Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไม และต้องทำอะไร (ทุกศาสนา) ติดต่อทีมงาน

ขอปรึกษาเพื่อน ๆ ครับ

ผมมีเพื่อนที่รักมาก ๆ คนหนึ่ง สมมุติว่าเค้าชื่อ "อ" ผมกับเค้าพบกันเมื่อราวสองปีก่อนในช่วงที่เค้ากำลังประสบปัญหาชีิวิตหนัก ๆ ผมเอง ตั้งแต่เจอเค้า ก็ีมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นมากมาย ที่เปลี่ยนชีวิตของผมไป


ได้คุยกับเค้าจริง ๆ ครั้งแรก หลังจากที่ทักกันผ่าน ๆ ครั้งแรกจริง ๆ เวลานั้น เพียงไม่ถึงสิบนาทีก็ีมีเหตุให้ผมต้องพาเค้าส่งโรงพยาบาลทันที เหมือนว่าผมต้องอยู่ตรงนั้น ในตอนนั้น เพื่อจะเรียกรถพยาบาลให้เค้าทัน

พอเค้าไปอยู่โรงพยาบาล ผมไปเฝ้าเค้า วันสงกรานต์ปี 53 ผมนอนที่โซฟาข้าง ๆ เตียงเค้า ผมรู้สึกเหมือนว่าผมลอยได้ ทำไมใจมันอิ่ม ๆ ปีติ ๆ กับคนคนนี้จนบอกไม่ถูก น้ำตามันจะไหลออกมา ทำไมฟ้าดูสว่าง ทำไมแสงแดดจ้า สดชื่น รู้สึกเหมือนลอย ลอยอยู่บนฟ้า ใจผมลอยขึ้นมา (ถ้าเป็นคนที่เคยได้ฌานจะรู้ว่าอาการปีติซาบซ่านเป็นอย่างไรผมในตอนนั้นเป็นแบบนั้น) แต่ไม่ใช่เป็นการลอยแบบหลงรัก อย่างเช่น คนกถูกขอแต่งงงานหรือกำลังจะแต่งงานกันรู้สึกว่าโลกสดใส รู้สึกเหมือนลอยได้ ปีติน้ำตาไหล อะไรแบบนี้ แต่เ็รารู้สึกได้ว่าเป็นปีติที่บริสุทธิ์ เป็นความรู้สึกของความผูกพันธ์ ความเอาใจใส่

ตอนนี้ผมคิดไปถึงอดีตชาติว่าต้องเคยมีความผูกพันธ์ขั้นรุนแรงมั่นคงกับคนคนนี้มา เค้าไม่ใช่เพื่อนธรรมดา อาจจะเคยเป็นเื่พื่อนตายกันมา ถึงได้รู้สึกปลาบปลื้มมหาศาลแบบบอกไม่ได้แบบนี้



เวลาผ่านไป ผมกับเพื่อนคนนี้ก็ผูกพันธ์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่ว่าขาดกันไม่ได้  ในขณะเดียวกัน "อ" ก็มีปัญหาเรื่องครอบครัว และเค้าก็กินยานอนหลับจนทำให้เกิดความเครียดรุนแรง   จุดนี้เอง ที่ผมเริ่มเห็นสิ่งผิดปรกติ


ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าผมไม่เหมือนเดิม  ทุกครั้งที่ "อ" คิดถึงผม ผมจะรู้สึกฟูฟ่อง อบอุ่นอย่างบอกไม่ได้  แต่เมื่อไรก็ตามที่ "อ" เค้ามีความเครียด ผมจะเริ่ม ขอใช้คำ่่ว่า "ประสาท" เพราะว่าเค้าไม่ได้เป็นคนเดียวครับ

