ทางที่ท่านสอนให้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทุกทางเป็นทางสายตรง ไม่มีทางใดอ้อม ต่างมุ่งสู่การพ้นทุกช์
ต่างกันแต่ เส้นทางเช่น สติปัฐฐาน 4 เดินสบายๆ เรียบง่าย สำหรับคนส่วนใหญ่มักต้องเดินยาวไกล เอาความขยันเข้าแลก เหมือนคนที่รู้ทิศทางเทคนิคในงานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงและทรัพยากรหนุน ก็ต้องค่อยๆทำสะสมไปจนสำเร็จ เป็นแบบช้าแต่ชัวร์
หรือเส้นทางสูงชัน ปีนป่ายยากลำบาก เช่น พยายามฝึกสมถะก่อนเพื่อใช้เป็นฐาน หากได้สัมมาสติ สัมมาสมาธิเต็มพร้อมเร็ว ก็มักเอื้อให้บรรลุธรรมได้เร็วไปด้วย เหมือนคนที่ฝึกจนแรงดี สะสมทรัพยากรพื้นฐานให้พร้อมเสียก่อนแล้วค่อยเริ่มเรียนรู้ว่าจะทำงานในรูปแบบไหนดี แม้ได้เทคนิคทีหลังก็จะทำงานเสร็จไวมาก จะมุ่งแต่วิธีนี้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องอาศัยความทุ่มเทในการฝึกฝนเยอะ
ดังนั้นถ้าฝึกแนวเจริญสติได้ผลดีแล้วก็น่าจะลองฝึกแนวเจริญสมาธิเสริมเข้าไปบ้าง ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เสียหายอะไร แต่ส่วนใหญ่ถ้าสติแข็งอยู่แล้ว การฝึกสมาธิจะช่วยให้ไปได้เร็วขึ้น หรือคนที่ฝึกสมาธิมานานมากเป็นปีๆแล้วก็ยังไม่เห็นผลแตกต่างชัดเจน สมาธิก็คงเดิม กิเลสและความทุกข์ก็ยังเหลือเยอะ ลองปรับมาฝึกเจริญสติเป็นแนวหลัก หรือเพื่อใช้หนุนสมาธิดูบ้างนะครับ
ผมจึงเห็นว่า ในส่วนสาระสำคัญ ครูบาอาจารย์แต่ละท่านต่างสอนสรุปลงเข้ากันได้กับพระไตรปิฏกแทบทั้งันั้น ในส่วนปลีกย่อย เช่นอุบายเพื่อแก้ปัญหาทางจิต หรือเกี่ยวกับจริตนิสัย ท่านมักสอนตามเส้นทางที่ท่านเคยผ่าน ดังนั้น สิบอาจารย์ก็สิบเส้นทาง ทับซ้อนกันบ้างไกล้กันบ้างตรงข้ามกันบ้าง แต่เห็นชัดว่าแม้ต่างครูบาอาจารย์ หากยิ่งปฏิบัติไปความต่างยิ่งน้อยลง ความสงสัยมีน้อยลง คำถามมีน้อยลง ความทับซ้อนยิ่งมากขึ้นเรื่อย จนในที่สุดก็รวมลงเป็นหนึ่งเดียว
แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 55 02:08:45
แก้ไขเมื่อ 06 ต.ค. 55 14:34:42
จากคุณ |
:
BlueDelphi
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ต.ค. 55 14:25:40
|
|
|
|