ความคิดเห็นที่ 1 ชอบ คคห ของคุณ ปณ.บ้านตาด กับ คุณ สมาชิก14 จัง ขอบคุณ คุณ wutthitham ครับ จากคุณ : บ่าวบ้านบาก เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 12:17:48

ความคิดเห็นที่ 2 สาธุ ขอกราบหลวงตามหาบัว ด้วยเศียรเกล้า สาธุ ปล.คิดถึงหลวงตา น้ำตาจะไหล จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 12:21:29

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วแต่ใครจะคิดอย่างไร ส่วนตัว ผมมั่นใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 13:19:42

ความคิดเห็นที่ 4 ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว เข้าไปในหัวจิตหัวใจ แล้วจะรู้เองเฉพาะตน (ว่ากิเลสเป็นอย่างไร แบบใหน) กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 13:29:10

ความคิดเห็นที่ 5 +1 จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 13:31:18

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อคืนเพิ่งฝันว่าได้เห็นรูปถ่ายของหลวงตาพระมหาบัว ถึงแม้ในชีวิตนี้เราไม่ได้มีโอกาสได้กราบหรือเห็นท่านด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีฝากพี่ไปทำบุญกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นทองหรือเงิน หลังจากนั้นท่านละสังขารณ์ ได้ฝันเห็นท่านสองครั้งไม่รวมที่ฝันเมื่อคืน เราเคารพหลวงตาสุดจิตสุดใจ เชื่อมั่นว่าท่านเป็นพระอรหันต์แน่แท้โดยไม่ต้องมีบทพิสูจน์ทางจิตของฆราวาสคนไหนก็ตาม ขอกราบหลวงตาด้วยเศียรเกล้า กราบ กราบ กราบ จากคุณ : Chicsecret เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 13:40:03

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ ^^ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:02:04

ความคิดเห็นที่ 8 หลวงตาทำให้ผมรู้ว่า ที่สุดของการบรรลุธรรมคือการเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มีความรักไม่มีประมาณ ยินดีลำบากทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงสภาพสังขารและอายุ ทำความดีเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนโดยไม่คำนึงถึงความสบายของชีวิต เพื่อรักษาแผ่นดินให้ยังคงรองรับพระศาสนาไปได้ชั่วลูกชั่วหลาน ขอกราบพระคุณหลวงตาที่มีต่อคนไทยทุกคน จากคุณ : แมวเปอร์เซีย เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:26:48

ความคิดเห็นที่ 9 อึมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมตามจิตหลวงตา จากคุณ : p-pen เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:10:34

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เชื่อว่าเป็นอรหันต์ ผิดไหม บาปไหม จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 16:38:24

ความคิดเห็นที่ 11 เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ และเชื่อว่า พระอรหันต์มีอยู่จริง และยังมีอยู่อีกหลายองค์ในประเทศไทย     แต่นอกเหนือจากท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ที่รักท่านอย่างที่สุด  คือสิ่งที่ท่านทำให้แก่ประเทศไทย  โดยการตั้งกองทุนทองคำขึ้นเพื่อรักษาทรัพย์และความมั่นคงของประเทศชาติไว้   ไม่มีท่านริเริ่ม ใครจะทำ และใครจะทำสำเร็จ ถ้าไม่มีบารมีท่านคุ้มครอง   นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเห็นท่านเมื่อใด มีแต่ความชื่นใจและปิติ  แม้วันนี้ เมื่อไม่มีท่านแล้ว ได้กราบไหว้รูปท่าน ก็ยังรู้สึกปิติ และเคารพรักอย่างที่สุด  ขอให้ท่านผู้ที่คิดอย่างโน้นอย่างนี้กับท่าน อย่าได้กล่าววาจาล่วงเกินท่านเลย  ถ้าไม่เชื่อ ก็เฉยๆไป ไม่ก่อกรรมกับตนเองนะคะ จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 18:01:14

ความคิดเห็นที่ 12 จะดักใครรึ เจ้าหนูFaraday ? :D จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 18:18:34

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าไม่มีหลวงตาในวันนั้น ก็ไม่มีชาติไทยในวันนี้ จากคุณ : ศรสวรรค์ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 18:25:02

ความคิดเห็นที่ 14 เชื่อว่าเป็นระดับใดล่ะ Faraday ? อริยะ หรือปุถุชนคนธรรมดา หือ... จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 18:45:14

ความคิดเห็นที่ 15 กล่าวไว้เมื่อปี2542 ? โพสต์กระทู้วัดป่าปี 2548 ?? เอามาให้ดูอีกปี 2555 จะโปรโมท หนังสืออะไรใหม่ๆรึป่าวครับ ถ้าไม่ใช่ ขออภัย จากคุณ : TrialWare เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 19:13:03

ความคิดเห็นที่ 16 ผมก็ไม่เชื่อว่าหลวงตาบัวเป็นอรหันต์ ผมไม่เชื่อว่าภิกษุที่นับถือกันหลายๆรูปเป็นอรหันต์ ผมไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม จะเอานรกมาขู่ก็ไม่กลัว เพราะไม่เชื่อจริงๆ สำคัญที่ว่า.... ผมเป็นคนที่เชื่อถือได้หรือเปล่าเท่านั้นแหละ.. นั่นหละประเด็น จากคุณ : เอางี้เลย (เตาฟืน) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 19:26:06

