ความคิดเห็นที่ 1 (บทความทั้งหมดจาก www.oknation.net/blog/dragonball)                       คราวนี้เรากลับมาดูเชื้อสายของท่านนบีฮูด  ที่นักวิชาการอิสลามรายงาน อันนี้มิได้มีอยู่ในอัลกุรอาน เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบเท่านั้น                      "ได้มีการกล่าวถึงตระกูลของท่านนบีฮูด (ขอสันติจงมีแด่ท่าน) หลายกระแสด้วยกันเช่น กล่าวว่า นบี ฮูดเป็นบุตรของ "เซลา" ซึ่งเป็นบุตรของ "เอรฟัคเซธ" ซึ่งเป็นบุตรของ "เชม" และเชมนี้ก็เป็นบุตรของท่านนุห์ นั่นเอง.............                      บางกระแสกล่าวว่า  นบีฮูด เป็นบุตรของ เอาซ์ ซึ่งเอาซ์ เป็นบุตรของ "อิรอม" อิรอมเป็นบุตรของ เชม ซึ้งเชมเป็นบุตรของนุห์  นอกจากนี้ ยังมีกระแสอื่นที่แปลกออกไปอีกคือ  นบีฮูด (ขอสันติจงมีแด่ท่าน) เป็นบุตรของ "อับดุลเลาะฮ์" ผู้เป็นบุตรของ รอบาฮ์ ซึ่ง รอบาฮ์ เป็นบุตรของ อัลคูลูค ซึ่งเป็นบุตรของเอาซ์ ซึ่งเป็นบุตรของ อิรอม และอิรอม เป็นบุตรของ เชม ซึ่งเป็น บุตรของ นุห์(ขอสันติจงมีแด่ท่าน) นั่นเอง  ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามกระแสใด  สิ่งที่ทุกกระแสกล่าวก็คือ ท่านนบีฮูด (ขอสันติจงมีแด่ท่าน) สืบ เชื้อสายมาจากท่าน นบี นุห์(ขอสันติจงมีแด่ท่าน)"                                   (นบีในอัลกุรอาน เล่ม 3 โดยสมาน มาลีพันธุ์ น. 5-6)                     และนี่คือเรื่องของเผ่าพันธุ์ อ๊าด ที่เป็นกลุ่มชนที่สูญพันธุ์ไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ถูกเล่าไว้ในอัลกุรอานให้เราได้กล่าวถึงพวกเขา  และเป้าหมายของเรื่องกลุ่มชนของเขาได้สมบูรณ์แล้ว แม้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะไม่เหลือแล้วก็ตาม จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:41:43

ความคิดเห็นที่ 2 รอยต่อของยุคแห่งความเชื่อกับยุคอารยธรรม                       หากเรานับถอยหลังจากยุคของเราไปประมาณ หมื่นปี หรือถอยลึกไปกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ตามแบบตะวันตกที่ขีดเส้นไว้ เพราะยุคอารยธรรมที่ปรากฏชัดที่สุดคือ เมโสโปเตเมีย อียิปต์ อินเดียและจีน ก็ประมาณ 5,000-3,500 ปี ก่อนค.ศ. ซึ่งเหลือสิ่งก่อสร้างไว้มากมาย  ส่วนยุคก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรชัดเจนในเชิงอารยธรรมแม้จะมั่นใจว่ามีมนุษย์ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปก็ตาม เพราะไม่มีบันทึกหรือหลักฐานสิ่งก่อสร้างใดที่ยืนยันอารยธรรมของยุคก่อนนั้น ได้จริงจัง                      เหตุการณ์หรือปรากฏการในโลกเชิงอารยธรรมก็คลำกันจาก กลุ่มบริเวณ อิรัค(เมโสโปเตเมีย,บาบิโลน) อียิปต์ จีนอินเดียนี่แหละเป็นตัวตั้งต้นอ้างอิง ส่วนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ ป๊อบปิวล่าที่สุด และแพร่หลายในหมู่ผู้คนก็คือ พระคัมภีร์เดิมนี่แหละซึ่งมีการจดจำบอกต่อและจดเป็นบันทึกให้สืบต่อกันแม้จะ ยังไม่ได้รวมเล่มเหมือนกับพระคัมภีร์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน เพราะมีการกล่าวถึงเรื่องตั้งแต่กำเนิดโลกสัตว์และมนุษย์ และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ต่อเนื่องกัน ด้วยระบบความเชื่อ และเรื่องก็แพร่หลายออกไปสู่แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย  ส่วนบันทึกอื่นๆนั้นก็ว่ากันไปตามยุคมีรุ่งมีเสื่อมไปตามผู้ปกครองและ อารยธรรม แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นมีการบันทึกจากคนหลายรุ่นต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในยุครุ่งหรือเสื่อมก็ตาม(ความเป็นมาของพระคัมภีร์เดิมฉบับที่ 11)แต่ก็ถือว่ายุคที่เริ่มมีพระคัมภีร์ไบเบิลนั้นก็เกิดหลังจจากยุคอารยธรรม เพียงแต่มีการกล่าวถึงเรื่องราวก่อนการบันทึกเท่านั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้นมา แล้วตามแนวทางของฝ่ายที่นับถือพระเจ้า                     ส่วนเรื่องท่านนบีฮูด(ขอสันติจงมีแด่ท่าน)ที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้น เป็นเพียงการชี้ให้เห็นความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์อิสลามอันต่อเนื่องมา ตามเส้นทางของศาสนทูตของพระเจ้าในดินแดนแถบนี้เท่านั้น  มิได้มีข้อใดยืนยันเวลาที่แน่นอนได้ตามประวัติศาสตร์ของนักวิชาการตะวันตก  เพราะการตั้งต้นความเป็นมาของมนุษย์ต่างกัน ประวัติศาสตร์สมัยใหม่เริ่มจากมนุษย์ วิวัฒนาการมาจากสัตว์ไร้ปัญญาโดยใช้กาลเวลาและสถานการณ์มาเป็นตัวอธิบายการ พัฒนาและความฉลาด ส่วนฝ่ายนับถือพระเจ้าหรืออิสลามนั้น เริ่มจากมนุษย์มีปัญญาพร้อมวิเคราะห์บาปบุญได้ แม้จะยังไม่มีความรู้ประสบการณ์ในด้านอื่นก็ตามเช่น การก่อสร้าง สังคม วิทยาการฯ                   ดังนั้นกลุ่มชนที่หายไปก่อนยุค อารยธรรมนั้นอิสลามจึงใช้แต่เพียงว่า กลุ่มชนโบราณที่หายสาปสูญไปแล้ว ดังพวก อ๊าดที่ฉันได้เล่าผ่านมา  และกลุ่มชน ษะมูด อันเป็นยุคของท่าน ศาสนทูต ซอและห์(ซอลิห์) ที่ฉันจะเล่าถัดไปนี้ จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:42:33

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนทูตซอและฮ์ กับเงื่อนไงในการเชื่อของกลุ่มชน ษะมูด บ้านของชนเผ่าษะมูด          -"แท้จริงฉันคือศาสนทูตผู้ซื่อสัตย์สำหรับเจ้า"-          -"ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮ์และเชื่อฟังฉันเถิด"-          -"และฉันมิได้ขอค่าตอบแทนในการนี้จากพวกเจ้า  ค่าตอบแทนของฉันมิได้มาจากผู้ใดนอกจากพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกเท่านั้น"-                              -"พวกเจ้าจะถูกปล่อยให้อยู่อย่างปลอดภัย ณ. ที่นี้หรือ  (โดยไม่ต้องตาย)"-                            -"ในสวนหลากหลายและลำธารหลายแห่ง"-                            -"และไร่นาและต้นอินทผลัมซึ่งกิ่งก้านของมันสุกงอม"-                           -"และพวกเจ้าสกัดภูเขาเป็นที่อยู่อาศัยด้วยความชำนาญ"-                     (นักอธบายอัลกุรอานกล่าวว่า  สำหรับชนชาติของนบีซอและฮ์ นั้นมีความสามารถนำเอาภูเขามาเป็นที่อยู่อาศัยสำราญอยู่กับการดื่มเมามัวกับ ความสุขสบาย  เคารพบูชารูปปั้นและสร้างศาสนาของพวกเขาเอง  พวกเขามีความสมบูรณ์ทั้งที่อยู่อาศัยและร่างกาย มีอายุยืนยาวจนลืมความตาย)                       -"ดังนั้นจงเกรงกลัวอัลเลาะฮ์ และเชื่อฟังฉันเถิด"-                           -"และจงอย่าเชื่อฟังคำสั่งของพวกฝ่าฝืน"-                      -"พวกที่ทำความเสื่อมเสียบนแผ่นดิน  และเป็นพวกไม่พัฒนา"-                     -"พวกเขากล่าวว่า แท้จริงท่านเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ถูกอาคม  ท่านมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นเช่น  สามัญชนเช่นเรา  ดังนั้น  จงนำมาสักสัญาณหนึ่ง  