ความคิดเห็นที่ 1 การถล่มโสโดม โกโมราห์เมืองรักร่วมเพศ (ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์) เรามาถึงพระคัมภีร์เดิมตอนที่ทูตของประเจ้ามาบอกให้โลทออกจากเมือง  .... แต่โลทรีรอ  ดังนั้นชายทั้งสองจึงคว้ามือของเขาและภรรยา และบุตรหญิงทั้งสอง ด้วยพระกรุณาของพระเจ้าที่มีต่อเขา  ท่านทั้งสองจึงนำเขาออกมาเสียนอกเมือง   เมื่อท่านทั้งสองพาเขาออกมาแล้ว  ท่านพูดว่า "หนีเอาชีวิตรอดเสียเถิดอย่างเหลัยวหลัง หรือหยุด ณ. ที่ใดในลุ่มน้ำ หนีไปที่เนินเขามิฉะนั้นเจ้าจะเสียชีวิต ปฐมกาล 19 :20  ดูซิเมืองโน้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึง  และเป็นเมืองเล็ก ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น......แล้วชีวิตข้าพเจ้าจะรอด 21  ทูตสวรรค์พูดกับเขาว่า "เราอนุญาตเรื่องนี้ คือเราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดนั้นเสีย 22   รีบเถิดหนีไปที่นั่น  เพราะเราจะทำอะไรไม่ได้  จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่น" ฉะนั้นเราจึงเรียกชื่อเมือนั้นว่า โศอาร์ (แปลว่าเล็กน้อย)" 23  เมื่อโลทไปถึงโสอาร์ตะวันขึ้นแล้ว 24  แล้วพระเจ้าก็ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระเจ้าตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและโกโมราห์ 25  และพระองค์ทรงขยี้เมืองเหล่านั้น ลุ่มน้ำทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชต่างๆ 26  ส่วนภรรยาของโลท  ผู้อยู่ข้างหลังโลท  เหลียวกลับไปมองดู นางก็กลายเป็นเสาเกลือ 27  เวลาเช้าอับราฮัมออกมายังที่ที่ท่านยืนเฝ้าพระเจ้า 28  ท่านมองไปยังเมืองโสโดมและโกโมราห์ และตรงดินแดนในลุ่มน้ำ ก็เห็นแผ่นดินลุกเป็นควันพลุ่งขึ้นเหนือเตาไฟใหญ่ เสาเกลือและบริเวณเมืองโสโดมและโก โมราห์      ที่ถูกถล่มจมไปเป็นทะเลตายซึ่งเป็นส่วนที่น้ำมีความหนาแน่นมากและเค็มมาก                     คราวหน้าเราจะมาดูว่าอัลกุรอานของมุสลิมกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายที่ชื่อ ลูฏ หรือโลฏ ว่าอย่างไร จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:45:01

ความคิดเห็นที่ 2 เมืองรักร่วมเพศเมืองแรกในโลกตามทัศนะอิสลาม(จากคัมภีร์อัลกุรอานของอิสลาม) กลับมาที่พระคัมภีร์อัลกุรอานกันนะในตอนนี้ เช่นเดียวกันเรามาถึงตอนที่ทูตสวรรค์สามคนได้เดินทางมา มาหานบีลูฎหรือ โลท  สิ่งหนึ่งที่อยากย้ำให้ไลฟังก็คือ ลูฏที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้น กล่าวในฐานะที่ท่านเป็นนบีหรือศาสนทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง ที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับท่านนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) คือเผยแผ่ศาสนาที่ว่าด้วยการนับถือพระเจ้าองค์เดียวเมื่อตอนต้นการเข้าสู่ ยุคอารยธรรม (ห้าพันปีที่แล้ว)   เมโสโปเตเมียและพวกเซเมติด ที่เรืองอำนาจแผ่อาณาจักรควบคุมในดินแดนแถบนี้  แต่พระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์และยิว นั้นให้ภาพเพียงชายคนหนึ่งที่เป็นหลานของ อับราฮัม กับวิถีชีวิตที่อยู่ในเมืองโสโดมและโกโมราห์ เรามาดูสำนวนที่อัลเลาะฮ์ ทรงเล่าถึงท่านอย่างยกย่องในความเป็น นักเผยแผ่อุดมการณ์ที่ มีขันติและสันติวิธีอย่างสุดขั่วท่ามกลางอันธพาลที่ครองเมือง และผู้ประพฤติผิดทางเพศที่ครองอำนาจในเมืองซึ่งขัดแย้งกับคำสอนของท่าน -"กลุ่มชนลูฏ (โลท)  ได้ปฏิเสธบรรดาศาสนทูต  (ไม่เชื่อคำสั่งสอนของท่านนบีลูฎ)"- -"ขณะที่พี่น้องคนหนึ่งของเขาคือ ลูฏ ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าไม่ยำเกรงบางหรือ "- -"แท้จริงฉันเป็นศาสนทูตผู้ซื่อสัตย์สำหรับพวกเจ้า"- -"ดังนั้นพวกเจ้าจงนำเกรงอัลเลาะฮ์และเชื่อฟังฉันเถิด"- -"และฉันไม่ได้ขอค่าตอบแทนในการนี้จากพวกเจ้า  ค่าตอบแทนของฉันมิได้มาจากผู้ใด นอกจากพระผู้ออภิบาลแห่งสากลโลกเท่านั้น"- -"พวกเจ้าเข้าหาผู้ชายในหมู่ผู้คนทั้งหลายกระนั้นหรือ"- (นักอธิบายกุรอานกล่าวว่า พวกเขาร่วมสังวาสกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายหรือผู้หญิงกับผู้หญิง  ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่อัลเลาะฮ์ทรงห้ามตั้งแต่สมัย โบราณและกฏข้อนี้ก็ถือว่าเป็นข้อห้ามสำหรับมุสลิมจนถึงปัจจุบัน) -"และพวกเจ้าจะทิ้งสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าทรงบังเกิดมาสำหรับพวก เจ้า  คือ ภรรยาของพวกเจ้า  แน่นอนพวกเจ้าเป็นกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืน"- -"เขากล่าวว่า ลูฎ เอ๋ย หากท่านไม่หยุดยั้ง  แน่นอนท่านจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกขับไล่ให้ออกไป (คือ เนรเทศออกจากแผ่นดินของเรา)"- -" เขา (ลูฎ) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นผู้เกลียดการกระทำของพวกเจ้า"- -" โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน  ขอพระองค์ทรงช่วยฉัน และบริวารของฉันให้พ้นจากที่พวกเขากระทำกัน"-                                                 (อัลกุรอาน 26/160-169) -"และจงรำลึกถึงลูฏ  เมื่อเขากล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า  แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำการลามก  ซึ่งไม่มีผู้ใดในโลกกระทำมาก่อนพวกเจ้าเลย"- -" แท้จริงพวกเจ้าสมสู่กับผู้ชาย และปล้นสดมภ์บนทางหลวงกระนั้นหรือ  และกระทำอนาจารในที่ชุมชนของพวกเจ้า (อย่างเปิดเผย)  แต่คำตอบของกลุ่มชนของเขามิใช้อื่นใดนอกจากกล่าวว่า จงนำการลงโทษของอัลเลาะฮ์มาให้พวกเราซิ  (เป็นการเย้ยหยันและท้าทายท่าน)  หากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง"- -"เขา (ลูฏ) กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน  ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยฉันให้ได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มชนผู้บ่อนทำลายด้วยเถิด"- -" และครั้นเมื่อทูตสวรรค์ได้มาหาอิบรอฮีม พร้อมด้วยข่าวดี (เรื่องการจะได้บุตรคนที่สองกับภรรยาคนแรก) พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราเป็นผู้ทำลายเมืองนี้  เพราะชาวเมืองนี้เป็นผู้อธรรม"- -"เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่า "แท้จริงในเมืองนั้นมีลูฎอยู่ด้วย  พวกเขากล่าวว่า เรารู้ดีว่ามีใครอยู่ที่นั่น แน่นอนเราจะช่วยเขา และบริวารของเขาให้รอดพ้น  เว้นแต่ภรรยาของเขา เพราะนางอยู่ในหมู้ผู้ถูกทำลาย"-                                                          (อัลกุรอาน 29/28-32) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:45:40

