กรรมทันตา โอ้..อินเดีย 31
|
|
โอ้...อินเดีย 31
สวัสดีครับ ต้องขออภัยอย่างแรงที่หายไปซะนาน ตั้งแต่กลับมาจาก อินเดีย งานการประเดประดังเข้ามาท่วมท้น คงเป็นเพราะอานิสงส์ผลบุญเป็นแน่แท้เชียว แต่ก็เล่นเอาแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย แล้วพาลทำให้หมดเวลาคิดเรื่องอื่น ๆ เลย และด้วยตั้งใจว่าจะต้องปิดซีรี่ส์นี้ซะที มันยาว..ว...ว...มากไปแล้ว เดี๋ยวคนฟังจะเบื่อเกินไป แต่อีทีนี้....ยังติดค้างผู้อ่านที่เขียนมาเล่าประสบการณ์ ที่หลายท่านเคยไปกราบสังเวชนียสถาน แล้วเกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่คาดไม่ถึงว่าจะได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ลองฟังดูนะครับ
สวัสดีค่ะ คุณอณน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนนะค่ะ ดิฉันติดตามอ่านเรื่อง กรรมทันตา ในพันทิปมาพอสมควร แต่ตัวดิฉันไม่มีล๊อกอินในพันทิป ส่วนมากก็เข้าไปอ่านกระทู้แนะนำเรื่องเกี่ยวกับธรรมะอย่างเดียวค่ะ ได้ข้อคิดคติเตือนใจหลายอย่าง และล่าสุดติดตามอ่านเรื่อง...การแสวงบุญที่แดนพุทธภูมิ ก็สนุกได้อรรถรส และคุณเปิดโอกาสให้เขียนเล่าประสบการณ์บ้าง ดิฉันก็เลยสนใจเพราะได้ไปแสวงบุญที่สังเวชนีย์สถาน สี่ตำบล มา 2 ครั้งแล้ว และแต่ละครั้งก็ได้รับประสบการณ์แปลก ๆ ไม่เหมือนกันเลย อยากเล่าให้ฟังเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ค่ะ เริ่มจากทริปแรกที่เดินทางไปแสวงบุญนะค่ะ เดินทาง 24 มี.ค - 4 เม.ย 2550 ทริปนี้ไปเพราะเป็นกึ่งพุทธกาลพอดี และตรงกับวัดไทยพุทธคยาฉลองครบรอบ 50 ปี ของการก่อตั้ง พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ เสด็จเปิดงาน เลยโชคดีได้รับเสด็จด้วย ทริปนี้เดินทางไปกับ เอ็นซีทัวร์ พักโรงแรมตลอดมีพักวัดไทยที่ กุสินารา 1 คืน และที่นี่ก็พบกับเรื่องราวปาฏิหาริย์ค่ะ คุณอณนก็ได้พักวัดนี้แล้วเหมือนกัน วัดนี้สวย สะอาด บรรยากาศดี และคุณแม่ชีก็ทำอาหารอร่อยมาก ห้องพักก็อย่างที่ทราบว่าพักห้องละ 2 ถึง 3 คน ของดิฉันได้พักห้องละ 2 คน เนื่องจากคณะที่ไปมีจำนวนแค่ 16 คน เลยพักกันสบายไม่แออัด เดินทางไปถึงวัดก็ค่ำแล้ว เวลาประมาณ 1 ทุ่ม พอไปถึง เจ้าคุณราชรัตนรังษี ท่านให้การต้อนรับอย่างดี ได้ถวายผ้าป่าตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุก ๆ วัด ที่เราแวะเยียม จากนั้นเจ้าคุณก็แนะนำทั้งคณะว่า... พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาก็ให้ไป เดินจงกรม รอบองค์พระธาตุที่ประดิษฐาน พระเกศา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมสารีริกธาตุที่พระองค์ท่านประทานมา คนละ 33 รอบ 32 รอบแรก เดินฯให้กับธาตุขันธ์ของตัวเราเอง อีกหนึ่งรอบถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดิฉันก็คิดไว้ในใจว่าถ้าพรุ่งนี้ตื่นเช้าและมีเวลาก็จะเดินจงกรม แต่หากไม่มีเวลาเพราะต้องรีบเดินทางต่อก็ขอบายละกัน จากนั้นก็รับประทานอาหารและอาบน้ำนอน พอตอนเช้าเวลาประมาณตี 5 รู้สึกตัวตื่นเพราะได้ยินเสียง...