ความคิดเห็นที่ 17 เราไม่แก้ต่างเรื่องหลวงตานะ แต่อยากจะบอกว่า ดังตฤณศิษย์ปราโมทย์น่ะ เราลองมาแล้ว ปาหี่ทั้งนั้น ไอประเภทเห็นหน้าแล้วทักสภาวะจิตน่ะ ปล. ลองตอนเจอที่บ้านอารีย์ จากคุณ : transformation (TRANSFORMATION) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 19:27:22

ความคิดเห็นที่ 18 ดักอย่างนั้น ผมเรียกว่า มาม่าผัดแห้งครับ :D จากคุณ : รู้ไต๋... (JitZungkabuai) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 19:37:01

ความคิดเห็นที่ 19 เออ.........แต่อยากรู้ว่า คุณสมบัติพระอรหันต์เป็นอย่างไร ว่ากันโดยหลักการก่อน จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 19:53:51

ความคิดเห็นที่ 20 ถึง พวกที่ไม่เชื่อว่าหลวงตา / หลวงพ่อปราโมทย์ มีคุณธรรมวิเศษจริง   คนที่มีสติปัญญาเขาไม่ว่าพวกคุณหรอกหากคุณไม่ศรัทธา เพราะเรื่องอย่างนี้มันบังคับให้ใครเชื่อ/ไม่เชื่อกันได้ ถ้าจะมีก็เพียงแต่จะเตือนว่าถ้าไม่มั่นใจก็อย่าพึ่งไปตำหนิไปปรามาสท่าน เพราะถ้าเกิดทั้งสองท่านมีคุณวิเศษจเป็นจริงตามที่เขาลือเขาเล่าอ้างความซวยเป็นอันมากจะตามมา สรุป ไม่เชื่อก็อยู่นิ่งๆ อย่าเอาปากไปหาเสี้ยน จากคุณ : มะเส็งไฟ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 20:15:41

ความคิดเห็นที่ 21 ถามตรงๆขอรับ ท่านเชื่อว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ท่านเชื่อ หรือท่านไม่เชื่อ ด้วยอะไร? จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 20:23:11

ความคิดเห็นที่ 22 หลวงพี่ปราโมทย์ผมพูดไปแล้วหลายกระทู้ น่าเบื่อน่ะซ้ำซาก จริงไหมครับ จากคุณ : JitZungkabuai เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 20:27:05

ความคิดเห็นที่ 23 ขำ จิตรซังกาบ๊วย มีคนกล่าวถึงครั้งหนึ่่งก็อัปมงคลครั้งหนึ่ง กล่าวร้อยก็อัปมงคลร้อยครั้ง จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 23:05:36

ความคิดเห็นที่ 24 ใครจะเชื่ออย่างไรก็อย่างนั้น ไม่มีใครพิสูจน์อะไรได้ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 23:06:17

ความคิดเห็นที่ 25 ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำ ของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า การกระทำของเธอนั่น ไมเป็น ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว -------------------------------------------------------------------------------------------- ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดย อเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็น คนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความ เป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความ กำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดย อเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้ :- พระบัญญัติ ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 23:17:10

ความคิดเห็นที่ 26 17 คุณดังตฤณไม่ใช่ศิษย์ลพ ปราโมทย์นะคะ ลองไปหาข้อมูลอ่านดีๆคะ จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 23:49:37