ความคิดเห็นที่ 3 ถล่มเมืองรักร่วมเพศที่ท่านนบีลูฎเป็นศาสนทูต(ตามคัมภีร์อัลกุรอานของอิสลาม)   -"และเมื่อบรรดาทูตของเรามายังลูฏ (โลท) เขาเป็นทุกข์ต่อกลุ่มชนของเขา และหนักใจต่อพวกเขา และกล่าวว่า "นี่เป็นวันอันเลวร้ายยิ่ง"- -"และกลุ่มชนของเขาได้มาหาเขา พวกเขารีบร้อนมายังเขาและก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยทำชั่ว เขากล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย เหล่านี้คือลูกสาวของฉัน พวกนางบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า  ดังนั้น พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮ์เถิด  และอย่าทำให้ฉันขายหน้าต่อแขกของฉันเลย ไม่มีคนที่มีสติสัมปชัญญะในหมู่พวกเจ้าบ้างหรือ"- (นักอรรถาธิบายอัลกุรอานกล่าวว่า สาเหตุของการรบร้อนมาหาลูฏ ก็เพราะภรรยาของลูฏ ได้แจ้งแก่พวกเหล่านั้นว่า ลูฏมีแขกที่เป็นเด็กหนุ่มหลายคนและมีความงดงาม  พวกเจาจึงรับไปหาลูฏ โดยปราศจากการกระดากอาย) -"เขา (ลูฎ) กล่าวว่า "แท้จริงเขาเหล่านั้นเป็นแขกของฉัน  ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าทำให้ฉันอัปยศ"- -"และจงยำเกรงอัลเลาะฮ์เถิด และอย่าให้ฉันต้องอับอาย"- -"พวกเขากล่าวว่า "โดยแน่นอนท่านรู้ดีว่า เราไม่มีสิทธิ์ในลูกสาวของท่าน  (เราไม่ชอบผู้หญิง) และท่านก็รู้ดีถึงสิ่งที่เราปราถนา"- -"  เขา (ลูฏ) กล่าวว่า "หากฉันมีกำลังปราบปรามพวกเจ้าหรือฉันหันไปพึ่งที่พักพิงอันแข็งแรง (เพื่อช่วยปราบปรามพวกเจ้า)"-                                                      (อัลกรอาน 11/79-80) -"พวกเขา (มะลาอิกะฮ์) กล่าวว่า "โอ้ลูฏเอ๋ย  พวกเราเป็นทูตของพระผู้อภิบาลของท่าน พวกเหล่านั้นจะไม่ถึงท่านเลย (ไม่สามารถทำร้านท่าน)  ดังนั้นท่านจงเดินทางในเวลากลางคืน พร้อมครอบครัวของท่านได้  และคนใดในหมู่พวกท่านอย่าได้เหลียวหลังมองเว้นแต่ภรรยาของท่าน แท้จริง จะประสบแก่นางเช่นเดียวกับที่ได้ประสบแก่พวกเขา  แท้จริงเวลานัดหมายคือเวลาเช้า เวลาเช้านั้นใกล้เข้ามาแล้วมิใช่หรือ"-                                                        (อัลกุรอาน11/81) -"ครั้นเมื่อทูตได้มายังบริวารของลูฏ"- -" เขา (บริวารของลูฏ) กล่าวว่า "แท้จริงเรามาหาท่าน(ลูฏ) ด้วยเรื่องที่เขาสงสัยกันอยู่ (การลงโทษที่ได้มีการสัญากันเอาไว้)"- -" และเรามาหาท่านด้วความจริง (เพื่อยืนยันถึงการลงโทษ) และแท้จริงเราเป็นผู้มีสัจจะอย่างแน่นอน"- -" ดังนั้นจงร่วมเดินทางไปกับครอบครัวของท่านในเวลากลางคืน และจงตามหลังเขา และอย่าให้ผู้ใดในหมู่พวกท่านเหลียวหลัง  และจงเดินทางไปตามที่ถูกบัญชา (เดินทางไปยังชาม (ซีเรีย)"- -"และเราได้แจ้งแก่เขาถึงเรื่องนั้นว่า คนสุดท้ายของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกตัดขาดในยามเช้า"-                                                      (อัลกุรอาน 11/61-66) -"ดังนั้น เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง เราได้ทำให้ข้างบนของมันเป็นข้างล่าง (เราได้พลิกหมู่บ้าน) และเราได้ทำให้ก้อนหินแกร่งหล่นพรูลงมา (เราได้ให้ก้อนหินแกร่งลุกเป็นไฟตกลงมาดั่งฝน)"-                                                     (อัลกุรอาน 11/82) -" แท้จริงเราเป็นผู้นำการลงโทษ จากฟากฟ้ามาสู่ชาวตำบลนี้  เนื่องจากพวกเขาทำชั่ว"- -"และโดยแน่นอน  เราได้ทิ้งสัญญาอันชัดแจ้งของตำบลนี้ไว้สำหรับกลุ่มชนผู้ใช้ปัญญา"-                                                  (อัลกุรอาน 11/34-35) -"ถูกตราเครื่องหมายไว้ ณ ที่พระผู้อภิบาลของท่าน และมัน (คือหมู่บ้านนี้ที่ถูกทำลาย)  ไม่ไกลไปจากผู้อธรรมเลย"- (นักอธิบายอัลกุรอานกล่าวว่า สถานที่นั้นกลายเป็นทุเลน้ำเค็มจัด และเรียกกันว่า ทะเลตาย (Dead Sea) ซึ่งอยู่เป็นรอยต่อระหว่างจอร์แดนและปาเลสไตน์(อิสราเอล)ในปัจจุบัน) -"และลูฏนั้น  เราได้ให้เขาเป็นนบีและให้วิชาความรู้แก่เขา  และเราได้ให้เขารอดพ้นจากหมู่บ้านนั้น  ซึ่งชาวบ้านได้กระทำชั่ว  แท้จริงเขาเป็นกลุ่มชนที่ชั่วช้าเลวทราม"- -"และเราได้ให้เขา(ลูฏ) อยู่ในความเมตตาของเรา แท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งในหมู่คนดี"-                                                         (อัลกุรอาน 21 /74-75) แท้จริงเขาอยู่ในหมู่คนดี     นั่นคือตราประทับที่อัลกุรอานกล่าวถึงท่านนบีลูฏ (โลท)  ซึ่งมุสลิมให้ความเคารพท่านนบีลูฎ(ขอสันติจงมีแด่ท่าน) ว่าเป็นศาสนทูตที่ไม่มีความด่างพร้อยใดๆเลยที่อัลเลาะฮ์ทรงรับรองท่าน ในอัลกุรอานคัมภีร์เล่มสุดท้ายของมนุษย์ชาติที่พระเจ้าทรงประทาน คราวหน้าเราจะมาพูดถึงข้อขัดแย้งเรื่องท่าน นบีลูฏ หรือโลท ที่ขัดแย้งกันระหว่างสองคัมภีร์  ซึ่งอิสลามไม่ยอมรับในพฤษติกรรมของโลทที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมของชาวยิว และคริสต์ จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:46:40

ความคิดเห็นที่ 4 การกำเนิด อิสอัค บุตรคนที่สองของอับราฮัม(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์)     คราวนี้เรากลับมาดูเรื่องราวของอับราฮัมกันต่อว่าชีวิตของท่านจะดำเนินต่อไป อย่างไรตามหลักฐานจากพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์ที่ยึดกันในปัจจุบัน ปฐมกาล 21/1  พระเจ้าทรงเยี่ยมซาราห์ตามที่พระองค์ตรัสไว้....... 2   ซาราห์ ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมเมื่อชรา ตามเวลาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับท่าน 3   อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายที่เกิด  ผู้ซึ่งซาราห์คลอดให้ท่านนั้นว่า อิสอัค 4  แล้วอับราฮัมทำพิธีสุหนัตให้แก่อิสอัค  บุตรนั้นเมื่อมีอายุได้แปดวันดังที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่ท่าน 5  อับราฮัมมีบุตรเมื่อหนึ่งร้อยปี  เมื่ออิสอัคบุตรชายเกิดแก่ท่าน 6  นางซาราห์กล่าวว่า  พระเจ้าทรงกระทำให้ฉันหัวเราะ  ทุกคนที่ได้ฟังก็พลอยหัวเราะด้วย 7  นางกล่าวว่า "ใครจะพูดกับอับราฮัมได้ว่า ซาราห์จะให้เด็กกินนม แต่ดิฉันก็ได้คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้ท่านเมื่อชราแล้ว จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:47:14