หากท่านเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้พูดจริง"-                                                       (อัลกุรอาน26/143-154)                      พวก ษะมูด ได้ตั้งเงื่อนไข ในการเชื่อของพวกเขาขึ้น  อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ต่างกับความคิดของคนในปัจจุบันนี้ที่ต้องการข้อ พิสูจน์ในการเชื่อที่มันเป็นรูปธรรม ประจักษ์ตรงหน้า ไม่ใช่มาอธิบายแบบในเชิงคุณลักษณะของพระเจ้าที่ต้องใช้ปัญญาคิดพินิจให้ วุ่นวายใจ  อยากให้นบี ซอและฮ์ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็นกันจะๆไปเลย  ไม่ใช่แค่เทศนาหรือนำสาส์นมาให้อ่าน  เพราะพวกเขาเองก็มีการใช้ภาษาที่คมคายไม่เบาอยู่เหมือนกัน ซึ่งแสดงถึงความรู้และการศึกษาของพวกเขาว่ามีระดับพอสมควร                     สิ่งที่ฉันเห็นในความเหมือนกันของคนทุกยุคก็คือ ความเชื่อศรัทธาของคนยุคไหนๆก็เหมือนกันสิ่งที่ต่างกันอาจเป็นเพียง เทคโนโลยีและการเป็นอยู่เท่านั้น ขึ้นอยู่กับวิทยาการในแต่ละยุค                   ฉันขอยกคำอธิบายของนักวิชาการมาประกอบ  ซึ่งอาจจะทำให้ไลเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนี้และเห็นภาพชัดเจนขึ้น                     "เมื่อท่าน นบีซอและฮ์ ได้เทศนาสั่งสอนแก่ษะมูดทั่วไปไม่บังเกิดผลแล้ว  ท่านจึงสร้าง มัสยิด(ศาสนสถาน) ขึ้นแห่งหนึ่งใช้เป็นที่ทำการเผยแพร่ศาสนาของท่าน  และใช้เป็นสถานที่ทำการภักดีต่อพระเจ้าโดยไม่มีวัตถุใดๆ เป็นที่เคารพในมัสยิดนั้น  ท่านได้ทำการเรียกร้องให้ประชาชนเคารพนับถือพระเจ้าอยู่ในมัสยิดนั้นเป็น เวลา 70 ปี                       ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินของพวกษะมูดได้ตรัสคำมั่นสัญญากับนบีซอและฮ์ว่า                      "ถ้าท่านสามารถแสดงปาฏิหารย์อะไรให้เป็นที่ประจักษ์สักอย่างหนึ่งแล้วเราจะเชื่อท่าน"                     นบีซอและฮ์ถามพระเจ้าแผ่นดินของพวกษะมูดว่า                       "ท่านต้องการให้ฉันแสดงอภินิหารอะไรหรือ"                    "จงเอาแม่อูฐท้องแก่สิบเดือนตัวหนึ่งออกจากหน้าผาแห่งนี้  แล้วตกลูกอ่อนออกมาที่ลานหินตรงหน้าผานี้เถิด"                               (25พระศาสดา สำนักพิมพ์ ส. วงศ์เสงี่ยม น. 70-71)                    นั่นเป็นข้อเรียกร้องที่พวกเขาต้องการพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ตรงหน้าพวกเขา  ฉันคิดว่าพวกเขาคงขำกลิ้งกับข้อเรียกร้องนี้ เพราะมันเป็นการท้าทายและเย้ยหยันอยู่ในเวลาเดียวกัน  เพราะพวกเขามั่นใจว่าท่านนบีซอและฮ์คงจนแต้มแน่ จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:43:22

ความคิดเห็นที่ 4 การตอบสนองเงื่อนไขของท่านศาสนทูตซอและห์ต่อกลุ่มชนของท่าน                         "มีอีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า  พวกเขาเสนอให้นำอูฐตัวเมียมีท้องแก่ออกมาจากก้อนหอนและให้มันคลอดออกมาต่อ หน้าพวกเขา  นบีซอและฮ์ได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง  ญิบรีล (กาเบรียล,เป็นชื่อของทูตสวรรค์องค์หนึ่ง)  ได้มาหาท่านแล้วกล่าวว่า  ท่านจงละหมาด แล้วขออูฐต่อพระเจ้าของท่าน  เขาจึงปฏิบัติตาม หลังจากนั้นอูฐตัวเมียได้ออกมาจากหินผา  และคลอดลูกออกมาต่อหน้าพวกเขา"                        เมื่อข้อเรียกร้องได้ประจักษ์ตามที่พวกเขาเรียกร้อง บางกลุ่มก็เริ่มเชื่อท่านอย่างจริงใจ  แต่บรรดาผู้ปกครองต้องจำใจเชื่อเพราะข้อเรียกร้องที่แสนตลกของพวกเขาดันเป็น จริงขึ้นมาได้ ทั้งๆที่พวกเขามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่พวกเขาทั้งหลายที่มามุงดู ต่างก็ได้ตั้งข้อตกลงไปแล้ว จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงใดๆอีก แม้จะไม่เต็มใจในการยอมรับศาสนาที่ท่านนบีซอและฮ์นำมาก็ตาม                      และอัลเลาะฮ์ ซ.