ความคิดเห็นที่ 27 ศาสนาพุทธจะเสื่อมก็เพราะ พุทธบริษัท4 นี่เองแหละหลานเอ้ย ไม่ใช่ใครอื่นทำให้เสื่อมหรอก ชาวพุทธสมัยนี้ รวมถึงพระบางรูปด้วย ไม่ศึกษาพระธรรม พระวินัย อยากทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ นึกๆคิดๆเอาเอง โดยไม่ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ลุงเป็นห่วงคนพวกนี้จริงๆนะหลานนะ พวกเค้ายังไม่รู้ถึงโทษทัณฑ์ที่พวกเขาจะต้องได้รับ หลังจาก ชาตินี้ไปแล้ว น่าสงสารสัตว์โลกยุคนี้จริงๆหลานเอ้ย พวกที่ผิดพระวินัย พวกนี้ทำกรรมหนักมากเหลือเกิน อีกพวก คือพวกที่รู้ไม่จริงแล้วชอบออกมาแสดงความเห็น แบบผิดๆ นึกๆคิดๆเอาเอง หรือพวกกล้าวตู่พุทธพจน์นั่นเอง พวกนี้มีนรกเป็นที่ไปแน่นอน ลุงถึงเป็นห่วงคนกลุ่มนี้ ลุงฝากข้อคิดให้หลานๆอีกนิดนะ ถ้าหลานๆยังรู้อะไรไม่จริง โดยเฉพาะเรื่องพระธรรม, พระวินัย ได้โปรดอย่า แสดงความเห็นแบบมั่วๆนะหลาน อันตรายจะเกิดกับหลายในชาติต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ลุงเห็นเถียงกันอยู่ได้ เรื่องพระรับเงิน ทั้งที่ในพระวินัยปิฏก ก็มีข้อห้ามอยู่แล้ว ไม่รู้จะเถียงกันเพื่ออะไร หรือเพื่อแสดงความเก่ง เก่งแบบมิจฉาทิฐฐิ ก็เตรียมไปนรกได้เลยหลานๆเอ้ย นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่ (ดูที่ลุงทำตัวแดงๆนะหลานๆเอ้ย) 1.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน 2.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว 3.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด 1 เดือน 4.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า 5.รับจีวรจากมือของภิกษุณี 6.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย 7.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป 8.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม 9.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย 10.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า 3 ครั้ง 11.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม 12.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน 13.ใช้ขนเจียมดำเกิน 2 ส่วนใน 4 ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง 14.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง 6 ปี 15.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย 16.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน 3 โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้ 17.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม 18.รับเงินทอง 19.ซื้อขายด้วยเงินทอง 20.ซื้อขายโดยใช้ของแลก 21.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน 22.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน 5 แห่ง 23.เก็บเภสัช 5 (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน 7 วัน 24.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด 1 เดือนก่อนหน้าฝน 25.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง 26.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร 27.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น 28.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด 29.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน 6 คืน 30.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน __________________ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้นะหลานๆเอ้ย http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-204367.html จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 23:58:02

ความคิดเห็นที่ 28 ทำไม่ทุกคนชอบพยายามเอาความคิดของตนเองยัดใส่คนอื่น เพื่อให้คนอื่นคิดตาม ตามความคิดของตัวเอง.... พอคนอื่นเห็นต่าง....โทสะก็เกิดขึ้นทันที ที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน คนที่เก่งคือคนที่อ่านแล้ว "ละ" ที่จะไม่ตอบ ไม่โต้เถียง ต่างหากคือยอดคน และผมว่ามีคนที่มีความรู้ ความอดกลั้นมากมายหลายคนที่อ่านกระทุ้ประเภทนี้ แล้วก็ยิ้มๆ ^^ จากคุณ : ~หูว เสี่ยวผิง~ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 00:04:30

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามายิ้มครับ  จากคุณ : เมฆน้อยคอยดาว เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 00:45:40

ความคิดเห็นที่ 30 เชื่อท่านเป็นพระอรหันต์ และท่านเป็นพระอรหันต์ นับว่าได้พบลาภอันประเสริฐสุดในชาตินี้ ไม่เชื่อท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านเป็นพระอรหันต์ พลาดโอกาสอันดีที่จะหลุดพ้น เชื่อท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านไม่เป็นพระอรหันต์ พิสูจน์ธรรมท่าน วันหนึ่งคุณจะทราบด้วยตัวเอง ไม่เชื่อท่านเป็นพระอรหันต์ และท่านไม่เป็นพระอรหันต์ เท่าเก่าเท่าเดิมที่เป็นมา จากคุณ : วัวน้อย เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 01:34:14

ความคิดเห็นที่ 31 ดังตฤนเป็นสหายธรรมของลพปราโมทย์ตั้งแต่สมัยเป็นคุณสันตินันท์ครับ คุณตุลย์เค้าเป็นศิษย์ลพพุธครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 01:37:22

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ transformation อยากทราบว่าลองอย่างไรครับ คนความรู้น้อยอย่างผมเข้าใจเอาเองว่าการลองวิชานี่ อย่างน้อยต้องมีวิชาพอๆกันหรือไม่ก็เหนือกว่าจึงจะลองกันได้ใช่มั้ยครับ รบกวนเล่าให้ฟังสักนิด เป็นธรรมทานด้วยครับ เพราะปรกติเวลาได้เจอได้พูดคุยได้อ่านความเห็นของผู้มีธรรมขั้นสูง ผมมักจะรู้สึกเย็นสบายอารมณ์ เช่นเดียวกับตอนที่คุยกับพี่วิชา หรือพี่มหาวิหาร แม้แต่ผมเข้าไปอ่านกระทู้คุณสันตินันท์สมัยฆราวาส หรือคุณตุลย์เอง ผมก็ยังรู้สึกสัมผัสความเย็นสบายใจได้ แต่ผมไม่รู้สึกอะไรจากข้อความของคุณ transformation เลย เหมือนคุยกันเองระหว่างระดับขึ้กลากด้วยกันยังไงไม่รู้ ถ้าไงรบกวนเล่าวิธีการลองของคุณเป็นธรรมทานได้หรือไม่ครับ ผมจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 01:42:52

