ความคิดเห็นที่ 1 "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" ควรสอบทานครับ... แม้แต่คำแปลในพระไตรปิฏกเองก็ควรนำมาประพฤติปฎิบัติ...(ซึ่งเป็นไปได้ที่จะแปลผิด..หรือแปลโดยใส่ความคิดของผู้แปลเข้าไปด้วย) ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 07:56:31

ความคิดเห็นที่ 2 ความนำ ฐีติภูตัง คือ ? -- "ตาม"  ข้อความ ที่คุณ โขตาน เสนอไว้ใน ความคิดเห็นที่ 7 คำนี้ไม่มีในตำรา   หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาตามธรรมที่ท่านปฏิบัติจนรู้เห็น แล้วบัญญัติคำขึ้นมา ....หมายถึงอะไรอย่างหนึ่งที่เป็นแกนกลางในใจของสัตว์ทั้งหลาย จบความนำ ******************************************************** (๑) ฐีติภูตัง คือ ? ตาม ปัญญาของ "หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาตามธรรมที่ท่านปฏิบัติจนรู้เห็น" (๒) "หลวงปู่มั่น"  ท่าน ขานนาค ปฏิบัติธรรม วินัย  "ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" รักษา "พระพุทธวจนะมา" ว่า --- ธรรม ที่แสดง วินัยที่บัญญัติ จักเป็นศาสดาของพวกเธอ ในกาลบที่เราตถาคตล่วงไปแล้ว" (จากความจำ - มหาปรินิพพานสูตร) ----  ใช่ หรือไม่? (๓) เมื่อ --- "หลวงปู่มั่น"  เป็น ภิกษุสาวกของ พระพุทธเจ้า (ตาม ๒) ธรรม ที่ หลวงปู่มั่น ประจักษ์ -- ใน ฐานะ สาวก" -- ย่อม "ัสอดคล้อง ไม่ขัดกับ"  --- "ธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงประจักษ์" --- ใช่หรือไม่                        ข้างบน คือ "เหตุ" "ประการหนึ่ง" ฯ ประเด็น "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 07:57:09

ความคิดเห็นที่ 3 ฐีติภูตัง คือ ?   ตาม ข้อความในหนังสือเล่มนั้น หน้า ๖๙ จากหนังสือ  รำลึกวันวาน (ความในวงเล็บ  ผม เสนอเองเพื่อ มี สัญญาตรงกัน ฯ) เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ ----> (อะไร  ที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วถูก "สาวก" สมัยนี้เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง?") เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ---- > (ดวงเดิม  ดวงไหน ? กำหนดตาม มหานิทานสูตร  และหรือ มหาตัณหาสังขยสูตร + จูฬสุญญตสูตร เป็นที่สุด) เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ----> ( มีอยู่ เป็นอยู่  สมัยไหน? กำหนดตาม มหานิทานสูตร  และหรือ มหาตัณหาสังขยสูตร + จูฬสุญญตสูตร เป็นที่สุด) เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่   แต่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน  ----> ข้อความ ตรงนี้  สอบทานกับ "ปฏิจจสมุปบาท ตามที่ตรัสไว้ทุกๆ พระสูตร" เพื่อ กำหนดว่า (๑) ตกลง อวิชชาด้วย ตัณหาด้วย อุปาทานด้วย (เป็นองค์ ๓) ใช่หรือไม่ ตาม "ปัญญานั้น ที่ อยู่ในรูปข้อความนั้น" --- คือ สิ่งห่อหุ้ม "จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ " (๒) คำว่า "จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ " ---- คำชั้นสาวก  ใช่หรือไม่? (๓) ถ้า ๒ ใช่ (๔) พระพุทธภาษิตใด ตรัส ไว้ว่า ""จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ "" (๕) ข้อที่ ๔  กำหนด ตาม จูฬสุญญตสูตร จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:08:43

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อความ ฯ เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่   แต่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน  เมื่อชำระด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว  เป็น ฐิติญาญังจิต  คือ ผู้รู้ว่า สูญจากอาสวะ  และรู้ว่าสูญจากอาสวะก็เป็นบรมสุข พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ---- ข้อความ ชั้นสาวกข้างบน สอบทานกับ พระพุทธภาษิต "จูฬสุญญตสูตร"  ข้อความ ดังนี้ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=4714&Z=4845 [๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตน- *สัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมี ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จ แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความ กระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชา- *สวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ สัญญานี้ ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด แห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึง พิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่ ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ             [๓๔๒] ดูกรอานนท์ สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลไม่ว่าพวกใดๆ ที่ บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ก็ได้บรรลุสุญญตสมา- *บัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลไม่ว่าพวก ใดๆ ที่จะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ก็จัก บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ สมณะหรือพราหมณ์ในบัดนี้ ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ย่อมบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ ดูกรอานนท์ เพราะ ฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า เราจักบรรลุสุญญตสมาบัติอัน บริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ฯ             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:14:23

