Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สวดมนต์ ภาวนา ดูจิต เพิ่มกำลังจิต กับ ชีวิตประจำวัน ติดต่อทีมงาน

ต้องออกตัวไว้ก่อนค่ะ  ว่ายังอ่อนด้อย ทั้งเรื่องปริยัติและปฏิบัติ  
แต่ชื่นชมในปณิธานของพระโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ในข้อธรรมที่ว่าด้วย ความเมตตา กรุณา      

สิ่งที่พยายามยึดไว้ในการดำเนินชีวิตแบบปุถุชนทั่วไป คือ
“พรหมวิหารธรรม” การไม่เบียดเบียน การไม่ทำร้าย   จึงอาจจะเล่าได้ว่า “พรหมวิหารธรรม” เป็นสิ่งที่จุดประกายสร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติภาวนาของดิฉัน

     ดังนั้น แม้ว่า ตัวเอง จะมี วาสนาเก่า ที่หยาบคาย ดิบ เถื่อน อาฆาต  ปากร้าย จิกกัด ประชดประชัน  เพียงใด ก็ตาม  หาก “สติ” เข้มแข็งในช่วงนั้น เข้มแข็งพอจะระลึกได้ว่า ได้เบียดเบียนตัวเอง และผู้อื่นด้วยการกระทำอันขาดสติเช่นนั้นไปแล้ว  โทสะ หรือ อารมณ์ลบทั้งหลาย ก็จะขาดสะบั้นเป็นห้วง ๆ (ก่อนจะกลับมาเสวยอารมณ์เก่าอย่างง่ายดายเพียงชั่วพริบตา)

      ดิฉันเอง รู้สึกว่า ตัวเอง ได้อะไรเยอะมาก จากการฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ ว่าด้วยเรื่องการดูจิต และความรู้สึกตัว ไม่เคยคิดว่า เป็นการปฏิบัติที่ ลัดสั้น เลย  แต่คิดว่า เป็นการปฏิบัติภาวนาที่สามารถปรับใช้กับชีวิตประจำวันในภาวะที่ต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่าง
       ขณะที่ “ทางกายภาพ” ไม่สามารถปลีกตัวไปปฏิบัติได้ไกล ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ เนื่องจากต้องประจำการทอดสมอรอปฏิบัติงานหลายรูปแบบอยู่แถว ๆ บ้าน และที่ทำงาน

       อาชีพการงานของดิฉันปัจจุบัน นิยามสั้น ๆ ว่า เป็น “แม่บ้านสมองไว” ทำทุกอย่างตามแต่สามีจะใช้สอย และคอยอุดรอยแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่บ้าน และโรงงาน ตลอดจนจัดสรรเวลามาทำสิ่งที่ตัวเองสนใจเป็นการส่วนตัวเป็นงานพิเศษบ้าง
       สภาวะชีวิตที่เป็นอยู่นี้ คงเป็นเหมือน “ตาข่ายกรรม” ที่ดิฉันได้เลือกเอง  การที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยสิ่งอันเป็นภาระเหล่านี้ ในด้านหนึ่ง ก็เหมือนเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติภาวนา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนเป็นฐานให้ได้รู้จักพลิกแพลงอุบายการปฏิบัติภาวนาไปด้วยได้อีกรูปแบบหนึ่ง

        “การรู้สึกตัว” เหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่จะคงสภาพของ กำลังจิตที่ทรงความรู้สึกตัวได้ตลอดเวลานั้นไม่ง่ายนัก  สำหรับดิฉันเอง  บทเรียนจากคำธรรมเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ ถือว่า ได้เปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิต ของดิฉันเลยทีเดียว

        ดิฉันพบว่า คำสอนของพระอาจารย์แต่ละท่าน แต่ละสาย ว่าด้วยเรื่องความรู้สึกตัว ล้วนสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกันไปหมด  

หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเน้นให้ “รู้สึกตัว” โดยการดูจิตใจของตัวเอง

หลวงพ่อ มิตซูโอะ ท่านแนะให้รู้สึกตัว ผ่านอานาปานสติ ดังคำง่าย ๆ ที่ท่านเคยสอนไว้ในคำเทศน์ว่า “จับลมบ่อย ๆ” หายใจเข้าให้รู้ หายใจออกให้รู้  (ทุกท่านคงคุ้นเคยกับ สติกเกอร์รูปกระต่ายหายใจของท่านนะคะ)

หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ท่านเทศน์ว่าด้วย เรื่องปัจจุบันขณะ และการรู้สึกตัวกับสิ่งเฉพาะหน้า