ความคิดเห็นที่ 33 การเขียนอะไรให้คนอื่นแล้วเย็นสบายใจ ใครๆก็เขียนได้ ไม่เีกี่ยวกับภูมิธรรม การอ่านอะไรแล้วรู้สึกร้อนรน นั่นจึงแสดงถึงความเป็นขี้กลากอย่างแท้จริง ถ้าเอาความรู้สึกตัวเองมาวัด ก็มักหลงผิดได้ง่าย หรือว่าจะมาแนวสัมผัสสภาวะจิตได้อีกคนแล้ว 5555 (ไม่แปลกใจเลยค่ะ^.^) ปล. พูดถึงภิกษุรูปนี้แล้วนึกถึงคุณรถฯขึ้นมาเหมือนกันแฮะ ปล.2 ไม่ต้องไปตั้งกระทู้ใหม่นะคะ ไม่ชอบทำตัวเด่น ไม่ชอบเป็นดราม่าค่ะ :-) แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 07:48:39 จากคุณ : transformation (TRANSFORMATION) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 07:43:46

ความคิดเห็นที่ 34 http://84000sadhu.com/category/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0/page/4/ ศิษย์คนหนึ่งที่ไปวัดบ่อย ยอมทิ้งงานที่อื่นเพื่อหางานเงินเดือนน้อยๆทำที่อุดร เพื่อว่าตอนเช้าๆจะได้ไปทำบุญที่วัดท่าน เป็นช่วงชีวิตสุดท้าย ซึ่งก็สมหวัง จนถึงวันที่ท่านถึงกาลละจากสังสารวัฏิไป ผมคิดว่าผมโชคดีที่ได้ไปทำบุญในบั้นปลายวาระสุดท้ายกับผู้ที่เราเชื่อว่าท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ ผมโชคดีท ี่ได้เกิดในยุคของท่าน ผมโชคดีที่ดวงตาน้อยๆคู่นี้ที่ผ่านสิ่งอัปมงคลมาก็มากยังมีโอกาสได้เห็นพระสงฆ์ที่ตัวเองคิดว่าท่านคือผู้ดำรงค์ธรรม ปฏิบัติตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศในสามโลก ผมโชคดีที่ได้อยู่ในประวัติศาสตร์ของพิธีการที่ยิ่งใหญ่ของการประกอบพิธีเกี่ยวกับสรีระสังขารท่าน ผมภูมิใจที่ผมเป็นคนจังหวัดอุดร ผมภูมิใจที่ได้เป็นลูกหลานท่าน ผมไม่เสียใจถ้ามีใครว่าผมโง่ที่เชื่อว่าท่าน.... ไม่เสียใจที่ผมทำบุญกับท่านแล้ว บุญนั้นที่เราหวังกลับไม่ได้ดั่งที่เราคาด ไม่เสียใจถ้าท่านไม่ได้สำเร็จอะไรแล้วถ้าท่านจะพาเราลงสู่ที่ต่ำเพราะสอนเราผิด ไม่เสียใจดอก ทุกคนมีครูมีอาจารย์ บางคนก็ไม่มีเพราะปราภนาที่จะไปแบบเดี่ยวๆ ช่างเขา ตายไปรู้เห็นเอง ปัจจัตตัง พลาดพลั้งอะไรก็รับเอาเพราะตัดสินใจแล้ว ดูใจตัวเองไม่ต้องดูใคร ใจเรามันบอกเองอันไหนถูก-ผิด ท่านไปแล้วและก็คงไม่ได้สนใจหรอกว่าใครจะอะไรยังไง หมดภาระ หมดกิจ หมดสิ่งที่จะต้องห่วงหา ให้ไปทุกอย่างแล้วเท่าที่จะให้ สอนยากก็ไม่สอนมันปล่อยมันฉลาดไป ซักล้านกัปล้านกัล ให้มันเกิดตายๆอย่างนั้นในสิ่งที่มันรักมันชอบเหอะ ......เหนื่อย จากคุณ : - (gegaman) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:38:06

ความคิดเห็นที่ 35 เราไม่รู้เหมือนกัน ว่าจขก ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการปรามาสหลวงตา หรือ คุณดังตฤณ ตามมาเพื่ออะไร ข้อความดังกล่าวเขียนไว้แต่ปี42 ซึ่งในขณะนั้นมีคนจำนวนมาก ปรามาสด่าหลวงตา  คนเขียนเขาย่อมมีจุดประสงค์ที่เขียนเวลานั้นๆ ถ้ามีสติมีปัญญาอ่านแล้ว น่าจะนึกได้ ในเวลานี้ สมควรเอามา แสดงซ้ำไหม เหมาะแก่กาล เหมาะแก่สถานที่ไหม คนที่ศรัทธามี และไม่ศรัทธาก็มีเช่นกันในที่โล่งกว้างแห่งนี้ วิวาทะย่อมเกิดขึ้น เพราะปุถุชนศรัทธาย่อมเห็นต่าง แต่คุณก็ยังเลือก จะเป็นจุดไฟกองแรก ด้วยการตั้งกระทู้ ไม่มีความคิดเห็นใดๆชี้นำ เหมือนจะปล่อยให้ผู้คนเข้ามาตั้งข้อสงสัยวิพากษ์กันเอาเอง ถ้ามีกองไฟต่อๆมาถูกจุดขึ้น กรรมใด  ที่เกิดขึ้นจากการก้าวล่วง  คณwutthitham ย่อมได้รับไป คุณไม่สามารถจะปฎิเสธได้เลย (การไม่เชื่อไม่เป็นการปรามาสคะ แต่ความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ที่ตาม ขอให้ระวังกันให้มาก  อย่าประมาทกรรมที่ตามมากัน ไม่ทำเลยดีกว่า เสมอตัว ) เราสงสารคุณจังคะ  ตั้งใจภาวนามาเนิ่นนาน แต่ต้องมารับกรรมในลักษณะแบบนี้ ดีนะ ที่ช่วงนี้คุณรถเรณู โดนคุณระนาดเอกจัดหนักให้อยู่  เลยไม่ค่อยเห็นเธอตามกระทู้ต่างๆ ไม่งั้นเธออาจได้มาแสดงความคิดเห็นต่อ หลวงตา ในลักษณะที่เป็นบาปโทษเวรภัยแก่ตนเองได้อีก และคุณwutthitham คงได้กระอักในส่วนนั้นไปด้วยไม่น้อย ปล.คุณ cantona_z  ค่ะ  ปล่อยเรื่องนี้ ไปเถอะคะ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 12:04:33 จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:56:52