.เอี๊ยด ๆ ๆ ๆ
ไม่ทราบว่าเสียงอะไร แต่ก็ไม่กล้าเปิดไฟดูเกรงใจเพื่อนที่นอนด้วยกันจะตื่น รีบไปเข้าห้องน้ำพอออกมาจากห้องน้ำ เพื่อนที่นอนด้วยกันก็ตื่น แล้วถามว่า...เสียงอะไร เธอเปิดพัดลมเพดานเหรอ ถึงมีเสียง เอี๊ยด ๆ ๆ เราก็บอกว่าเปล่า ไม่ได้เปิดอะไรเลย เพื่อนก็บอกว่า...เปิดไฟดูซิว่าเสียงอะไร พอเปิดไฟดู...พัดลมก็ไม่ได้เปิด แต่เสียงก็ยังดังต่อเนื่อง เลยเดินตามหาเสียง ถึงได้พบว่า...เตียงนอนของดิฉันเองร้องได้ ก็บอกเพื่อนว่า...จะไปเดินจงกรมแล้วนะ เพราะว่าเขามาปลุกแล้ว เตียงนอนฉันมันร้องได้มหัศจรรย์จริง ๆ เพื่อนก็บอกว่าฉันก็จะไปด้วยไม่กล้าอยู่คนเดียวอีกแล้ว พอดิฉันบอกจะไปเดินจงกรม เสียงเตียงดังก็หายไป คิดว่าเขามาเตือนเราที่ตั้งใจจะเดินจงกรม แต่ยังนอนเพลินอยู่ให้รู้สึกตัวตื่น และการที่ได้ยินเสียงเตียงร้องได้ ทำให้เรากลัวจึงรีบออกมาปฏิบัติไม่นอนแช่กิเลสของตัวเองเพราะอากาศก็น่านอนจริง ๆ ส่วนเพื่อนอีกห้องหนึ่งก็เจอดีเหมือนกัน ห้องนี้เค้านอนกัน 3 เตียง เริ่มจากเพื่อนชื่อ...คุณอ้วน เขาเปิดประตุห้องเข้าไปก็เห็นแม่ชี 2 ท่าน ยืนอยู่ทีเตียงด้านซ้ายมือ...เห็นแค่แว๊ปเดียวก็หายไป เค้าก็ตกใจไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จากนั้นเพื่อนที่ชื่อ...คุณนุ้ย ก็เดินตามเข้ามาแบบไม่รู้เรื่องอะไร รีบเดินเข้าไปจองเตียงทางซ้ายมือที่คุณอ้วนเห็นแม่ชี คุณอ้วนก็แซวว่า...คุณนุ้ยเลีอกเตียงฮวงจุ้ยดีนะ แล้วก็ไม่พูดอะไรทุกคนก็รีบจัดสัมภาระของตัวเองแล้วอาบน้ำนอนพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า คุณนุ้ยก่อนนอนก็เกิดอุตริ นึกอธิฐานในใจว่า...ถ้าใครอยากให้ช่วยอะไรก็มาบอกด้วยนะ จากนั้นก็สวดมนต์ก่อนนอน พอนอนไปค่อย ๆเคลิ้ม จะหลับก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกว่า ...นุ้ย ๆ ๆ แล้วเอามือมาเขย่าที่แขน คุณนุ้ย ลืมตาดูก็เห็นแม่ชี 2 คนยืนอยู่ก็ตกใจ เพราะเห็นแค่แป๊ปเดียวก็หายไป จากนั้นก็กลัวมากไม่กล้าเรียกเพื่อนที่นอนร่วมห้องให้ตื่น อดทนรอจนถึงเช้าเล่าให้ คุณอ้วน ฟัง คุณอ้วน ก็บอกว่า...เห็นตั้งแต่ตอนหัวค่ำที่เช็คอินเข้ามาแล้ว แต่ไม่กล้าเล่าให้ฟังเกรงว่าทุกคนจะกลัว และก็ไม่มั่นใจว่าตาฟาดหรือเปล่าที่เห็นแม่ชีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ดึกเท่าไร ส่วนคุณนุ้ย แกกลัวมากเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ดิฉันก็แนะนำว่า...วันนี้เราทำบุญอะไรทุกอย่างก็อุทิศให้แม่ชีทั้งสองท่านไปเพราะว่าเขาอาจมารอบุญของพวกเราอยู่ก็เป็นได้ และที่สำคัญคุณนุ้ยเป็นคนอนุญาตให้เขามาหาเองตอนอธิฐานก่อนนอน ถือว่าเป็นผู้ที่มีจิตดีถึงทำให้เขาติดต่อเราได้แบบรวดเร็ว สรุปว่าวันนั้นทุกคนตั้งใจเดินจงกรมกันหมด และร่วมถวายสังฆทานเพื่อน้อมบุญให้คุณแม่ชีทั้งสองท่านค่ะ