พระครูพิทักษ์ศาสนวงศ์ (หลวงพ่อไก่) สอนเรื่องการรู้สึกตัว โดยการหมั่นบริกรรมภาวนา (จริง ๆ ท่านสอนหลายรูปแบบ)


ความรู้สึกตัว นี่มีอำนาจมหาศาลนะคะ

ดิฉันรู้สึกอย่างที่คุณศรารัศมิ์ เล่าไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ว่า
“พอกลับมาอยู่กับปัจจุบัน บางทีมันหยุดความคิดได้เพียงชั่วเสี้ยววินาที”

          ใช่เลยค่ะ ความรู้สึกตัว มีอานุภาพที่กล้าแข็งมาก ทำให้ ความเศร้า ความกังวล ความกระวนกระวาย ขาดผึงไปในชั่วแวบ (สั้นกว่าวินาที) ที่รู้สึกตัวขึ้นมาได้เลย  ก่อนที่ใจจะกลับไปเสพอารมณ์เดิม ๆ อีก ในชั่วแวบอีกเช่นกัน  การจะตั้งมั่นและรู้สึกตัวอยู่ได้บ่อย ๆ จนเป็นปกติของอารมณ์นั้น  จำต้องอาศัยกำลังจิตพอสมควร

กำลังจิต คือ อะไร ?  

สำหรับดิฉัน คือ ความตั้งมั่นของจิตใจในการปฏิบัติ

    สองสามปีก่อน ตอนที่ดิฉัน ได้มีโอกาสไปกราบ พระอาจารย์ใหญ่ หรือ หลวงพ่อไก่ เป็นครั้งแรก  ดิฉันกราบเรียนถามท่านถึงเรื่องการภาวนา  ท่านกล่าวว่า “ทำ ๆ หยุด ๆ วิ่งไปแล้วก็หยุด วิ่งไปแล้วก็หยุด”  แล้วท่านก็ได้เมตตาให้ คำภาวนา “ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา” ดิฉันมาหนึ่งแผ่น  

    แม้ในกระดาษแผ่นนั้น จะบอกให้ภาวนาให้ได้ 1 ชั่วโมงทุกวัน  แต่ในทางปฏิบัติ ดิฉัน เลือกทำครั้งละ 3 นาที 5 นาที ตอนรถติด หรือ ตอนติดอยู่ในรถ ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้  ต่อมาดิฉัน ก็ได้กราบเรียนถามท่านว่า การภาวนา ครั้งละสั้น ๆ แบบนี้ มีอานิสงส์เพียงไร

    ท่านตอบว่า “มากมายมหาศาลนัก”

     จากครั้งนั้นมา ดิฉัน ยังได้อุบายภาวนาอีกหลายรูปแบบจากท่าน  ซึ่งถ้าขยันมากกว่านี้ เรื่องเล่าภาวนาของดิฉันคงแตกกอต่อยอดไปได้มากกว่านี้
แต่กระนั้น  แม้จะมีความขี้เกียจมหาศาล แต่การระลึกรู้ลมหายใจ  การรู้สึกตัว ซึ่งจะเข้มแข็งได้ง่าย และเร็วขึ้นมาก ผ่านการบริกรรม คำภาวนาที่ได้มา  กลับทำให้สภาพจิตใจหลายเรื่องเปลี่ยนไป

      นั่นคือ รู้ทันสภาพจิตใจได้เวลาโกรธ หลง (หลงนี้ ดูจะยากกว่าสักหน่อย) ได้เร็วขึ้นมาก  

      สภาพจิต คือ ก่อนหน้านี้ จะรู้สึกเหมือนใจขุ่นเหมือนน้ำขุ่นตลอดเวลา และพอใจขุ่น การแสดงออกทางวาจา หรือ ทางกายก็ไม่เหลือค่ะ   แต่ตอนนี้ บางที พอใจเริ่มโทสะขึ้น  มันเหมือนรู้สึกถึงการแยกชั้น ว่า เรามองน้ำใส (ใจ)  ผ่านกระจกสีชา (โทสะ)  คือ ตัวใจลึก ๆ มันไม่ได้ลงไปแช่ผสมปนลงกับตะกอนเสียทีเดียว

ตอนนี้ ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะคะ  มีอะไรต้องทำนิดหน่อย  เวลาเหมาะ ๆ จะกลับมาค่ะ

บทความนี้ เขียนขึ้น จากประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉันเอง นำมาแบ่งปันเล่าสู่กันฟัง เพื่อขอคำชี้แนะ และยินดีรับฟัง ข้อวิพากษ์วิจารณ์อันประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมของเพื่อนร่วมปฏิบัติทุกท่าน

แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 55 23:40:50

จากคุณ : แม่กุ๊บกั๊บ กีกี้ เก้าเก้า
เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 11:25:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com