ความคิดเห็นที่ 36 ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้นะครับ แต่อยากทราบ ====================== สงสัยมานานแล้วครับ ดังตฤน ==> อ่านออกเสียงว่ายังไงครับ? ผมออกเสียงว่า ดัง-ตะ-รึ-นะ ปล. ผมตกภาษาไทยตั้งแต่อนุบาล 55+ จากคุณ : M_moshi เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:21:22

ความคิดเห็นที่ 37 ^^^ แอบตอบคุณ  M_moshi เราอ่านว่า ดัง-ตริน ค่ะ (หวังว่าจะถูก แหะๆ) จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 15:33:31

ความคิดเห็นที่ 38 คิดถึงหลวงตาครับ จากคุณ : Karaone เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 15:33:38

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างพวกเราๆ ท่านๆ มาทำนายว่า อาจารย์ท่านไหนเป็น พระอรหันต หรือไม่เป็น ทำความดี ตั้งใจปฏิบัติไปเถอะครับ จากคุณ : kie001 (kook_ng) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 17:28:40

ความคิดเห็นที่ 40 ถึงคุณน้องด๋าวจ๊ะ   ผมเองมีความเคารพในตัวหลวงตามหาบัวร้อยเปอร์เซนต์ครับ    และเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์แน่  เพราะผมเองนั้นได้มีโอกาสกราบหลวงตาใกล้ๆและก็ได้เคยขอที่จะบวชเพื่ออยู่กับท่าน   เหมือนท่าน รู้กิเลสผมจึงดักขึ้นมาว่า   อยากบวชทำไมตอนนั้นอายคนที่มาหาหลวงตามากมีอยู่ประมาณร่วม 200 - 300 คนเห็นจะได้ใจหนึ่งอยากจะตอบท่านว่าอยากพ้นทุกข์แต่ไม่กล้า(อายแก่ผู้คนทั้งหลาย)    จึงตอบไปว่าอยากบวชเพราะศรัทธาในตัวหลวงตา   เท่านั้นแหละท่านบอกว่า   คนที่มาหาหลวงตาทั้งหมดนี้เค้าก็ศรัทธาในตัวหลวงตาทำไมพวกเค้าถึงไม่อยากบวชล่ะ  จึงอ้ำอึ้งแล้วลาท่านกลับ          ปล.สาเหตุที่ผมเอาการกล่าวถึงหลวงตาในมุมมองคุณดังตฤนนั้นเพราะเห็นว่า   คุณดังตฤนเป็นกลางและไม่เคยลบหลู่ดูหมิ่นหลวงตา   แถมยังบอกว่าใครที่ดูถูกท่านแล้วเกิดท่านเป็นอรหันต์จริงคงได้รับกรรมหนักเช่นดังตัวอย่างที่  คุณดังตฤนยกมาให้ดูเกี่ยวกับภิกษุณีด่าภิกษุณีอรหันต์แล้วได้รับกรรมหลายชาติต่อๆมา   ผมแค่อยากให้คนที่อคติกับท่านได้เปลี่ยนมุมมองซะใหม่แค่นั้นเอง จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 17:35:45

ความคิดเห็นที่ 41 กินหมากทุก ๆ นาที ใช่กิเลสไหม ทำไมต้องกิน ยังติดหรือเปล่า สงสัยจริงๆ ไม่มีใครตอบให้หายข้องใจเลย จากคุณ : amlee เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 19:02:55

ความคิดเห็นที่ 42 กินหมากนี่ ผมมองเป็นกุศโลบายของคนสมัยโบราณในการรักษาฟัน แถวบ้านผมบ้านนอก ผมสังเกตเห็นว่าคนแก่ที่กินหมากจะมีฟันมันวาวอยู่ครบ แต่คนแก่ที่ไม่ได้กินหมาก(ส่วนมากเป็นคนมีฐานะด้วยซ้ำ) เห็นใส่ฟันปลอมกันแทบทุกคน ทั้ง ๆ ที่อายุเท่า ๆ กัน ? จากคุณ : กันดั้มตัวนี้สีชมพู เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 19:16:23

