ความคิดเห็นที่ 1 ผมเป็น พุทธมาก่อน ขออณุญาติ พระพุทธเจ้า ค้นพบกฎของโลก หลายอย่าง มีทั้งจริงพิสูจน์ได้และไม่ได้ ทรงตั้งกฎ หรือควบคุม เหล่านั้น มั้ย เปล่าไม่ใช่ แล้วใครควบคุมล่ะ ?  พระเจ้าไง หรือ จะเรียกว่าธรรมชาติก็ได้ จากคุณ : The UNITY เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 00:01:39

ความคิดเห็นที่ 2 พระพุทธเจ้า ทรงเป็นใครสำหรับคุณครับ? + พระพุทธเจ้า คือ พระบรมศาสดา ที่สอนให้เห็นถึงความจริงของชีวิต โดยสอนถึงภาพรวมของชีวิตที่ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร และทรงชื่้แนะถึงวิธีการที่จะทำให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสารนี้ได้ การที่พุทธศาสนิกชนสวดมนต์ขอพรท่านนั้น  การสำเร็จตามที่ขอนั้น ได้เพราะท่านให้หรือได้เพราะเรื่องของกรรมส่วนตัว? + ผมสวดมนต์เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าครับ ไม่ได้สวดมนต์เพื่อขอพร ขอให้ร่ำให้รวยใดๆ หรือขอให้สอบได้ที่หนึ่ง ซึ่งเราต้องเป็นคนทำเอาเอง ขอพรอยู่เรื่องเดียว เรียกว่า อธิฐานจิต ขอให้ถึงพระนิพพานตามพระศาสดา แต่ยังไม่สำเร็จตามที่ขอครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 00:12:59

ความคิดเห็นที่ 3 1.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นใครสำหรับคุณครับ? ...ท่านก็เหมือนครูบา อาจารย์ เหมือน ไอแซค นิวตัน หรือ  อัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ เพียงแต่ไม่มีใครมาหักล้างคำสอนท่านได้ 2.แล้วอยากทราบด้วยว่า การที่พุทธศาสนิกชนสวดมนต์ขอพรท่านนั้น  การสำเร็จตามที่ขอนั้น ได้เพราะท่านให้หรือได้เพราะเรื่องของกรรมส่วนตัว? ..พุทธศาสนิกชน ไม่เคย สวดมนต์ขอพร กับใครครับ.... ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ...เหมือนคุณพรุ่งนี้ สอบ แต่ดันเอาแต่สวดอ้อนวอน ไม่อ่านหนังสือ  คุณไม่มีทางสอบผ่าน เรื่องง่ายๆพื้นๆที่คุณไมยอมรับในตัวคุณ เท่านั้นเอง จากคุณ : หมูลิน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 00:24:08

ความคิดเห็นที่ 4 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 01:31:07 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 01:30:31 จากคุณ : มรรคานุคา (KM911) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 01:27:53

ความคิดเห็นที่ 5 1. พระพุทธเจ้าเป็น ใคร?         - พระพุทธเจ้าเป็นผู้เข้าใจ ผลของเหตุ เพราะผลที่เกิดย่อมมาจากเหตุที่มี เป็นความเป็นจริงที่จริงแท้ เป็นผู้ชี้ทางไม่ใช่ผู้บังคับให้ไปตามทาง ...... สอนให้รู้ว่า แม้ในสิ่งที่ยังไม่เห็น ยังไม่พบ ยังไม่เข้าใจ สิ่งนั้นก็จะยังมีอยู่ แม้เมื่อมีการมีอยู่ ย่อมมีการก่อกำเนิด แล้วท้ายที่สุดย่อมไปสู่ความเสื่อมสูญสลายไป เป็นความจริงที่จริง แท้         - สิ่งที่เคยเป็นอยู่ ที่เป็นอยู่ และที่จะเป็นไป ล้วนเกิดจากการกระทำที่เป็นเหตุทั้งสิ้น  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า " ไม่มีอะไรที่มาบงการ หรือมาสร้างให้มันเป็นไป ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นผลของเหตุที่ก่อ ไม่มีใครมาบันดาลให้เป็น " 2พุทธศาสนิกชนสวดมนต์ขอพร?           - ชาวพุทธที่เข้าใจหลักคำสอนนั้น ไม่ได้สวดมนต์เพื่อขอพร แต่เป็นการสวดเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของหลักธรรมคำสอน คุณของภิกษุซึ่งเปรียบเสมือนทายาทของพระพุทธเจ้า .......... เมื่อบุคคลใดสวดมนต์ด้วยจิตตั้งมั่นแล้ว จิตย่อมผ่องใสเพราะน้อมนำสิ่งที่เป็นมงคลเข้าสู่ตัว .... เมื่อรู้ว่าตนมีสิ่งที่เป็นมงคลอยู่ ย่อมเกรงกลัวต่อการกระทำชั่ว เมื่อไม่กระทำชั่วย่อมไม่มีผลชั่วซึ่งมาจากเหตุชั่ว ชีวิตจึงไม่มีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาเยือน           - พุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้หวังว่าสวดมนต์แล้วจะมีอำนาจปาฏิหารย์ แต่เพื่อเป็นการให้ระลึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เท่านั้น&nbsp; ส่วนเรื่องสวดเพื่อการอื่นนั้นเป็นเรื่องของสาวกซึ่งนำมาปรุงแต่งขึ้นเอง และเชื่อมั่นแตกต่างไปในแต่ละบุคคล<br></font></font> จากคุณ : มรรค (KM911) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 01:30:14

ความคิดเห็นที่ 6 ที่ว่าขอพรน่ะ  เรียกว่าขอกำลังใจจะตรงมากกว่าค่ะ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 03:47:41