ยกตัวอย่าง สมมุติ "อ" กำลังเครียดมาก โทรหาผม อยากให้ผมรับสาย ปรกติถ้าผมรับไม่ได้ผมก็ตัดสายทิ้ง แต่บางทีผมก็ไม่รับ ตอนที่ผมไม่รับอยู่ ๆ หัวผมก็รู้สึกวิ๊ง ๆ วิงเวียน เหมือนมีอะไรมากด หนัก ๆ มาบีบผม ทำให้ผมที่กำลังนั่งอยู่ในออฟฟิตลนไปหมด ใจได้แต่บอกว่า "เดี๋ยว ๆ ๆ โอเค เดี๋ยวรับสาย ๆ ใจเย็น"  แล้วพอผมรับ เค้าก็มีเรื่องเครียดมาบอกมาเล่าให้ผมช่วยจริง ๆ เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง


และในช่วงที่เค้ากินยา เวลาที่ยานอนหลับ xanax ออกฤทธิ์  ผมสังเกตุได้ว่าเค้าพูดวนไปมา ดูก้าวร้าว (แต่เค้ากลับใจดีกับผม รักผม) กับคนรอบข้าง ในช่วงที่ยาออกฤทธิ์ ผมจะรู้สึกตึง ๆ หัว  แต่จะหายไปเมื่อเค้าเป็นปรกติ


และเหตุการณ์สำคัญที่สุด ผมได้ช่วยเค้าจากเรื่องเลวร้ายมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เรื่องเกิดขึ้นในโรงแรม ผมกำลังอยู่ที่ล๊อบบี้ สั่งเครื่องดื่ม ในขณะที่เค้าเองอยู่ในห้องชั้นบน  ผมยืนอยู่เฉย ๆ จู่ ๆ ก็มีภาพของเค้าชัดเจนภาพหนึ่งเกิดขึ้น เหมือนในหนัง แบบ วิ๊งง ผมตกใจกับภาพ ๆ นั้นทำให้ผมถึงกับอุทานขึ้นมา แล้วรีบพุ่งไปที่ห้อง ก็เิกิดเรื่องนั้นจริง ๆ ด้วย แต่ผมเ้ข้าไปช่วยห้ามไว้ทัน ทั้งที่ตอนที่ผมลงมาสั่งเครื่องดื่ม (ให้เค้า) ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมากของคืนนั้น ที่โรงแรมแห่งหนึ่งชื่อย่อ "ณ.ร." มีพยานรู้เห็นหลายคน


ผมเริ่มไม่สบาย เริ่มมีความทุกข์มากขึ้นจากการสื่อสารกับเค้า  ผมรับรู้ความรู้สึกของเค้าทุกอย่าง ทั้งเวลาตื่น ทั้งเวลาหลับ บางครั้งผมก็โทรเข้าไปทักเค้าเลย ถามเค้าในอาการที่เค้าเป็น เค้าก็ถามกลับว่ารู้ได้อย่างไร ? ผมเองก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า รู้ รู้ รู้ และไม่เคยมีวันไหนที่ไม่รู้เลย



ช่วงหนึ่ง อาการของเค้า ทำให้เค้าทำบางอย่างที่ผมคาดไ่ม่ถึง จนขาดการติิดต่อกับผมไป เค้าเหมือนหนี แต่ผมยังคงสื่อสารกับเค้าได้ ผมอ่านเค้าผ่านใจ เค้าอ่านผมผ่านเมล เค้าไม่ตอบเมลผม แต่ผมส่งเมลไปหาเค้าตลอด เกือบทุกวัน ผมใช้ธรรมะข่ม ผมเล่าเรื่องธรรมะ ชาิดก คาถาธรรมบท ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี ผมนำมาใช้ และโดยเฉพาะเค้าเป็นลูกครึ่ง ผมจึงนำธรรมะของพระอาจารย์พราหมณ์ ศิษย์ฝรั่งของหลวงพ่อชา สุภัทโท

ตัวอย่างเช่น (ถ้าฟังภาษาอังกฤษได้ ฟังดู เพื่อน ๆ จะรู้ว่า ธรรมะของท่านถ้าแปลเป็นไทยแล้ว เป็นพระไทย ท่านเป็นพระอยู่ในระดับท่าน ว.วชิรเมธี หรือบางช่วง แนวคิดในคำสอนของท่านเข้าได้กับหลวงพ่อปราโมทย์ เว้นแต่เพียงหลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนลุ่มลึกในเรื่องกรรมฐานด้วย ทีเดียวครับ ท่านสอนแต่ละหัวข้อได้ลุ่มลึกเิกินคำบรรยาย)
Dealing With Difficult People
http://www.youtube.com/watch?v=jniaUr_7438