ความคิดเห็นที่ 43    แค่สงสัย !!   นี่หรือคือกิจของพระอรหันต์ ? จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 19:44:10

ความคิดเห็นที่ 44   แบบนี้ !!  น่าจะเป็นอรหันต์มากกว่าไหม ?   จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 19:45:01

ความคิดเห็นที่ 45 อย่าเอาครูบาอาจารย์มาเปรียบเทียบกันเลยครับ   ผมว่าดูที่หลักธรรมและแก่นของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ดีกว่า  การที่เอาข้อวัตรแต่ละท่านมาเปรียบเทียบไม่ช่วยให้ภูมิจิตภูมิธรรมสูงขึ้นเลยครับมีแต่แย่ลงและทำให้กิเลสพอกพูนยิ่งกว่าดินพอกหางหมูอีก จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 20:18:35

ความคิดเห็นที่ 46 เงินและทองที่หลวงตารับ มิได้รับด้วยมือท่านเอง มีคนเก็บไว้ให้ ๑ ท่านมิได้มีจิตยินดีในเงินและทองเหล่านั้น เพราะท่านมอบทั้งหมดให้ชุมชน สังคม และประเทศชาติคือคลังหลวง ๑ กิจของตนท่านทำเสร็จแล้ว กิจของผู้อื่นคือชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ช่วย บ้านเมืองจะล่มจม ๑ จากคุณ : วัวน้อย เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 20:56:13

ความคิดเห็นที่ 47 เรียนคุณน้องต๋าว ขอบคุณที่เตือนครับ ผมยึดหลักของจริงไม่ขี้โม้ครับ ถ้าพิสูจน์จริงต้องเล่าได้ว่าพิสูจน์อย่างไร ถ้าเล่าไม่ได้ก็ ขี้กลากขี้เกลื้อนสังคังกุฏฐัง ธรรมดานี่แหละ ผมก็พูดได้ว่า ผมเหาะได้ ผมหายตัวได้ ผมแปลบาลีได้ ผมอ่านพระไตรบาลีได้ พอใครถามใครให้แสดง ผมก็แถออกเรื่องอื่นไปซะ อยากพิสูจน์ คิดค่าเปิดเอกสารล้านห้า ง่ายจะตาย 555 ส่วนเรื่องสาเหตุการdiscredit ฝั่งทางคุณตุลย์กับทางลพปราโมทย์ ผมได้รับทราบความจริงเบื้องลึกจากวงในเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมา 20ปีแล้ว จึงไม่สนใจครับ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 21:08:33 จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:06:29

ความคิดเห็นที่ 48 .... แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 22:16:47 จากคุณ : Klaibann เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 22:14:52

ความคิดเห็นที่ 49 ขอถามกลับ คห 41 เรื่องหลวงตาเคี้ยวหมากขอถามกลับว่า ตาคุณเห็นท่านเคี้ยวหมาก หรือใจคุณเห็นว่าใจหลวงตาติดในรสหมาก? ขันธ์ 5 ท่านเคี้ยว หรือใจท่านเคี้ยว? ทำไมคุณจึงสรุปว่าท่านเคี้ยวหมากด้วยกิเลส ? จากคุณ : Klaibann เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 22:16:07

ความคิดเห็นที่ 50 พูดถึงเคี้ยวหมาก ท่านอาจารย์ จี้กง  ยังดื่มเหล่า ยังฉันเนื้อสุนัก คุณ คห.41 คิดว่าไง ตอบ ..... ผมจำคำตอบไม่ได้แล้ว 55555..... ถ้าท่าน อยากรู้ก็ไปค้นเอาเองนะ แต่เป็นคำตอบที่สามารถ ตอบข้อสงสัย ของท่าน คห.41 ได้แน่ๆ จากคุณ : kie001 (kook_ng) เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 20:08:40

