เวลาเราเห็นบรรยากาศหรืออาหารที่น่าทานในร้าน ๆ หนึ่ง เรารู้สึกอยากเข้าไปนั่งทาน เราได้รับความสุขใจเมื่อทานอยู่
แต่อาหารทุกมื้อ เมื่อลงกระเพาะ อาหารไม่สนใจว่ามาจากร้านไหน เพราะเมื่อถ่ายออกมา ก็เหม็นเน่าเท่า ๆ กัน
อารมณ์ที่เรามองว่าทำให้โลกใบนี้สวยงาม บางอย่าง เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยั่งยืนเสมอไป เมื่อเวลาเปลี่ยนไป หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป สิ่งเหล่านั้นทำให้คนบางคนกินไม่ได้ นอนไม่ได้ เอามีดกรีดแขนตัวเอง กระโดดตึก เข้าโรงพยาบาล ฯลฯ
ข้อความตอนหนึ่งจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ๑๐. นาคิตสูตร
พระพุทธเจ้าทรงแสดงต้น กลาง ปลาย ของความรู้สึกรัก อย่างยึดมั่นถือมั่น ที่ไม่ใช่ความรักกัน ด้วยเมตตาอารี แต่เป็นรัก เพราะอยากครอบครองว่า -
" ดูกรนาคิตะ อาหาร ที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมมีอุจจาระและปัสสาวะเป็นผล นี้เป็นผลแห่งอาหารนั้น ความรักมี
โสกะ(ความโศกเศร้า)
ปริเทวะ(การพร่ำเพ้อรำพัน การร้องไห้เสียน้ำตา)
ความทุกข์(ปวดใจ,ปวดหัว,กินข้าวไม่ลง หรืออาการทางร่างกายระดับเริ่มต้นถึงรุนแรง เช่นเป็นลมหรือช๊อกจนเสียชีวิต)
โทมนัส(ความไม่สบายใจ กระวนกระวาย)
และอุปายาส(อาการตระหนกตกใจอย่างรุนแรง หัวใจสั่น เป็นต้น)
ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่รักแปรปรวนเป็นอื่นเป็นผล นี้เป็นผลแห่งความรักนั้น "
*************************
เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ให้ผูกพันธ์
ความรักระหว่างชายหญิง หรือรักระหว่างใครก็ตาม ที่ผูกกันและกัน ให้คิดถึงกันไว้
เป็นความรู้สึกดี ๆ
แต่ยังแฝงไปด้วยความทรมานหลังจากนั้น หากต้องพลัดพรากกัน
ตรงกันข้ามแล้ว การรักกันแบบเมตตากัน เราไม่ต้องหวังถึงอนาคตว่าจะได้อยู่ด้วยกัน หรือว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
ไม่ต้องกลัวที่จะสูญเสีย
ไม่ต้องโศกเศร้าว่าเคยทำอะไร ให้กันและกันเสียใจเมื่อไหร่
เพราะเมตตา ทำให้ทุกอย่าง เต็ม และรู้สึกดีต่อกันได้
เมตตา ทำให้วันนี้ดี เมื่อวานดี พรุ่งนี้ แม้หากมันไม่มาถึง ก็ยังดี
เมตตา เติมเต็มให้กันและกันได้ดีที่สุด
ใครจะรู้ว่าเราจะจากจากคนที่เรารักเมื่อไหร่ ความฝันถึงวันข้างหน้าที่เราจะได้อยู่ใกล้ใครคนนั้นจะมาถึงไหมก็ไม่รู้ แล้วเราก็ต้องรอคอยวันเวลา และแม้หากวันเวลานั้นมาถึง เราก็ต้องจากมันไป ด้วยความอาลัย
แต่หากเราไม่วาดฝันไว้ และวางจิตใจให้รักใครต่อใคร ด้วยเมตตาเท่ากัน เอาความรักอย่างต้องการออกไป เป็นความเห็นใจที่เขาและคนทั้งโลกเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย จมทุกข์ในกองสังสารวัฏ ไม่มีความอยากที่จะได้เขามากอด มาหอม มาครอบครอง อีกต่อไป เพราะเห็นตามจริงด้วยมรรคจิต
เท่านี้ ก็จะสำเร็จเป็นพระอนาคามีได้
พระอนาคามี ท่านไม่ได้เป็นคนเย็นชา กามตายด้าน แต่ท่านเข้าใจความรักด้วยกิเลส ราคะตัณหา สละเสียได้แล้ว มาเป็นผู้ที่มีความรักที่แท้จริงด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตากับเพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของจิตเมื่อบรรลุอนาคามีของท่านวิสาขะอุบาสกกับอดีตภรรยาของท่าน http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=505
อ่านข้อความทั้งหมดในพระสูตรนี้ได้จาก
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ๑๐. นาคิตสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=636&Z=695&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=30
จากคุณ |
:
Serene_Angelic
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 55 17:16:56
|
|
|
|