ความคิดเห็นที่ 5 อิชมาเอล บุตรคนแรกและฮาการ์ภรรยาคนที่สองของอับราฮัมถูกขับไล่(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์) เรื่องที่บุตรของอับราฮัมสองคนนี้เป็นปมสำคัญมากในข้อแตกต่างระหว่าศาสนา ยิว(คริสต์นั้นเชื่อตามยิว)และอิสลาม เพราะฝ่ายยิวนั้น ให้ความสำคัญกับบุตรคนที่สองจากภรรยาคนแรกของอับราฮัม คือ อิสอัค  เพราะจะเป็นผู้ให้กำเนิด บุตรชื่อยาโคบหรืออิสราเอล ผู้เป็นต้นเชื้อสายคนแรกของฝ่ายยิว  และถัดไปนี้คือเรื่องราวของอิชมาเอ ลบุตรคนแรกจากภรรยาคนที่สอง ที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงก่อนที่เขาจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ เดิม  ในอีกไม่นานนัก ปฐมกาล 21/8 เด็กนั้นเติบโตขึ้นและหย่านม  และอับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันนั้นเมื่อ อิสอัคอย่านม 9  แต่ซาราห์เห็นบุตรชายของฮาการ์คนอียิปต์ซึ่งนางคลอดให้อับราฮัม  กำลังเล่นอยู่กับอิสอัคบุตรชาย 10  นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า "ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรของนางไปเสียเถิด  เพราะว่า บุตรของทาสหญิงคนนี้จะได้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของฉันไม่ได้ 11 อับราฮัมกลุ้มใจเพราะเรื่องบุตรชายของท่าน 12  แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า "อย่ากลุ้มใจเพราะเรื่องเด็กนั้น  และทาสหญิงของเจ้า  ซาราห์ขออะไรก็จงยอมตามที่นางขอนั้นเถิด  เพราะชื่อของเจ้าจะสืบต่อไปในทางของอิสอัค 13  ส่วนบุตรของทาสหญิงนั้น  เราจะกระทำให้เป็นชนชาติหนึ่งด้วย  เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของเจ้า 14  * อับราฮัมลุกขึ้นแต่เช้ามืด  ให้ขนมปังและน้ำถุงหนึ่งแก่ฮักการ์  ใส่บ่าให้นางพร้อมกับเด็กนั้นแล้วให้ออกไปจากบ้าน*  นางก็จากไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่ง เบเออร์เชบา 15  เมื่อน้ำในถุงนั้นหมดแล้ว  * นางก็วางเด็กไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง* 16  แล้วนางก็ไปนั่งอยู่ห่างออกไป  ประมาณเท่ากับระยะลูกธนูตก  เพราะนางพูดว่า "อย่างให้ข้าเห็นความตายของลูกเลย"  ขณะที่นางนั่งอยู่แต่ไกล  เด็กนั้นก็ตะเบ็งเสียงร้องขึ้น 17  พระเจ้าทรงสดับเสียงร้องของเด็กนั้น และทูตของพระเจ้าจึงเรียก ฮาการ์จากฟ้ากล่าวกับนางว่า  "ฮาการ์ เจ้าเป็นอะไรไป อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าทรงสดับเสียงของเด็ก ณ ที่ที่เขาอยู่แล้ว" 18  "* ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น   เอามือจับเขาไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง*" 19  แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาของนาง  นางก็เห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง  จึงไปเติมน้ำเต็มถุงหนัง และให้เด็กนั้นดื่ม 20  พระเจ้าทรงสถิตกับเด็กนั้น  เขาเติบโตขึ้น อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  และเป็นนักธนู 21  * เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราณ มารดาก็หาภรรยาคนหนึ่งจากอียิปต์ให้เขา อยากให้น้องไลลา จำข้อแตกต่างเมื่อกล่าวถึงบุตรทั้งสองคนของอับราฮัม ในพระคัมภีร์เดิมและอัลกุรอานให้ดีเพราะมีบางอย่างที่แตกต่างกันคราวหน้าฉัน จะสรุปให้ฟังนะ จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:47:45

ความคิดเห็นที่ 6 สิ่งที่ไม่เหมือนกันระหว่างพระคัมภีร์เดิมของชาวยิวและคริสต์กับคัมภีร์อัล กุรอานของมุสลิมในเรื่องการนำลูกชายคนแรกกับภรรยาคนที่สองของอับราฮัมไป ปล่อย ขอคั่นรายการตรงนี้สักนิดในเรื่องบุตรชายของอับราฮัม เพราะมีเรื่องที่ไม่ตรงกันในระหว่างพระคัมภีร์เดิมและอัลกุรอาน                พระคัมภีร์เดิมที่มีอยู่ในปัจจุบันเล่าว่า นางฮาการ์ภรรยาคนที่สองของอับราฮัม ได้ถูกนางซาราห์ ภรรยาคนแรกของอับราฮัม ขับไล่ออกจากบ้าน สองครั้งคือครั้งแรก ตอนที่นางตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้น อับราฮัมและซาราห์ ยังคงใช้ชื่อเดิมอยู่คือ อับรามและซาราย  ดังปรากฏในหลักฐานดังนี้(ฉ. 18 "การมีบุตรคนแรกของอับราม" ) ปฐมกาล 16:4  .....เมื่อนางตั้งครรภ์แล้วก็ดูถูกนายหญิง 5    ...............ซารายจึงบ่นต่ออับราม.......... 6   อับรามพูดกับนางซารายว่า  "ดูเถิดคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า  จงกระทำแก่เขาตามที่เห็นควรเถิด"  นางซารายจึเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปพ้นหน้า 7    ทูตของพพระเจ้าพบหญิงนั้นที่น้ำพุในถิ่นทุรกันดารข้างทางที่เมืองชูร์ 8    ทูตของพระเจ้าจึงสั้งว่า "กลับไปหานายหญิงของเจ้าและยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด ครั้งที่สองจากบทที่ผ่านมา(ฉ.19 "อิชมาเอล บุตรคนแรกและฮาการ์ภรรยาคนที่สองของอับราฮัมถูกขับไล่) ปฐมกาล  21:10  นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรของนางไปเสียเถิด  เพราะว่าบุตรของทาสหญิงคนนี้จะได้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของฉันไม่ได้ แต่ตามประวัติศาสตร์อิสลามบอกว่า นาง ฮาญัร(ฮาการ์) ได้ถูกนำไปปล่อยเพียงครั้งเดียวพร้อมบุตรคนแรกของอิบรอฮีม  ซึ่งตอนนั้นอิสมาอีล(อิชมาเอล) ยังเป็นทารกอยู่  (ฉ.18 "การมีบุตรคนแรกของนบีอิบรอฮีม" "นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)นำบุตรคนแรกและภรรยามาไว้ที่หุบเขามักกะฮ์) ส่วนพระคัมภีร์เดิมนั้นกล่าวว่า การนำ ภรรยาคนที่สองพร้อมบุตรคนแรกมาปล่อยในครั้งที่สองนั้น บุตรชายคนแรกได้ย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว  ซึ่งข้อข้อแย้งนี้เราก็ต้องมาว่ากันด้วยหลักการ  ดีกว่าจะปล่อยให้คลุมเครือ ส่วนใครจะเชื่ออย่างไรนั้นก็สงวนสิทธิ์ไว้เป็นเรื่องส่วนบุคคล " อิสอัคอายุได้สองปีเมื่ออย่านม ตอนนั้น อิสมาอีลอายุได้ 16 ปีแล้ว เพราะว่าอับราฮัมอายุได้ 86 ปี เมื่อตอนที่นางฮาการ์กำเนิดอิสมาอีล และอายุได้ 100 ปี เมื่ออิสอัคถือกำเนิด ตามปฐมกาล 16:16    "เมื่อนางฮาการ์ คลอดอิชมาเอลให้แก่อับราฮัม(อับราม) อายุของอับราฮัมได้แปดสิบหกปี" และปฐมกาล 21:5 "อับราฮัมอายุหนึ่งร้อยปีเมื่ออิสอัคบุตรชายเกิดแก่ท่าน" ( ขอแทรกคำอธิบายนิดนะ คือ ปฐมกาล 17:24-26 (ฉ. 18 "กำเนิดพิธีการทำสุหนัตและการเปลี่ยนชื่อจากอับรามเป็นอับราฮัม") กล่าวว่าตอนอับราฮัมอายุ 99 ปี และอชมาเอลอายุ 13 ปี ทั้งสองได้เข้าสุหนัตในวันเดียวกัน  ต่อมาอิสอัคคลอด อับราฮัมอายุได้ 100 ปี(ปฐมกาล 21:5 ) อิชมาเอลก็ต้องอายุ 14 ปี ในปฐมกาล 21:8  อับราฮัม จัดงานเลี้ยงอย่านมให้อิสอัค สมัยนั้นตามธรรมเนียมทั่วไปนั้น เด็กจะหย่านมประมาณ 2 ขวบ ดังนั้น อิชมาเอลก็อายุ 16 ปี อับราฮัมอายุ 102 ปี เมื่อวันที่จัดงานหย่านมแก่อิสอัค  เพราะฉะนั้น ข้อความที่ปรากฏใน ปฐมกาล 21 :9 นั้น   ภาพที่นางซาราห์เห็นก็คือ หนุ่มน้อยอิชมาเอลผู้เป็นลูกเลี้ยง เล่นอยู่กับลูกของนางในวัยสองขอบที่กำลังน่ารัก)                      ดังนั้นข้อความในปฐมกาล 21:8-10 จึงขัดกับข้อความในปฐมกาล 21:14*-21* ซึ่งอิชมาเอล(อิสมาอีล) ได้ถูกบรรยายว่าเป็นทารกที่วางอยู่บนบ่าของแม่เมื่อทั้งสองจากนางซาราห์ไป                       "อับราฮัมลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด ให้ขนมปังและน้ำแก่นางฮาการ์  ใส่บ่าให้นางพร้อมกัยเด็กนั้นแล้วให้ออกจากบ้านไป ....                        ........ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น  เอามือจับเขาไว้ให้แน่น........"                     นี่เป็นเรื่องบรรยายถึงเด็กทารก  มิใช่วัยรุ่น  ดังนั้น อิสมาอีล(ฮิชมาเอล) และนาง ฮาญัร(ฮาการ์) แม่ของท่านได้จากซาราห์ไปก่อนที่ อิสหาก(อิสอัค)จะเกิดเป็นเวลานาน  ตามคำบอกเล่าของประวัติศาสตร์อิสลาม  อิบรอฮีม ได้นำอิสมาอีลและนางฮาญัรไปยังมักกะฮ์ซึ่งถูกเรียกว่า "ปาราน" ในคัมภีร์ ไบเบิล (ปฐมกาล21:20-21)เพราะเป็นคำสั่งของพระเจ้า  ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการณ์ของพระองค์" (บทสนทนาระหว่าง มุสลิมกับคริสตชน โดย ดร. หะซัน บากิล และ รอยเอร์ล จอห์นสัน แปลโดย บรรจง บินกาซัน น. 71) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:48:28