ความคิดเห็นที่ 51 ขอเล่าประดับความรู้ อย่าติดสมมุติว่าใครพูด ฟังไว้เล่นๆ ไม่ได้เจาะจงว่าใครนะ    สมเด็จโตได้บอกสานุศิษย์คนหนึ่งคือ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอภิธรรมที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ในขณะนั้นเกี่ยวกับหมาก ซึ่งคุณหญิงติดหมาก มีหลักฐานในหนังสือของสำนักปู่สวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว    ท่านบอกว่า คุณหญิงจะเป็นอาจารย์สอนธรรมะควรละหมากเป็นตัวอย่าง มิฉนั้นลูกศิษย์จะย้อนเอาได้ว่า หญ้าปากคอก อาจาย์ยังเลิกไม่ได้แล้วจะไปสอนใครได้อย่างไร แต่คุณหญิงอ้างว่า ไม่ได้มีเจตนา แต่เคี้ยวหมากเพราะแก้ปากเปื่อย ท่านบอกว่า ปากเปื่อยก็รักษาได้นี่ และถ้ากิเลสภายในมันไม่อยากกินหมากแล้ว จิตจะสั่งให้เอาหมากมาเคี้ยวได้อย่างไร หมากมันลอยมาเข้าปากเองได้ที่ไหนล่ะ   และท่านก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนท่านก็ติดหมาก ซึ่งคนทั่วไปยังเข้าใจผิดว่าท่านยังติดหมากอยู่ แต่จริงๆแล้วท่านเลิกหมากเมื่ออายุ ห้าสิบกว่าไปแล้ว เพราะท่านรู้สึกกระดากที่ตนเองสอนให้ละกิเลสต่างๆ แต่อาจารย์กลับเลิกไม่ได้ แล้วลูกศิษย์จะนับถือหรือ   ท่านจึงเข้าไปในโบสถ์ แล้วตั้งสัจจะกับพระพุทธรูปว่าจะเลิกหมากให้ได้ โดยต่อยลดลงไปเรื่อย ในขณะที่เคี้ยวก็บอกกับตัวเองว่า เคี้ยวหมากคือเคี้ยวขี้   ในที่สุดท่านก็เลิกหมากได้ แต่คนเดี๋ยวนี้ยังคิดว่าท่านฉันหมากอยู่ และคิดว่าท่านั่งของท่านคือท่าตำหมาก ที่จริงแล้ว เป็นท่าชักลูกประคำแทนต่างหาก   สุดท้ายท่านบอกคุณหญิงระเบียบว่า ถ้าเป็นตาสี ตาสา ไม่เป็นไร แต่เป็นอาจารย์สอนธรรมะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี จึงจะสอนคนอื่นๆได้   ป.ล. .........ไม่ได้มีเจตนาว่าใคร เพียงเล่าเรื่อง ต้องขอโทษด้วยจ๊ะ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 21:08:13

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้าคนที่เคี้ยวหมากไม่ใช่พระอรหันต์  คนที่ไม่เคี้ยวก็คงเป็นพระอรหันต์สินะ  สงสัยพระอรหันต์คงมีกันเต็มบ้านเต็มเมือง จากคุณ : fingo เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 21:10:31

ความคิดเห็นที่ 53 ระวังปากระวังใจหน่อยนะครับ   พระสารีบุตรท่านยังมีเผลอกระโดดข้ามห้วยได้เพราะวาสนาเก่าของท่าน   ครั้งหนึ่งเคยแอบ"สั่งสอน" บุคคลท่านนึงด้วยเรื่องของพระอรหันต์ที่มีอุปนิสัยติดตัวจากชาติก่อน  เนื่องจากท่านกล่าวหานักบวชด้วยกันว่า มีวาจาไม่สำรวม (ด้วยความเห็นส่วนตัวแท้ๆ เพราะว่าตนเองไม่เคยถูกสอนถูกสั่ง ใครมาสอนเป็นพี่เลี้ยง คอยตักเตือนก็เลยหาว่า มีวาจาไม่งาม)  ก็เลยเล่าเรื่องพระปิลินทวัจฉะ แบบคร่าวๆ ให้ท่านฟัง พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้มีปกติเรียกภิกษุด้วยกัน และคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำว่า “วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบ หมายถึง “คนถ่อย” โดยมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้:- วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เห็นชายคนหนึ่งถือถาดใส่ดีปรีเต็มถาด กำลังเข้าไปในเมือง ท่านจึงถามว่า “แนะเจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นถืออะไร ?” ชายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จึงตอบไปว่า “ขี้หนู ครับท่าน” พระปิลินทวัจฉะ ก็พูดเป็นการรับทราบตามคำของชายคนนั้นว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นขี้หนู ด้วยอำนาจแห่งคุณความเป็นพระอรหันต์ของพระเถระ และคำพูดไม่ดีอันเกิดจากอกุศล จิตของชายคนนั้น ทำให้ดีปรีในถาดของเขากลายเป็นขี้หนูไปเสียทั้งหมด เขาตกใจมาก เพราะคิด ขึ้นได้ว่ายังมีดีปรีอยู่ในเกวียนนอกเมืองอีก เมื่อเขากลับไปดูก็พบว่าดีปรีกลายเป็นขี้หนูไปทั้งหมด จริง ๆ เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะดีปรีเหล่านั้นเป็นของมีค่ามาก และเขาเตรียมเพื่อจะนำมาขาย ขณะที่เขาแสดงอาการเสียใจและกำลังโกรธพระเถระอยู่นั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเดินผ่านมา สอบ ถามได้ทราบความแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์โดยตลอด จึงแนะนำขึ้นว่า:- “ดูก่อนสหาย ท่านจงถือถาดขี้หนูนี้ไปยืนรอที่หนทาง ซึ่งพระเถระผ่านมา เมื่อพระเถระ ผ่านมาเห็นแล้วก็จะถามว่า “แน่เจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นคืออะไร ?” ท่านก็จงตอบว่า “ดีปรี ครับท่าน” พระเถระก็จะกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นดีปรี” อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ดีปรีกลับคืนมา ชายคนนั้นทำตามคำแนะนำของอุบาสก และในที่สุดขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปรีดังเดิม พระเถระถูกเพื่อภิกษุฟ้องพระพุทธเจ้า สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ภิกษุ ทั้งหลายพากันเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลกล่าวโทษพระปิลินทวัจฉเถระว่า:- “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระปิลินทวัจฉเถระ มักเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำว่า วสละ พระ เจ้าข้า” พระบรมศาสดา จึงรับสั่งให้พระภิกษุรูปหนึ่งไปเรียกท่านมาแล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนปิลิ นทวัจฉะ ได้ทราบว่าเธอมักเรียกภิกษุทั้งหลาย ด้วยคำว่า วสละ จริงหรือ ?” “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นจริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดา ครั้นได้สดับแล้ว จึงตรัสเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติอันยาวนานของ ท่านให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ถือโทษโกรธปิลินทวัจฉะเลย ท่านมิได้มีความโกรธแค้น ในตัวเธอทั้งหลายเลย แต่ที่ท่านมักเรียกพวกเธอว่า วสละ นั้น เป็นเพราะในอดีตชาติย้อนหลังไป ๕๐๐ ชาติ ท่านก็มักกล่าวอย่างนั้นมาตลอดกาลช้านาน คำนั้นจึงเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวท่านมาตั้งแต่ อดีตชาติ” จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 23:53:34