จากนั้นก็เดินทางต่อไปนมัสการ...มกุฏพันธนเจดีย์ และสถูปปรินิพพาน ที่นี่ดิฉันก็เจออุบัติเหตุเล็กน้อยค่ะ คือระหว่างเดินจงกรมรอบ ๆ สถูป ก็ปรากฏว่าธูปที่ถืออยู่ไปโดนผมแล้วเกิดติดไฟโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ เพื่อนที่เดินด้วยกันเห็นก็บอกว่าผมติดไฟอยู่ ดิฉันก็เอามือลูบผมก็ปรากฏว่าผมหลุดออกมาหนึ่งปอย เลยหยิบมาวางที่สถูปแล้วอธิฐานบอกกับ พระพุทธเจ้า ว่า ลูกขอกราบด้วยเศียรเกล้า คือถวายผมเป็นพุทธบูชาเลย ตอนนั้นใจก็หายแว๊ปเลยรู้สึกว่าเราจะต้องโกนหัวบวชชีหรือเปล่านี่ แต่ก็คิดว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนอะไรก็เกิดขึ้นได้
จากนั้นก็เดินทางต่อมาที่...ลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า หลังจากเข้าชม...วิหารมายาเทวี แล้วก็ออกมาสวดมนต์นั่งสมาธิที่หน้าเสาหินของพระเจ้าอโศก ซึ่งคณะทัวร์ทุกกรุ๊ปจะพาปฏิบัติกันเป็นปกติ ดิฉันก็สวดมนต์นั่งสมาธิด้วยความตั้งใจจนได้เวลาที่หลวงพ่อ ที่เป็นพระวิทยกรพาปฏิบัติ บอกว่าออกจากสมาธิได้แล้ว ดิฉันก็ก้มลงกราบจนศรีษะแตะพื้นดินโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาก็ปรากฏภาพ...ลุมพินี อยู่ที่จอตาที่ปิดอยู่ตรงบริเวณหน้าผากค่ะ ( อันนี้อธิบายยากหน่อยค่ะ ) เป็นภาพขาวดำเหมือนเราดูภาพนิ่งที่เป็นภาพสไลด์ค่ะ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ ก้มลงกราบแล้วศรีษะแตะพื้นดิน จนครบสามครั้งค่ะ อันนี้รูสึกว่าเป็นปาฏิหาริย์จริง ๆ ที่ตัวเองได้พบเจอคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านคงแสดงให้เราเห็น เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่คนที่นั่งสมาธิแล้วจะเห็นอะไรง่าย ๆ เลยรู้สึกประทับใจมาก ๆ ค่ะ รู้สึกว่าแดนพุทธภูมินี้มีอำนาจมีพลังบางอย่างที่เรามองไม่เห็นคอยดูเราอยู่และตลอดการเดินทาง เวลานั่งรถทัวร์ซึ่งใช้เวลานานมาก ๆ หลาย ๆ ชั่วโมงดิฉันก็จะใช้เวลาไปกับการหลับตาทำสมาธิฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นภาพพระพุทธรูปลอยอยู่ในสมาธิตลอดเวลา ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกว่าทำไมเวลาอยู่เมื่องไทยเรานั่งสมาธินานแค่ไหนก็ไม่เห็นภาพอะไร แต่ที่นี่ทำไมเห็นภาพพระได้ง่าย ๆ เพียงแค่กำหนดจิตดูภาพก็ปรากฏ อาจจะเป็นที่สถานที่มีพลังหรือจิตเราที่น้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยความปิติอิ่มเอมใจเลยทำให้เห็นง่ายก็ไม่รู้ ทริปนี้รู้สึกมีความสุขมาก ๆ แบบว่าเงินซื้อหาไม่ได้ เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับก่อนจะไปอินเดียที่เรากลัวความลำบากสารพัด กลัวเรื่องการเข้าห้องน้ำ กลัวความสกปรก กลัวเชื้อโรค เรียกว่าสารพัดกลัวก็ว่าได้ แต่พอไปเจอเข้าจริง ๆ ความกลัวเหล่านั้นหายไปแบบปลิดทิ้งเลย กลับกลายเป็น...ความสนุก เวลาที่จะต้องแวะข้างทางเพื่อเก็บดอกไม้ ( ปลดทุกข์เบาค่ะ ) แรก ๆ ทุกคนก็เดินหาทำเลเหมาะ ๆ ไกล ๆ รถทัวร์ เรียกว่าเดินให้เห็นกันลิบ ๆ ไกล ๆ แต่พอหลาย ๆ วันเข้า รู้สึกคุ้นคยสนิทกันทั้งคณะก็เกาะกลุ่มเข้ามาเรื่อย ๆ เลยแซวกันเป็นเรื่องสนุกสนาน มีท่านผู้รู้บางท่านบอกว่า...ผู้ที่ได้ไปแดนพุทธภูมิ และไปกราบสังเวชนียสถานสี่ตำบล คือผู้ที่เคยเกิดร่วมในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ตกไฟล์ท คือไม่ได้บรรลุธรรมในครั้งโน้น เลยต้องเวียนว่ายตายเกิดจนได้มามีโอกาสมากราบอีกในชาตินี้ ตามจิตที่เคยอธิฐานไว้ค่ะ ก็ขอจบทิปแรกของการเดินทางแค่นี้นะค่ะ
ทริปที่สอง ของการเดินทางไปกราบ สังเวชนียสถานสี่ตำบล เดินทางวันที่ 7 -17 มีนาคม 2552 ทริปนี้ตั้งใจไปส่งพระพุทธรูป...หลวงพ่ออู่ทองอุดมทรัพย์ หน้าตัก 39 นิ้ว จัดสร้างโดนคณะร่วมจิตเป็นหนึ่ง เพื่อถวายให้กับวัดไทยพุทธวิปัสสนาของหลวงพ่อสุเทพ อกิญจโน เจ้าอาวาสวัดสมานราษฎร์ จ. ชลบุรี ท่านไปสร้าง...วัดไทยพุทธวิปัสสนา ที่พุทธคยา ไว้ให้ญาติธรรมที่ไปแสวงบุญได้พักอาศัย วัดนี้อยู่กลางทุ่งนาเลย ห่างจากเจดีย์พุทธคยาไปประมาณ 5 กิโลเมตร หลวงพ่อท่านจัดทัวร์ไป อินเดีย ราคาถูกทุกปี ประมาณ 28,500 บาท ทริปนี้ก็เจอปาฏิหาริย์ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึง พุทธคยา เลยค่ะ ก่อนอื่นก็ขอบอกก่อนนะค่ะว่า จะเล่าเฉพาะเมืองที่พบปาฏิหาริย์ เมืองไหนไม่เจอก็ขอข้ามไปเลยนะ เกรงว่าคนอ่านจะเบื่อซะก่อน