ความคิดเห็นที่ 7 การเชือดบุตรชายพลีเพื่อพระเจ้าของอับราฮัม(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์)   เรื่องนี้มุสลิมเราเคยได้ยินมาบ้างแล้วแต่คราวนี้เราลองมาดูข้อความตามพระ คัมภีร์เดิมของชาวยิวและคริสต์ว่า กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร ด้วยสำนวนของพระคัมภีร์เดิมเอง อับราฮัมรับพระบัญชาให้ถวายอิสอัค ปฐมกาล 22:1 ต่อมาพระเจ้าทรงลองใจอับราฮัมและตรัสว่า...   2  พระองค์ทรงตรัสว่า "จงพาบุตรของเจ้าคือ อิสอัค *บุตรคนเดียวของเจ้า*  ผู้ที่เจ้ารัก    ไปยังแคว้น โมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า 3  อับราฮัมลุกขึ้นแต่เช้ามืด  ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคน อับอิสอัคบุตรของท่าน  ท่านตัดฟืนสำหรับเผาบูชา  เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน 4  พอถึงวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าขึ้นและเห็นที่นั่นแต่ไกล 5  อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า "อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระเจ้าแล้วจะกลับมาพบเจ้า" 6 อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเผาบูชาใส่บ่าลูกชาย ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน 7  อัสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า "นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเผาบูชาอยู่ที่ไหน" 8   อับราฮัมตอบว่า  ...."ลูกเอ๋ย  พระเจ้าทรงจัดหาลูกแกะสำหรับ  พระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา "พ่อลูกทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน 9  เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้  อับราฮัมจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่น  เรียงเป็นระเบียบ แล้วมัด อิสอัคบุตรชายของท่านบูชาบนฟืน 10  แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าลูกชาย 11  แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า "อับราฮัม อับราฮัม"....                                   12  ทูตสวรรค์ว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้ เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรของเจ้า  แต่ยอมถวาย *บุตรคนเดียวของท่าน* .ให้เรา 13  อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหน้าท่านมีแกะตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ  อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชา 14  อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า "เยโฮวาห์ยิเรห์   อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า "จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์" 15  ทูตของพระเจ้าเรียกำอับราฮัม ครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า 16  "พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราว่าเพราะเจ้ากระทำอย่างนี้และมิได้หวงบุตรชายของเจ้า คือ *บุตรชายคนเดียวของเจ้า*                      ประเด็น ในเรื่องการเชือดบุตรชายพลีเพื่อพระเจ้านั้น   ประวัติศาสตร์ระหว่างยิวคริสต์ขัดแย้งกับอิสลามเพราะ ผู้ที่ถูกเชือดเป็นคนละคนกัน คราวหน้าเราจะมาดูว่าคัมภีร์ของมุสลิมพูดอย่างไรในเรื่องนี้ จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:48:57

ความคิดเห็นที่ 8 การเชือดพลีบุตรชายคนแรกเพื่อพระเจ้าของท่านนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)(ตามคัมภีร์อัลกุรอานของมุสลิม) การ เชือดสัตว์ที่สมบูรณ์ในวันสิ้นสุดการถือศีลอดและบริจาคเนื้อแก่ผู้คนเป็น พิธีกรรมที่สืบเนื่องจาก ท่านนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม) ที่มุสลิมยังคงยึดถือมาจนถึงทุกวันนี้และเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนา อิสลาม เอาล่ะคราวที่แล้วฉันเอาข้อความจากพระคัมภีร์เดิมของชาว ยิวที่พูดถึงเรื่องนี้แต่พระคัมภีร์เดิมนั้นบอกว่า ท่านอับราฮัมเชือดลูกคนที่สองที่ชื่อ อิสอัค แต่พระคัมภีร์เดิมกลับเน้นว่าเป็น บุตรคนเดียวของท่านทั้งๆที่ ตอนนั้นอิชมาเอลเกิดมาก่อนนานแล้วเพราะเหตุใดพระคัมภีร์เดิมจึงกล่าวถึงอิส อัคว่าเป็นบุตรคนแรกทั้งที่เขาเป็นคนที่สอง เรื่องนี้เราค่อยมาว่ากันทีหลัง เอาประเด็นตอนนี้ก่อนตามทัศนะอิสลามแล้วอัลกุรอานกล่าวว่า ท่านนบี อิบรอฮีม(อับราฮัม)นั้น เชือดบุตรชายคนแรกถวายพระเจ้าตั้งแต่ อิสหาก(อิสอัค)ยังไม่เกิด ดังนั้นในเวลาที่อัลกุรอานกล่าวถึงบุตรชายของท่านนบีอิบรอฮีมนั้น ท่านมีบุตรชายคนเดียวจริงๆ แม้จะเกิดจากภรรยาคนที่สองก็ตาม     อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ทรงเล่าให้มนุษยชาติๆได้ฟังไว้ในอัลกุรอานดังนี้ ขอเล่าความเดิมตามประวัติศาสตร์อิสลามที่กล่าวมาแล้วสักนิดนะ(ฉ18 ".การมีบุตรคนแรกของมท่านนบีอิบรอฮีม""นบีอิรอฮีมนำบุตรคนแรกและภรรยามาไว่ ที่หุบเขามักกะฮ์)   ....หลังจากที่อาหรับเผ่า ญุรฮุม ได้มาตั้งถิ่นฐานที่มักกะฮ์ ที่บ่อน้ำ ซัมซัม  ท่านนบีอิบรอฮีมก็ได้ไปมาหาสู่ ลูกชายและนางฮาญัรภรรยาของท่านอยู่ บ่อยๆ ตลอดเวลาสิบสามเท่า อายุของอิสมาอีล(อิชมาเอล)บุตรชายคนแรกของท่านซึ่งเข้าสู่วัยรุ่น  ส่วนอิสหาก(อิสอัค)นั้นยังไม่เกิด -"โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน  ขอพระองค์ทรงประทานบุตรที่ดีๆแก่ฉันด้วย"- -"ดังนั้น  เราจึงแจ้งข่าวดีแก่เขา (ว่าจะได้ลูก)   ลูกคนหนึ่งที่มีความอดทนขันติ(อิสมาอีลหรือ อิชมาเอล)"- -"ครั้นเมื่อเขา (อิสมาอีล) เติบโตขึ้นไปไหนมาไหนกับเขาได้แล้ว  อิบรอฮีมได้กล่าวว่า "โอ้ลูกเอ๋ย  แท้จริงพ่อได้ฝัน (คือได้รับบัญชาจากอัลเลาะฮ์)  พ่อได้เชือดเจ้า  จงคิดดูซิว่า เจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร"  เขากล่าวว่า "โอ้พ่อจ๋า พ่อจงปฏิบัติตามที่พ่อได้รับบัญชาเถิด  หากอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์  พ่อจะเห็นได้ว่าฉันอยู่ในหมู่ผู้อดทน"- -"  ครั้นทั้งสอง  ได้ยอมจำนน (ต่ออัลเลาะฮ์)  อิบรอฮีมได้ให้อิสมาอีลคว่ำหน้าลงกับพื้น"- -" และเราได้เรียกอิบรอฮีมว่า"- -"แน่นอน เจ้าได้ทำให้ความฝันเป็นจริงแล้ว   แท้จริงเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำดีทั้งหลาย (โดยเราให้เขามีทางออกในกิจการงานทั้งหลาย)"- -" แท้จริง  นั่นคือ การทดสอบที่ชัดแจ้งแน่นอน"- -" และเราได้ให้ค่าไถ่ตัวเขา ด้วยสัตว์เชือดพลีตัวใหญ่ตัวหนึ่ง"- -"และเราได้ปล่อยเกียรติคุณทิ้งไว้แก่เขา ในกลุ่มชนรุ่นหลัง"- -" สันติจงมีแด่อิบรอฮีม"- -"แท้จริง (อิบรอฮีม) เป็นคนหนึ่ง  จากปวงบ่าวของผู้ศรัทธา"- -"เช่นนั้นแหละ  เราจะตอบแทนแก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย"- -"เราได้แจ้งข่าวดีแก่เขาว่าจะได้  (ลูกชายอีกคนหนึ่งคือ ) อิสหาก(อิสอัค) เป็นนบีคนหนึ่งในหมู่คนดีทั้งหลาย" (นักอธิบายอัลกุรอานให้ความหมายดังนี้   หลังจากเหตุการณ์เชือดสัตว์พลีแล้ว  เรา(อัลเลาะฮ์ ซ.บ.)ได้แจ้งข่าวดีว่าจะได้ลูกอีกคนหนึ่ง ชื่อ อิสหาก(อิสอัค) และเขาจะได้เป็นศาสนทูตด้วย) -"และเราได้ให้ความจำเริญแก่เขาและอิสหาก  และในหมู่ลูกหลานของเขาทั้งสองนั้น  มีผู้ทำความดีและผู้อธรรม  ต่อตัวเขาเองอย่างชัดเจน"-                                                             (อัลกุรอาน 37/100-113) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:49:23

