อ่านจบแล้ว แต่ผมยังจับประเด็นอะไรไม่ค่อยได้ เดวไว้ผมว่างๆ จะกลับมาอ่านดีๆ ครับ
ประเด็นเท่าที่อ่านคร่าวๆ คือ 1. คุณเคยเข้าฌานมาแล้ว 2. คุณเป็นคนใฝ่ธรรมะ 3. แต่คุณกลับเป็นทุกข์ จากการเชื่อมใจ กับอีกคนนึงได้ตลอดเวลา
สรุปคำถามคือ ควรทำอย่างไรดี? เพราะตอนนี้คุณกำลังทุกข์กับการเชื่อมใจใช่ไหมครับ?
==================================================
ถ้าผมเข้าใจถูกตามที่พิมพ์ไว้ - ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมมี exp น้อย (เรื่องปฏิบัติธรรม) อาจแนะนำได้ไม่ดีเท่าไร - ทุกอย่างที่คุณเล่ามา ผมถือว่าคือเรื่องจริง .. จะได้แนะนำ จขกท ได้อย่างเต็มที่ - เพราะบอกตรงๆ ครับ ผมเพิ่งทราบเหมือนกัน ว่ามีคนสื่อจิตกันได้ขนาดนี้ด้วย แถมดูเหมือนว่าจะทุกสถานการณ์อีกตะหาก ทั้งระยะเวลา ทั้งสถานที่ .. สำหรับผม ขออุทานว่า omg! - ผมอยากอ่านพระสูตรที่คุณ จขกท กล่าวถึงครับ (บอกกับพระองค์ท่านว่า "ลูกเอย ลูกหายไปไหนมา ไม่มาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่บ้างเลย")
ขอแนะนำแบบนี้นะครับ 1. เสียดายมากครับ คุณเคยจัดการนิวรณ์ห้า และเข้าฌานได้แล้ว .. ถ้าหมั่นเข้าฌานและเจริญวิปัสสนาต่อ น่าจะได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้เลยนะครับ 2. คนใฝ่ธรรมะ แต่กลับมีทุกข์ขนาดนี้ ดูมันขัดแย้งกันมากๆ เลยครับ แต่ก็เข้าใจครับ เป็นธรรมดาของคน ซึ่งต่างคน ก็มีปัญหา (เช่น กรณีนางวิสาขา เป็นต้น) 3. ถ้าเชื่อมใจได้ ก็ต้องปิดการเชื่อมต่อได้ครับ มันคงมีวิธีอยู่ คิดว่ามีแน่ๆ 4. ต้องถาม จขกท ก่อนว่า "อยากปิดการเชื่อมต่อ" ไหม 5. ถ้าอยาก ก็ให้ดำเนินชีวิตตามแนวมรรคแปดเลยครับ อย่าเสียเวลา ต่อสายตรงกับอีกคน .. ถึงจะผูกพันธ์กันแค่ไหน .. ดูยังไง ก็เป็นการปิดกั้นมรรคผลนิพพาน 6. พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ ท่านก็ปิดการเชื่อมต่อจากลูก จากคนรัก (ตามแบบของพระองค์) ดังนั้น คุณก็ต้องหาทางปิดการเชื่อมต่อ ตามแบบของคุณให้ได้ 7. จากนั้น ทางสุดโต่ง 2 ทางให้ละเสีย อันนี้ ไม่แนะนำไรมากครับ เพราะคุณเข้าฌานเป็นแล้ว .. แนะนำแค่ว่าให้ละนิวรณ์ห้าอยู่บ่อยๆ ไม่เหินห่างจากฌาน 8. เมื่อใจสงบดีแล้ว ก็เจริญวิปัสสนาบ่อยๆ ครับ ==> ทุกข์จะค่อยๆ หายเป็นลำดับๆ
ผมพูดง่ายจัง 55 .. เรื่องจริงคงไม่ง่ายแบบนั้น แต่ยังไง สำคัญที่สุด คือ เราเอาตัวเองออกมาให้ได้ ออกในที่นี้ ไม่ใช่คำว่า หนีปัญหานะครับ หมายถึงเอาใจออกมา ออกจากอะไร? ออกจาก "ตัญหาและทิฏฐิ" ครับ