บ.ได้ทรงตั้งเงื่อนไขเพื่อเป็นการทดสอบความศรัทธาของพวกเขาเช่นกัน                         -"เขา(ซอและฮ์)กล่าวว่า  นี่คืออูฐตัวเมีย  สำหรับมันดื่มน้ำหนึ่งวัน และสำหรับพวกท่านก็ดื่มน้ำวันหนึ่ง (ผลัดกันดื่มจากบ่อน้ำที่พวกษะมูตใช้กัน)"-                        -"และพวกเจ้าจงอย่าก่อความทุกข์ยากแก่มัน  มิฉะนั้นการลงโทษอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน"-                                                      (อัลกุรอาน  26/155-156)                        -"เขา(ซอและฮ์) กล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉัน  พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือ  หากฉันมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของฉัน  และพระองค์ทรงประทานความเมตตาจากพระองค์แก่ฉัน  ดังนั้นผู้ใดเล่าจะช่วยฉันให้พ้นจากอัลเลาะฮ์  หากฉันฝ่าฝืนพระองค์ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่เพิ่มพูนสิ่งใดเลยนอกจากการขาดทุนเท่านั้น"-                        -"โอ้กลุ่มชนของฉัน  นี่คืออูฐตัวเมียของอัลเลาะฮ์  เป็นสัญญาณหนึ่งแก่พวกเจ้า  ดังนั้นพวกเจ้าจงปล่อยมันให้หากินตามลำพังในแผ่นดินของอัลเลาะฮ์  และอย่าก่อความทุกข์ยากแก่มัน มิฉะนั้นแล้วการลงโทษอันรวดเร็วจะประสบแก่พวกเจ้า"-                                                          (อัลกุรอาน 1/63-64)                             -"บรรดาผู้แสดงความโอหังจากกลุ่มชนของพวกเขา  ได้กล่าวแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอที่เป็นผู้ศรัทธาในหมู่พวกเขาว่า  "พวกเจ้ารู้หรือว่า  ซอและฮ์เป็นผู้ที่ถูกส่งมาจากพระผู้อภิบาลของเขาจริง"  พวกเขากล่าวว่า "แท้จริงพวกเราเป็นผู้ศรัทธาต่อสิ่งที่เขาถูกให้นำมา"-                             -" บรรดาผู้ที่แสดงโอหัง กล่าวว่า แท้จริงเราปฏิเสธต่อสิ่งที่พวกเจ้าศรัทธากัน"-                                                               (อัลกุรอาน 7/75-76)                           -"และเราได้ให้สัญญาณต่างๆ ของเราแก่พวกเขา แล้วเขาก็ผินหลังให้"-                                                                 (อัลกุรอาน 15/81)                          สัญญาณที่ว่าเช่น อูฐตัวเมีย ท่านอิบนุอับบาส(นักปราชญ์อิสลามท่านหนึ่ง) ได้กล่าวว่า สำหรับอูฐตัวเมียนั้นเป็นสัญญาณหลายอย่าง เช่น มันออกมาจากหิน มันคลอดลูกขณะที่ออกมาจากหิน รูปร่างใหญ่โตไม่เหมือนอูฐธรรมดาและมีน้ำนมมาก  จนพวกเขาดื่มกินกันอย่างเพียงพอ                         -"พวก ษะมูต ได้ปฏิเสธด้วยการละเมิดขอบเขต  เมื่อคนเลวทรามที่สุดของพวกเขาได้รีบรุดไป (ฆ่าอูฐตัวเมียตัวนั้น)  แล้ว ร่อซูล(ศาสนทูต) ของอัลเลาะฮ์ กล่าวแก่เขาว่า  (อย่าทำร้าย)อูฐของอัลเลาะฮ์ และ(อย่าขัดขวาง)การดื่มของมัน"-                                                           (อัลกุรอาน 91/1-13)                      -"แล้วพวกเขาก็ตัดขาอูฐตัวเมียตัวนั้น  และได้ละเมิดคำสั่งแห่งพระผู้อภิบาลของพวกเขา  และได้กล่าว่า จงนำสิ่ง (หมายถึงสัญญาที่ว่า  หากพวกเขาทำร้ายอูฐแล้ว  พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บแสบ)  ที่ท่านได้สัญญาแก่เราไว้มาให้แก่เราเถิด  ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นศาสนทูตจริง"-                                                            (อัลกุรอาน 7/77)                   -"พวกษะมูตได้ปฏิเสธผู้ตักเตือน  พวกเขากล่าวว่า  คนธรรมดาจากพวกเรานะหรือ  ที่จะให้เราปฏิบัติตามเขา  ดังนั้นเราก็อยู่ในการหลงทาง  และเป็นบ้าอย่างแน่นอน"-                   -" สาส์นนั้นถูกส่งมาให้แก่เขาแต่เพียงผู้เดียวอื่นจากพวกเรากระนั้นหรือ  เปล่าเลย  เขาเป็นคนพูดเท็จ ไร้มารยาทต่างหาก"-                   -"พรุ่งนี้พวกเขาก็จะได้รู้ว่าใครเป็นคนพูดเท็จไร้มารยาทกันแน่"-                    -" แท้จริง  เราส่งอูฐตัวเมียตัวหนึ่งมาเพื่อเป็นการทดสอบแก่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจงอดทนดูพวกเขา  และจงอดทนเถิด"-                   -"และจงบอกพวกเจ้าเถิดว่า นำนั้นถูกแบ่งส่วนระหว่างพวกเขา  ทุกๆส่วนของน้ำดื่มถูกจัดไว้แล้ว"-                   -"แต่พวกเขาเรียกร้องเพื่อนของพวกเขา  เขาได้จับมันฆ่าด้วยดาบอย่างทารุณ"-                                                                (อัลกุรอาน 54/23-29) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:44:02

ความคิดเห็นที่ 5 ษะมูต อาหรับโบราณที่สูญพันธุ์ บ่อน้ำของพวกษะมูตที่ยังเหลืออยู่                           นัก วิชาการอธิบายเรื่องดังนี้  น้ำจากแหล่งน้ำของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็น 2 วัน วันหนึ่งสำหรับพวกเขาใช้และดื่ม และอีกวันหนึ่งสำหรับอูฐตัวเมียที่เขาเรียกร้องให้ออกมาจากหน้าผานั้น                           เมื่อเวลาล่วงเลยนานวันเข้า พวกเขาเริ่มเบื่อหน่ายต่อการจัดสรรน้ำดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงได้เรียกร้องให้เพื่อนของเขาคือ "กุดาร อิบนุ ซาลิฟ" ให้ฆ่าอูฐตัวเมียตัวนั้นเสีย ดังนั้นเขาจึงฆ่ามันด้วยดาบของเขาด้วยการตัดขาอูฐออกสองข้าง  แล้วฆ่ามันอย่างทารุณโดยไม่คำนึงถึงคำสั่งห้ามมิให้ทำร้ายอูฐตัวนั้น                           -"ต่อมาพวกเขาได้ฆ่ามัน  ดังนั้น (ซอและฮ์) จึงได้กล่าวว่า  "พวกเจ้าจงสุขสำราญในบ้านของพวกเจ้าเป็นเวลาสามวัน  นั่นคือสัญญาที่ไม่โกหก"-                          -" ดังนั้น  เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง  เราได้ช่วย ซอและฮ์และบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขาให้รอดพ้นด้วยความเมตตาจากเรา  และจากความอดสูของวันนั้น แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพ"-                              -"และเสียงกัมปนาท ได้ทำลายบรรดาผู้อธรรม  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุกเข่าตายในบ้านของพวกเขาเอง"-                                               (อัลกุรอาน 11/65-67)                               -"แล้วความไหวของแผ่นดินก็ได้คร่าพวกเขา  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้คุกเข่าตายในบ้านของพวกเขาเอง"-                                                  (อัลกุรอาน 