ความคิดเห็นที่ 5 พระพุทธภาษิต ----- > ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ สัญญานี้ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ                                             ^^^^ พระพุทธภาษิต ----- " และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย " -------- คำชั้นสาวกสมัยนี้ ---- "เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่   แต่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน  เมื่อชำระด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว  เป็น ฐิติญาญังจิต  คือ ผู้รู้ว่า สูญจากอาสวะ  และรู้ว่าสูญจากอาสวะก็เป็นบรมสุข พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ---- พิจาณณา  มหาพิจารณา อนุมหาพิจารณา ฯ ****************************************************** ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:18:31

ความคิดเห็นที่ 6 พระพุทธภาษิต -- "พระเถระครั้งปฐมสังคายนานา"  รักษามา ------ " และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย " ^^^^ ตรงข้อความใด ได้แก่ (๑) "เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ****************************************************** ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:21:07

ความคิดเห็นที่ 7 อัสสุตวตาสูตร http://www.nkgen.com/473.htm [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า(กล่าวคือ แม้จะเห็นผิด แต่ก็ยังดีกว่าการ)แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตน  หาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ(ให้เห็น ให้ทราบว่ามีการแปรปรวน แก่เฒ่าตาย) แต่ว่าตถาคตเรียกสิ่งอันเป็น ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า  (คือย่อมประกอบด้วย) จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง(ตามแต่จะเรียกกัน) จิตเป็นต้นนั้น  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น  ดวงหนึ่งดับไป  (ทั้ง)ในกลางคืนและกลางวัน ฯ (กล่าวคือ จิตมีการเกิด มีการดับ อยู่ตลอดเวลา ทั้งขณะตื่นและแม้ขณะหลับดังการฝัน) ****************************************************** พระพุทธภาษิต --- จิตเป็นต้นนั้น  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น  ดวงหนึ่งดับไป ---- คำชั้นสาวก --- "เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่  --- คำว่า "จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่" -----  " อาศัย "ปัญญา????"   ****************************************************** ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:24:52

ความคิดเห็นที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12754594/Y12754594.html#11 คุณ โกวิทย์ (โกวิทย์)  เสนอว่า (๑) เพราะหากเอาความหมายตามที่หลวงพ่อพุทธได้บอกไว้ว่า ฐี ติคือ "ความตั้งเด่นอยู่ของจิต...อยู่ในสภาพที่สงบนิ่ง..เป็นกริยาที่ประชุมพร้อม ของอริยมรรค..ยังจิตให้บรรลุถึงความเป็นอุปติภาคโดยสมบูรณ์.............." (๒) ซึ่งผม (โกวิทย์ (โกวิทย์)  เดาว่า...เนื่องจากพระสายพระป่าในประเทศเราไม่ ได้อ่านค้นคว้าพระไตรปิฎกมากพอ..พอไปเจอสภาวธรรมจึงไม่สามารถนำคำในพระไตร ปิฏกมาพูดสอนได้..จึงบัญญัติคำใหม่ขึ้นมาครับ ตกลง คุณโกวิทย์ (โกวิทย์)  จะ ไม่ สอบทานกับ "พระพุทธภาษิต ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" รักษามา หรือ ? ******************************************************* ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:30:21

ความคิดเห็นที่ 9 คุณโกวิทย์ (โกวิทย์)  เสนอว่า ---- เนื่องจากพระสายพระป่าในประเทศเรา ไม่ ได้อ่านค้นคว้าพระไตรปิฎกมากพอ สอบทานกับ หน้า ๒๖๑ ในหนังสือ รำลึกวันวาน ภาคภนวก พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๙ ปริเฉท จากต้นฉบับของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ หน้า ๒๖๕ หนังสือพระอภิธัมมัตถสังคหะนี้ ต้นฉบับเป็นหนังสือที่เก่าแก่มาก  เป็นหนังสือของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ  ซึ่งพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ท่านเก็บรักษาไว้ในตู้บริขารของท่านพระอาจารย์มั่นฯ อยู่หน้าห้องบนกุฏิของท่าน ฯ หน้า ๑๗๙ - ภาพถ่ายรายละเอียดอัฐบริขาร ของท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร (๑) สมุดเขียนภาษาไทยและภาษาขอม (๒) สมุดพกพร้อมดินสอ ภายในเขียนอักษรขอม (๓) หนังสือสวดมนต์รวมพระสูตรต่างๆ ฯลฯ จบความนำ ****************************************************** ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 08:46:03