ไปครั้งนี้เตรียมตัวดีกว่าครั้งแรกที่ไป เพราะรู้แล้วว่าจะนำของอะไรไปถวายพระบ้าง เที่ยวนี้ดิฉันก็เตรียมผ้าไตรไปถวายพระ พอไปถึงก็ถามหลวงพ่อว่า...จะถวายผ้าไตรได้ที่ไหน ท่านบอกว่า...เอาไปถวายที่ต้นโพธิ์ เราก็ถือไปเดินจงกรมรอบ...เจดีย์พุทธคยา สามรอบ แล้วท่านก็พามาสวดมนต์นั่งสมาธิที่หน้าต้นโพธิ์อีกครึ่งชั่วโมง พอเสร็จแล้วดิฉันก็ถามหลวงพ่อว่า...โยมจะถวายผ้าไตรให้หลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า เอากลับไปถวายที่วัดดีกว่า ดิฉันก็ต้องถือผ้าไตรกลับวัดอีก กลับมาถึงวัดก็สามทุ่มแล้วในใจก็ว่า...วันนี้จะต้องถวายผ้าไตรให้ได้ จะได้หมดห่วงเสียที ไม่ว่าจะเจอพระรูปไหนที่ว่าง ก็จะถวายให้เลย เพราะหลวงพ่อสุเทพท่านงานเยอะไม่ว่างรับประเคน พอดีมี...หลวงพ่อเฉลิม เดินผ่านมาพอดี เลยนิมนต์ท่านว่า...โยมขออนุญาตถวายผ้าไตรหน่อยค่ะ เพราะถือมาตลอดทั้งวันแล้ว ท่านก็อนุญาต ดิฉันตั้งจิตอธิฐานสร็จ ก็ถวายท่าน ขณะที่ท่านรับผ้าไตรของเรา แล้วสวดมนต์ให้พร ปรากฏว่า...ถุงพลาสติกที่ห่อผ้าไตรอยู่ กลายเป็นรูปใบโพธิ์ สีเงินระยิบระยับสวยงามมาก อันนี้ตัวดิฉันเห็นคนเดียว เพื่อนที่ร่วมถวายด้วยมองไม่เห็น ส่วนตัวหลวงพ่อที่รับประเคน ดิฉันก็ไม่กล้าถามท่าน ว่าเห็นเหมือนที่ดิฉันเห็นหรือเปล่า เดี๋ยวกลายเป็น...อวดอุตตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตัวเราไป เลยเก็บความปิติปลาบปลื้มไว้ในใจคนดียว นี่คือปาฏิหาริย์แรกที่พบก็คิดว่า เทวดา ท่านนิมิตให้เห็น เพราะคงสงสารดิฉันที่แบกผ้าไตรมาตลอดทั้งวัน เลยทำให้ดิฉันมีความสุขอย่างมากในการถวายผ้าไตรในครั้งนี้ การเดินทางเที่ยวนี้ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะ วัดไทยกุสินารา ของท่านเจ้าคุณราชรัตนรังษี เสียดายมาก เพราะยังประทับใจเสียงเตียงปลุกอยู่เลยค่ะ
จากนั้นก็ขอเล่าถึง...มกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มาถึงที่นี่ประมาณ 5 โมงเย็น หลวงพ่อท่านก็นำให้นั่งสวดมนต์ ขณะที่จะหาที่นั่งดิฉันก็มองไปที่ มกุฏพันธเจดีย์ ก็เห็นเปลวสีทองเหมือนทองคำเปลวแผ่นใหญ่ ๆ ปลิวไสวอยู่กลางองค์ของเจดีย์...สวยงามมาก ตอนนี้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นปาฏิหาริย์อะไร ในใจก็ได้แต่คิดว่าใครหนอช่างหาแผ่นทองคำเปลวที่ใหญ่แบบนี้มาถวายได้เพราะเวลาต้องแสงพระอาทิตย์แล้วสวยงามระยับจับใจมากเลย พอสวดมนต์นั่งสมาธิเสร็จ ก็เดินลงไปที่องค์พระเจดีย์เพราะตรงที่พวกเรานั่งอยู่สูงกว่าองค์เจดีย์ และอยู่ไกลมาก เนื่องจากหลวงพ่อท่านต้องการให้นั่งหลบแสงแดด พอเดินมาถึงองค์เจดีย์ ดิฉันก็ตั้งใจว่าจะต้องไปดูแผ่นทองที่ปลิวไสวเหมือนกวักมือเรียกเราอยู่ให้เห็นใกล้ ๆ แต่...ปรากฏว่าไม่มีแผ่นทองนั้น สิ่งที่เห็นเป็นภาพปาฏิหาริย์ ถามใคร ๆ ว่าเห็นแผ่นทองนั้นใหม ก็ไม่มีใครเห็นสักคน ตัวดิฉันคิดว่าเทวดาท่านคงเนรมิตให้เห็นเป็นบุญตาค่ะ เพราะถ้าคิดตามหลักความจริงแผ่นทองคำเปลวที่บางเบาถ้าโดนลมพัดก็จะต้องหลุดลอยไปแล้ว เพราะตอนที่ดิฉันเห็นลมก็พัดแรง แผ่นทองก็ปลิวล้อลมเล่นสวยงามไม่เห็นหลุดลอยออกมาเลยค่ะ จากนั้นก็เข้าไปกราบ...พระพุทธเจ้า ปางปรินิพพาน ที่นี่เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่าให้อธิฐานขอให้ได้กลิ่นดอกมณฑารพที่เหล่าเทวดาเนรมิตมาถวายพระพุทธเจ้าในวันถวายพระเพลิง เพื่อใครมีบุญจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ หลาย ๆ คนก็อธิษฐานกันพอกราบพระเสร็จแล้วก็ออกมาเดินจงกรมรอบองค์สถูปเจดีย์ด้านนอก แล้วนั่งสมาธิที่ตรงนี้ ลมพัดเย็นสบาย ดิฉันก็ได้สัมผัสกับกลิ่นหอมของดอกไม้จริง ๆ แต่ไม่ทราบว่าเป็นดอกไม้อะไร...หอมเย็น ๆ ชื่นใจ ก็คิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองว่าอาจจะเป็นกลิ่นธูปของใครก็ได้อันนี้ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอเดินทางมาถึง...สวนลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า คราวนี้เจอของจริง ...พอก้าวถึงหน้ามหาวิหารมายาเทวี ก็ปะทะกับกลิ่นหอมของดอกไม้แบบเต็ม ๆ ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีดอกไม้สักดอก ต้นไม้ก็เป็นไม้ใบซะเป็นส่วนใหญ่ ตอนนั้นรู้ได้เลยว่า...เทวดาท่านมาทัก รู้สึกขอบคุณท่านมาก ๆ ที่ทำให้เราสัมผัสได้ ถามเพื่อน ๆที่เดินมาด้วยกันว่า...ได้กลิ่นดอกไม้ไหม ไม่มีใครได้กลิ่นเลย เป็นปาฏิหาริย์ที่สามที่พบเจอรู้สึกปิติอิ่มบุญที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาได้มากราบบาทพระศาสดา ณ. แดนพุทธภูมิ ได้พบพลังอันยิ่งใหญ่ไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยมานานเท่าไร ผู้ปฏิบัติพึ่งพบได้ด้วยตัวเองเป็น ปัจจัตตัง จริง ๆ ค่ะ การเดินทางมาครั้งนี้เหมือนเราได้กลับมาบ้านเก่าของตัวเองเพราะตลอดเวลาของการนั่งรถอันยาวนานดิฉันก็นั่งหลับตาทำสมาธิมาตลอดทาง คือคิดว่าเราควรจะใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการเดินทาง ทำให้สามารถลิงค์ตัวเองกับในอดีตได้โดยอัตโนมัติค่ะ นั่งหลับตาเวลารถแล่นไปซ้ายหรือขวาดิฉันจะเห็นภาพของชาวบ้านในอดีตปรากฏในสมาธิตลอด เหมือนเราเดินทางเข้าไปในอดีต ภาพมันชัดเจนมาก