(จากไตรภูมิพระร่วง)
ติจีวรัญ์จปัต์โตจ วาสีสูจีจพันธ์ธนํ
ปริสาวนมัฏ์เฐเต ยุต์ตโยคัส์สภิก์ขุโนฯ
กัลปอันมีพระพุทธเจ้าพระองค์ ๑ อันชื่อสารกัลปนั้นมีครา ๑ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามชื่อพระพุทธโกณฑัญญนั้นแลฯ ในบัณฑกัลปนั้นครา ๑ มีพระพุทธองค์เจ้าองค์ ๑ ชื่อติสสัมมาสัมพุทธเจ้าแลฯ พระพุทธปุสสเจ้าตรัสในวรกัลปนั้น ๓ พระองค์นั้นครา ๑ คืออพระพุทธอโนมทัสสีพระธรรมทัสสีพระปิยทัสสีฯ ในสารมัณฑกัลปพระเจ้าตรัส ๔ พระองค์มีครา ๑ คือพระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกรฯ ในภัททกัลปพระเจ้าตรัส ๕ องค์ในกัลปเราท่านอยู่บัดนี้ พระพุทธกักกุสนธ พระพุทธโกนาคมน์ พระพุทธกัสสป พระพุทธโคดม พระพุทธศรีอาริเมตไตรยฯ แลฝนตกลงแลน้ำท่วมเถิงพรหมโลกย์ได้อสงไขย ๑ ชื่อสังวัฏฏฐายีอสงไขยกัลปแลฯ บัดแบงลม ๔ อันจึงพัดห้วงให้เป็นภูมิดังเก่าขึ้นนั้นน ลมอันหนึ่งชื่อปรจิตตวาต ลมอันหนึ่งชื่อภัทรวาต ลมอันหนึ่งจักราวาต ลมอันหนึ่งพัดไปมาเป็นระลอก กลายเป็นแผ่นดังปุ่มเปือกสุดเป็นแผ่นกลายเป็นกลลดังน้ำข้าว สุดเป็นกัลลกลายเป็นอัมพุชดังข้าวเปียก สุดอัมพุชกลนายเป็นเปสิขเป็นก้อนสุดเป็นเบือกกลายเป็นภูมิดังเก่าก็ดูแพร่งพรายงาม นักเป็นดังที่อยู่เมื่อก่อนเกิดเป็นรัตนทั่วทุกแห่งดังเก่า ชั้นนั้นชื่อมหาพรหมภูมิ ฝูงพรหมลงมาอยู่ในชั้นนั้นดังเก่าน้ำเร่งแห้งลมลงทั้ง ๔ อันเร่งพัดดังกล่าวก่อนแลฯ ลมพัดน้ำเป็นระลอกกลายเป็นเผณุ สุดเผณุกลายเป็นกลลดังน้ำข้าว สุดเป็นกลกลายเป็นอัมพุชดังข้าวเปลือก สุดอัมพุชกลายเป็ฯเปสิเป็นกัลลอันสุดเป็นเปสิกลายเป็นแผ่นภูมิดังเก่า ดูพร้อยงามนักหนาเป็นต้นที่อยู่ก่อนเกิดเป็นรัตนปราสาททุกแห่งดังก่อนนั้น พรหมปโรหิตาภูมิ ฝูงพรหมมาอยู่ในชั้นนั้นดังเก่าน้ำเร่งแห้งลงเนือง ๆ ลม ๔ อันพัดเป็นเผณุ สุดเผณุเป็นกลล สุดกลลเป็นอัมพุชกลายเป็นสีเป็นขุ้นสุดเป็นข้นเป็ฯแผ่นภูมิเท่าดังเก่าแล ดูพรหมงามนักหนาเป็นที่อยู่ดังเมื่อก่อนเป็นรัตนปราสาททั่วทุกแห่ง ชั้นนั้นชื่อพรหมปาริสัชชาภูมิ ฝูงพรหมลงมาอยู่ชั้นนั้นดังเก่า น้ำเร่งลงแห้งเนือง ๆ ลม ๔ อันพัดเป็นเผณุเป็ฯกลลกลายเป็นสิ สุดกลายเป็นข้น สุดเป็นแผ่นภูมิดังเก่า ดูพรายงามงามนักหนาเป็นรัตนปราสาททุกแห่งดังเก่า