ความคิดเห็นที่ 10 สาธุค่ะท่านเซ็นฯ ขอบคุณมาก ที่ทำให้สิ่งที่ไม่รู้ ให้ได้รู้  ท่าน เซ็นฯ แสดงให้ได้ชัดเลยว่า หากหวังความถูกต้อง ก็ต้อง "สอบทานกับคำพระพุทธเจ้า" จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 09:31:57

ความคิดเห็นที่ 11 ทำไมเฒ่าเซน  ไม่ลองเอาคำสอนของท่านพุทธทาสไปสอบทานกับคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างละ ?  ว่า  ทำไมท่านพุทธทาสถึงดูหมิ่นพระอภิธรรมและอรรถกถานัก และดูหมิ่นพระสูตรต่างๆอีกมากมายหลายๆสูตร ...ท่านพุทธทาสสอนให้ตัดทิ้ง พระอภิธรรม และ อรรถกถา และพระสูตรอีกหลายๆสูตรเหล่านั้น  ..ว่าไปก็ไม่ผิดอะไรกับสำนักจานบิน  ที่ต้องการล้มล้างพระไตรปิฏกและสร้างพระไตรปิฏกของตนขึ้นมาใหม่  ... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 10:36:08

ความคิดเห็นที่ 12 ผู้สนใจธรรมยุคนี้ นอกจากสนใจปฎิบัติ สนใจปริยัติ อ่านค้นคว้าแล้ว ยังสนใจจะวิจารณ์คำพูดของครูบาอาจารย์ด้วย  นับว่าเป็นการฝึกตนให้แตกฉาน ลึกซึ้งทีเดียว จากคุณ : ongardnrp เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 14:16:43

ความคิดเห็นที่ 13 พิจารณา มหาพิจารณา ผมไม่มีความรู้ ธรรมที่นำมาสอน ยังละเอียดเกิดไปสำหรับผม แต่ขอแสดงความคิดเห็นบ้าง ผมทราบมาว่า แม้แต่พระไตรปิฎก ยังต้องมีการสังคายนา และได้เคยทำมาหลายครั้งแล้ว ผมจึงคิดว่า ควรมีการสอบทาน แต่จะเรียกให้ถูกต้อง ต้องบอกว่า ค้นคว้าและอ้างอิงเพิ่มเติมเสียมากกว่า ต้องยอมรับว่า พระไตรปิฎก น่าจะถือเป็นสิ่งที่ใช้อ้างอิงได้ เพราะผ่านการสังคายนาโดยคณะสงฆ์ผู้ทรงความรู้และนักปราชญ์มาแล้วหลายครั้ง แต่เราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า พระไตรปิฎกอาจไม่ได้บันทึกพระธรรมของพระพุทธเจ้าไว้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์แบบ เพราะพระไตรปิฎกไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นโดยพระพุทธองค์เอง ดังนั้น หากค้นคว้าอ้างอิงแล้ว พบว่าคำสอนปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ก็ดีไป หากไม่พบคำสอน แต่คำสอนนั้น สอดคล้องและไม่ขัดแย้งกับข้อความในพระไตรปิฎก ก็น่าจะเชื่อได้โดยไม่ต้องใช้สติปัญญามาพิจารณาให้มากนัก แต่หากพบว่า คำสอนนั้นขัดแย้งกับข้อความในพระไตรปิฎก คงต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้มาก ใช้หลักกาลามสูตรในการตัดสินว่า สิ่งใดที่น่าเชื่อถือกว่ากัน แต่โดยส่วนตัว ผมคงจะเชื่อมั่นในพระไตรปิฎกมากกว่าครับ จากคุณ : lonely_nomad (Lonely Nomad) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 14:46:54