ความคิดเห็นที่ 9 เนื้อหาพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)ตามความเชื่อของอิสลาม เราได้ผ่านการทำพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับ มนุษย์ที่ถูกคัดเลือกหลายครั้งในหลายกรณีจากพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์ที่ ฉันได้ยกมา  (ฉ. 18 "พระเจ้าทรงทำสัญญากับ อับราม จะมอบแผ่นดินตั้งแต่แม่น้ำไนล์จรด ยูเฟรติส" "พระเจ้าทรงสัญญาถึงกำเนิดอิสอัคบุตรคนที่สองของอับราฮัม) ตานี้ฉันอยากพาน้องไลลากลับมาดูว่าในทัศนะอิสลามนั้น ความหมายของพันธสัญญาที่ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ทรงให้กับท่านนบีอิบรอฮีม(ขอพระเจ้าทรงประทานสันติแด่ท่าน) ว่ามีความสำคัญอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อันเป็นพันธสัญญาที่เก่าแก่ และถือว่าเป็นรากฐาน ที่อิสลามต้องยอมรับพันธสัญญานี้ด้วย  ดังปรากฏในอัลกุรอานดังนี้ -"และจงรำลึกถึง  ขณะที่พระผู้อภิบาลของอิบรอฮีม ได้ทดสอบเขาด้วยพระบัญชาบางประการ แล้วเขาก็ได้สนองพระบัญชานั้นอย่างครบถ้วน  พระองค์ตรัสว่า  แท้จริงข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำมนุษยชาติ  เขา(อิบรอฮีม)กล่าวว่าและ (ขอพระองค์ทรงแต่งตั้งในการเป็นผู้นำ) จากลูกหลานของฉันด้วยเถิด  พระองค์ตรัสว่า สัญญานั้นจะไม่ประสบแก่บรรดาผู้อธรรม"-                                                                   (อัลกุรอาน  2/124) ตามข้อมูลของอิสลามนั้น สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้  ในช่วงที่ อิสมาอีล(อิชมาเอล)อายุได้ 13 ปีนั้น  อิสหาก( อิสอัค)ยังไม่เกิด(ต่อจากเหตุการณ์นั้อีกหนึ่งปีจึงเป็นปีเกิดของอิสอัค) พันธสัญญานี้ได้ถูกทำขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน คือ การเชือด การทำสุหนัต การแจ้งข่าวว่าจะได้บุตรที่ดีอีกคนหนึ่งคือ อิสหาก(อิสอัค)จากนาง ซาเราะฮ์ (ซาราห์)ภรรยาคนแรกของท่าน  รวมทั้งพันธสัญญาที่จะให้ท่านเป็นผู้นำแห่งมนุษยชาติยุคใหม่ ซึ่งท่านได้ขอว่าขอให้ลูกหลานของท่านสืบทอดการเป็น ศาสนทูตด้วยโดยเชื้อสายทางสายเลือดของท่าน และพระเจ้าทรงตอบตกลงตามพันธสัญญานั้นแต่มีข้อแม้ว่า หากว่าสายเลือดของท่านออกจากแนวทางที่ถูกต้องของพระองค์หรือเป็นผู้อธรรม แล้ว ก็ถือว่าเป็นโมฆะในสัญญาเรื่องการสืบทอดโดยสายเลือดของท่าน สัญญาของอัลเลาะฮ์ ซ.บ. กับท่านนบีอิบรอฮีม "     อัลเลาะฮ์ทรงแจ้งข่าวแก่ท่านนบีอิบรอฮีมว่า พระองค์จะทรงแต่งตั้งท่าน ให้เป็นผู้นำมนุษยชาติ  กล่าวคือ  ให้ทำหน้าที่ชี้แจงข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งการให้ เอกภาพแด่พระองค์ และประพฤติตนเป็นตัวอย่างอันดีงาม  แล้วท่าน นบีอิบรอฮีมก็วิงวอนต่อพระองค์  ให้ทรงแต่งตั้งลูกหลานของท่านต่อไปด้วย  เพื่อว่าลูกหลานของท่านจะได้ดำเนินชีวิตในทางที่ชอบต่อเนื่องกัน  พระองค์ทรงรับคำวิงวอนของนบีอิบรอฮีม  แต่มีเงื่อนไขว่า ยุคใดที่ลูกหลานของท่านไม่ตั้งอยู่ในความเป็นธรรมแล้ว พระองค์จะงด" (คำอธิบายอัลกุรอาน ญุซอ์(ภาค)ที่หนึ่ง  โดย สมาคม นักเรียนเก่าอาหรับ น.379) จากพันธสัญญานี้ เราจะได้เห็นว่าเส้นทางของศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวดำเนินไปอย่างไร  โดยผ่านชนชาติ อิสราเอล และอาหรับ กว่าจะมาถึงเรา จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:50:05

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อขัดแย้งในการเชือดลูกชายของอับราฮัม(นบีอิบรอฮีม อ.ล.)ถวายพระเจ้าระหว่างยิวคริสต์กับอิสลาม อับราฮัมกำลังจะเชือดอิสอัค(อิสหากหรือไอแซค)ลูกชายคนที่สองตามจินตนาการของชาวคริสต์ อีกมุมหนึ่ง นี่ คือประเด็นใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่ขัดแย้งกัน คริสต์นั้นเชื่อตามประวัติศาสตร์ของยิวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม คืออับราฮัมได้เชือดลูกชายคนที่สอง คือ อิสอัค  ส่วนประวัติศาสตร์ของอิสลามนั้นเชื่อว่า นบีอิบรอฮีม(ขอพระเจ้าทรงประทาสันติแด่ท่าน)(อับราฮัม)เชือดลูกชายคนแรกคือ อิสมาอีล(อิชมาเอล)ถวายพระเจ้าตามคำสั่ง   นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของทั้งสองฝ่าย เราลองมาพิจรณากันโดยหลักฐาน                                                          ใครกันแน่ที่ถูกเชือดพลี คริสตชน                แต่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า อิสอัค ต่างหากที่ถูกพลี มุสลิม                   ไม่ใช่ครับ  ประวัติศาสตร์ของอิสลามกล่าวว่า พันธสัญญาระหว่าง อัลเลาะฮ์อิบรอฮีมและอิสมาอีล(อิชมาเอล)ลูกชายคนเดียวของท่านได้ถูกทำขึ้นใน ตอนที่อิสมาอีลกำลังจะถูกเชือด และในวันเดียวกันนั้นเองที่อิบรอฮีม อิสมาอีลและผู้ชายทุกคนในครอบครัวของท่านได้ทำการขลิบหนังปลายอวัยวะเพศใน ขณะที่ อิสหาก(อิสอัค,ไอแซค) ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำตามปฐมกาล17:24-27                             "อับราฮัมอายุ เก้าสิบเก้าปีเมื่อท่านเข้าสุหนัต....อิชมาเอลบุตรชายของท่านอายุสิบสามปี เมื่อเขาเข้าสุหนัต.....อับราฮัมและอิชมาเอลบุตรชายของท่านเข้าสุหนัต ในวันนั้นทีเดียว......"       อีกปีหนึ่งต่อมา อิสหากก็ได้เกิดและได้ถูกขลิบ หนังปลายอวัยวะเพศเมื่ออายุได้แปดวัน                             ปฐม กาล 21:4-5  "แล้วอับราฮัม ทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัค....เมื่ออายุแปดวัน... อับราฮัมอายุหนึ่งร้อย ปีเมื่ออิสอัค...เกิดแก่ท่าน"                              ดัง นั้น ในตอนที่พันธสัญญาได้ถูกทำขึ้น (การเข้าสุหนัต และการเชือดพลี) เมื่อิบรอฮีมอายุได้ 99 ปีและ อิสมาอีลอายุ 13 ปี  อิสหาก(อิสอัค) เกิดในอีกหนึ่งต่อมา เมื่ออิบรอฮีมอายุ 100ปี    ลูกหลานของ อิสมาอีล นั่นคือท่านศาสดามูฮัมหมัด รวมทั้งบรรดามุสลิมยังคงยึดมั่น ต่อพันธสัญญาแห่งการทำสุหนัตจนกระทั่งทุก วันนี้  ในการละหมาดอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง มุสลิมก็ยังคงกล่าวสรรเสริญนบี อิบรอฮีมและลูกหลานของท่าน พร้อมกับยกย่องสรรเสริญนบีมูฮัมหมัดและบรรดาลูก หลานวงศ์วานของท่านด้วย คริสตชน               แต่ปฐมกาล 22  กล่าวว่า อัสอัคต่างหากที่จะถูกนำมาพลีถวาย มุสลิม                   ผม รู้  แต่คุณจะเห็นข้อขัดแย้งตรงข้อความที่ว่า "อิสอัคบุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก" มันน่าจะเขียนว่า "อิชมาเอลบุตรคนเดียวของเจ้า" มากกว่านะ ในเมื่อตอนนั้น อิชมาเอลอายุ 13 ปี และอิสอัค(อิสหาก)ก็ยังไม่เกิด เมื่ออิสอัคเกิดมา อิบรอฮีมจึงมีลูกสองคน  แต่เพราะความรู้สึกในเรื่องสายตระกูล  ชื่อ อิชมาเอล จึงถูกเปลี่ยนเป็นอิสอัคทั้งหมดในปฐมกาล 22   แต่พระเจ้าทรงรักษาคำว่า "คนเดียว" ไว้เพื่อแสดงให้เราเห็นว่ามันควรจะเป็นอย่างไร                              คำว่า "เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น"  ในปฐมกาล 21:17 ได้ถูกนำมาใช้ก่อนหน้านี้กับอิชมาเอล ใน ปฐมกาล 16:10  และข้อความในปฐมกาล 22 ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับอิชมาเอลกระนั้นหรือ? ข้อความที่    เราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง"     ได้ถูกกล่าวทวนอีกสองครั้งสำหรับอิชมาเอลในปฐมกาล 17:20  และปฐมกาล21:18   และไม่เคยใช้กับอัสอัคเลย (บทสนทนาระหว่างมุสลิมกับคริสตชน โดย ดร. หะซัน เอ็ม บากิล และรอยเอิร์ล จอห์นสัน บรรจง บินกาซัน แปล น. 72-73)                  ข้อมูลจากพระคัมภีร์เดิมที่ใช้อ้างอิงได้ใน จ.ม.ถึงน้อง ปฐมกาล 16:1-16 การมีบุตรคนแรกของอับราม(อับราฮัม) ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์ http://www.oknation.net/blog/dragonball/2008/07/25/entry-1 ปฐมกาล 17:1-27 กำเนิดพิธีการเข้าสุหนัตและการเปลี่ยนชื่อจาก อับรามเป็นอับราฮัม(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์) http://www.oknation.net/blog/dragonball/2008/07/26/entry-1 ปฐมกาล 21:1-7 การกำเนิด อิสอัค บุตรคนที่สองของอับราฮัม(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์) http://www.oknation.net/blog/dragonball/2008/08/10/entry-1 ปฐมกาล 22:1-16 การเชือดลูกชายพลีเพื่อพระเจ้าของอับราฮัม(ตามพระคัมภีร์เดิมของชาวคริสต์) http://www.oknation.net/blog/dragonball/2008/08/12/entry-2 และหากมีพระคัมภีร์เดิมอยู่ในมือก็จะดีเพราะจะได้เปิดดูข้อมูลที่สมบูรณ์นั้น เทียบกับข้อความทีถูกยกมาอ้างอิง จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:50:48