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับผม พระพุทธเจ้า คือคนที่ผมเชื่อ เหตุที่เชื่อ เพราะคำสอนในพระไตรปิกฏ ผมพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ทั้งเรื่องที่เป็นข้อธรรมระดับชาวบ้าน และเรื่องการดับทุกข์ครับ (เมื่อปฏิบัติถูกทาง ไม่ปฏิบัตินอกแนวพระไตรปิฏก  ไม่ปฏิบัติแค่เปลือกๆ ความทุกข์หายไปเยอะ ถ้ายังเอาแต่ท่องจำ ไม่ยอมทำให้ถูกแนวทาง ก็ไม่ได้ผลครับ) ศาสนาพุทธสอนให้ตั้งเป้าหมาย ที่เหมาะสมกับตัวเองในปัจจุบัน แล้วไม่ต้องหวัง แค่ทุ่มเทกำลังทำไปให้ดี ตามความสามารถ ถ้าทำเหตุได้สมบูรณ์ ผลมันก็สมบูรณ์เอง ถ้าทำเหตุไม่สมบูรณ์ หวังไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผิดหวังไปมีแต่จะสร้างความทุกข์เปล่าๆ วิธีทำ ก็อิทธิบาทสี่ พิจารณาแก้ไขเรียนรู้ทำไปเป็นข้อๆ แค่คำสอนประมาณนี้ พึ่งตัวเอง... แต่คนส่วนใหญ่แบกความหวังเอาใว้ จ้องดูที่จุดหมายแล้วเดินไป ไม่ค่อยดูเท้าดูกำลังของตัวเอง ไม่ค่อยดูสถานที่ ไม่ค่อยดูเวลา เลยสะดุดกันไม่หยุด ไปกันไม่ค่อยถึง พ้นทุกข์กันไม่ได้เสียที แม้คนที่ฉลาดมากๆส่วนใหญ่ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะไม่ได้พบเจอคำสอนที่ดีๆ วิธีฝึกนั้นชัดเจน เริ่มที่ถือศีล แล้วฝึกสติ รู้สึกตัว ฝึกสมาธิให้จิตตั้งมั่น ไม่หลงเพลินไปกับอดีตปัจจุบันอนาคต วิธีตรวจสอบก็ชัดเจน ถ้าทำแล้วกิเลสลดลง ส่งผลให้ความทุกข์กายทุกข์ใจลดลง ถือว่าเริ่มตรงทาง ถ้ายิ่งทำแล้วยิ่งเป็นทุกข์ ก็ต้องตรวจสอบทบทวนเสียใหม่   เพราะผมพิสูจน์คำสอนของศาสนาอื่นๆไม่ได้ คนอื่นๆก็พิสูจน์ให้ผมรู้ไม่ได้ แต่พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยไม่ต้องรอให้ตัวเองตายไปเสียก่อน และพิสูจน์แล้วจึงได้เชื่อครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 06:14:24

ความคิดเห็นที่ 8 พระพุทธเจ้า  ผู้ประเสริฐสูงสุดเหนือกว่าใครๆในโลกทั้งปวง ในภพทั้งหลาย  ยิ่งใหญ่กว่าพระจักรพรรดิ์ทั้งหมด  ประเสริฐกว่าเทวดาทั้งหลาย  เหนือกว่าพรหมที่สูงสุด  ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าทั้งหลายทั้งปวง .... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 07:19:19

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นผู้ที่มีพระธรรมคำสอนเป็นอมตะ เป็นเหตุเป็นผล ไม่ให้เราเชื่ออะไรจนกว่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ^^ สิ่งที่ท่านต้องการให้เราศรัทธาน่าจะเป็นเรื่องของกรรมดี มากกว่าวัตถุเคารพ ที่เรากราบไหว้เพื่อให้บรรลุกิเลส ^^ จากคุณ : Kim-Ha เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 07:40:47

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับความเห็นเรา พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ค้นพบ อริยสัจ คือ ธรรมชาติ อันเป็นความจริงอันประเสริฐ แล้วนำมาบอกสอนต่อ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ จึงเป็นผู้มีพระคุณ ท่านสอนว่า ทุกสิ่ง ในโลกนี้เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น ดับไป ไม่มีสิ่งใด คงทนอยู่ได้ ทุกสิ่ง ทั้งรูปธรรม นามธรรม มีเหตุให้เกิดขึ้น และ มีเหตุให้ดับไป เรา ก็เป็นไปตามธรรมชาตินั้น เวียนเกิด เวียนตาย ไม่รู้จบสิ้น ผลที่เกิดมาจากเหตุที่ตนสร้างเอง แล้วไม่รู้ ก็สร้างเหตุอีก  ทั้งชีิวิต สร้างเหตุดี เหตุชั่ว แล้วก็ อยาก แล้วก็ติดเป็นตัวเรา แล้วก็เกิดอีก  สอนว่า เกิดเพราะ จิตที่ มีตัณหา มีอุปาทาน เป็นเชื้อให้เกิด สอนมรรควิธี ที่จะทำให้ตัดการเกิด  ทำอย่างไร จิตจะไม่สร้าง การเกิดใหม่ขึ้นมา อีก เราถึงต้องมาศึกษา และปฏิบัติ ไปตาม ที่ท่านสอนไว้ ให้ละความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทิ์ สอนให้รู้ว่า อะไรคือ กุศล -อะไรคือ อกุศล ผล อนิสงส์ ของกุศล อกุศล แต่ละระดับ   ที่หมายของชาวพุทธคือ การไม่เกิด คือ นิพพาน แต่ผลที่สร้าง มันอาจ ยังไม่ถึง ในชาตินี้ แต่ถ้าสร้างถูก ชาติ ภพ เราก็จะเหลือ น้อยลง ๆ พระคุณของพระพุทธเจ้านี้ มากมาย ใหญ่หลวงนี้ จึงควร ระลึกถึง เรา ไม่ได้ บูชาพระพุทธรูป วัดโน้น วัดนี้ ปรางโน้น ปางนี้  แต่เราก็กราบไหว้ พระพุทธรูป เสมอๆ เวลากราบ ก็ตั้งจิตระลึกคุณท่าน พระพุทธเจ้า คือ อยู่ในจิต คือพระธรรม คำสั่งสอน จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 07:43:05