ความคิดเห็นที่ 54 คนเราชอบหาเกาในที่ไม่คัน ที่ที่คันนั้นคืออะไร คือความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟใ้นหัวใจอันเกิดจากราคะ โทสะ โมหะ ความยกตนข่มท่าน ความอวดดีอวดเก่ง ความไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักสูงจักต่ำ นั่นไง เมื่อร้อนแล้วควรสนใจหาน้ำธรรมอันถูกต้องดีงามมาดับมันลง ไม่ว่าจะมาจากครูบาอาจารย์ท่านไหนองค์ใดก็ตามที่ตัวเห็นว่าถูกว่าดี ไม่ใช่ไปจ้องจับผิดตำหนิติติงองค์ที่เราก็ไม่ได้นับถือ ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของตนที่พึงจะแสวงหา การฉันหมากฉันพลูพระวินัยท่านก็ไม่ได้ห้ามไว้ สังคมบ้านนอกก็ไม่ได้รังเกียจ ความติดเป็นเรื่องของคนมีกิเลส ความไม่ติดและรู้จักคัดสรรเลือกใช้ตามประโยชน์ที่พึงได้พึงมีจากสิ่งของต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องของคนมีธรรม หมากพลูไม่ใช่ยาเสพติด ถ้าจะติดก็เพราะตนเองมีกิเลสตัณหาไปติดเขาเอง ซึ่งก็คงติดอย่างอื่นได้อีก เช่น ติดน้ำส้ม น้ำตาล ขนมข้าวต้มต่าง ๆ แม้แต่ที่อยู่อาศัย อากาศ ยาบางชนิด คนเราก็ติดกันได้ไม่ใช่หรือ จะเอาอะไรมาวัดว่าติดหรือไม่ติด ถ้าไม่สังเกตศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของครูอาจารย์อย่างละเอียดถื่ถ้วนเสียก่อน ถ้าไม่มีโอกาสเช่นนั้น ควรหันมาศึกษาสนใจในธรรมะที่ท่านแสดงแล้วน้อมมาเทียบกับจิตกับใจตัวเองว่าเข้ากันได้หรือไม่ แก้กิเลสตัวร้อน ๆ นี้ได้หรือไม่มากกว่า อันจะเป็นการเกาได้ถูกที่คันด้วยไปโดยปริยายครับ จากคุณ : วัวน้อย เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:01:00

ความคิดเห็นที่ 55 สงสัยเรื่องเวลาค่ะ สมเด็จโตได้บอกสานุศิษย์คนหนึ่งคือ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอภิธรรมที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ในขณะนั้นเกี่ยวกับหมาก ซึ่งคุณหญิงติดหมาก มีหลักฐานในหนังสือของสำนักปู่สวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว สมเด็จโต กะคุณหญิงระเบียบนี่เกิดในสมัยเดียวกันหรือค่ะ จากคุณ : p-pen เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 17:06:13

ความคิดเห็นที่ 56 ใช่ๆๆผมอยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นตำราแต่งเองอ๊ะป่าว จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 15:22:46

ความคิดเห็นที่ 57 คุณมีดกรีดใจ หลวงตาท่านทำเพราะเมตตาต่อประชาชนชาวไทยหรอก  ทำเพราะสงสาร  ไม่ได้ทำเพื่อตัวท่านเอง  คุณไปศึกษาให้ดี และขอให้พิจารณาดูว่า สิ่งที่ท่านเหนื่อยยากทำนั้น  ประโยชน์ตกแก่ใคร   หลวงตาท่านก็เคยกล่าวไว้ในหลายที่ ว่าท่านทำเพื่ออะไร  อย่าได้ก่อกรรมแก่ตัวเองเลย จากคุณ : แม่น้องปัน เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 14:25:31