เรียน คุณ mce ที่เคารพครับ ^_^ และ อัสลามูอะลัยกุมวาเราะมาตุลลอฮีวาบารอกาตุฮครับพี่จิม
ขออนุญาตพี่จิมตอบก่อนนะครับ ^_^ (ไม่ว่ากันนะครับ)
เยี่ยมมากเลยครับคุณ mce ฝากขอบคุณเพื่อนสมาชิกท่านนั้นด้วยนะครับที่ให้ความสนใจศึกษาอัลอิสลาม
ซูเราะฮุ อัล-อันฟาล (الانفال -แปลว่าทรัพย์เชลยครับ)ซึ่งซูเราะฮฺ นี้มี 75 อายะฮฺ
อายะฮ์ที่คุณ mce แนบมานั้นเป็นเพียงบางส่วนในซูเราะฮ์นี้ นั้นคืออายะฮ์ที่ 12 ซึ่งนำมาจาก
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺอานแห่งนครมาดีนะฮ์
เล่มสีแดงเข้มๆ ผมก็มีอยู่ที่บ้าน 2 เล่ม ^_^ ถ้ายกมาแค่อายะฮ์เดียว อาจจะงงๆนิดหน่อยนะครับ เพราะไม่ทราบที่มาที่ไป งั้นผมขออนุญาตนำหนังสืออีกเล่มที่แปลพร้อมบรรยายเหตุการณ์ได้ค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายกว่า สำหรับบุคคลทั่วไปนะครับ
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา) เล่มนี้ครับ
ซึ่งมูลเหตุแห่งการลงโองการนี้ คือว่าในขณะปวงชนมุสลิมเกิดพิพาทกันในเรื่องทรัพย์เชลย ปวงมุสลิมที่พิพาทกันนี้ปันออกเป็นสองฝ่ายคือชายฉกรรจ์ที่เข้าสมรภูมิอ้างว่า ทรัพย์เชลยควรเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกตน เพราะพวกตนต้องลงสนามรบเผชิญหน้ากับฝ่ายข้าศึก
ส่วนคณะอาวุโสก็อ้างค้านเพื่อต้องการให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นบ้างว่า เราเป็นชนชั้นเสนาธิการ ต้องใช้มันสมองคิดการและยืนหยัดให้พวกท่านอยู่ภายใต้ร่มธงชัย แต่ถ้าพวกท่านต้องพ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรู พวกท่านก็จะถอยร่นคืนกลับมายังพวกเราอีก ฉะนั้นขอพวกท่านอย่าได้ถือสิทธิ์ในทรัพย์เชลยแต่เพียงฝ่ายเดียวเลย โองการจึงมีลงมาว่า (อ่านให้จบแล้วจะเข้าใจนะครับ)
อายะฮ์แรก ๑. โอ้มุฮำมัด พวกเหล่านั้นที่เป็นสาวกของพวกเจ้าจะไต่ถามเจ้าถึงเรื่องทรัพย์เชลยว่าควรได้แก่ใคร เจ้าจงบอกแก่พวกสาวกของเจ้าให้รู้ไว้ด้วยเถิดว่า
ทรัพย์เชลยนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด สุดแต่พระองค์กับพระศาสนทูตมุฮำมัดจะทรงจัดการทรัพย์นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ของพระองค์เช่นไร ครั้นแล้วพระศาสดามุฮำมัดก็ได้ปันทรัพย์เชลยให้แก่พวกเหล่านั้นเป็นส่วนเสมอภาคกัน
ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากอัลเลาะห์ จงเชื่อมไมตรีต่อกันระหว่างพวกเจ้าในศาสนา มีความรักใคร่ต่อกัน และงดเว้นการพิพาทระหว่างกันเองไว้ ทั้งพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์ด้วยการประพฤติตามที่ทรงใช้และละเสียซึ่งการที่ต้องห้ามจากพระองค์ และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์แม้นว่าพวกเจ้าเป็นพวกศรัทธาอันเที่ยงแท้