ความคิดเห็นที่ 11 พระพทุธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อท่าน แต่ท่านบอก และให้ลองทำตามดู ว่าผลที่ปฏิบัติออกมาเช่นไร(เป็นเครื่องพิสูจน์) ท่านไม่สอนให้ขอพร(ถ้าขอพรได้จริง ก็คงถุกหวยทุกงวดล่ะ) ท่านบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สุดท้ายท่านสอนให้ เข้าไปดับในกาย.. จากคุณ : เด็กวัดจันทร์ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 07:57:44

ความคิดเห็นที่ 12 สำหรับผมสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นครูผู้สั่งสอนสอนวิธีในการพ้นทุกข์ทั้งปวง ทรงเป็นผู้ชี้หนทางสว่างให้เราเดินตามเพื่อหลุดพ้นจากวัฎฎะสงสารครับ จากคุณ : กระจอกจัง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 08:02:29

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นพระอาจารย์ที่ิยิ่งใหญ่และปรีชาสามารถที่สุด จากคุณ : nuch_tre เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 08:38:35

ความคิดเห็นที่ 14 พระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้แจ้ง ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน  -ผู้รู้แจ้ง คือ รู้ทะลุปรุโปร่งในทุกเรื่อง  -ผู้ตื่น คือผู้ทีีตี่น(พุทธ) จากการหลับ (ไสย)  -ผู้เบิกบาน คือ มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นปรกติ จากคุณ : เอกเขนกนอกบ้าน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 08:52:57

ความคิดเห็นที่ 15 ความเห็นที่1จะบอกว่า พระเจ้าคือธรรมชาติ แล้วพระเจ้าก็ควบคุมกฎธรรมชาติ          พระเจ้าที่ประกาศตัวว่าเป็นธรรมชาติของคุณหน่ะ มีอยุ่ในคัมภีร์เก่าของคุณตรงไหนบ้าง เห็นมีแต่คัมภีร์หลังๆแหละที่อ้างอย่างนี้ นี่ถ้าผมจะเขียนคัมภีร์ของทางผมใหม่   ผมก็เขียนได้ว่าพระพุทธเจ้าคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้างมาเพื่อรองรับการตรัสรู้   ที่ผมตอบเนี่ย ผมถามเพื่อนผมที่เป็นโปเตสแตนต์แล้วเหมือนกัน  แล้วถ้าเป็นอันเดียวกับธรรมชาติแล้ว ไฉนเดิมจึงว่าโลกมันแบนเล่า   แล้วที่บอกว่าเคยเป็นพุทธมาก่อนหน่ะ พุทธระดับไหน ศึกษาศาสนาเค้าดีจนกระทั้งสรุปได้แล้วเหรอว่าเป็นอย่างไร  การจะพิสูจน์ศาสนาพุทธเอาอะไรพิสูจน์                ส่วนตัวผมพระพุทธเจ้าคือนักปราชฌ์ที่ทรงค้นทางดับทุกข์ได้ พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าเรื่องจิต และเป็นผุ้รู้ทฤษฎีว่าจิตมีพลังและนำมาใช้ได้อย่างกว้างขวางอย่างที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดในโลกนำมาใช้ได้มากและน้ำมาสอนให้คนค้นคว้าได้มากขนาดนี้                    ที่สวดมนต์คือระลึกถึงคุณของพระองค์                   สาธยายคำสอนของพระองค์ (ปอลอ.ต้องขอโทษที่ตอบแบบนี้ ผมหมึ่นคำตอบเค้าหน่ะ) แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 08:56:42 จากคุณ : ถือว่าคุยกันนะจ๊ะ (อนุมัติตามที่ขอ) เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 08:55:13

ความคิดเห็นที่ 16 พระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรูโลกได้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นมหาบุรุษที่ดับเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลสได้สิ้น เป็นสารถีแก้บุคคลที่ควรฝึก เป็นศาสดาทั้งมนุษย์และเทวดา การขอพรใดๆ ถ้า บุคคลที่ขอพร ไม่มีความขยัน ไม่นำตนไปในทางที่ควร พรนั้นก็ไม่มีวันเป็นจริง แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 09:22:51 จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:02:26

ความคิดเห็นที่ 17 พระพุทธเจ้าคือผู้เปรียบเสมือนผู้ที่ เปิดของที่คว่ำ จุดประทีปในที่มืด แม้ว่าตอนนี้สำหรับผมจะแค่แง้มๆก็ตาม แต่ก็เห็นความเป็นจริงบางอย่าง ที่เพียงแค่แง้มนิดๆ ก็รู้ว่าดีแน่นอน จากคุณ : ธรรมสถิต เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:05:21

ความคิดเห็นที่ 18 พระพุทธเจ้า ทรงเป็นใครสำหรับคุณครับ?   ///เป็นกัลยาณมิตร แล้วอยากทราบด้วยว่า การที่พุทธศาสนิกชนสวดมนต์ขอพรท่านนั้น  การสำเร็จตามที่ขอนั้น ได้เพราะท่านให้หรือได้เพราะเรื่องของกรรมส่วนตัว ///มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น ความสามารถ ความพยายามของเราเอง บุญกุศลท่เราทำไว้ก่อนแล้ว เทวดา ฯลฯ ที่เรามองไม่เห็นคอยช่วย จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:29:22

ความคิดเห็นที่ 19 1. เป็นบรมครู ผู้มีความเมตตา กรุณา มีมหาสติ มหาปัญญา สั่งสอนแนะนำให้ผู้ปฏิบัติตามได้เห็นตามความเป็นจริงของโลก 2. เป็นผู้มีบารมีเป็นอนันต์ บารมี=พลังงานที่ยังเหลืออยู่ในโลก เช่น พระบรมธาตุ บารมี=เหล่าผู้ที่รักและศรัทธาในพระพุทธเจ้า ได้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย คือมนุษย์ เทวดา พรหม และอื่นๆ ผู้ที่ขอพรจากพระพุทธเจ้า จะได้รับการช่วยเหลือจากบารมีดังกล่าวมานี้ แต่การช่วยเหลือที่แท้จริงคือการปฏิบัติตนเองตามคำสอน เช่น การฝึกปฏิบัติมหาสติ จนเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น จากคุณ : Mahasati Neo เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 09:33:21

