|
เอามุมมองของเรานะ ถูกผิดอย่างไรพิจารณาเอาแล้วกัน
มันมีสองตัวนะคุณ
มีสติ กับสัมปชัญญะ
เหมือนเป็ดกะไก่ มองเผินๆ คล้ายกันแต่จริงๆ ต่างกัน
สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง
ส่วนสัมปชัญญะ (ต้องมีตัวอย่างยาวหน่อย)
สัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นธรรมที่มีอุปการะ คู่กับสติ เป็นธรรมที่เอื้อกับสติ ที่อยู่ 4 ลักษณะ
สาตกสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนด พิจารณาก่อนที่จะทำ จะพูด สิ่งใดๆ ที่เหมาะสมกับเวลา สถานที่ ว่าพึงทำ พึงพูด เช่นไร (อนาคต)
โคจรสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนดรู้ในปัจจุบัน ในการกระทำใดๆ ว่าทำสิ่งใดอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวเช่นไร (ปัจจุบัน) ในมหาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนา นั้น หมายถึงโคจรสัมปชัญญะนี้
สัมปายสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่อาการจิตที่ไม่มีทุกขเวทนามาก จนขันธ์ทำงานได้ปกติดี เช่นคนมีทุกข์มากย่อมขาดสติได้ ผู้ที่ทุกข์น้อยก็อาจคุมสติได้ดีกว่า
สัมโมหสัมปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กำหนด รู้สิ่งที่ผ่านมา เคยทำ คำสอนในอดีตที่พึงใช้ รู้ว่าเราเป็นใครมีหน้าที่อะไร สิ่งที่เคยพูดให้สัญญาเอาไว้เช่นรู้ตัวว่าเราเป็นพระพึงรักษาวินัย รู้ตัวว่าละครที่ดูเป็นเพียงการแสดง เราเป็นเพียงคนดูหนังอยู่ คนเราต้องแก่เป็นธรรมดา เท่านั้น (อดีต)
คือแนวที่เราเรียนมา ท่านไม่ได้เน้นตัวหลัง ท่านเน้นตัวสติก่อน พอเก่งแล้ว สัมปชัญญะจะตามมา แล้วเวลาฝึก ก็ฝึกให้มัน real time ด้วย ยกขาไม่มีเงาเลย สติอยู่พร้อมกับขา ไม่ตามหลัง ไม่ออกหน้า พร้อมเป๊ะๆ ฝึกอันนี้ก่อน
ถ้าเรานั่งพิมพ์คอมอยู่เนี่ย เราทำความรู้สึกตัว เราก็รู้ได้ว่าเรากำลังนั่งพิมพ์คอมอยู่ มัน real time นะ แต่ถ้าเราเพ่งเบาๆ คือทำความรู้สึกตัวให้ละเอียดไปอีก ก็ได้ (แต่ยาก 55) รู้สึกถึงตัวนั่งอยู่ แล้วนิ้วก็กดแป้น รู้อารมณ์จิต รู้ความคิด พร้อมๆ กัน
เป็นไปได้นะ เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ใครทำได้ก็เก่งอ่ะ
เหมือนเดินจงกรม มีแนวที่เดินไปรู้สึกตัวไป กับแนวกำหนดละเอียด ยกย่างเหยียบ ก้าว Concentrate อย่างละเอียดทุกๆ ขณะเลยก็ว่าได้
ครูอาจารย์ที่เขาเดินจงกรมกันเท้าแตก แบบเดินทั้งวัน ท่านคงทำได้ 555 เราเองพวกหยาบ ก็เอารวมๆ รู้รวมๆ ให้ได้ก่อน แล้วค่อยละเอียดไปเรื่อยๆ