หลังจากที่ผมส่งธรรมะให้เพื่อนของผมฟังและอ่าน ผมติดตามดูเค้าตลอดว่าเค้ายอมอ่าน ยอมฟัง ยอมเข้าใจสิ่งที่ผมบอกไหม ผลปรากฎว่า เค้าฟัง เค้าอ่านตาม ผมรู้ได้จากการสังเกตุ คือ มีช่วงหนึ่ง ที่โน๊ตบุ๊คที่บ้านผมเีสีย กลางคืน เวลาผมจะหลับ พอรู้ว่าเค้ายังไม่หลับ ผมก็ต้องเดินออกไปดึก ๆ ไปที่ร้านอินเตอร์เนท ส่งเมลธรรมะให้เค้า และเล่าเรื่องย้อนหลังของแต่ละวันให้เค้าเข้าใจว่าวันไหน เค้าทำอะไรอย่างไร ต้องแก้ไขอะไร  พอผมพิมพ์เสร็จ  ส่งเสร็จ ผมก็เดินกลับมา้บ้าน

ในระหว่างที่เดิน ผมส่งธรรมะอย่างเช่น ในคลิปข้างต้น ซึ่งมีความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้เค้า ผมสังเกตุว่า พอผมออกจากร้านอินเตอร์เนทเพียงสองสามนาที ใจผมเริ่มสงบ พอผ่านไปประมาณสิบห้านาที ผมเริ่มเกิดปีติขึ้นมาเอง ใจผมเบา สบาย โล่ง เหมือนว่าผมกำลังฟังธรรมะข้อใดข้อหนึ่งอยู่แล้วคิดออก หรือได้สติ  พระอาจารย์พราหมณ์ ท่านสอนธรรมะให้ผมได้สติมาก ๆ แต่ในเวลานั้นผมไม่ได้ฟังเลย แต่ความรู้สึกปีตินี้เหมือนว่ากำลังฟังธรรมะอยู่ และความรู้สึกนี้ เกิดขึ้น บวกลบ ห่างกับความยาวของคลิปวีดีโอที่ผมส่งไปให้เค้าแต่ละครั้ง ไม่เกินสิบนาที


ผมรู้และมั่นใจอย่างแน่นอน ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เค้ากำลังฟังธรรมะที่ผมส่งไป  ผมนั่งมองนาฬิกา สมมุติว่า ผมส่งไปราวเที่ยงคืนสิบห้านาที  และผมรู้ว่าเค้านั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แมคโปรของเค้า  ถ้าเค้าเปิดอ่านและฟังทันที  คลิปนั้นจะหมดที่ราว ๆ ตีหนึ่งยี่สิบนาที  และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ  ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าผมคิดไปเอง  ไม่มีใครทำให้ตัวเองเกิดปีติขึ้นมาได้เอง  เพราะผมกำลังเดินกลับบ้าน มองซ้าย มองขวา ข้ามถนน ทางมืด ๆ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมเกิดปีติได้มากมาย  แต่ปีติมาจากเค้า  ความสุขจากการได้สติในธรรมะเกิดที่เค้า แต่รับรู้ที่ผม


ในช่วงแรก ๆ ที่ผมยังปูพื้นธรรมะให้เค้าไม่กี่เรื่อง ผมก็ปีติเป็นช่วงสั้น ๆ บางครั้งผมส่งกระทู้ของผมเองไปให้เค้า  กระทู้ไหนยาว ๆ ผมก็ีปีติตามเค้านาน บางกระทู้ซาบซ่าน บางกระทู้เหมือนเค้ากำลังใช้ความคิด  พอถึงช่วงหลัง ๆ ผมสัมผัสได้ว่า ผมรับรู้อะไรบางอย่างที่มาจากคนคนหนึ่งในลักษณะสงบลง ใจเย็นลง เครียด แต่เป็นไม่ใช่เครียดจากยา หรือเครียดจากอาการประสาท แต่เป็นความเครียดที่เกิดจากการได้สติแล้วรู้ว่าเคยทำอะไรลงไป ทำให้เกิดความเสียใจ  เป็นความเครียดแบบรู้สึกผิด


ผมพยายามอย่างนี้สี่ร้อยห้าร้อยเมลตลอดปี  จนวันสุดท้ายที่ความพยายามผมเป็นผล  ผมให้เค้าัฟังธรรมะออนไลน์พระอาจารย์จิรยุทธิ์ อธิฉนฺโท ท่านกำลังออกอากาศสดจากเวปไซด์วัดตาลเอน http:www.wattanen.org แล้วผมฟังไปก็น้ำตาไหลไป  แต่พอผมมาสังเกตุ เอ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่น้ำตาไหล  ผมนั่งอยู่หน้าคอมฯ เฝ้าสัมผัสเค้า ความปีติรุันแรงออกมาเป็นช่วง ๆ แต่ไม่ได้เกิดจากผม ไม่ใช่ปีติผม  เป็นปีติคนอื่น  จากเค้า (ถ้าใครได้เคยฟังธรรมะของพระอาจารย์จิรยุทธิ์ ศิษย์คนสำคัญของหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านจะออกอากาศหลังทำวัตรเย็น เวลาหกโมงเย็น ที่วัดหรือทางเวปไซด์ จะทราบได้ทันทีว่าธรรมะที่พระอาจารย์แสดง  ไ่ม่ใช่ธรรมะของคนธรรมดา  เพียงผมได้ยินเสียงของท่านก็รู้สึกได้เลยว่าปิดคอมฯไม่ได้ ต้องฟังต่อ การเทศน์ของท่านอัศจรรย์มากหาได้ยากในเมืองไทย)  และในช่วงนั้นเอง ผมสังเกตุความรู้สึกได้่ว่า เค้าปีติมาก  และได้สติ  


ผมตกใจและดีใจมาก  น้ำตาผมเอ่อไหลหน้าเครื่อง "อ เค้าได้สติแล้ว เค้าได้สติแล้ว"  ผมพิมพ์ข้อความว่าเค้าได้สติแล้ว ลงในเฟสบุ๊ค ซึ่งถือเป็นบันทึกหลักฐานการรับรู้ของผม

คืนนั้นเอง สามทุ่ม ผมกลับมาที่บ้า่น นั่งที่โต๊ะอาหาร ผมนั่งดูเค้าต่ออีก รับรู้ได้ว่า เค้าต้องการที่จะติดต่อกับผมมาก  เค้าอยากคุยกับผม  และเรื่องก็เป็นจริง  เวลาเช้าัวันรุ่งขึ้น ประมาณสิบโมง หลังจากที่ไม่ได้คุยโทรศัพท์ ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของเค้าทั้งความเป็นห่วง  เค้าส่งเมลมา พร้อมกับหมายเลขโทรศัพท์จริง ๆ