7/78)                               -"เสมือนกับว่า  พวกเขามิได้เคยอยู่ในนั้นมาก่อน  พึงทราบเถิดว่า แท้จริง ษะมูต นั้นปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา  พึงทราบเถิดว่า  จงห่างไกล จากความเมตตาเถิดสำหรับ ษะมูต"-                                                   (อัลกุรอาน 11/68)                                   -"แล้วเขา (ซอและฮ์) ก็หันออกจากพวกนั้น  และกล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันแท้จริง ฉันได้ประกาศสารแห่งพระผู้อภิบาลของฉันแก่พวกเจ้าแล้ว  และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกเจ้าด้วย  แต่ทว่าพวกเจ้าไม่ชอบบรรดาผู้ที่ชี้แจงแนะนำ"-                                                    (อัลกุรอาน7/79)                                    -"และอ๊าด และษะมูต และได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเจ้าแล้ว  จากที่พำนักของพวกเขา (เมืองฮิญาซและเยเมน)   และซาตานได้ทำให้การงานของพวกเขาเป็นที่สวยงามแก่พวกเขา แล้วมันได้หันเหพวกเขาออกจากแนวทาง โดยที่พวกเขาเป็นผู้มีสติพิจรณา"-                                                    (อัลกุรอาน 29/38) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:48:45

ความคิดเห็นที่ 6 วาระสุดท้ายของพวก ษะมูต          พวก ษะมูต (thamud)หรือ เมเดียน(Madain)หรือ นาบาเทียน(Nabataeans) ซึ่งเป็นที่ขึ้นอยู่กับการตั้งชื่อของพวกนักสำรวจแต่ละพวกแต่ละยุค  ซึ่งอัลกุรอานเรียกพวกนี้ว่า ษะมูต                                                -"และส่วน ษะมูตนั้นเราได้ชี้แนะให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาเลือกเอาการตาบอด มากกว่าการอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นความหายนะแห่งการลงโทษที่น่าอดสูก็ได้ประสบกับพวกเขาตามที่พวกเขา แสวงหาเอาไว้"-                   -"และเราได้ช่วยบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ยำเกรงให้ (จากการลงโทษนั้น)"-                                                        (อัลกุรอาน41/17-18)                                   -"แล้วพวกเขาได้สกัดภูเขาเป็นบ้านพักอย่างปลอดภัย"-                      นักอธิบายอัลกุรอานกล่าวว่า  พวกเขามีความสามารถในด้านการก่อสร้างสกัดภูเขาเป็นบ้านอันมั่นคง และคิดว่าไม่มีใครทำอันตรายพวกเขาได้ แม้แต่พระเจ้า                                   -"ดังนั้นเสียงกัมปนาท ได้ทำลายพวกเขายามเช้า"-                                 -"ฉะนั้น  สิ่งที่พวกเขากระทำไว้  ไม่ให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้เลย"-                                                 (อัลกุรอาน 15/82-84)                                   -"ดังนั้นการลงโทษจึงประสบแก่พวกเขา  แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอน  แต่พวกเขาส่วนมากเป็นผู้ไม่ศรัทธา"-                                  -"และแท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น  พระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพผู้ทรงเมตตาเสมอ"-                                                      (อัลกุรอาน26/158-159)                                 เรื่องราวของนบี ซอและฮ์  ยังมีอีกบางส่วน  แต่ฉันคิดว่าเพียงเท่านี้ก็พอจะพิจรณาถึงอุทาหรณ์ที่ว่า  