ความคิดเห็นที่ 11 นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)กับการวางรากฐานในการสร้างวิหารกะอ์บะฮ์ ในเมืองมักกะฮ์ครั้งแรก                     วิหารกะอ์บะอ์ ในเมืองมักกะฮ์ประเทศซาอุดิอารเบีย ในปัจจุบันซึ่งมีผู้คนมาทำพิธีฮัจญ์จากทั่วโลก หลังจากที่ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ทรงทดสอบท่านนบีอิบรอฮีม ด้วยบุตรคนแรกของท่านแล้ว  ท่านก็ยังเดินทางมาเยี่ยมนาง ฮาญัร และอิสมาอีล หลายครั้ง ครั้งสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงบัญชาให้ก่อสร้าง อาคารที่เรียกว่า กะอ์บะฮ์(อันเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับพระเจ้า)ขึ้น ในหุบเขาแห่งเมืองมักกะฮ์  ซึ่งมีโองการในอัลกุรอานดังนี้ -"  และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะ อัลบัยต์ (อัลกะอ์บะฮ์) แก่อิบรอฮีมว่า "เจ้าอย่าตั้งภาคีใดๆต่อข้าเลย"  และจงทำบ้านของข้าให้สะอาด  สำหรับผู้ที่มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกั๊วะฮ์(โค้วคารวะ) และผู้สุญูด (กราบ)"- -" และจงประกาศแก่มนุษย์ทั้วไปให้มาทำฮัจญ์  พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยทางเท้า และโดยทางอูฐทุกตัว จะมาจากทางไกลทุกสารทิศ"-                                                                 (อัลกุรอาน22/26-27) -"และจงรำลึก ขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ตั้งรากฐานของบ้านนั้น (กะอ์บะฮ์ หรือ บัยตุลลอฮ์(บ้านของพระเจ้า)) ให้สูงขึ้น (โดยทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) "โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา  ได้โปรดรับจากพวกเราด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน  ผู้ทรงรอบรู้"- -"  โอ้พระผู้อภิบาลของเรา  ได้โปรดให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และโปรดให้มีขึ้นจากลูกหลาน ของพวกเรา  เป็นประชาชาติผู้นอบน้อมต่อพระองค์  และโปรดแสดงแก่เรา ซึ่งพิธีการทำฮัจญ์ (แสวงบุญ) ของพวกเรา และโปรดอภัยแก่พวกเราด้วย  แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเมตตาเสมอ"-                                                                 (อัลกุรอาน 2/127-128) -"แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการเคารพภักดี)นั้นคือบ้านที่ บักกะฮ์ (มักกะฮ์)  โดยเป็นที่ถูกให้มีความจำเริญ  และเป็นทางนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย"- -"ในบ้านหลังนั้น มีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง  คือมะกอม อิบรอฮีม (หมายถึงก้อนหินที่เป็นที่ยืนของท่านนบีอิบรอฮีม  ขณะที่ท่านก่อส่วนสูงของอาคาร กะอ์บะฮ์  ซึ่งมีรอยเท้าของท่าน ปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้ )  และผู้ใดได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น (รวมถึงบริเวณใกล้ๆนั้นด้วย)  เขาจะเป็นผู้ปลอดภัย และเป็นสิทธิของอัลเลาะฮ์ที่มีต่อมนุษย์นั้น  คือ การประกอบพิธีฮัจญ์ที่บ้านหลังนี้  อันได้แก่ผู้ที่สามารถเดินทางไปยังบ้านหลังนั้นได้  และผู้ใดปฏิเสธศรัทธา  แท้จริงอัลเลาะฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย"-                                                                 (อัลกุรอาน3/96-97) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:52:17

ความคิดเห็นที่ 12 วงศ์วานของนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)ในสายอาหรับรุ่นต่อๆมาบูชารูปปั้น ตามพระคัมภีร์ไบเบิลเดิม(เตารรอต)ปฐมกาล 21/21 ได้กล่าวว่า เมื่ออิชมาเอล(อิสมาอีล)โตขึ้นถึงวัยแต่งงาน มารดาได้หาหญิงอียิปต์ มาให้เป็นภรรยา  เรามาดูว่าประวัติศาสตริ์อิสสลามว่าอย่างไร “เมื่ออิสมาอีล(อิชมาเอล)เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ท่านก็แต่งงานกับตระกูล ญุรฮุม(อาหรับเผ่านหนึ่ง)  และอิสมาอีลก็เรียนภาษาอาหรับจากพวกเขา                   พวกญุรฮุมอยู่กับตระกูลของนบีอิบรอฮีม  ด้วยความมั่นคงนานหลายปี  และหลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พวกญุรฮุมก็สามารถครอบครองมักกะฮ์ได้  ขณะนั้นพวกเขาทำตามอำเภอใจต่อทรัพย์สมบัติของมักกะฮ์  ที่บรรดามหาเศรษฐีในขณะนั้นอุทิศให้ไว้                   ส่วนบ่อน้ำ ซัมซัม ในขณะนั้น การดูแลรักษาไม่ได้รับการเอาใจใส่อีกเลย  อีก ทั้งในแต่ละปีก็เกิดน้ำท่วมหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งเป็นเหตุให้บ่อน้ำนั้นถูกปิดไปโดยปริยาย กระทั่งผู้คนที่รู้จักที่ตั้งบ่อน้ำนั้นมีจำกัดเหลือเกิน                   เมื่อพฤติกรรมของพวกญุรฮุมเลวร้ายลงทุกวัน  พวกคุซาอะฮ์(อาหรับอีกเผ่าหนึ่ง)ก็เกิดขึ้น  พวกเขาสามารถขับไล่พวกญุรฮุมได้สำเร็จและมีอำนาจอยู่ที่มักกะฮ์  ก่อนที่พวกญุรฮุมจะสละจากมักกะฮ์  พวกเขาได้ทำการปิดบ่อน้ำซัมซัม โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย  ในที่สุดชาวมักกะฮ์ทั้งหมดที่มาอยู่หลังจากพวกญุรฮุมก็ไม่รู้ว่าบ่อน้ำนั้นตั้งอยู่ที่ใด                   ชาวมักกะฮ์ไม่รู้จักบ่อนำซัมซัมนั้นนานนับ ศตวรรษทีเดียว  แต่มันก็คงไม่หายไปแม้นว่าเวลาได้ล่วงเลยไปหลายศตวรรษก็ตาม” (สถานที่สำคัญ ในมักกะฮ์ และมะดีนะฮ์ โดย ฮามาดี อัลฮัจย์ น. 22-23) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 16:15:47