ผมพยายามทบทวน สิ่งที่จะต้องพูดกับเค้า เพราะผมเองก็ทรมานจากการที่ต้องจากเพื่อนที่ผมรักไป  ผมไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้พระพุทธเ้จ้าสอนว่าเพื่อนที่ควรคบมีสี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือเพื่อนตาย  ผมไม่คิดว่าผมจะมีความคิดว่าผมสามารถตายแทนเพื่อนสักคนได้ แต่กับเค้า  ผมรู้สึกแบบนั้น  ผมรู้สึกเหมือนเค้าเป็นลูก เหมือนเค้าเป็นน้อง  เหมือนเค้าเป็นแฟน เป็นแม่ เป็นทุกอย่างของชีวิต  ทั้งที่เค้ามีสถานะเป็นเพียงเพื่อน  ผมรู้ว่าผมเป็นเพียงเพื่อน เค้าเองก็แต่งงาน มีลูกสาวอายุสามขวบกำำลังน่ารัก  ความรู้สึกอบอุ่นนี้ก็ไม่ได้มาจากการที่ผมมีความสเน่หาเค้าเลย  แต่ผมรู้สึกว่าเค้าเหมือนญาติผมมาเป็นร้อย ๆ ชาิติ  ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านนกุลบิดาและท่านนกุลมารดาว่าเพราะอะไร ทั้งสองท่านเมื่อพบพระพุทธเจ้าครั้งแรกก็ร้องไห้และก้มลงไปกราบ บอกกับพระองค์ท่านว่า "ลูกเอย ลูกหายไปไหนมา ไม่มาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่บ้างเลย" ทั้งที่ทั้งสองท่านไม่ใช่พ่อแม่ของพระพุทธองค์ แต่เป็นเพราะทั้งสองท่านในชาติก่อน เคยเป็นลุงป้าน้าอาเป็นพ่อแม่อย่างละห้าร้อยชาติ ความรักความผูกพันธ์ถึงเกิดขึ้นมากมาย เพียงครั้งแรกที่ได้พบพระพุทธองค์


ผมยังไม่เริ่มโทรศัพท์คุยกับเค้า แต่ผมขอให้เค้าดูคลิปเรียกสติอีกสามคลิป และพอครบ ผมก็โทรคุยกับเค้า ครั้งแรก ผมกดไป เค้าให้คนอื่นรับสาย บอกว่าเป็นคนจังหวัดพะเยา  วันต่อมาผมตัดสินใจโทรอีกครั้ง ผมเริ่มกดโทรศัพท์ไป พอเค้ารับสาย ใจผมเต้นแรงมาก แต่ไม่ใช่ความดีใจ แต่ใจเต้นเหมือนว่าเค้าตกใจ  เพราะเค้าไม่กล้าพูดกับผม เพราะเค้าทำผิดไว้มาก ใจผมเต้นแรงเหมือนเวลาคนเจอผี ถ้าใครเคยสัมผัสประสบการณ์ประมาณนี้อาจจะรู้สึกได้ว่าอยู่ดี ๆ ใจก็เต้นขึ้นมาเองแรง ๆ ทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไร ไม่ได้ิคิดอะไร จากนั้นผมก็ใช้ิจิตวิทยาสอนเท่าที่สติปัญญามี คือ ผมยอมให้เค้าว่าผม พูดไม่ดีกับผมในโทรศัพท์ (ผมเีขียนบันทึกในเฟสว่าเค้าจะพูดไม่ดีกับผมถ้าผมโทรไป) และผมก็วางสาย ขาดการติดต่อกับเค้าประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่งเมลไปสอนเค้าอีก  

ผมกล้าทำแบบนี้ เพราะผมสื่อได้ว่า เค้ามีใจพะวง เค้ารู้สึกผิดอีกที่ทำกับผมแบบนั้นอีก ที่ใช้คำพูดไม่ดีอีก  ผมใช้ความโหยหา ความผูกพันธ์ และความห่าง ทำให้เค้าอยากฟังอยากรู้ว่าผมจะพูดอะไร  ผมส่งเมลธรรมะไปอีกราวหนึ่งสัปดาห์  จนกระทั่งวันสุดท้าย  เวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ  ทั้งที่ผมนั่งเฉย ๆ แต่ใจผมร้อนรนจากเค้ามาก  ผมเลยตัดสินใจว่า ไม่ได้แล้วล่ะ ผมต้องคุยกับเค้า ไม่อย่างนั้นเค้าจะทรมานมาก


ผมกดโทรศัพท์ และผลก็คือ เรากลับมาคุยกันดีอีกครั้งและได้ไปกินหมูจุ่มในคืนวันที่ 29 กันยายน เจอเค้าที่คอนโด และไปกินหมูจุ่มกันหลังเอแบคกลางสายฝน