ความคิดเห็นที่ 20 พระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดา เป็นบรมครู ทรงชี้ทาง แสวงวิธี เปิดเผยความลับของโลกอริยสัจจ์  ชี้ทางดับทุกข์ แสดงวิถีแห่งความสุข แบบที่ถูกจริตตรงใจ จี้จุดแก่เรา คนที่ฟังพระองค์สอนจึงบรรลุโสดาบัน มีดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย เราไม่ได้อ้อนวอนขอ จาก พระพุทธรูป แต่เราใช้พระพุทธเป็นสื่อ เป็นตัวแทน ที่เราจะมีพุทธานุสติ ทำตามทางที่พระองค์บอกไว้ ถึงวิธีการที่ทำให้ คนธรรมดาเป็นผู้ประเสริฐ กว่าเทวดา มาร พรหมทั้งหลาย จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:34:57

ความคิดเห็นที่ 21 พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์  แต่เป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดา เป็นมนุษย์ที่พิเศษกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปอย่างพวกเรา  เพราะพระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปและนาม  ทรงค้นพบด้วยพระปัญญาและความเพียรพร้อมด้วยบารมีที่ได้สั่งสมมานับไม่ถ้วนที่ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ เมื่อทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ทรงนำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ต่อ ไม่เก็บไว้รู้เฉพาะพระองค์เอง คนที่สวดมนต์ขอพร เพราะเขาต้องการที่พึ่ง ต้องการความหวัง แต่เป็นที่พึ่งที่ผิด เป็นความหวังที่ผิด  เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้มีหน้าที่คอยให้พรช่วยเหลือใคร คน ๆ นั้นต้องช่วยเหลือตัวเองโดยการกระทำเอาเอง  ทำอย่างไรได้อย่างนั้น และถ้าได้ดั่งใจต้องการหรือสำเร็จดั่งปรารถนาก็เพราะมาจากการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่เพราะมาจากพระพุทธเจ้าดลบันดาลให้พร จากคุณ : มีดกรีดใจ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:47:51

ความคิดเห็นที่ 22 พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นครูอาจารย์ การสวดมนต์บางบทเพื่อพุทธคุณและสรรเสริญในพระธรรม ไม่ได้หวังผลว่าต้องได้อะไรตอบแทน จากคุณ : จันตรีบุตร เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:48:21

ความคิดเห็นที่ 23 พระพุทธเจ้า  สำหรับดิฉัน       เป็นในสิ่งที่คุณจะนึกไม่ถึง  และไม่มีวันเข้าถึงคะ ไม่สามารถใช้ความคิด จินตนาการได้   และดิฉันยอมตายได้  ที่จะกล่าวคำหมิ่นประมาททางวาจา หรือลบหลู่คุณของพระพุทธองค์  เพราะเลือดและเนื้อและชีวิตนี้   เป็นหนี้บุญคุณ คำสอนของท่านถ้าไม่มีท่าน  จะไม่มีดิฉันในวันนี้ จะไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจเช่นนี้ ท่านเป็นยิ่งกว่าชีวิตและคำพูดใดๆ  สำหรับดิฉัน  และไม่ใช่สิ่งที่คุณจะรู้สึกและเป็นได้ การเข้าถึงพระรัตนตรัย  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง  เข้าถึงได้ ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น  การนั่งฟังคำอธิบายและความนึกคิด  ไม่ช่วยให้เข้าถึง พระพุทธองค์ได้  และไม่มีวันนั้น  ต่อให้พูดว่าเข้าใจ เข้าถึง  แต่คุณก็จะมีอีกส่วนหนึ่ง ที่มืดมิดปิดสนิทที่ยังไม่เคยรับรู้  และเข้าถึง  คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านมีคุณ มีจริง ถ้าไม่เคยพิสูจน์คำสอน  ที่สำคัญคุณจะอยากรู้ทำไม  ว่าท่านคือ...........  ใคร? สำหรับดิฉันหรือใครๆ   ที่สำคัญ  ที่คุณตั้งกระทู้นี้   ท่านคือ ใคร?.....สำหรับคุณ  หรือคะ   เพราะดูจากคำพูด  ออกจะตำหนิถึงการขอพรของชาวพุทธ ชาวพุทธก็มีหลายระดับ  หลายการเข้าถึงคำสอน  ก็เป็นธรรมดาโลก  ระดับพื้นๆ ก็มีเยอะ  แต่ระดับสูงๆก็มีจำนวนน้อย  เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก  เข้าถึงได้ยาก ถ้าคุณได้พบเจอ  ได้รู้จักชาวพุทธที่คุณธรรมสูงๆ  รับรองว่าคนบางคนที่อวดดี หรือดูหมิ่นพระศาสนา  หรือ ดูหมิ่นพระพุทธองค์อาจจะหน้าแห้งกลับออกมาเลยก็ได้ ลองถามพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบดูคะ  ถามด้วยคำถามเดียวกันนี้ คุณอาจกระจ่างแจ้ง  ได้รับความเข้าใจมากขึ้นก็ได้   แต่โดยปกติ  ชาวพุทธที่ดี  ไม่นำพระตนตรัยมาล้อเล่นนะคะ  เพราะว่า พระรัตนตรัย  คือ  มรรค ผล นิพพาน  สำหรับนักปฏิบัติ  และผู้เป็นชาวพุทธ สาวกแห่งพระพุทธเพราะเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งห่างไกลเรื่องพื้นๆเกี่ยวกับเรื่อง  ขอพรพระ หรือเรื่องกรรมใดๆ   เพราะเขา  เข้าถึงการเหนือสุข เหนือทุกข์  การขอพรอะไร  เขาจะเสียเวลานั่งขอ ไปทำไม   เรื่องขอพรมีไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่มี  มรรค ผล นิพพาน และพระรัตนตรัยให้พึ่ง อย่างแท้จริง  แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลวนี่คะ  แค่เป็นชาวพุทธที่ยังต้องศึกษาอีกมากเท่านั้น แต่บางครั้งที่คุณเห็นเขานั่งไหว้  นั่งกราบ  อาจไม่ได้ขอพรอะไรก็ได้  แค่กราบ เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย  และคุณของพระพุทธองค์เท่านั้น  การกราบเพื่อระลึกถึง ในคุณและขอบคุณผู้มีพระคุณ  กับการขอเพื่อให้ได้อะไรมา  มันต่างกันมาก ส่วนเรื่องกรรม   เขาเรียนเพื่อเหนือกรรม  เหนือทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว เรื่องกรรมมีไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึงที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาต่างหาก ถ้าเรียนจบในพระพุทธศาสนาเขาไม่พูดเรื่องกรรมซึ่งเป็นเรื่องสำหรับผู้ที่ยังก่อกรรม ได้ต่างหาก   ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว   ว่าแต่ว่าชาตินี้ทั้งชาติ   ที่มาพูดถึง พระรัตนตรัยกันนี้  มีใครจะเข้าถึงแท้จริงบ้างหรือไม่  ถ้าพูดแล้ว  นั่งพิมพ์เสียเวลาแล้ว คุณจะเคารพในพระรัตนตรัย  เข้าถึงพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้นหรือเปล่าคะ ถ้าทำแล้วไม่เสียเวลาในการภาวนาของทั้งสองฝ่ายหรือหลายๆคน   ก็แนะนำว่า ต่อให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร  เป็นใครสำหรับคนอื่น  ก็ไม่เท่า   พระพุทธเจ้าเป็นใครสำหรับเรา  ........................   ต่างหาก ฟังเขาเล่าถึงสถานที่ที่ไม่เคยไป  ก็ไม่เท่าเราไปพบเห็นด้วยตนเองคะ พระพุทธองค์ก็พร่ำสอนให้พิสูจน์และปฏิบัติด้วยตนเอง  อย่างนั้น นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค  อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น   เจริญในธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคะ  ทุกท่าน จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:39:42