อายะฮ์ที่ ๒. แท้จริงพวกผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)โดยสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งเมื่อสัญญาการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ถูกเอ่ยกล่าวขึ้นหัวใจของพวกเขาก็จะกลัว และเมื่อบรรดาโองการแห่งอัล-กุรอานของพระองค์ได้ถูกอ่านขึ้นแก่พวกเขา
ก็ทำให้พวกเขาทวีความศรัทธามากขึ้น และเฉพาะต่ออัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของพวกเขาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะขอยึดมั่น มิได้ขอยึดมั่นต่อผู้ใดอื่นจากพระองค์เลย
อายะฮ์ที่ ๓. บรรดาผู้ที่ดำรงละหมาดครบกระบวนการและกฎเกณฑ์ของการละหมาดนั้น และผู้ที่สละทรัพย์สินส่วนหนึ่งจากที่เรา(อัลเลาะห์) ได้มอบเป็นเครื่องดำรงชีพแก่พวกเขา โดยพวกเขาจะเสียสละไปในทางกุศล
อายะฮ์ที่ ๔. พวกที่ถูกบรรยายคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านั้นแหละคือชนผู้ศรัทธาโดยแท้จริงอย่างมิต้องสงสัย สำหรับพวกเหล่านั้นย่อมได้รับตำแหน่งในสรวงสวรรค์อันถูกเตรียมมาแต่องค์พระผู้อภิบาลของพวกนั้น ตลอดทั้งได้รับการอภัยซึ่งบาปและลาภอันประเสริฐยิ่งในสวรสวรรค์อีกด้วย
อายะฮ์ที่ ๕. พวกเจ้าจงถือปฏิบัติตามที่ทรงห้ามและใช้อย่างจริงจังเหมือนดังที่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าให้เจ้าจากบ้านของเจ้าที่นครมดีนะห์เพื่อจะยึดกองคารวานซึ่งควบคุมโดยอะบูซุฟยานมาเป็นทรัพย์เชลยและแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกมุอ์มินนั้นต่างมีความรังเกียจที่จะออกจากนครมดีนะห์
อายะฮ์ที่ ๖. พวกมุอ์มินเหล่านั้นจะโต้เถียงเจ้าในเรื่องการทำสงคราม หลังจากแน่ชัดแล้วว่า การสงครามนั้นเป็นของเที่ยงแท้ พวกมุอ์มินที่กล่าวแล้วนั้นเกลียดชังไม่อยากออกทำสงครามเหมือนกับว่าพวกเขาถูกขับให้ไปสู่ความตายที่ต่างก็กำลังมองดูความตายกันอยู่อย่างประจักษ์แก่สายตา ในฐานะที่พวกนั้นเกลียดชังการสงคราม
อายะฮ์ที่ ๗. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงของเจ้าเพื่อปลุกใจให้ทหารเหล่านั้นมีใจเข้มแข็งในการรบเถิด ในขณะที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้ข้อสัญญาแก่พวกเจ้าว่า โอ้ทหารที่ร่วมกับมุฮำมัดออกรบพวกนะฟีร (กองทัพอบูยะฮัล) ในสมรภูมิบัดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองจำพวก (พวกนะฟีร กับพวกอีร กองทัพอบูซุฟยาน) นั้นจะตกเป็นของพวกเจ้า