ความคิดเห็นที่ 13 วงศ์วานของอิบรอฮีมบูชารูปปั้น “อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่รู้ว่าลูกหลานของท่านนบีอิสมาอีลใช้ชีวิตอยู่บนหนทางที่ถูกต้องนานเท่าใด  แต่ หลังจากที่ท่านนบีอิบรฮีม และ อิสมาอีลเสียชีวิตไปได้สองสามศตวรรษ ผู้คนก็ละทิ้งคำสอนของท่านและค่อยๆ หลงทางออกไปเหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่รอบๆนั้น  กะบะฮ์ ได้ถูกประชาชนนำเอารูปเคารพมาตั้งไว้เป็นจำนวนนับร้อย……ลูกหลานของท่านได้เริ่มหันมาเคารพบูชา รูปปั้น  อย่างเช่น ลาต มะนาต ฮูบัล  อุซซา ฯลฯ รวมทั้ง ดวงเดือน  ดวงอาทิตย์ ภูตผีเทวดา และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว  เชื่อถือโชคลางไสยศาสตร์  ธรรมชาติ ต้นไม้ก้อนหิน                   พวกนักบวชที่นบีอิบรอีมคัดค้านต่อต้านในอิรัคก็ได้ทำให้ กะบะฮ์ กลายเป็นวิหารและตั้งตัวเป็นนักบวชที่นั่น”………พวก นี้ใช้วิธีหลอกล่อ เริ่มรับของขวัญและของบูชาจากบรรดาผู้แสวงบุญจากทุกมุมของอารเบีย ด้วยเหตุนี้ การกระทำทุกอย่างที่ท่านนบีอิบรอฮีมและอิสมาอีลได้กระทำไว้  จึงได้ถูกทำลายลงไป และวัตถุประสงค์ของฮัจญ์ก็ได้ถูกทดแทนขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่น” จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 16:17:46

ความคิดเห็นที่ 14 ฮัจญ์(การแสวงบุญ)กลายเป็นแค่งานประจำปี และพิธีกรรมวิปริต เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะถึงยุคของท่านนบีมูฮัมหมัด(ขออัลเลาะฮ์ทรงประทาน พร) จะมาเกิด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการจากไปของท่านนบีอิบรอฮีม(ขอพระเจ้าทรงประทา สันติแด่ท่าน)และบุตรของท่านคือ ท่านนบีอิสมาอีล ประมาณ สองสามศตรวรรษ มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน                "พิธีฮัจญ์ในยุคแห่งความโง่เขลา.... มีสภาพเป็นเพียงงานประจำปีที่สนุกสนานเท่านั้น  สำหรับชาวอาหรับหลายเผ่า  ฮัจญ์เป็นงานประจำปีที่สำคัญงานหนึ่ง ซึ่งในงานนี้ พวกกวี ตัวตลก จะใช้โอกาสอวดสำนวนโวงหาร เกี่ยวกับวีรกรรม ศักดิ์ศรี ความแข้มแข็งและควมใจกว้างของเผ่าตน บางครั้งก็เป็นเวทีดูถูกเหยียดหยามเผ่าอื่นด้วย พวกหัวหน้าเผ่าก็แข่งขันกันโอ้อวดความดีงามของตน คนพวกนี้จะเชือดอูฐตัวแล้วตัวเล่าเพียงเพื่อให้คนสรรเสริญความดีของตน การ้องรำทำเพลง การสนุกสนาน การสำมะเลเทเมาการเสพกามเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลนี้โดยไม่มีใครคิดถึงเรื่อง พระเจ้าเลย                                                         พิธีกรรมวิปริต                    จริงอยู่ทีการเดินเวียนรอบ กะอ์บะฮ์ ยังคงปฏิบัติกันอยู่ แต่ในรูปแบบใดท่านรู้ไม๊ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเดินเวียนรอบบ้านของอัลเลาะฮ์ กันในสภาพที่เปลือยเปล่าโดยกว่าว่า "เราอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับที่พร่อแม่ของเราให้กำเนิดเรา.."                   การเชือดสัตว์พลีก็มิได้ทำกันด้วยนามของอัลเลาะฮ์ แต่เลือดของสัตว์จะถูกสาดไปบนกำแพงกะอ์บะฮ์ และเนื้อของมันก็ถูกโยนไปที่ประตู  ด้วยเชื่อว่า อัลเลาะฮ์ต้องการเนื้อและเลือดของมัน                                                        การเพิ่มข้อจำกัดให้ตัวเอง                     แม้แต่ผู้ที่จริงใจในศาสนาเองก็ปฏิบัติศาสนาในลักษณะแปลกๆ เพราะความโง่เขลาของตนเอง  เช่น บางคนเดินทางไปทำฮัจญ์โดยไม่มีเสบียงที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทาง  แต่ดำรงชีพด้วยการขอทานอาหารโดยถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นคุณธรรม  พวกเขาอ้างว่า พวกเขาไว้วางใจในอัลเลาะฮ์อย่างเต็มเปี่ยม  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการปัจจัยทางโลก  การทำงานธุรกิจใดๆระหว่างการเดินทางไปทำฮัจญ์  โดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นที่ต้องห้าม  หลายคนไม่กินอาหารและไม่ดื่มในระหว่างพิธีฮัจญ์ และถือว่าเป็นปฏิบัติศาสนกิจ  บางคนไม่พูดในขณะที่ทำฮัจญ์ ซึ่งพวกเขาเรียกการทำเช่นนั้นว่า "ฮัจญ์ใบ้"                                                                     การฟื้นฟูการทำฮัจญ์                         สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินอยู่เป็นเวลาประมาณสองพันปี  ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานนี้ไม่มี นบีคนใดเกิดขึ้นในอารเบีย และไม่มีคำสอนที่แท้จริงของนบีคนใด  มาถึงคนในบริเวณเขตนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม  ในที่นสุดเวลาแห่งการตอบสนองคำวิงวอนของ นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)ก็มาถึง  ดังที่ท่านได้ทรงขอไว้ขณะที่สร้างกำแพงกะอ์บะฮ์ว่า                         -"พระผู้อภิบาลของเรา  ได้ทรงโปรดให้ร่อซูลท่านหนึ่งเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา  เพื่อสาธยายโองการทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขาและสอนพวกเขาซึ่งคัมภีร์และ วิทยปัญญาและทำให้พวกเขาสะอาด  โดยแน่แท้พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ"-                                                           (อัลกุรอาน 2/129)                       คนที่ท่านนบีอิบรอฮีมขอไว้คือ ลูกหลาน วงศ์วานของท่านที่มีชื่อ มูฮัมหมัด"               (มาเป็นอิสลามกันเถิด โดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินการซัน น. 271-274) จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 16:18:25