ชั้นนั้นชื่อปรนิมมิตวสวัสดีสวรรค็์ ฝูงเทพยดาลงมาอยู่ดังเก่า แต่ช้นนี้ลงมาเรียกว่ากามภูมิแลว่าน้ำก็เร่งแห้งลงเนือง ๆ ลม ๔ อันเร่งพัดกว่าก่อนข้นเป็นแผ่นดินทอง เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งดังนี้อยู่เหมือนกอนชั้นนี้ฃื่อนิมมานรดี ฝูงเทพยดาลงมาเต็มวิมานอยู่ดังเก่าน้ำเร่งแห้งลงเนือง ๆ แลลม ๓ อันเร่งพัดมาดังกล่าวก่อนนั้นข้นเป็นแผ่นดินทองดพรายงามดังเก่าเกิดเป็นปราสาทแก้วแลวิมาน ฝูงเทพยดาทั้งหลายดังชั้นนี้ฃื่อดุสิดา ฝูงเทพยดาลงมาแต่บนมาอยู่ดังเกาน้ำเร่งแห้งลงเนือง ๆ ลม ๓ อันพัดดังกล่าวก่อนนั้น น้ำข้นเป็นแผ่นดินทองดูพรายงามดังเก่าเกิดเป็นวิมานแก้ว เทพยดาดังเก่าชั้นนั้นชื่อยามา ฝูงเทพยดาลงมาแต่บนมาอยู่ดังก่อนนั้นฯ น้ำเร่งแห้งลงเนือง ๆ ลม ๔ อันเร่งพัดเป็ฯเผณุสุดเผณุเป็นกลล สุดกลลเป็นอัมพุช สุดอัมพุชเป็นสีเป็นข้น สุดเป็นแผ่นภูมิทองดังเก่า ดูพรายงามนักเป็นดังที่อยู่แต่ก่อน เกิดเป็นปราสาท ทั่วทุกแห่งชั้นนั้นชื่อดาวดึงษาภูมิ ฝูงเทพยดาลงมาอยู่ดังเก่าฯ น้ำเร่งแห้งลงเนือง ๆ ลม ๔ อันเร่งพัดเป็นเผณุ สุดกลลเป็นอัมพุช สุดอัมพุชเป็นข้นกลายเป็นแผ่นภูมิดังเก่าดพรายงามนักเป็นดังที่อยู่ เมื่อก่อนเกิดเป็ รตนปราสาททั่วทุกแห่ง เกิดเป็นเขาพระสุเมรุราชโดยใหญ๋โดยสูงเท่าเก่าเกิดเป็นสัตตปริภัณฑ์ แลสีทันดรสมุทรล้อมรอบเกิดเป็นจตุรมหาทวีปแลปริตตทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ล้อมรอบดังเก่า เกิดเป็นป่าพระหิมพานต์แล เกิดสัตตมหาสระ เกิดเป็นปัญจมหานที เกิดเป็นจักรวาลรอบทั้งหลายทั้งที่เป็นอันใดไส้ก็เกิดเป็นดุจเดียวนั้นขึ้นสิ้นแลฯ เกิดเป็นดาวดึงษาภูมิเมืองพระอินทร์ เกิดเป็นจาตุมหาราชิกาภูมิเมืองพระจตุโลกบาล เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นนรก เกิดเป็นเปรตวิสัย เกิดเป็นดิรัจฉานภูมิ เกิดเป็นอสุรกายภูมิที่ได้เมื่อก่อนก็เกิดมีดังก่อนนั้นแลฯ ใหญ่สูงเมื่อก่อนไส้ก็เกิดใหญ่สูงเท่านั้นแลฯ บมิได้หลากแต่ก่อนนั้นสักแห่งเลยฯ เมื่อลมพัดก็เป็นปุ่มเปือกน้ำซัดไปมามีที่ต่ำมีที่สูงมีที่ราบมีที่เพียงที่ใดต่ำนั้นกลายเป็นแม่น้ำ ที่ใดสูงกลายเป็นภูเขา ที่ใดราบเพียงกลายเป็นที่ไร่ที่นาเป็นป่าในแผ่นดินชมพูทวีปอันเราอยู่นี้เกิดเป็นพระมหาโพธิก่อน