แต่พวกเจ้ากลับชอบที่จะได้ชัยชนะพวกอีร ฝ่ายที่หย่อนอาวุธและรี้พล ต่างกับพวกนะฟีรที่มีทั้งอาหารและอาวุธครบมือ แต่ผลปรากฏว่าข้าศึกฝ่ายอีรนั้นหลบลี้หนีไปจนหมดสิ้นจากเจ้าแล้ว ในที่สุดพวกเจ้าก็จะต้องสู้รบกับข้าศึกฝ่ายนะฟีร ซึ่งความมีชัยก็จะตกแก่พวกเจ้าแน่ตามสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้
ทั้งอัลเลาะห์ทรงมุ่งหมายที่จะเผยความจริงด้วยคำประกาศิตแห่งบรรดาโองการของพระองค์ โดยให้ข้าศึกฝ่ายนะฟีรตกเป็นเชลยบ้าง ถูกฆ่าบ้างและถูกจับโยนลงบ่อ ณ ตำบลบัตร์บ้าง
และทรงมุ่งหมายที่จะให้สูญพันธุ์พวกกาฟิรเผ่านะฟีรให้สิ้นซากไปเสียเลย ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงบัญชาใช้พวกเจ้าออกไปรบพวกนะฟีร แล้วในที่สุดพวกนะฟีรก็ถูกทำลายชาติพันธุ์
อายะฮ์ที่ ๘. พระองค์ได้ทรงใช้ให้พวกเจ้าทำศึกกับพวกนะฟีร เพื่อที่พระองค์จะให้ความจริง(อิสลาม) ประจักษ์ และให้ความเสื่อมเสีย (อัลกุฟร์) ดับสูญลง แม้ที่สุดพวกถือภาคี(มุชริก) ทั้งหลายจะชิงชัง ไม่ต้องการให้ศาสนาอิสลามถูกเผยขึ้น และให้ความไร้ศรัทธาดับสูญไปก็ตาม
อายะฮ์ที่ ๙. โอ้ปวงผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเถิด ในคราที่พวกเจ้าได้ขอความสงเคราะห์ต่อองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเพื่อให้มีชัยต่อพวกข้าศึกศัตรูนั้น
พระองค์ทรงรับคำสนองแก่พวกเจ้าแล้วโดยข้าส่งมลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพันในระลอกแรก ส่วนระลอกสองจำนวนสามพัน และระลอกที่สามมีจำนวนห้าพันให้ทยอยกันลงมา ครั้นแล้วพวกนั้นสามารถฆ่าข้าศึกฝ่ายนะฟีรได้เจ็ดสิบคนและจับเป็นเชลยเสียอีกเจ็ดสิบคน
อายะฮ์ที่ ๑๐. อัลเลาะห์ได้ทรงให้การสงเคราะห์โดยส่งมลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพันลงมานั้นมีขึ้นเพื่ออะไร หากแต่ให้เป็นความเบิกบานใจแก่พวกเจ้าเท่านั้น
และเพื่อหัวใจของพวกเจ้าจะได้หนักแน่นขึ้นเพราะการสงเคราะห์ของข้าดังกล่าว ความมีชัยนั้นจะมีขึ้นหามิได้นอกจากมาแต่การตัดสินของอัลเลาะห์เท่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์คือองค์ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่ง ทรงประณีตยิ่งในการทั้งปวงของพระองค์
อายะฮ์ที่ ๑๑. โอ้ปวงผู้ศรัทธาทั้งหลายจงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเถิด ในคราเมื่อพระองค์ได้ให้พวกเจ้าหลับลงงีบหนึ่ง เป็นความสงบสุขจากพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้าผู้หวาดกลัวพวกข้าศึกที่จะมาแก้มือเอาชนะหลังจากพวกนั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว
ทั้งพระองค์ได้ทรงให้ฝนจากฟากฟ้าลงมายังพวกเจ้าเพื่อที่พระองค์จะทรงใช้มันชำระสะสางพวกเจ้าให้สะอาดปราศจากไร้ราคีน้อยใหญ่ทางศาสนาซึ่งห้ามมิให้มีขึ้นในเวลาทำละหมาดและกิจทำนองอื่น ๆ เพื่อจะทรงขจัดให้สูญไปจากพวกเจ้าซึ่งเพทุบายจากไชตอนที่คอยกระซิบบอกพวกเจ้าว่า
นี่แน่ะพวกท่านถ้าพวกท่านอยู่ในศาสนาที่เที่ยงแท้แล้ว พวกท่านจะต้องไม่อดน้ำ ทั้งเนื้อตัวของพวกท่านจะต้องไม่สกปรกด้วย ดูแต่พวกนะฟีรซิ พวกนี้มีน้ำดื่มน้ำใช้กันอุดมสมบูรณ์ แต่แล้วเมื่ออัลเลาะห์ได้ทรงให้ฝนลงมาจากฟากฟ้าเพื่อพวกเจ้า กระซิบของไชตอนก็เป็นอันระงับไป
และเพื่อพระองค์จะทรงให้หัวใจของพวกเจ้าผูกพันอยู่กับความมั่นใจและอดทนก่อนเวลาที่ฝนจะตกลงมาจากฟากฟ้า ทั้งนี้เพื่อจะทรงให้ลำแข้งของพวกเจ้ายืนหยัดต่อสู้ข้าศึกศัตรูอยู่ได้ด้วยน้ำในพื้นทราย
อายะฮ์ที่ ๑๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าให้ทราบไว้ด้วยเถิด ในคราเมื่อองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลกระแสโองการไปยังมลาอิกะห์ทั้งปวงที่ข้า(อัลเลาะห์)ได้ส่งลงมาเป็นรี้พลช่วยเหลือทหารมุสลิม ซึ่งสู้รบกับข้าศึกฝ่ายนะฟีรว่า แท้จริงข้านี้เป็นฝ่ายช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยชนะพวกนะฟีร
ดังนั้นพวกเจ้าจงสนับสนุนเหล่าทหารผู้ศรัทธาที่สู้รบกับพวกนะฟีรด้วยเถิด จะโดยกำลังกายก็ได้หรือโดยวาจาส่งเสริมขอความมีชัยก็ได้ แล้วข้า(อัลเลาะห์) ก็จะบรรจุความหวาดหวั่นใส่ลงในหัวใจของบรรดาผู้เป็นกาฟิรคือพวกนะฟีร โอ้ทหารทั้งหลายผู้เป็นมุอ์มิน
พวกเจ้าจงฟันคอพวกทหารนะฟีรแล้วก็ตัดนิ้วมือและนิ้วเท้าของทหารนะฟีรเหล่านั้นเสียให้หมดด้วย มีผู้หนึ่งเป็นทหารมุอ์มินเงื้อดาบจะจ้วงลงถึงคอ คอนั้นก็ขาดเสียก่อนแล้ว ส่วนพระศาสดามุฮำมัดเองก็กำทรายขว้างไปในกลุ่มทหารนะฟีร ทรายที่ซัดไปนั้นไปเข้านัยน์ตาพวกข้าศึกถึงกับพ่ายแพ้ล่าถอยไป
อายะฮ์ที่ ๑๓. การลงโทษให้มาประสบกับพวกนะฟีรนี้ก็เพราะพวกนั้นขัดแย้งกับอัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ และถ้าผู้ใดที่ขัดแย้งกับอัลเลาะห์และมุฮำมัด พระศาสนทูตของพระองค์แล้วแน่นอนอัลเลาะห์นั้นทรงความรุนแรงในการลงโทษผู้ที่กล่าวนั้นยิ่งนัก
อายะฮ์ที่ ๑๔. โทษที่กล่าวนั้นแหละ โอ้พวกกาฟิรทั้งหลายในพิภพนี้ พวกเจ้าจงลิ้มรสมันเสียเถิด เพราะแท้จริงสำหรับพวกกาฟิรในปรภพนั้นย่อมได้รับโทษแห่งนรก
ยาวหน่อยนะครับ อ่านเพลินหรือเปล่า อายะฮ์ที่ 13-14 เป็นสาเหตุ พักสายตาสักหน่อยก็ดีครับ ^_^ ผมเองก็ขอพักหน่อย เด๋วค่อยมาต่ออีกหลายอายะฮ์ครับ จะได้ปะติดปะต่อเรื่องราวได้จบ