ความคิดเห็นที่ 24 เป็นผู้มีปัญญาชั้นเยี่ยม และเป็นนักปรัชญาชั้นยอด จากคุณ : ความเชื่อ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 12:05:04

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าพุทธจะมีพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุด ก็ไม่มีทางเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับในพงศาวดารยิวอย่างแน่นอนครับ  เพราะพระเจ้าตามพงศาวดารยิวนั้น เต็มไปด้วยพฤติกรรมที่ความเชื่อพุทธ ไม่สามารถยอมรับได้เลย ถ้าศาสนาใดต้องการจะคุยเปรียบเทียบเรื่องพระเจ้ากับศาสนาพุทธ ก็ต้องเอา พงศาวดารยิวทิ้งไปครับ ถ้าทิ้งไม่ได้ก็จบครับ ไม่ต้องคุยอะไรกันต่อแล้ว ไปกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด จะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้งเท่านั้นเอง จากคุณ : TaraLek เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 12:08:40

ความคิดเห็นที่ 27 การขอพรพระพุทธ จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 12:15:34

ความคิดเห็นที่ 28 พระพุทธเจ้า สำหรับผม คือ บุคคล ที่ แนะนำ ให้ผม ได้รู้วิธี ที่ ทำให้ อะไรๆ ก็มาทำอะไร ผม ไม่ได้ ถ้า ทำตาม ที่ พุทธองค์ สอน ให้ได้ครบถ้วนแล้ว จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 13:10:51

ความคิดเห็นที่ 29 ทีแรกเฉยๆ รู้สึกเหมือนศาสดาในศาสนาอื่นทั่วไป เพียงแต่ที่บ้านนับถือพุทธ สอนสิ่งดีๆ ก็ปฏิบัติตามๆกันไป เคารพแต่ไม่ลึกซึ้ง หลังจากได้มาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 พระพุทธเจ้าในความหมายเรา คือ เป็นครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ และเคารพอย่างสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด และมีความเมตตานำสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบมาเผยแผ่เพื่อดับทุกข์ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต และคุ้มค่าที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ที่ได้มาฝึกสติตามแนวทางของพระองค์ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความเคารพอย่างสูงสุดต่อพระองค์ได้ ส่วนขอพร ไม่ได้สนใจขอเรื่องอื่น เคยแต่อธิษฐานจิตขอให้ได้ปฏิบัติในแนวทางของพระองค์อย่างถูกทาง จนบรรลุมรรคผลนิพพาน จากคุณ : 4ปีจบ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 13:26:13