เห็นชาวบ้านที่ยากจนนำศพมาเผากลางทุ่งนา เห็นหมู่บ้านที่เขาทำเครื่องปั้นดินเผา เห็นวิถีชีวิตในชนบทของคนอินเดียในอดีต เห็นประตูเมืองเวลารถแล่นขึ้นสะพาน อันนี้ดิฉันยังไม่ได้ลืมตานะค่ะ แล้วก็ไม่ได้นอนหลับแล้วฝันไปด้วยค่ะ รู้สึกตัวตลอดเลยเหมือนเรานั่งดูหนังเลยค่ะ จึงเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่าสงสัยแก่จะเคยเกิดอยู่ที่นี่ละมั้ง คือทุกครั้งที่นั่งหลับตาทำสมาธิภาพมันจะใหลเข้ามาในหัวตลอดรู้สึกเหมือนเราเข้ามาในแดนมหัศจรรย์ค่ะ ก็รู้สึกประทับใจแปลกใจ มันมีหลายอารมณ์ และก็เป็นเรื่องแปลกนะ คนที่มาแดนพุทธภูมิแล้วก็อยากมาอีก ไม่รู้สึกเบื่อเลย ตัวดิฉันก็คิดว่าปีหน้าอาจจะไปอีกเป็นครั้งที่ 3 ค่ะ ที่เล่ามานี้ก็เพื่อจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของ พระพุทธองค์ ที่จะพาหมู่สัตว์ให้พ้นภัยในวัฏฏะสงสารนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วด้วยดีเป็นจริงได้ถ้าเราลงมือปฏิบัติคือสัมผัสได้ด้วยตนเองใครทำใครได้ อยากจะบอกว่า...พระพุทธเจ้ามีจริง สิ่งศักด์สิทธ์มีจริง ปาฏิหาริย์มีจริง คนทำจริงก็จะได้ของจริง ( อันนี้ครูบาอาจาริย์ท่านสอนไว้ค่ะ ) อยากชวนชิญคนที่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าให้ลองมาดูก่อน คนที่อยากไปอินเดียแต่ก็กลัวความลำบากก็อยากให้ลองไปดู แล้วจะพบความสุขที่ยิ่งใหญ่ ชนิดที่ว่า...เงินซื้อไม่ได้ เลยค่ะ ทั้งหมดที่เขียนมานี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะอวดคุณวิเศษในตัวเองนะค่ะ เพราะว่าเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วสิ่งที่เคยสัมผัสได้ที่อินเดียก็หายไปหมด ไม่เหมือนตอนอยู่ที่โน้นที่เหมือน...เปิดเครื่องรับปุป ก็ติดปั๊บ เลยคิดว่าสถานที่ศักดิ์สิทธ์ต่าง ๆ... มีเทวดารักษา หากท่านอยากให้เรารู้เราเห็น ท่านก็บันดาลให้เห็นเราเป็นแต่เพียงเครื่องรับ ที่เผอิญลิงค์ได้ค่ะ สุดท้ายนี้ถ้าประสบการณ์ของดิฉันที่เล่ามานี้ หากคุณอณนเห็นว่ามีประโยชน์ก็ยินดีให้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นทราบได้ค่ะ เพื่อเป็นการช่วยสืบอายุของพระศาสนาค่ะ หากเรียบเรียงไม่ดีอ่านแล้วสับสนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จาก คุณเล็ก โทร. 0813428249
อนณ 089-995-9377 tobeteam@yahoo.com
จากคุณ |
:
tobeteam
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ต.ค. 55 10:26:58
|
|
|
|