ความคิดเห็นที่ 15 ข้อขัดแย้งในบุตรสองคนของ นบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)ระหว่าง ยิวคริสต์ กับอิสลาม   ความเป็นไปของแผ่นดินที่ถูกสร้างวิหารกะอ์บะตั้งแต่สี่ถึงห้าพันปีที่แล้วตั้งแต่ยุคนบีอิบรอฮีม(อ.ล.) และบุตรชาย จนถึงปัจจุบัน                        ต้องขอเน้นย้ำว่าตอนนี้ยังไม่เกิดชนชาติอิสราเอลขึ้น จะเกิดก็ต่อเมื่อถึงรุ่นลูกของอิสอัค แน่นอนเชื้อสายยิวก็ยังไม่เกิดเพราะจะเกิดในรุ่นหลานของอิสอัค(อิสหาก)  มีแต่อาหรับโบราณ ซึ่งอาจมีส่วนผสมจากพวก อัคคาเดี้ยน    หรือบางเผ่าที่เป็นอาหรับแท้ๆก็สูญพันธุ์ไปตามที่เล่ามาแล้วในยุคของ ท่านนบี ฮูด(อ.ล.) และซอและฮ์(อ.ล.)   ซึ่งเป็นชนชาติหลังน้ำท่วม อันเป็นตำนานอันลือลั่น  ตอนนี้อาหรับเผ่าญุรฮุม ที่อยู่แถวมักกะฮ์ก็ได้มีเชื้อสายผสมกับท่าน นบี อิสมาอีล(อิชมาเอล) ซึ่งว่าไปแล้วท่านก็กลายเป็น พวก อัคคาเดี้ยนผสมกับอียิปต์ ตามเชื้อสายของท่านนบีอิบรอฮีมกับ นางฮาญัร   ต่อมาท่านนบี อิสมาอีลแต่งงานกับอาหรับเผ่าญุรฮุมและพูดภาษาอาหรับตามเผ่านี้ มีลูกมีหลานสืบกันมา  ตามวิวัฒนาการของชุมชนและการเคลื่อนไหวทางการค้า                      ถึงตอนนี้ หุบเขาของเมืองมักกะฮ์ ได้กลายเป็นเมืองท่าสำคัญกลางทะเลทรายไปแล้ว เพราะผู้คนมาทำการแสวงบุญและมีการค้าขายที่กองคาราวานต้องเดินทางแวะผ่าน  ก่อนที่เราจะดำเนินเรื่องไปทางฟากรุ่นหลานของท่านนบีอิบรอฮีม เราน่าจะมาเคลียร์ เรื่อง ในรุ่นลูกของ ท่านนบีอิบรอฮีมกันก่อน เพราะ บ้างก็ว่า อิชมาเอล (อิสมาอีล) นั้นเป็นลูกเมียน้อย ส่วน อิสอัค(อิสหาก)เป็นลูกเมียหลวง ความสำคัญ ย่อมต่างกัน และเหตุผลอื่นๆ  แต่ตามทัศนะอิสลามนั้น เรามีมุมมองว่า ลูกของท่านนบีอิบรอฮีมทั้งสองคนนั้น ได้เป็น นบี(ศาสนทูต) และอัลกุรอานก็รับรองในความดีและความบริสุทธิ์ของทั้งสองท่านอย่างเท่าเทียม กัน -"ดังนั้นเราได้แจ้งข่าวดีแก่เขา (ว่าจะได้ลูก) ลูกคนหนึ่งที่มีความอดทนขันติ (คือ อิสมาอีลหรือ อิชมาเอล)"-                                                             (อัลกุรอาน 37/101) -"เราได้แจ้งข่าวดีแก่เขาว่าจะได้ (ลูกชายอีกคนหนึ่งคือ) อิสหาก(อิสอัค) เป็น นบี(ศาสนทูต)คนหนึ่งในหมู่คนดีทั้งหลาย"-                                                              (อัลกุรอาน37/112) คราวนี้เรากลับมาดูข้อโต้แย้ง ระหว่างฝ่าย ยิวคริสต์ ซึ่งทั้งสองศาสนานี้มีความเชื่อไม่ตรงกับอิสลาม                                         ข้อโต้แย้งเรื่อง อิชมาเอล(อิสมาอีล)และอิสหาก(อิสอัค)         " คริสตชน                     แต่ยิวและคริสต์ยังคงถือว่า อิสอัคเหนือกว่า อิชมาเอล มุสลิม                             นั่นคือสิ่งที่เขาพูดกันเอง  ไม่ใช่ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว                                       ปฐมกาล 15:4  ครั้นแล้วพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับราฮัมว่า "คนนี้ (เอลีเยเซอร์แห่งดามัสกัส) จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า  แต่บุตรชายของเจ้าเองจะได้รับมรดกของเจ้า"                                    ดังนั้น อิชมาเอลจึงเป็นผู้รับมรดก (เรื่องนี้พระเจ้าตรัสกับอับราม(อับราฮัม)ตั้งแต่เขายังไม่มีบุตรเลย)                                   ปฐมกาล16:10 "ทูตพระเจ้าตรัสแก่หญิงนั้น(ฮาการ์)ว่า "เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน"                                 ปฐม กาล 17:20 "ฝ่ายอิชมาเอลนั้น เราฟังเจ้าแล้ว เราจะอำนวยพรแก่เขาและกระทำให้เขามีพงศ์พันธุ์มากมายอย่างยิ่ง เขาจะเป็นเจ้านายของบิดาสิบสององค์ และเราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชนชาติหนึ่ง"                                ในปฐมกาล 21:13 "ส่วนบุตรชายของทาสหญิงนั้น  เราจะกระทำให้เขาเป็นชนชาติหนึ่งด้วย  เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของเจ้า"                               ในปฐมกาล 21:18 " ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น  เอามือจับเขาไว้ให้แน่นเพราะเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง"                               กฏหมายเรื่องลูกคนหัวปี                             เฉลยธรรมบัญญัติ 21:15-17 "ถ้าชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคนรักคนหนึ่งไม่ชอบคนหนึ่ง  ภรรยาทั้งสองคือ ทั้งคนรักและคนที่ไม่ชอบก็มีบุตรด้วยกัน  และบุตรหัวปีเป็นบุตรของภรรยาคนที่ตนไม่ชอบ  เมื่อถึงวันแบ่งทรัพย์สินให้แก่บุตรเป็นมรดกนั้น อย่าให้เขากระทำแก่บุตรของภรรยาคนที่ตนรักนั้นอย่างกับบุตรหัวปี  คือบุตรของภรรยาที่ตนไม่ชอบ  โดยแบ่งข้าวของให้บุตรหัวปีสองเท่า เพราะว่าคนนี้เป็นกำลังของบิดา  สิทธิของบุตรหัวปีเป็นของเขา" คริสตชน             แต่คริสเตียนและยิวอ้างว่าอิชมาเอลเป็นลูกนอกกฏหมาย มุสลิม               นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดกันเอง  ไม่ใช่สิ่งที่ไบเบิลกล่าว เป็นไปได้อย่างไร ที่ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ อย่างอับราฮัมจะมีภรรยาและลูกนอกกฏหมาย                       ดูปฐมกาล 16:3  " เมื่ออับราฮัมในแคว้นคานาอันได้ 10 ปีมาแล้ว นางซารายภรรยาก็ยก ฮาการ์คนอียิปต์คนใช้ของตนให้เป็นภรรยาของ อับรามสามีของนาง"                       ถ้าหากการแต่งงานเป็นไปอย่างถูกกฏหมายแล้ว (เตารอต(โตราห์)คือกฏหมาย) ลูกของท่านจะเป็นลูกนอกกฏหมายได้อย่างไร  การแต่งงานระหว่าง คนต่างชาติสองคน  คนหนึ่งเป็นชาว แคลเดีย และอีกคนหนึ่งเป็นชาวอียิปต์ ไม่ถูกกฏหมายกว่าการแต่งงานระหว่าง ชายคนหนึ่งกับลูกสาวของพ่อของเขากระนั้นหรือ  จะเป็นการกล่าวเท็จต่ออับราฮัมหรือเปล่าที่ใน                       ปฐมกาล 20:12  ที่กล่าวว่า "นอกจากนั้น(ซาราย) ก็เป็นน้องสาวของข้าพระบาทจริงๆ  เป็นบุตรหญิงของบิดาข้าพระบาท  แต่ไม่ใช่บุตรหญิงของมารดาข้าพระบาท  และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพระบาท "                        ชื่อ อิชมาเอลก็เป็นชื่อที่อัลเลาะฮ์ทรงเลือกขึ้นมาเอง                      (ปฐมกาล 16:11) ทูตของพระเจ้ากล่าวแก่นาง (ฮาการ์)อีกว่า  "นี่แนะ  เจ้ามีครรภ์แล้ว  จะคลอดบุตรชายและจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่า อิชมาเอล  เพราะพระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า"                      อิชมาเอล หมายความว่า  พระเจ้าทรงได้ยิน  และตรงไหนในไบเบิลที่เขียนว่า  อิชมาเอลเป็นลูกนอกกฏหมาย คริสตชน        ไม่มีในไบเบิล มุสลิม            ก่อนที่ อิชมาเอลและอัสอัคจะเกิด  อัลเลาะฮ์ได้ทรงทำสัญญาไว้กับอับราฮัมว่า  ปฐมกาล 15:18   ..........  ในวันนั้นพระเจ้าทรงทำสัญญาไว้กับอับราฮัมว่า  "เรามอบดินแดนนี้ไว้กับเชื้อสายของเจ้าแล้ว  ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ ไปถึงแม่น้ำใหญ่ คือ แม่น้ำ ยูเฟรติส"                    นั่นไม่ใช่แผ่นดินแห่งอารเบียที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไนล์และแม่น้ำ ยูเฟรติส ซึ่งต่อมาได้เป็นหลักแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกหลานวงศ์วานของอิชมาเอลกระนั้น หรือ คริสตชน          แต่พันธสัญญาได้ทำกับอัสอัคที่ปรากฏใน ปฐมกาล 17:2  ซึ่งกล่าวว่า                       "ฝ่ายพันธสัญญาของเรา  เราจะตั้งไว้กับอิสดัค ผู้ซึ่งซาราห์ จะคลอดให้แก่เจ้าในปีหน้าในฤดูนี้" มุสลิม             สัญญานี้ไม่รวม อิชมาเอลด้วยหรือ มีตรงไหนบ้างในคัมภีร์ไบเบิล ที่พระเจ้าไม่ได้ทำสัญญากับอิชมาเอล             (บทสนทนาระหว่างมุสลิมกับคริสตชน ดร. หะซัน เอ็ม. บากิลและ รอยเอร์ล จอห์สัน น. 73-76) ฉบับนี้ขอจบเรื่องที่ตรงนี้นะ  อย่าเพิ่งเบื่อซะก่อนละ คราวหน้าเราจะเดินทางไปสู่เรื่องอื่นต่อไปในเส้นทางเชื้อสายของอิสราเอล จากคุณ : atiw1000 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 16:25:43

ความคิดเห็นที่ 16 ต้นกำเนิดของคำว่า sodomy ก็มาจากเมืองนี้นี่แหละ จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 17:59:13