ความคิดเห็นที่ 30 พระพุทธเจ้าเป็นใคร? - เป็นมนุษย์ผู้ปฏิบัติ "ทศบารมี" อย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังไม่หลุดออกจากจักรวาลที่ทุกจิตสามัคคีกันสร้างขึ้น ร่วมกันก่อกรรมหวังเสพสุขกันอย่างเดียว ๑. มนุษย์ผู้สั่งสมการเป็นผู้ให้ จนถึงที่สุด(ทานบารมี) ๒. มนุษย์ผู้สั่งสมการอยู่ในกรอบปฏิบัติเยี่ยงสัตตบุรุษจนถึงที่สุด (ศีลบารมี) ๓. มนุษย์ผู้สั่งสมการปฏิบัติตนปลอดจากตัณหาราคะ กามสุขทั้งหมดจนถึงที่สุด (เนกขัมะบารมี) ๔. มนุษย์ผู้สั่งสมการสร้างปัญญา จากการเรียนรู้จากทุกสิ่งรอบตัวจนถึงที่สุด (ปัญญาบารมี) ๕. มนุษย์ผู้สั่งสมการกระทำตน ด้วยความพยายามอย่างไม่ลด ละ จนถึงความสำเร็จทุกเรื่อง (วิริยะบารมี) ๖. มนุษย์ผู้สั่งสมประสบการณ์ตรง เผชิญบททดสอบความอดทนต่อตนเอง "อย่างร้ายแรง"จนถึงที่สุด (ขันติบารมี) ๗. มนุษย์ผู้สั่งสม"วาทะกรรม" ปฏิบัติตามวาทะกรรมตนเองจนถึงที่สุด (สัจจะบารมี) ๘. มนุษย์ผู้สั่งสม"มโนกรรม" ปฏิบัติตามสิ่งที่ตั้งจิตไว้จนถึงที่สุด (อธิษฐานบารมี) ๙. มนุษย์ผู้สั่งสมความรักที่ละเอียดอ่อนที่สุดในจักรวาล ถึงที่สุดแห่งรักที่ไม่มีประมาณต่อทุกสรรพสิ่ง (เมตตาบารมี) ๑๐. มนุษย์ผู้สั่งสมความวางใจเป็นกลาง เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง จนถึงที่สุดแห่งความนิ่งเฉยด้วยปัญญาพิจารณาความถูกต้องเป็นเบื้องต้น (อุเบกขาบารมี) แม้ปฏิบัติกุศลกรรมทั้ง ๑๐ จนเต็ม ก็ไม่อาจพ้นออกจากจักรวาลนี้ ธรรมชาติของจักรวาล อันเกิดจากพลังจิตบนโลก ร่วมกันกำหนด/เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ทั้งที่หยาบ(ทางกาย)ให้ส่งผลต่อตน[เชิงประจักษ์] ก่อสร้าง-ทำลาย ฯลฯ ทั้งที่ละเอียด(ทางจิต)ส่งผลต่อDNA,การปรับตัวในระดับเซลล์,เปลี่้ยนแปลงอวัยวะที่ไม่จำเป็นต้องใช้งาน/อยากใช้งาน [เชิงจินตนาการ] เมื่อไม่พ้นก็ต้องหาวิธีพ้น การตรัสรู้(โดยอาศัยบารมี๑๐เป็นฐาน) "ธรรมะ"ซึ่งไม่มีในโลกจึงเกิดขึ้น ตรัสรู้ในกฏแห่งธรรมชาติของมนุษย์(กฏพื้นฐานทุกชีวิตที่ติดตัวกันมา เพื่อการดำรงตนอย่างถูกต้องดีงาม) ตรัสรู้ในกฏแห่งจักรวาล(หลักความสอดคล้อง-ขัดแย้ง-เกี่ยวเนื่อง(เหตุ) บรรดาลผลในที่สุด ,อำนาจแห่งทุกข์ในจักรวาล) ตรัสรู้ในกฏแห่งจิต(อำนาจการเกิด-ดับที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลนี้) พุทธองค์เป็นแบบอย่าง การทำดี ละชั่ว ทำประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างที่สุด อาจจะมีคนเอาอย่าง มีคนไม่ชอบ มีคนรังเกียจ ล้วนอยู่ในหลักโลกธรรม๘ ที่ทรงบัญบัติไว้ครับ ---------------- การสวดมนต์อธิษฐาน ขอพรจากท่านให้? หรือ จากกรรมตนเอง? ขออนุญาตแยกนะครับ ๑. "การสวดมนต์" เป็น อนุสสติ (เครื่องเจริญสติ) จัดเป็น "กรรมฐาน๔๐" "กรรม"-"ฐาน" การฝึกฝนตนเองต่อสิ่งกระทบทั้งปวงในเบื้องต้น เพื่อยกระดับคุณภาพจิตในเบื้องปลาย ๒. "การขอพร" เป็น อธิษฐานบารมี (มโนกรรมขั้นสูง อยู่ในบารมี๑๐ด้านบน) ขอใคร? "ขอตนเอง" (ในระดับพุทธะ) เป็นการสร้างกำลังใจ ไม่ขัดแย้งกับศาสตร์จิตวิทยาสมัยใหม่ครับ พูดแบบนำสิ่งที่มองไม่เห็นมาช่วยขยายผล (ในระดับสาวก ภูมิที่กำลังใจยังไม่แก่กล้า ยังต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งอาจาริวาทค้ำจุนจิตใจ) อาจมีเทวดา ,พรหม เทพองค์ที่เคย "ทำกรรมร่วมกันมา" เมตตา/เอ็นดู ช่วยให้สัมฤทธิ์ผล (อันนี้ก็ไม่ขัดแย้งต่อความเชื่อทั่วไป ในศาสนาใดๆ ที่มีสิ่งที่มองไม่เห็นคอยช่วยเหลือ) แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 15:20:00 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 14:09:51 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 13:54:34

ความคิดเห็นที่ 31 ถึง คห.23  คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดซิครับ  อย่าเพิ่งมีอคติ  ผมก็แค่ถามด้วยความอยากรู้ ว่าพุทธศาสนิกชนมีมุมมองต่อองค์พระศาสดาอย่างไร   ซึ่งเรื่องว่าชาวพุทธมีหลายระดับ อันนั้น ทุกศาสนาล่ะครับ มีศาสนิกที่เข้าถึงอย่างแท้จริงและเข้าถึงแค่เปลือกของพิธีกรรมและความเชื่อ   และที่คุณถามว่า ท่านเป็นใครสำหรับผม  ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้ศรัทธาในศาสนาพุทธ แต่ผมก็ให้เกียรติท่านเสมอ ผมถือว่าท่านเป็นครูที่ดี ท่านสั่งสอนในสิ่งที่ดี เป็นคำสอนที่ให้ลดอัตตาของตัวเองลง ลดละความชั่วร้ายของตัวเองหรือกิเลสของตัวลง อยู่กับปัจจุบันขณะ  กอรปแต่คุณความดี และมุ่งตรงไปสู่จุดสูงสุดคือนิพพาน  โดยวิธีการต่างๆที่ท่านสอน  ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นวิธีการที่ดีที่จะปรับปรุงตนโดยนำเอาคำสอนของท่านมาใช้ในชีวิต   ขอขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ ที่ได้แลกเปลี่ยนกัน ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจ หรือตีความกระทู้ของผมผิด  จากคุณ : Mana--Amen เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 14:44:11

