกร้องกันหรอก ที่บอกมานี่ปัจจุบันนะครับ และบ้านเราก็อยู่ปทุม ใกล้ๆนี่แหละ ไม่ได้บ้านนอกสุดกู่ที่ใหนเลย จากคุณ : ซาจทอ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 21:07:56

ความคิดเห็นที่ 25 คุณคห24 คุณเอากระดูกไปฝังไว้ตรงไหนคะเผื่อเราจะได้บอกญาิติเราให้ฝังเราบ้างค่ะหลังเผาแล้ว เพราะเราไม่อยากให้พี่น้องเรารับภาระค่าเรืออีกค่ะ คุณเกิดมาโชคดีจังค่ะสามารถจัดงานเองได้ เราอายุยังน้อยด้อยปสก.อย่างมากค่ะ ตอนงานพี่เราพวกญาิติๆก็มาช่วยทำอาหารเลี้ยงแขกค่ะแต่ให้เราจ่ายค่ะ พวกเค้าก็มีช่วยเงินช่วยแรงบ้างแต่บ้านเราต้องจ่ายหนักสุดค่ะ ครอบครัวเรามีแต่เด็กๆที่ต้องจัดการกันเองค่ะ เพราะแม่ก็แก่แล้วไม่สบายด้วยค่ะ ท่านช๊อควันที่พี่เสียค่ะ ไม่คิดว่าจะต้องมาเผาลูกตัวเอง ทุกวันนี้เรายังถามตัวเองว่าพี่ตายจริงเหรอเหมือนอยู่ในฝันค่ะ ขอโทษทีทำให้คุณรำคาญใจค่ะเราไม่ได้บ่นค่ะแต่มาถามเฉยๆพร้อมยกเหตุผลประกอบว่าทำไมเราถึงไม่อยากให้ญาิติจัดงานศพให้เราค่ะ เราอธิบายเพิ่มเติมในคหที่20 แล้วเรากลับมาอ่านย้อนดูที่ตัวเองพิมพ์ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเรารอดมาได้ยังไง จากคุณ : quilt เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 01:16:40

ความคิดเห็นที่ 26 เข้าสุภาษิต  "คนตายขายคนเป็น" หรือเปล่าน่ะ จากคุณ : นาวาชาคร เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 10:19:45

ความคิดเห็นที่ 27 โคนต้นโพธิ์ที่วัดที่เผาศพนั่นแหละครับ อย่าไปคิดว่าคนทั้งหลายจะเหยียบย่ำเถ้ากระดูก ที่บ้านตามประเพณีจะเก็บกระดูกใส่โกศแค่ 49 ชิ้น ที่เหลือขุดหลุมฝังหมดตามโคนต้นไม้ใหญ่ๆในวัดนั่นแหละครับ หรือจะถมตามบ่อที่ทางวัดขุดไว้ก็ได้ เพราะเรามาจากดินก็ต้องกลับไปสู่ดินครับ จากคุณ : ซาจทอ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 20:30:32

ความคิดเห็นที่ 28 ของป้าแก่ ฯ ก็ทำเรื่องบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลจุฬา ฯ   สำหรับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ให้สภากาชาดไทยค่ะ และสั่งน้องสาวไว้ว่า ถ้าป้าแก่ ฯ ตายก่อนก็ให้แจ้งโรงพยาบาลมารับไปเลย  ไม่ต้องจัดงานศพ จากคุณ : ป้าแก่คนสวย เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 00:04:21

ความคิดเห็นที่ 29 คิดเหมือนเจ้าของกระทู้  ... ดีใจที่มีคนอืนคิดเหมือนเราหลายคนอยู่เหมือนกัน จนเคยไปติดต่อที่วัดว่าขั้นตอนต่าง ๆ ยุ่งยากมั้ยใช้เงินประมาณเท่าไหร่... บางวัดคิดว่าแพงกลับไม่แพงอย่างที่คิดเช่นวัดธาตุทอง .... ที่นี่มีเตาแบบใช้ความดันเผาได้ในเวลารวดเร็วและมีถึง 4 เตา สามารถเลือกได้ว่าจะให้มีอัฐิขนาดไหนหรือจะให้ป่นเป็นเถ้าทั้งหมดก็ได้ .......... จากคุณ : ทองรอด (THONGROD) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:34:10

ความคิดเห็นที่ 30 ตายไปแล้ว เหลือร่างกาย...จะเผาเลย จะไม่มีใครเห็น จะบริจาค จะสวด ร้อยวัน เมากันร้อยคืน จะทำบุญใหญ่ จะทำบุญน้อย บุญย่อย แถมบาป จะรวยขึ้น จะอะไรก็ตาม พอจะเตรียมใว้ได้บ้าง.... คือขอบริจาค.. แต่เอาเหอะ..ช่างมันปะไร  เพราะความจริงมันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่เราเลือก จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 20:32:59