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือปาฏิหารย์ใดก็ตาม  ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ที่ไม่ต้องการจะเปลี่ยนความคิดให้พวกเขากลับมาศรัทธา ได้ หากจิตใจของเขาไม่รับ แม้จะจำนนด้วยข้อพิสูจน์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ตามเงื่อนไขที่พวกเขาเรียกร้องก็ตาม                               สิ่งปลูกสร้างที่หลงเหลือเป็นประวัติศาสตร์ที่ตกทอดมาถึงเราก็มีแต่ซากบ้าน เรือนของชนเผ่าซะมูตเท่านั้น จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:49:32

ความคิดเห็นที่ 7 การแบ่งกลุ่มอารยธรรมโบราณ                          นัก วิชาการเขาก็ตั้งต้นกันโดยประมาณ ที่หมื่นปีก่อนคริสตศักราช  อันเป็นช่วงเวลาที่เราเพิ่งเริ่มจะพบร่อง รอย           ของอารยธรรมที่ยืนยันการมีอยู่ของมนุษย์อย่างชัดเจน  จากสิ่งก่อสร้าง เครื่องใช้ไม่สอย บันทึก  ภาพวาดภาพแกะสลักที่แสดงถึงเครื่องแต่งกาย สังคม การทำมาหากิน การปกครอง ความเชื่อ และศาสนา                        อารยธรรมใหญ่ๆตามลุ่มแม่น้ำต่าง -  อารยธรรมอียิปต์ ประมาณ 5,000ปีก่อน ค.ศ. ลุ่มแม่น้ำไนล์ -  เมโสโปเตเมีย ประมาณ 4,000 ปี ก่อน ค.ศ. แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส -  อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ประมาณ 3,000ปี ก่อน ค.ศ.  อินเดีย                                    - อารยธรรมจีน ประมาณ  4,000ปี ก่อน ค.ศ. แม่น้ำเหลือง(ฮวงโห)                    ก่อนหน้าจากนั้นก็เรียกกันว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์พอสรุปได้ดังนี้                 -   มนุษย์ยุคแรก (Eolithic) มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากสัตว์เท่าใดนัก                -    ยุคหินเก่า (Paleolithic) มีการพัฒนาเครื่องใช้ไม้สอย เช่น อาวุธ เครื่องมือหาอาหาร ล่าสัตว์ และรู้จักการใช้ไฟ                 -   ยุคหินเก่าตอนปลาย เกิดมนุษย์ โฮโมซาเปี้ยน มีสมองใหญ่เฉลี่ยเท่ากับมนุษย์ในปัจจุบัน  รู้จักแกะกระดูกสัตว์ วาดรูปคนสัตว์ ถือว่าคล้ายมนุษย์ในปัจจุบันมาก และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุย์ในปัจจุบัน                 ย้อนกลับไปอ่านฉบับที่ 14 และ15 ได้ครับ               ยุคถัดมาก็คือเข้าสู่ ยุคอารยธรรมที่กำเนิดจากลุ่มแม่น้ำใหญ่ทั้งสี่แห่งที่กล่าวมา                กลับมาดูการดำเนินเรื่องประวัติศาสตร์แบบอิสลามกันต่อ  หลังจากที่ผ่านยุคท่านนบีซอและฮ์ไปแล้ว  อัลกุรอานก็มิได้บอกว่าทิ้งเวลายาวนานต่อไปอีกเท่าไร จึงมาถึงการปรากฏตัวของท่านศาสนทูตองค์ถัดมา  ที่เป็นเสมือนการเริ่มยุคใหม่เพราะท่านได้เกิดขึ้นท่ามกลางอารยธรรมที่เจริญ ด้วยสิ่งแวดล้อมที่มีความชัดเจนใรเชิงประวัติศาสตร์  ระหว่างนักวิชาการแบบตะวันตก และนักวิชาการประวัติศาสตร์แบบอิสลาม  แม้อาจมีการคาดเคลื่อนเรื่องเวลาไปบ้างก็ตาม แต่ก็พอมองได้ว่ามีการอาศันยุคและประวัติศาสตร์ร่วมกันในการเล่าเรื่อง                      เรื่องราวบนโลกที่ดำเนินมาตั้งแต่ ท่านนบี อาดัมและฮาวา(อีฟ,เอวา,ฮาวอ) จนมาถึงท่านนบีซอและฮ์  ความชัดเจนในเนื้อเรื่องยังคงชัดเจนในเรื่องการเทิดเอกภาพของพระเจ้าให้ผู้ คนได้รับเป็นประเด็นหลัก  แม้จะมีรายละเอียดแตกต่างกันก็ตาม จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 14:50:09