ความคิดเห็นที่ 32 พระพุทธเจ้า ทรงเป็นใครสำหรับคุณครับ?  - ผมอยากจะเรียกท่านว่า พุทธะ มากกว่าครับ เป็นได้ทั้งบุคคลที่เป็นเสมือนพ่อ เสมือนพี่ หรือเพื่อน ที่ผมเห็นท่านเป็น Idol ในเืรื่องของสันติ และการรู้จักจิตใจตัวเอง การขอพรจากการสวดมนต์ - บางทีคนสวดขอพร ก็ขอเพราะเห็นว่า พระพุทธรูป (เทวดาที่รักษานั้น) ศักดิ์สิทธิ์ จึงขอกัน เช่น ขอให้ได้ลูก, ขอให้ค้าขายดี, ขอให้มีสวัสดิภาพ หรือขอให้ได้คเนื้อคู่ (อันนี้คลาสิกมาก ว้าววววว) - บางคนก็ขอเพื่อให้รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น อย่างเช่น บรรดาคนจีนทั้งหลาย ที่สวดมนต์ขอต่อ ทั้งพระพุทธรูป (ทรงจีนๆ) หรือเจ้าแม่กวนอิม เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น  เชื่อมั่นขึ้น เช่น ค้าขายร่ำรวย, ปกป้องลูกหลาน, มีมิตรที่ดี และที่สำคัญ เขาเหล่านั้น ก็ดำเนินชีวิตตามที่ขอ ด้วยการใช้ความพยายามของตัวเอง ทำสิ่งที่ขอให้สัมเร็จผล - บางคนก็ขอในเรื่องของนามธรรม เช่นว่า ขอให้ตนเอง เป็นผู้มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ มีความใส่ใจต่อการฝึกปฏิบัติธรรมะ  เป็นต้น ซึ่งเรื่องที่ขอนี้ แม้ว่าจะไม่ขอกับพระพุทธรูป เขาเหล่านั้นก็มีความตั้งใจ (อธิษฐาน) ที่จะทำมันอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการความหนักแน่นทางใจ  และมีปีติสุข เสมือนว่า เราได้ให้คำสัญญานี้กับพระพุทธเจ้าที่เราเคารพรักยิ่ง (ข้อนี้ดูสมเหตุสมผล เข้าหลักการอธิษฐานอย่างพุทธะ)    จากคุณ : หน้ากาก ธรรมะ เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 14:56:34

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบพระคุณที่ชี้แจงนะคะ จขกท. ความจริงแล้วดิฉันก็เกรงว่าคุณจะเข้าใจผิดเช่นกัน ว่าดูแรงไปไหม แต่เมื่อกล่าวถึง  พระพุทธองค์ทีไร  มันตื้อที่ใจทุกมี  ขออภัยด้วยนะคะ   คุณดูสุภาพ  และให้เกียรติบุคคลอื่น  โดยเฉพาะพระพุทธองค์ ดิฉันอาจตอบดูรุนแรง  แต่ภายในใจนั้นสุภาพ  และรักพระพุทธองค์อย่างแรงกล้า ดิฉันมีชีวิตเดิมพันด้วยพระพุทธองค์  ถ้าไม่มีคำสอนของพระพุทธองค์   ดิฉันจะตายไปแล้ว เพราะดิฉันอธิษฐานตั้งใจไว้ว่า ถ้าชีวิตนี้  ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจชีวิตด้วยการปฏิบัติ  จะขอพิสูจน์คำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง   ถ้ามันไม่มีจริง  ก็ขอเอาชีวิตนี้เข้าแลกเลย ไม่ขออยู่อย่างหลงโลกอีกต่อไป เพราะฉะนั้น  ความรักและเทิดทูนนี้  จึงแรงกล้า  เพียงแค่อยากสื่อ ให้คุณเห็นเท่านั้น  ทุกครั้งที่เอ่ยถึงบทสรภัญญะถึงคุณของพระพุทธองค์ น้ำตานี้จะไหลนองหน้าทุกครั้งไป   ดิฉันเป็นพุทธาจริตโดยแท้จริง  ตั่งแต่เกิดมา ก็เกิดมาใน  วันวิสาขบูชา    มีชื่อจริงๆเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา ก่อนเกิด  มาดลใจแม่ว่าจะชื่อนี้เท่านั้น เพื่อต้องการให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ (คุณเคยรักและเคารพใครแบบข้ามภพข้ามชาติหรือไม่  ดิฉันนี่แหละที่รักพระองค์) แม่ตัดสินใจตั้งชื่อนี้  ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะคลอดในวันวิสาขบูชา   และมีอะไรผูกพันกับพระพุทธองค์มากมาย มีช่วงเวลาความมหัศจรรย์มากมาย เกินบรรยาย  ดิฉันเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าคุณสุภาพ  ออกจะเกรงใจด้วยว่ามันอาจ ทำให้คุณขุ่นใจด้วยเหมือนกัน  เพียงแต่อยากสื่อด้วยอักษรว่ารักท่านเพียงใด   เท่านั้น  รักแบบเคารพที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดิฉันมีพระองค์เป็นดั่งบิดาและมารดา มีมารดาที่แท้จริงเป็นดั่งกัลยานิมิตรเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม  และเรามีท่านเป็น ดั่งดวงใจ    คุณอาจไม่ได้อะไรจากกระทู้นี้   แต่อย่างน้อยขอให้คุณรู้ว่า  คนที่รักพระพุทธองค์  ด้วยใจเคารพเทิดทูน และด้วยการปฏิบัตินั้นมี  อย่างน้อยๆ  ดิฉันเป็นเพียงเสี้ยวธุลีนั้นคะ   ขอบคุณสำหรับคำตอบว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรสำหรับคุณนะคะ   เพราะว่า  นั่นคือสิ่งที่ดิฉันอยากรู้จากผู้ตั้งคำถามเหมือนกัน  และ คำตอบนั้นทำให้ดิฉันประทับใจคะ   เจริญในที่ใดที่คุณปรารถนานะคะ แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 17:10:18 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 16:55:49 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 55 16:42:55 จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 16:17:01