ผมกลับมาคืนดีกัน แต่ในช่วงนี้ ผมยังไม่อยากติดต่อเค้า ผมมีเบอร์บ้าน แต่ไม่ได้ให้เบอร์มือถือเค้าไว้ เพราะเครื่องหาย ผมบอกเค้าว่าถ้าผมได้เครื่องใหม่ผมจะบอกเบอร์ให้  จนถึง 2 ตุลาคม ผมติดต่อเค้าอีกครั้ง คุยน่ารัก ๆ กับเค้า ถามว่าทำอะไร ถ่ายหรือยัง กินไปเยอะเลย อะไรก็ว่าไป แต่ผมโทรจากตู้สาธารณะ พอเหรียญหมด ผมบอกเค้าว่า ไว้ค่อยคุยกัน แล้วก็วางสายไป


ผมยังไม่อยากติดต่อกับเค้าในช่วงนี้ ผมเองต้องพัฒนาตัวเองในด้านอื่นๆ  ต่อหลังจากที่ความทุกข์ในการตามหาเค้าและคืนดีกับเค้าได้ิสิ้นสุดลง  ผมกลัวว่าการติดต่อกันจะทำให้ผมสองคนกลับมาสู่เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง  กลับมาคุยไร้สาระ  กลับมาห่วงกัน  ทั้งที่เป็นแค่เพื่อน  ผมกล้าพูดว่าเป็นเพียงเพื่อนจริง ๆ ครับ


แต่แล้ว  วันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นอีก  

หลังจากที่ผมพบกับเค้า วันแรก  ๆ ความทรมานของผม กับบางทีก็ของเค้า ที่คิดถึงกันมาก ๆ ก็จางลงไป กลายเป็นความสบายใจ  ผมรู้ได้ว่าเราสองคนต่างปลื้มใจที่ได้เจอกัน  ทำอะไรก็มีความสุขไปหมด  แต่ผมทิ้งระยะห่างให้เราต่างใช้ชีวิตในเส้นทางของเราได้ไม่ถึงสองสัปดาห์  วันนี้ ตอนเช้า ผมเริ่มรับรู้ความกังวลของเค้าได้ จนบ่าย เย็น หัวค่ำ ก็เริ่มแรงขึ้น ๆ พอมาช่วงดึก ผมรู้สึกบีบจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย เปิด youtube สมาธิก็ไม่มี ทำอะไรไม่ได้ ใจมันร้อนผ่าว ๆ ๆ หายใจเข้าออกก็ไม่หาย


ีมีคนบอกกับผมว่า ให้ผมใส่ใจตัวเองให้มาก รักตัวเองให้มาก อย่าไปรักไปห่วงคนอื่น ห่วงพ่อห่วงแม่ดีกว่า อะไรทำนองนี้หลายคน ผมห่วงพ่อแม่ ผมรักตัวเองอันดับหนึ่ง แต่การที่ใจผมเต้นผิดจังหวะเพราะคนอีกคน การที่ผมหน้าซีดทั้ง ๆ ที่กินข้าวกับเพื่อนเพราะเค้ากำลังเจอปัญหา(เรื่องเกิดที่ร้านอาหารข้างธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์) บางทีผมทำงานอยู่ใจก็เต้นรัวขึนมาสองสามเท่าของคนปรกติ จนผมให้รุ่นน้องที่ทำงานเอานิ้วมาจับชีพจร แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง น้องเค้าก็บอกว่าขนลุก  ทำให้ผมกลับรู้สึกว่า เค้าเป็นส่วนหนึ่งของผม เพราะการที่ผมสัมผัส รับรู้เค้าได้แบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมคิดถึงเค้าแล้วเพ้อ  ผมขอย้ำว่า เค้ามีลูก เค้าแต่งงาน แต่เค้ามีปัญหากับทางสามีฝรั่งเท่านั้น  สำหรับผม เค้าไม่ใช่คนที่ผมจีบแล้วอกหัก  เค้าไม่ใช่คนที่มาหักอกผม  ผมจึงกล้ายืนยันแน่นอนครับว่าอาการรับรู้ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดเพราะว่าผมสเน่หาผู้หญิงลูกครึ่งสาวสวยคนหนึ่งถึงขนาดเพ้อคิดอะไรไปเอง  เพราะผมก็กำหนดอยู่  การกำหนด ผมห้ามจิตไม่ให้คิดถึงเค้าได้ในระดับหนึ่ง  แต่ร่างกายของผมกลับสื่อสารกับจิตของเค้าโดยปริยาย  เช่น ถ้าผมรู้ว่ามีความเศร้ามาจากเค้า ผมก็รู้สึกตัว แต่ร่างกายกลับใจเต้นแบบคนห่อเหี่ยว อิดโรย เวียนหัว เหมือนว่าเค้าสิงอยู่ในตัวผม  