ฝ่ยว่าไฟไหม้ก็ไหม้สุดทั้งหลาย สถานที่นั้นเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์แล ว่าที่นั้นเฉพาะกลายเป็นชมพูทวีปแลฯ พื้นแห่งนั้นสูงแลกว้างทั้งหลายเมื่อดอกบัว เมื่อเราจะกันก็เกิดที่นั้นขึ้นพรหมโลกย์แลฯ เมื่อน้ำแห้งแลฝนดีในแผ่นดินนี้ มีพรหมคนทรัสส (สารสังคหะว่า สุรภิคันธ) โอชารสอร่อยนักหนาดังอันจไม้ทกปายาไส (สารสังคหะว่า นิรุทกปายาส) เมื่อนั้นฝูงพรหมอันอยู่ในอาภัสสรพรหมสิ้นบุญจุติจากอาภัสสรลงมาเกิดเป็นมนุษย์เกิดตัวอุปปาติกฯ คนฝูงนั้นบมิเป็นผู้หญิงเป็นฝู้ชายเป็นดังฝูงพรหมทั้งหลายแล มีรัศมีรุ่งเรืองงามแลมีริทธาพิธีอาจไปโดยอากาศบห่อนรู้กินอาหารสิ่งใดแล แต่ปีติสุขนั้นเป็นอาหารต่างข้าวแลน้ำแลฯ เมื่อนั้นอายุเขาได้อสงไขยหนึ่งแลฯ อยู่จำเนียรกาลดับนั้แลจัดให้เป็นผู้หญิงผู้ชายดังเมื่อก่อนนั้นฯ ฝูงพรหมทั้งหลายเห็น ดังนั้นต่างคนก็ต่างชิมรสปถพีนั้นทุกคนต่างข้าวแลน้ำทุกวันเหตุดังนั้นดำริ ๓ วันเป็นอกุศลเกิดแก่เขาดังนั้น อันว่ารัศมีในตัวเขาก็หายไปสิ้นแล แต่นั้นมืดทั้งเมืองดินนี้ทุกแห่งแลมิได้เห็นกันสักแห่งเลยฯ เขาเห็นว่ามืดดังนั้นก็กล่าวทุกคนเขาจึงรำพึงดังนี้ แลว่าเราจะกระทำอันใด แลว่าเราจะเห็นหนดังนี้ เมื่อดังนั้นด้วยอำนาจเพื่อบุญฝูงสัตว์อันเกิดนั้น จึงเป็นเดือนเป็นตระวันเป็นคืนดังเก่าอีก อำนาจอธิษฐานนั้นจึงเกิดเป็นตะวันดวงหนึ่งใหญ่สูงได้ ๕๐ โยชน์ โดยมณฑลได้ ๑๕๐ โยชน์ให้คนทั้งหลายเห็นหน เมื่อนั้นฝูงคนทั้งหลายเห็นกันเรืองดังนั้นแลยินดีถูกเนื้อพึงใจหนักหนาฯ จึงว่าดังนี้เทพบุตรตนนี้อาจบรรเทาอันมืดนั้นกล่าวได้ฯ ควรเรียกชื่อว่าพระสุริยแลฯ เมื่อนั้นอาทิตย์ให้รุ่งเรืองสิ้นกลางวันดังนั้นฯ จึงประทักษิณพระสุเมรุราชไป ครั้นว่าลับเขาพระสุเมรุราชฝ่ายหนึ่งกลับมืดเข้าเล่าแล ฝูงคนทั้งหลายยิ่งกลัวขึ้นเล่าโสดฯ จึงว่าดังนี้ เทพบุตรอันเกิดให้รุ่งเรืองดีนักหนาแล้วแต่ว่ายังมีเมื่อมืดดังนี้ฯ จึงเทพบุตรอาจให้รุ่งเรืองเมื่อกลางคืนนี้ดังเทพบุตรลับไปด้วยนั้น อำนาจให้ฝูงคนทั้งหลายใฝ่ใคร่อธิษฐานดังนี้ฯ จึงเกิดเป็นเดือนอนึ่งวใหญ่แลงามนักแต่ว่าน้อยกว่าตระวันโยชน์ ๑ เป็นดังใจฝูงคนทั้งหลายอธิษฐานนั้นแลฯ ทั้งเดือนแลตระวันย่อมมาแต่พรหมโลกย์ เพื่อจักให้เห็นแก่ฝูงคนทั้งหลายในโลกย์นี้แลฯ เมื่อเขาเห็นเดือนดังนั้นเขายินดีนักหนายิ่งกว่าเก่าเขาจึงว่าดังนี้ เทพบุตรตนนี้อาจให้เราเห็นหนดังใจเราปรารถนาดังนี้ดุจรู้ใจเรา แลเกิดเป็นควรเราเรียกชื่อว่าจักรเทพบุตรแลฯ เมื่อเกิดมีพระอาทิตย์พระจันทร์แล้ว จึงเกิดเป็นสัปตพีสนักษัตรแลดาวดารากรทั้งหลายภายหลัง แต่นั้นจึงมีวันแลคืนปีแลเดือนทั้งหลายฤดูอาสทั้งหลายแต่นั้นมาแลฯ แต่จักให้แผ่นดินแลเรืองเป็นฟ้า เป็นดินรอด เป็นปี เป็นเดือน เป็นตระวันดังนั้น โดยอสงไขยหนึ่งเรียกชื่ออนันต์ได้อสงไขยกัลปแลฯ เมื่อวันแรกมีพระอาทิตย์พระจันทร์แลฝูงสัตว์แลดาวดารากรทั้งหลาย จักแรกให้รู้จักปีเดือนวันคืนนั้น พอในเดือน ๔ เพ็งบูรณ์มีวันอาทิตย์เสร็จในราษีเสวยฤกษือุตตรภัทร์ พระจันทร์แรกเสด็จในกัญราษีเสวยฤกษ์อุตตรผคุณ พอเมื่อดังนั้นเห็นหนทั้ง ๒ ทวีป (อีก ๒ ฉบับว่า ๔ ทวีป) คาบเดียวสิ้น พระอาทิตย์ให้เห็นหนทั้ง ๒ ทวีป พระจันทร์พอให้เห็นหน ๒ ทวีปเท่ากันนั้น ครั้นพระอาทิตย์เกิดขึ้นในแผ่นดินเรานี้ไส้เห็นทั้งแผ่นดินบุรพิเทห ๒ แผ่นดินเห็นเพื่อพระอาทิตย์แลฯ ครั้นว่าเดือนตกในแผ่นดินเรานี้ เห็นรีศมีพระจันทร์ในอุตตรกุรุแล อมรโคยานีทวีปนี้คาบเดียว ๒ ทวีปเพื่อหนเพื่อรัศมีพระจันทร์แลฯ แต่นั้นมาเป็นต่อเท่าฝูงคนทั้งหลายอยู่ในแผ่นดินแลฯ เถิงว่าใหม่กัลปเล่าโสดเรียกชื่อว่าวินตถายี (ความตรง วิวัฏ์ฏัฏ์ฐายี) อสังเขยยกัลปแลฯ ทั้ง ๔ อสงไขยนี้ชื่อมหากัลปแลฯ ในปี ๑ มีฤดู ๓ อัน ๆ หนึ่งชื่อคิมหันตฤดู อนึ่งชื่อวัสสันตฤดู อนึ่งชื่อเหมัตฤดูแลฤดู ๓ อันว่าคิมหันต ฤดูเป็นก่อนมี ๔ เดือน แต่เดือน ๔ แลเดือน ๔ แรมค่ำ ๑ เถิงเดือน ๘ เพ็งบูรณ์เป็น ๔ เดือนแลเป็นคิมหันตฤดูแล แต่เดือน ๘ แรมค่ำ ๑ ไปเถิงเดือน ๑๒ เพ็งบูรณ์เป็น ๔ เดือนชื่อวัสสันตฤดูแลฯ นับแต่เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ ไปเถิงเดือน ๔ เพ็งบูรณ์เป็น ๔ เดือนชื่อเหมันตฤดูแลฯ อนึ่งเล่าแลฤดูนั้นมีสองกาลทั้ง ๓ ฤดูนั้เป็น ๖ กาลแล แต่เกือน ๔ แรมค่ำ ๑ ไปเถิงเดือน ๖ เพ็งชื่อวัสสันตฤดู เมื่อนั้นน้ำหากกระทำโทษแก่คนทั้งหลายฯ แต่เดือน ๖ แรมค่ำ ๑ เถิงเดือน ๘ เพ็งชื่อคิมหันตฤดูกาล เมื่อนั้นมีกำลังลมแลกำลังไฟในคนทั้งหลายแต่เดือน ๘ แรมค่ำ ๑ ไปเถิงเดือน ๑๐ เพ็งชื่อวัสสันตฤดูกาล เมื่อนั้นลมแลไฟทำโทษแก่คนทั้งหลายฯ แต่เมื่อเดือน ๑๐ แรมค่ำ ๑ ไปเถิงเดือน ๑๒ เพ็งชื่อสรทกาล เมื่อนั้นหนาวลมแลน้ำให้โทษแลฯ แต่เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ เถิงเดือนยี่เพ็งชื่อเหมันตฤดู เมื่อดังนั้นไฟแลน้ำหากทำโทษแลฯ ในกาล ๖ อันนี้อันที่พระษนกาลนั้นหากเป็นก่อน แลเป็นก่อนทั้งหลายฝูงคนอันเกิดในแผ่นดินนี้กินโอชารสปถพีด้วยฤดูฝูงนี้แลฯ เหตุว่าฝูงชนทั้งหลายประมาทลืมตนการอันจะเป็นกุศลบุญธรรม อันว่าโอชารสปถพีอันคนทั้งหลายกินนั้นก็จมลงไปใต้ดินจึงพูนขึ้นในกิลปดิน (สารสังคหะว่า ภูมิปัป์ปฏโก) ดังดวงเห็ดอันตฺนั้นก็จมลงหายในแผ่นดินแลฯ จึงพูนเกิดเข้าอนึ่งชื่อภัทธาลดา (สารสังคหะว่า ปทาลตา) ประดุจดังผักบุ้ง แลมีโอชารสอันดีนักหนา ชนทั้งหลายจึงกินเชือกเขานั้นต่างข้าวทุกวารแลฯ อยู่จำเนียรกาลคนทั้งหลายประมาทในบุญธรรมนั้นนักหนา จึงเชือกเขาภัทธาลดานั้นดานหายไป จึงพูนเกิดเป็นข้าวอันชื่อชาติสาลีอันหาแกลบแลรำบมิได้แลมิพักตำหากขาวเองแล้ว กลายเป็นต้นเป็นหน่อเป็นตอเกิดเป็นข้วสารอยู่เอง แลมิพักตำมิพักตากมิพักฝัดสักอัน ครั้นว่าเอาข้าวสารนั้นใส่หม้อแล้วดังตั้งขึ้นเหนือก้อนเส้าอันชื่อโชติกปาสาณฉันนั้น อันว่าเพลิงในก้อนเส้าหากลุกขึ้นเอง ถ้าแลมีใจจะใคร่กินกับไส้หากเกิดมีกับข้าวทุกสิ่งแลฯ ครั้นว่าคนทั้งหลายกินขั้าวดังนั้นจึงเกิดมีลามกอาจม จึงรู้ร้ายตีนร้ายมือเป็นลามกอาจมเป็นปรกติมนุษย์แลฯ เป็นแต่นั้นต่อเท่าบัดนี้แลฯ แต่เมื่อเขากินโอชารสปถพีนั้นก็ดี แลเขากินกลีบดินก็ดี อันดังดวงตมนั้นก็ดี เมื่อกินเชือกเขาภัทธาลดานั้นก็ดี อันจะเป็นลามกอาจมหาบมิได้ดังฝูงเทพยดาทั้งหลายอันเสวยข้าวทิพย์ชื่อสุทธาโภชน์นั้น แม้นว่ากินเท่าใด ๆ ก็ดี บมิรู้เป็นลามกอาจมเลย ครั้นว่ากินอาหารนั้นไปถ้วนเอ็ฯอันได้ ๗ พันแล้วไปต้องเตโชธาตุ อาหารฝูงนั้นก็ละลายแหลกหายไปในตัวสิ้นเมื่อใดได้กินข้าวไส้ แลอาหารนั้นแวนมาก จึงกลายเกิดเป็นลามกอาจมเพื่อดังนั้นฯ เมื่อกาลได้กินข้าวนั้นอันว่ากำหนัดแก่ราคคดีโลกย์คดีธรรมแก่ฝูงหญิงชาย แลคนทั้งหลายก็มีแต่นั้นแลฯ ผู้ใดแลโลภแก่ดำฤษณานั้นมากนักฝูงนั้นก็กลายเป็นผู้หญิงไปแลฯ ผู้ใดโลภแต่ดำฤษณาแต่พอบังควรไส้ก็เป็นบุรุษภาวอยู่แลฯ อันว่าเกิดเป็นบุรุษภาวแลอิตถีภาวไส้ เป็นแต่นั้นมาต่อเท่าบัดนี้แลฯ ครั้นว่าเกิดมีฝูงหญิงฝูงชายแล้วดังนั้น ครั้นเขาเห็นกันก็มีใจปฏิพัทธ์แก่กัน แล้วจึงเกิดมีเมถุนด้วยกันโดยธรรมดาโลกย์ก็มีมาแต่กัลปก่อนโพ้นแลฯ แต่นั้นเขาจึงรู้หาที่เรือนแลทีอยู่เพื่อจักบังควรความอายอันเป็นอกุศลสุภาวนั้นแลฯ ครั้นว่าเขาเป็นคู่คำรบผัวเมียกันแล้วแลเขาทำเหย้าเรือนอยู่ดังนั้น เขาจึงไปเอาข้าวอันชื่อว่าชาติสาลีมาไว้ให้มากเพื่อสนใจไว้ว่าจะกินหลายวันแลฯ กาลนั้นอันว่าชาติข้าวสาลีนั้นก็กลายเป็นเปลือกเป็นแกลบเป็นรำไปดังข้าวเปลือกเราบัดนี้แลฯ อันว่าสถานที่ข้าวเคยงอกแลแตกเป็นข้าวสารนั้นก็มิได้งอกขึ้นเป็นดังเก่าเลยฯ จึงคนทั้งหลายเห็นหลากมหัศจรรย์ดังนั้น แล้วเขาจึงชุมนุมปรึกษาเจรจาฉันนี้ แลว่าเมื่อก่อนเรากระทำความอันชอบธรรม เราปรารถนาอันใดก็ได้ดังเราปรารถนาแต่ก่อนไส้ เรามิได้กินอาหารก็ดีเราก็อิ่มอยู่แล เราจะไปแห่งใดก็ไปโดยอากาศ อนึ่งเราไส้มีที่นอนที่อยู่ก็เป็นสุขสำราญ ตัวเราก็มีรัศมีอันรุ่งเรืองทั่วทั้งจักรวาล ทั้งโอชารสแผ่นดินก็ขึ้นมาปนเพื่อประโยชน์แก่เรา ๆ ก็ชวนกันโลภอาหารเรากินกันโอชารสแผ่นดิน อันว่ารัศมีในตัวเราที่รุ่งเรืองนั้นก็หายไปสิ้น ก็บันดาบให้มืดแก่เรา ๆ จึงปรารถนาหาสีอันรุ่งเรืองนั้นเล่าฯ จึงเกิดพระอาทิตย์พระจันทร์ให้รุ่งเรืองแก่เรา ๆ กระทำซึ่งสภาวผิดธรรมอันว่าโอชารสแผ่นดินนั้นก็หายไป จึงกลายเป็นดอกเห็ดอันตูมนี้นั้นขึ้นมาในกลีบดินให้เราได้กินต่างข้าวเราไส้ เร่งกระทำความอันมิชอบธรรมเล่า อันว่ากลีบดินดังดอกเห็ดตูมนั้นก็หายไป จึงกลายเป็นเชือกเขาชื่อภัทธาลดามาขึ้นมาให้เราได้กินต่างอาหารเล่า เราก็เร่งกระทำความมิชอบซ้ำอีกเล่า อันว่าเชือกเขาภัทธาลดานั้นก็หายไปสิ้น จึงกลายเป็นข้าวสัญชาติสาลีอันมิได้ปลูกหากเป็นข้าวสารมาเองเป็นอาหารเรา ๆ ได้กินเป็นอาหาร แลว่าข้าวสัญชาติสาลีนี้ที่ใดเราเอาเมื่อตะวันเย็นนั้นครั้นว่ารุ่งขึ้นเช้า เราเห็นข้าวนั้นเป็นอยู่ในที่นั้นดังเก่าเล่าแลฯ ที่ใดอันเราไปเอาเมื่อเช้าไส้ ครั้นว่าตะวันเย็นก็เห็นข้าวนั้นเต็มงามอยู่ในที่นั้นดังเก่าเล่า อันว่าที่รอยเราเกี่ยวเอานั้นก็หามิได้ บัดนี้ไส้เราเร่งกระทำความผิดธรรมยิ่งกว่าเก่าอีกแลฯ อันว่าข้าวสาลีนี้ก็ดานเป็นข้าวเปลือกไม่ แลว่าที่เกี่ยวข้าว ข้าวนั้นก็หายไปเห็นแต่ซังแลฟางเปล่า แลจะเป็นรวงข้าวคืนมาเหมือนเก่านั้น หาบมิได้แก่เราแล้วแลฯ แต่นี้ไไปเบื้องหน้าเราท่านทั้งหลายควรปั่นที่แบ่งแดนกัน ต่างอันจะปลูกแลฝังกินจึงจะชอบแลฯ เขาจึงปันที่ไร่ที่นาให้แก่กันแลฯ เมื่อนั้นแลบางคนโลภแลใจร้ายไปชิงเอาที่ผู้อื่นเขาผู้อื่นก็ขัดใจไล่ตีไล่ด่ากันไปมาเป็น ๒ ครั้น ๓ ครั้งไปเล่าฯ ที่นั้นเขาจึงชุมนุมปรึกษาเจรจาด้วยกันว่าฉันนี้ฯ ว่าบัดนี้เรานี้เป็นโจกเจกโว้เว้นักเพราะว่าเราหาที่กล่าวบมิได้ แลควรเราท่านทั้งหลายตั้งไว้ท่านผู้หนึ่งให้เป็นใหญ่เป็นเจ้าเป็นจอมเราเถิด เราทั้งหลายผิดชอบสิ่งใดให้ท่านแต่งบังคับถ้อยความอันผิด แลชอบแแก่เราให้แต่งปันที่ปันแดนให้แก่เราแลฯ แลเราจะให้ที่ไร่ที่นาแก่ท่านผู้นนั้นมากกว่าเราทั้งหลาย ครั้นว่าเขาชุมนุมกันแล้วเจรจาด้วยกันฉันนี้ เขาจึงไปไหว้พระโพธิสัตว์เจ้าขอให้ท่านผู้เป็นเจ้าเป็นจอมแก่ผู้ข้า ฯ เขาจึงอภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นพระญาด้วยชื่อ ๓ ชื่อ ๆ หนึ่งมหาสมมติราช อนึ่งชื่อขัตติย อนึ่งชื่อราชาฯ อันเรียกว่า มหาสมมติราชนั้นไส้ เพราะว่าคนทั้งหลายยอมตั้งให้ท่านเป็นใหญ่แลฯ อันเรียกชื่อขัตติยนั้นไส้ เพราะว่าคนทั้งหลายแบ่งปันไร่นาข้าวน้ำแก่คนทั้งหลายแลฯ อันเรียกว่าราชานั้นเพราะท่านนั้นถูกเนื้อพึงใจคนทั้งหลายแลฯ จึงเรียกว่าราชาเพื่อดังนั้นแลฯ พระโพธิสัตว์เจ้าหากเป็นผู้ชายท้งหลายแลฯ คนทั้งหลายย่อมยกยอท่านให้เป็นพระญาไส้ เพราะเขาเห็นท่นนั้นมีรูปโฉมอันงามกว่าคนทั้งหลาย แลรู้กว่าคนทั้งหลายแลใจงาม ใจดีกว่าคนทั้งหลาย ใจซื่อ ใจตรง ใจบุย ยิ่งกว่าคนทั้งหลาย เขาเห็นดังนั้นเขาจึงตั้งให้เป็นพระญา เป็นเจ้าเป็นจอมเขา เพื่อดังนั้นแลฯ พึงสอนเรียกชื่อขัตติยนี้ ก็สืบสันดานมาต่อเท่าบัดนี้แลฯ คนลางจำพวกเห็นอนิจจังสงสารการนั้นยิ่งเป็นอกุศลยิ่งสังเวชแก่ใจ จึงออกไปหาเป็นกุฏิแลศาลาที่สงัด แล้วจำศีลภาวนาแลย่อมไปปรึกษาหารการบิณฑบาตเลี้ยงตนแล้วตัดความโลภเสียฯ คนหมู่กระทำบูชายัญพ่อพราหมณ์ทั้งหลายมาต่อเท่ากาลบัดนี้แลฯ คนจำพวกหนึ่งท่านแจกไร่แจกนาที่แดนให้แก่คนทั้งหลายเขาเอาเท่านั้น เขาคอยรักษาความชอบค้าขายด้วยความชอบมา คนจำพวกนั้นเป็นพราหมณเพศสิบสันดานมาต่อเท่าบัดนี้แลฯ คนลางหมู่กระทำสิ่งใดย่อมทำด้วยสามารถ มันฆ่าสิงสัตว์เนื้อแลปลาทั้งหลายเทียรย่อมเลี้ยงตน เป็นพรานแลสูทร์สืบสันดานมาต่อเท่าบัดนี้แลฯ ฝูงคนทั้งหลายกระทำสิ่งใดด้วยกรรมอันยากเย็นจึงได้มาเลี้ยงตนไส้แลมิได้กินด้วยง่ายเป็นสุขดุจก่อนเลยฯ คนทั้งหลายอันเกิดแต่อาทิกัลปนั้นอายุเขายืนได้ อสงไขย ๑ แลฯ อยู่นานมาอายุเขากาถอยลงมาเนือง ๆ เมื่อนานมาเถิงอายุคนทั้งหลายแต่ ๑๐ ปีตายแลฯ ชนมาพิธีปีเดือนคนทั้งหลายถอยลงเพื่อใด เพราะว่าฝูงคนทั้งหลายอันมาภายหลังแรงกระทำความโลภโทสโมหมากกว่าเก่าแล จึงอายุเขาทั้งหลายเร่งน้อยลงมาเพื่อดังนั้นแลฯ ฝูงคนทั้งหลายกระทำบาปนักหนา เมื่อใดฝูงเทพยดาทั้งหลายอันอยู่ในเมืองฟ้าก็ดีอยู่ในต้นไม้ก็ดีบมีคนเกรงทั้งพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี นพเคราะห์ก็ดี แลฤกษ์นักษัตรทั้งหลายอันดี บมิเสร็๗ในราษีอันดี ดังเก่าทั้งฤดู ๓ อันก็ดี ทั้งกาล ๖ อันก็ดี ก็หลากสิ้นบมิเป็นปรกติดังเก่า ทั้งฝนแลลมทั้งแดดก็หลากทั้งไม้ไล่ในแผ่นดินนั้น อันเป็นยานั้นก็บมิเป็นยาดังเก่าเพื่อฤดูกาลนั้นหลากไปแลฯ ฝูงคนทั้งหลายเร่งถอยอายุเพื่อดังนั้นแลฯ ถ้าแลเมื่อใดฝูงคนทั้งหลายมิได้กระทำบาปแลบันดาลไมตรีไส้ ฝูงเทพยดาทั้งหลายก็รักษาพยาบาลทั้งพระอาทิตย์ แลพระจันทร์ นพเคราะห์แลนักษัตริทั้งหลายเสร็จในราษีแลมีบมิหลากเลยฯ ทั้งลมแลฝนแดดนั้นก็ชอบด้วยฤดูปีเดือนวันคืนไม้ไล่อันเป็นหยูกยานั้นก็ดี คืนนั้นชนมาพิธีทั้งหลายก็เร่งยืนขึ้นไปเบื้องหน้าคืนเล่า อันว่าฝูงคนทั้งหลายในโลกย์นี้บมิเที่ยงบมิแท้แลแปรปรวนไปมา ดังกล่าวมานี้แลฯ ลางปางเป็นปีแล้วเป็นร้าย ๆ แล้วเป็นบดีห่อนเที่ยงสักคาบแลฯ อันว่าคนในโลกย์นี้มิเที่ยงเลยฯ คนผู้มีปัญาควรเอาอาการดังนี้ใส่ใจแลรำพึงเถิง อนิจจํ สงสาร แลเร่งกระทำบุญแลธรรมจงหนักให้พ้นจากสงสารอันบมิเที่ยงแลฯ
-------------------------------------------------------------------------------
เผอิญมีไฟล์อยู่ในเครื่อง
ผมอัพโหลดไว้ให้ที่ google doc แล้วนะครับ ลองเปิดอ่านดูหรือเซฟเก็บไว้
ตามลิ้งนี้ครับ
PDF
แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 55 16:15:12
แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 55 06:58:14