ความคิดเห็นที่ 34 ส่วนตัวมองพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ต่างจาก พระเยซู หรือท่านมุฮัมมัด ท่านเหล่านี้เป็นนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของโลกที่น่าจดจำเพียงเท่านั้น จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 18:10:41

ความคิดเห็นที่ 35 พระพุทธเจ้าคือ ผู้ชี้ทางพ้นทุกข์ เป็นศาสดาของเรา การบุชาพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายด้วยเพราะหมดกิเลสแล้ว แต่จะเกิดประโยชน์กับผู้บุชาเองคือ โยง กายวาจา ใจ ของเราให้น้อมนึกถึง พระพุทธองค์ และคำสอนอันประเสริฐทั้งหลาย  นำมาปลุกใจให้เราทำประโยชน์ สุขแก่ตัวเองและผู้อื่น     การบูชาที่ไม่ไร้ผลคือ บุชาพระพุทธคุณ 3 อย่าง พระปัญญาคุณ  การกระทำอย่างมีเหตุผล พระเมตตาคุณ   ความปรารถนาที่ให้ผู้อื่นเป็นสุข พระบริสุทธิคุณ  มีจิตใจอันบริสุทธิ์   อ้างอิงจาก มิลินทปัญหา ตอนที่ 8 บุชาพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร จากเวปพลังธรรม.com จากคุณ : KOB ON KALA เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 08:38:17

ความคิดเห็นที่ 36 "พระพุทธเจ้า ทรงเป็นใครสำหรับคุณครับ?" มีวิชาหนึ่ง ว่าด้วยการดับทุกข์ มีวิชาก็ย่อมมีผู้คิดค้นวิชา นั่นแหละพระพุทธเจ้า "การที่พุทธศาสนิกชนสวดมนต์ขอพรท่านนั้น" การสวดมนต์ไม่ได้เป็นการขอพรครับ ไม่ใช่เลย ถ้าเอาบทสวดมาแปลจริงจะเหมือนกับ เป็นการอ้างอิงท้ายหนังสือนั่นแหละ เอาหนังสือวิชาการมาซักเล่ม นึง เปิดไปท้ายๆเล่ม จะมีบอกว่า เรื่องนี้ ใครทดลอง ใครบันทึกผล ใครวิจัย เช่นเดียวกัน บทสวดมน คือ อ้างอิงอันนั้น เพียงแต่ นำมาไว้ข้างหน้า แทนที่จะอยู่ข้างหลัง ทำวัด คือ ทำอะไร ทำวัด คือ 1. สวดมนต์ (อ้างอิงว่าวิชามาจากไหน) 2. นั้งสมาธิ (เหมือนใครทำงานอยู่ก็ให้วางงานที่ทำ แต่เป็นใครที่ใช้สมองคิดเรื่องอื่นอยู่ก็ให้ หยุดคิดแล้วมาตั้งใจฟัง) 3. ฟังธรรม (ก็คือฟังบรรยายเนื้อหาวิชา) 4. บางคนหลังจากทำวัดแล้ว ก็จะเดินจงกรม (ทำกายภาพบำบัด ชดเชยกับที่นั่งนาน) บ้างก็นั่งวิปัสนาต่อ (คือทบทวนเนื้อหาที่เรียน และทำความเข้าใจเพิ่มเติม) ถ้าใครก็ตาม เข้าร่วมกิจกรรมที่วัด โดยตัดคำว่าความเชื่อทิ้งไป แล้วตั้่งสติดูให้ดี ก็จะเห็นตามที่ผมเห็นนี้แหละ ศาสนาพุทธ จะขัดแย้งกับ ศาสนาอื่นๆที่นับถือพระเจ้า เพียงเรื่องเดียว คือ ศาสนาพุทธ ถ้าแจ้งในทุกข์แล้ว เราจะไม่ขอพรใดๆ ไม่ว่าจากเทพองค์ใด จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 55 12:10:23

ความคิดเห็นที่ 37 พระพุทธเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปเพื่อ ความตรัสรู้ เป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสํารอกออกไม่มีเหลือซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไปเพื่อความดับโดยไม่เหลือของ อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน เป็นไปเพื่อความสงบสันติสุข เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ฯลฯ "ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ที่ทําให้สัตว์โลกได้หลุดพ้นจากทุกข์ตลอดกาล" นั่นคือพระพุทธเจ้า จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 55 12:41:31

ความคิดเห็นที่ 38 พระพุทธเจ้า. คือ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ที่ผมได้ทดลองปฏิบัติตามคำสอนของท่านแล้ว จึงรู้ว่าท่านสอนแต่เรื่องจริง ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้จริง จากคุณ : trialuck เขียนเมื่อ : วันเกิด PANTIP.COM 55 00:18:18

ความคิดเห็นที่ 39 เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจะระณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์, ดังนี้ฯ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 15:20:10

ความคิดเห็นที่ 40 ชีวิตนี้อ่านหนังสือมาเยอะแยะมากมาย จนวันที่ได้อ่านพระไตรปิฎก คำสอนของพระพุทธองค์ แทบหงายหลังตึง..... หนังสือเป็นพันๆเล่มที่สะสมมาทั้งชีวิต รวมทั้งชีดีหนังเพลงซี่รี่ทั้งหลายแหล่ เอาไปบริจาคเกือบหมด รู้สึกความรู้ที่เรียนมาตั้งแต่อนุบาลจนจบปริญญานี่ เป็นอะไรที่แทบจะเรียกว่าไร้สาระมากกกกก..... คำว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่มาก รูปนาม ขันธ์5 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนๆเรา ฝึกฝนตนเองจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ ไม่มีคำไหนบรรยายได้เลย จากคุณ : January Friend เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 13:32:08