ตัญหาที่ว่าคืออะไรบ้าง - เวอร์ชั่นตัญหา 6 ได้แก่ ความอยากทาง 1. หู 2. ลิ้น 3. ตา 4. จมูก 5. กาย 6. ใจ - เวอร์ชั้นตัญหา 3 ได้แก่ 1. ความอยากในกาม 2. ความอยากให้เป็น 3. ความอยากให้ไม่เป็น
ตอนนี้ปัญหาเริ่มที่ "ใจ" ให้แก้ที่ "ใจ" ก่อนครับ อย่าลืมนะครับ ย้ำว่า ให้ถามตัวเองก่อนอยากปลีกออกมาไหม ถ้าทำได้โอกาสบรรลุธรรม (ดับทุกข์) ก็สูงขึ้นครับ ดูตัวอย่าง เคสต่างๆ ในสมัยพุทธกาล เช่น - พระพุทธเจ้า - พระมหากัสสปะเถระ - สามเณรเรวตะ (น้องคนสุดท้องของพระสารีบุตร) - โกกิลาภิกษุณีที่หลงรักพระอานนท์ (ไม่แน่ใจว่าเคสนี้เป็นวรรณกรรมแต่งมาภายหลังรึป่าว .. ผมอ่านมาจากท่าน อ.วสิน ครับ) - ภิกษุณีที่เป็นแม่ของสามเณรพระอรหัตน์ ที่สุดท้ายโดนลูกตัวเองกล่าวแรงๆ เพื่อให้ตัดใจได้ จนกระทั่งบรรลุอรหันตผลในที่สุด
ฯลฯ
สังเกตุนะครับ ทุกท่านที่บรรลุธรรม (หมดทุกข์ได้) ข้อสำคัญประการนึงคือ หมดความอาลัย อาวรณ์ จากคนรอบตัว อย่าเข้าใจผิดนะครับ ว่าไม่สนใจใคร แต่ผมหมายถึง เหลือแต่รักบริสุทธ์ คือ เมตตาและกรุณา ไม่ใช่ ราคะ
แต่สำหรับคุณ จขกท เนื้อหาที่เล่ามาขัดกันเองครับ คุณทุกข์มาก และคุณบอกว่าไม่ใช่เกิดจากราคะ (ซึ่ง จขกท ใช้คำว่าผูกพันธ์มาหลายชาติ) แต่เนื่องจากอนุสัยกิเลสของปุถุชนหรือพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ (โสดาบัน ฯลฯ) พื้นฐานอนุสัยกิเลสย่อมมาจาก ราคะ โทสะ โมหะ เสมอ ผมจึงอยากจะใช้คำว่า "ราคะ" กับกรณีของคุณ (เข้าใจผมด้วยนะครับคือไม่ได้มีเจตนาจะแย้ง จขกท ในทำนองดังกล่าว แต่พูดตามที่ผมได้ศึกษามาเท่านั้น) ซึ่งที่เล่าผ่านกระทู้มา ความรัก ความอาลัย อาวรณ์ มันรุนแรงทะลุจอเลยครับ ที่บอกว่า มันรุนแรง ก็เพราะว่า ผมสรุปประเด็นของคุณ ได้เพียง 3 ประเด็นเท่านั้น ทั้งๆ ที่ เนื้อหายาวเป็นกิโล รายละเอียดอีกล้านแปด
ถ้าคนไม่คิดอะไรจริงๆ รู้สึกเป็นเพื่อนกันจริงๆ (แม้คุณจะบอกว่าผูกพันธ์กันมาหลายชาติก็ตาม) และมาขอคำปรึกษา ยังไงๆ ความยาวก็ไม่มีทางยาวขนาดนี้ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น
EX. - ทำไงดีครับ ผมเชื่อมใจกับอีกคนได้ เพราะเคยทำบุญร่วมกันมา (เล่า info และอาจมีเกริ่น intro เล็กน้อย ไม่เกินห้าบรรทัด) - ผมทุกข์มาก ขอคำแนะนำด้วยครับ (ไม่น่าเกิน 10 บรรทัดแน่ๆ)
ถ้าผมเข้าใจ จขกท ผิดไปประการใด ก็ขออภัยจริงๆ ครับ เพราะอยากให้คำแนะนำจริงๆ __/|\__
((( สรุปคำแนะนำของผมคือ )))
"ปิดการสื่อสารระหว่างใจก่อนเป็นอันดับแรก"