สติยังไงก็ต้องคู่กับสัมปชัญญะ แต่เวลาฝึกมีหลายแนว บางแนวก็เอาสติก่อน ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องกำหนด รู้เฉยๆ รู้รวมๆ รู้แบบไม่จ้องจับ รู้ซื่อๆ บางแนวเขาก็เริ่มสอนให้รู้ละเอียดไปเลย ทำช้าๆ รู้ชัดๆ แบบเนี้ยค่ะ
แต่สัมมาสติ ตามนิยามเขาเราไม่แน่ใจ ที่ไปจิ้มดูในอากู๋ รู้สึกตรงใจคือ
สัมมาสติ คือการมีสติกำหนดระลึกรู้อยู่เป็นนิจว่า กำลังทำอะไรอยู่ กำหนดรู้สภาวะที่เกิดขึ้นจริงในขณะปัจจุบัน ในสภาวะทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ตามความจำกัดความแบบพระสูตร คือหลักธรรมที่เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ แบ่งออกเป็น 4 คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกำหนดระลึกรู้ในกาย เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกำหนดระลึกรู้ในเวทนา จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกำหนดระลึกรู้ในจิต ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การกำหนดระลึกรู้ในธรรม คือ สัญญา(ความนึก)และสังขาร(ความคิด)
สัมมาสติ คือไม่ใช่สติธรรมดาแบบรู้ว่าทำอะไร แต่มันรู้ชอบด้วย เป็นสติแบบพุทธว่างั้น
สมมติเราเรียนบัลเลต์ มันอย่างสติเลยนะคุณ กำหนดทุกอย่าง จนชำนาญ เรียกว่าถ้าไม่มีสติคงยืนบนปลายเท้าไม่ได้ เขารู้เลยว่าใช้กล้ามเนื้อมัดไหนบ้าง แรงส่งต้องมีเท่าใด องศาใด แต่อันนี้ไม่ใช่สัมมาสติไง
ถ้าสัมมาสติ รู้กายแล้ว รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม รู้ในกรอบของการภาวนาน่ะ
อันนี้เท่าที่เราเข้าใจนะ แต่น้องคนนั้นเขาจะเข้าใจว่าสัมมาสติเป็นอย่างนั้น เราก็ว่าไม่ผิดหรอก คำพูดมันก็แค่คำพูดน่ะ วาทกรรม หรือสมมติบัญญัติ
อย่าไปติดตรงถ้อยคำนะ
ทีนี้ถ้าเราอ่านแล้วลองมาปรับใช้ดู เราย่อมรู้เองว่าทำได้ไม่ได้ หลักธรรมอยู่ที่ความจริง อาจารย์ที่ท่านสอนเราเน้น "ของจริง ไม่ใช่ของจำ"
คุณเล่นวิ่งจ็อกกิ้ง แล้วกำหนด ยกย่างเหยียบ ถามจริงๆ ทำได้จริงเหรอ 555
เวลาวิ่งตามองถนน สติควบคุมร่างกาย จะเอาตรงไหนแบ่งมากำหนดรู้ได้ก่อน ว่าจะยกเท้าซ้ายแล้วนะ ยกเท้า เท้าจะแตะพื้นแล้ว เท้าแตะพื้น ยกเท้าขวาละนะ โอย....
เราว่าแนวละเอียดอย่างนี้ ต้องเดินช้าๆ นะ เดินจงกรมน่ะ ทำได้ แต่วิ่งออกกำลังกายนี่เห็นทีจะแย่..
เลือกวิธีให้เหมาะกับกาละเทศะดีกว่าฮ่ะ อยากรู้ก็ลองดูได้ เดี๋ยวก็รู้เองว่าเวิร์คไม่เวิร์คฮ่ะ
แต่คนที่เขาทำสติได้เก่งขนาดนั้นน่ะ ขอบอกว่า มัน The Matrix ชัดๆ เลยคุณ มหัศจรรย์สุดๆ ผู้รู้ยิ่งบางท่านรู้ละเอียดถึงฝุ่นที่ตกกระทบผิวหนังเลยเชียว
จากคุณ |
:
chaosy
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ต.ค. 55 22:00:12
|
|
|
|
|