|
นาย venture ก็จะมาบอกอีกว่า ที่แตกดับนั้นกายเนื้อ กายธรรมยังอยู่เป็นนิรันดร อย่างที่ลัทธิที่เขาชื่นชอบเข้าใจ
ผมจะแจ้งว่าในพระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"...ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา.."
ถ้ากายธรรมมีอยู่จริง ก็ย่อมเป็นอนัตตา
(ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มีใครทราบได้หรอกว่ามีหรือไม่มี เพราะ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงพยากรณ์ เรียกอัพยากฤตปัญหา )
ปัญหาพวกนี้ว่า อัพยากฤตปัญหา
จุดมุ่งหมายของพุทธไม่ใช่แต่การสนทนาโต้ตอบหาเหตุผลทางความคิดทางปรัชญา แต่มุ่งที่การหลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ เมื่อถูกถามปัญหาเกี่ยวกับอภิปรัชญา พระพุทธเจ้าจะปฏิเสธไม่ตอบเงียบเฉย นิ่งเสีย และบอกว่าไม่ควรถาม การนิ่งไม่ยอมตอบ ไม่ใช่เป็นเพราะความไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งต่างหาก เพราะแม้ตอบแล้วก็จะยังไม่จบอยู่ดี ปัญหาทาง อภิปรัชญาที่นักคิดสมัยนั้นชอบโต้แย้งกันโดยถามหาที่สุดโลก เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรียกว่า อัพยากฤตปัญหา 10 อย่าง คือ
1. โลกเที่ยง 2. โลกไม่เที่ยง 3. โลกมีที่สุด 4. โลกไม่มีที่สุด 5. สรีระ (ร่างกาย) และชีพ (วิญญาณ) เป็นอันเดียวกัน 6. สรีระ (ร่างกาย) และชีพ (วิญญาณ) เป็นคนละอย่างกัน 7. ตถาคตจะเกิดใหม่อีกเมื่อตายไป 8. ตถาคตจะไม่เกิดใหม่อีกเมื่อตายไป 9. ตถาคตทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป 10. ตถาคตไม่ใช่ทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป
ข้อสังเกต ข้อ 1 - 4 โต้เถียงในเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ วัตถุ (รูปธรรม) ข้อ 5 - 6 โต้เถียงในเรื่องสภาวะของชีวะ (วิญญาณ) ที่เรียกว่า อาตมัน (นามธรรม) ข้อ 7 - 10 โต้เถียงในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด การเกิดใหม่ ( อ้างอิง มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, 2530), เล่ม 12 ข้อ 309 หน้า 308. )
เหตุผลที่ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัย ไม่ตอบปัญหา, การโต้เถียงปัญหาทางอภิปรัชญา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ
1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดโต้เถียงกัน กว่าจะได้คำตอบก็ตายก่อน ทั้งนักคิด ชาวตะวันตก และนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ถูกสักคน 2. ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า 3. ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าที่จำต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน 4. ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม พระองค์จะนิ่งเฉยเสีย หรือปฏิเสธตรงๆ หรือให้ยกคำถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ การไม่ตอบเป็นความฉลาด ถ้าตอบ "ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่ายของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง) ถ้าตอบ "ไม่ใช่" ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ) ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และอนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และตอบปัญหานี้ได้ดี
คำตอบต่ออัพยากฤตปัญหาเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ และจากฐานความคิดทางปรัชญาเอง นักปรัชญาก็ยังหาไม่พบคำตอบอันสุดท้ายเป็นที่ยอมรับกันได้โดยทั่วไป เพราะคิดแล้วไม่รู้จักจบสิ้นดังกล่าว ดังนั้น พระองค์ จึงไม่ตอบปัญหานี้
ท่านพระธรรมปิฏกได้แสดงความเห็นการที่พระพุทธไม่ทรงตอบปัญหาเหล่านี้ใน บทขยายของหนังสือ พุทธธรรม ฉบับเดิม หน้า ๑๕๘ ว่า
" การที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาที่เรียกว่าอภิปรัชญา (สมัยก่อนเรียกว่า อัทธยาตมวิทยา)เหล่านี้ มีเหตุผลหลายประการ ที่สำคัญก็คือ ปัญหาเหล่านี้ตั้งขึ้นโดยอาศัยความเข้าใจผิดเป็นมูลฐาน คิดปัญหาขึ้นจากความเห็นผิดของตนเอง เช่น เข้าใจว่ามีอัตตา เป็นต้น ปํญหาที่ถูกถามจึงไม่มีภาวะที่ตรงกับความจริง เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ตั้งปัญหาไม่ถูก .... อีกประการหนึ่ง ความจริงที่ปัญหานี้เล็งไปถึง มิใช่สิ่งที่จะเข้าถึงได้ด้วยเหตุผล การอธิบายด้วยเหตุผลย่อมไม่มีทางให้ผู้ฟังมองเห็นความจริงได้ เป็นอย่างที่เรียกว่า สิ่งที่ต้องดูด้วยตาจะเอามามองให้เห็นด้วยหูย่อมเป็นการสิ้นเปลืองเวลาเปล่า นอกจากนั้น สิ่งที่สืบเนื่องจาดเหตุผลข้อที่แล้วมา ก็คือ ในเมื่อไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยเหตุผล การยังมามัวตีวาทะแสดงเหตุผลกันอยู่ ย่อมไม่ช่วยให้เกิดผลทางปฏิบัติในชีวิตจริง พระพุทธเจ้าทรงสนพระทัยสิ่งที่เป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงในทางปฏิบัติ นำมาใช้ประโยชน์ได้ จึงทรงปัดปัญหาเหล่านี้เสีย ประการสุดท้าย พระพุทธเจ้าทรงอุบัติในสมัยทีคนกำลังสนใจกันนักหนา ในปัญหาเหล่านี้ เจ้าลัทธิที่สนใจคิดถกเถียงตอบปัญหาเหล่านี้กัน ก็มีทั่ว ไป คนถามก็นิยมถามปัญหาเหล่านี้ จนกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะความคิดของคนยุคนั้น ซึ่งหลงวุ่นวายในเรื่องนี้กันจนเหินห่างจากความจริงของชีวิต การที่จะไปร่วมวงตอบกับเขาอีก ก็ไม่ทำให้เกิดอะไรดีขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงนิ่งไม่ตอบเสียเลย ซึ่งนอกจากเป็นการไม่ส่งเสริมการถกเถียงในเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นการกระตุกอย่างแรง ให้หันมาหาสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งสั่งสอน คือความจริงที่เกี่ยวกับชีวิตจริง อันเป็นวิธีการที่ได้ผลทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
--------
คุณเข้าใจที่ ผมนำข้อมูลลงมาให้อ่านบ้างไหม venture?
จากคุณ |
:
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา (ต่อmcu)
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ต.ค. 55 13:29:28
|
|
|
|
|