ถามว่าผมดีใจไหม ที่ใจผม สื่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่งได้ตลอดเวลา และเค้าเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในโลกด้วย  ผมตอบได้เลยว่าดีใจมากที่สุด  เพราะอย่างน้อย ช่วงเวลาที่ไม่ได้คุยโทรศัพท์ ไม่ได้เห็นหน้ากัน ผมก็ยังรู้ได้ว่าเค้ามีความสุข มีความทุกข์อย่างไร  แต่ถามว่าผมเป็นทุกข์ไหม ผมตอบได้ว่าผมเป็น  เพราะทุกวันนี้ ผมเหมือนมีัปัญหาของคนสองคนอยู่ในคนคนเดียว  ทุกครั้งที่เค้ามีความทุกข์ เหมือนผมต้องเข้าประคองเค้า  เพราะถ้าผมไม่ทำ  ใจผมก็จะเ้ต้นสั่น ๆ บางครั้งเกือบหน้ามืด   ครั้งหนึ่งผมเดินอยู่ที่ทางเชื่อมตรงเดอะมอลล์รามคำแหง  อยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเสียดแรงมากที่หัวใจ  ผมเอามือกุมหัวใจไว้แน่น  เืกือบล้มทั้งยืน คนรอบข้าง ยาม ก็มองมาที่ผมแปลก ๆ แต่ผมทรงตัวไว้ไ้ด้  ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเค้า  แต่ต้องเป็นเรื่องที่หนักมาก  ตอนที่ผมพบเค้า เค้าก็เล่าเรื่องหนักมากให้ฟังเรื่องหนึ่งคือ น้องถูกตู้ล้มทับ ต้องเย็บสิบสามเข็ม  ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องนั้น


ผมจึงขอคำปรึกษาจากเพื่อนสมาชิกครับ ว่าผมควรทำอย่างไรดี ผมไม่ใช่แฟนเค้า และผมก็ไม่ได้จองเวรเค้า เค้าเองก็ไม่ได้จองเวรผม จะว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันก็คงไม่ใช่ เพราะเราต่างดีต่อกัน เพียงแต่ผมกับเค้าเคยสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป(ตอนนี้ถอนแล้ว) และเคยให้สายสิญจน์เค้าไป(ตอนนี้เค้าก็ทำหายแล้ว)  เท่านั้น  ผมยังคิดไม่ออกว่าอะไรทำให้ผมกับเพื่อนคนนี้ต้องมีใจเชื่อมกันมากถึงขนาดนี้  และผมต้องทำอะไรต่อไป  

บางครั้ง ผมกำหนดรู้ จิตก็เบาลง แต่กายก็ยังเหมือนเดิม เหมือนว่าหัวใจนี้เค้าไปเชื่อมกับจิตของเพื่อนคนนี้  ผมเองเรียนอภิธรรมมารู้ว่าหทัยวัตถุเป็นที่ตั้งของจิต แต่เป็นจิตของคนคนเดียว ไม่ใช่จิตของคนอื่น กรณีนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะอะไร  การเชื่อมโยงใจของผม กับเพื่อนคนนี้  เกิดขึ้นเพราะอะไร  และผมต้องทำอะไรต่อไป

ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ ขอรบกวนเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ

ขอบพระคุณครับ

จากคุณ : Real~Fine
เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 03:17:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com