(ส่วนวิธีการนั้น ผมไม่ทราบครับ) คือทั้งกระทู้คุณ พูดเรื่องจิตเกือบหมด แต่คุณกลับยึดมั่นถือมั่นกับจิต (นาม) ตัวเองมาก (แต่ในเรื่องคือคุณเกิดปิติ ซึ่งตามพระอภิธรรม เจตสิกตัวที่เป็นปิตินี้ เกิดได้ทั้งกุศลและอกุศลจิต คือเจือด้วยกิเลสก็เกิดได้ .. หากละเอียดจุดนี้ของพระอภิธรรม ถ้าผมจำมาผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ) มี "อัตตา" เต็มไปหมด แม้กระทั่งตอนส่งเมลธรรมมะให้คุณ อ ก็ตาม
ถ้าให้แนะนำมั่วๆ ตามความคิดผม ก็คือคุณต้องหมั่นฝึก "สติใน 4 ฐาน" (สัมมาสติ) ให้มีสติตามรู้ความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดในใจทุกขณะ และอย่ามั่นหมายว่า สิ่งนั้นคือของเรา เป็นของเรา เพราะอะไร? .. ทำไมผมถึงไม่ให้มั่นหมายว่า ความรู้สึก (สุขและทุกข์) และอารมณ์นั้นๆ (ทั้งกุศลและอกุศล) คือของเรา คือตัวเรา ก็เพราะว่า "เราบังคับบันชามันไม่ได้เลย มันเปลี่ยนแปลงตลอดตามธรรมชาติของมัน และจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ" ถ้าคุณยังสำคัญว่า ความรู้สึกหรืออารมณ์ ที่มากระทบใจคุณ "เป็นของคุณ" คุณจะไม่มีวัน รับรู้อารมณ์ปัจจุบัน ได้เลย เพราะอารมณ์ปัจจุบันจะเกิดขึ้นได้ เมื่อสติเข้ามาอยู่ที่ฐานกาย จนคุณทราบว่า แม้กระทั่งตอนนี้ คุณกำลังหายใจเข้าหรือออก สั้นหรือยาวแค่ไหน ถ้าคุณระลึกรู้ได้ระดับนี้ จิตของคุณจะเป็นกลางขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือ "อกุศลจิต" (เช่น ความอาลัยอาวรณ์ ความทุกข์ ความขุ่นใจ ความหลงไม่รู้อารมณ์ตามเป็นจริง ฯลฯ) จะขึ้นแทรกที่จิตไม่ได้เลย และคุณก็จะพร้อมที่เจริญสัมมาสมาธิในเวลาต่อมา ก็เข้าฌาน (อย่างที่คุณเคยเข้า) และเจริญวิปัสสนาต่อเลยครับ ถ้าทุกข์ไม่หาย "อัตตาไม่ลด" แสดงว่า "คุณทำผิดวิธี" .. ก็ให้กลับไปหาพระพุทธเจ้าครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ^^ และขออนุโมทนาบุญ จขกท ที่ใฝ่ธรรมะ และมีเจตนาดีที่อยากให้คนอื่นได้เรียนรู้ธรรมะไปด้วย
ปล. ผมแอบเครียดเนี่ย .. หนังสือพระอภิธรรมผมหายไปไหนไม่รู้ 55 (คือจะได้เอามายืนยันว่าตัวเองจำมาไม่ผิด แหะๆ^^)
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 05:15:02
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 05:10:10
แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 55 04:59:10
จากคุณ |
:
M_moshi
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ต.ค. 55 04:56:49
|
|
|
|