ความคิดเห็นที่ 14 เพื่อ  สัมมาทิฏฐิ  "ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส" ----- นะครับ   "ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส"            คุณ หมายถึง  ?  ?  ? ธรรม ที่ หลวงปู่มั่น ประจักษ์ -- ใน ฐานะ สาวก" -- ย่อม "ัสอดคล้อง ไม่ขัดกับ"   --- "ธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงประจักษ์" --- ใช่หรือไม่ "ธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงประจักษ์"    คุณ หมายถึง  ?  ?  ? "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" "คำของพระพุทธเจ้า"           คุณ หมายถึง  ?  ?  ? ขอให้ ท่านสอบทาน  "กับต้นฉบับ" ด้วย   "ต้นฉบับ"            คุณ หมายถึง  ?  ?  ? [i]-- ที่  สอน ตรงตาม "พระพุทธวจนะ" --[/i      "พระพุทธวจนะ"             คุณ หมายถึง  ?  ?  ? ก่อนตอบ  ขอให้คุณ         พิจารณา มหาพิจารณา    พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา    พิจารณา มหาพิจารณา     พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา    พิจารณา มหาพิจารณา     พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา    พิจารณา มหาพิจารณา     พิจารณา มหาพิจารณา สักพัน พันหนนะครับ    คิดว่าคงไม่เกินไปกว่าคำทำนองนี้ที่มีในกระทู้มาตลอด จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 20:26:11

ความคิดเห็นที่ 15 ขอยก ๕. ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญา ๔     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญา ย่อมเป็นผู้เสร็จธุระอยู่ จบพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัย เราเรียกว่าอุดมบุรุษ     ๑. ภิกษุเป็นผู้มีกัลยาณศีล คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีศีลสำรวมในปกฏิโมกข์ (ศีลที่สำคัญของภิกษุ) สมบูรณ์ด้วยอาจาระและโคจร (มารยาทและการไปแต่ในที่ที่สมควร) เห็นภัยในโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอชื่อว่ามีกัลยาณศีลดั่งกล่าวมานี้แล     ๒. ภิกษุผู้มีกัลยาณศีลดั่งนี้แล้ว จะชื่อว่ามีกัลยาณธรรมอย่างไร? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งการอบรมธรรม อันเป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ๓๗ ประการ๕ อยู่ เธอชื่อว่ามีกัลยาณธรรม ดั่งกล่าวมานี้แล    ๓. ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรมดั่งนี้แล้ว จะชื่อว่ามีกัลยาณปัญญาอย่างไร? ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ๖ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนในปัจจุบัน อยู่ เธอชื่อว่ามีกัลยาณปัญญาอย่างนี้แล     ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญาดั่งนี้แล้ว ชื่อว่าเสร็จธุระ อยู่จบพรหมจรรย์ เราเรียกว่าอุดมบุรุษ." อิติวุตตก ๒๕/๓๐๓ พิจารณาดูนะครับ จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 20:50:16

ความคิดเห็นที่ 16 ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พระตถาคต ย่อมตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีใด และย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในราตรีใด  ย่อมตรัสบอกแสดงซึ่งพุทธพจน์อันใดในระหว่างนี้ พุทธพจน์นั้นทั้งหมด ย่อมเป็นอย่างนั้นนั่นแลไม่เป็นอย่างอื่น ฉะนั้น บัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พระตถาคตตรัสอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น  เพราะเหตุดังนั้นบัณฑิตจึงกล่าวว่า พระตถาคต  สยามรัฐ ๒๕/๒๙๓ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 22:38:53

ความคิดเห็นที่ 17 อ้าว.........ทำไม ไม่สอบทานกับหลักตัดสินพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าท่านให้มาล่ะ ท่านให้มาใช้เป็นกฏควบคุมคำสอนไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ใช้เท่ากับเก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ น่าจะบาปด้วย เพราะเหมือนดูถูกพระองค์ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 23:28:45

ความคิดเห็นที่ 18 ผมว่าถ้าสอบทานแล้ว ผู้สอบทานจะมีปัญญาแจ้ง หรือเข้าใจในธรรมมากขึ้นก็ควรสอบทานครับ แต่ถ้า สอบคำว่า ฐีติภูตัง แล้ว จะต้องไป คำอื่นเช่น จิตเดิมแท้, จิตบริสุทธิ์, ดวงธรรม ฯลฯ แล้วยังจะต้องสอบไปอีกว่า ภูมิธรรมชั้นสาวก กับชั้นอื่นๆจะเหมือนกันมั๊ย สาวกยุคนี้ กับ สาวกในพุทธกาล บันลุธรรมเหมือนกันมั๊ย นิพพานสมัยนี้ กับสมัยพุทธกาล สภาวะไม่เหมือนกันเหรอ สงสัยไปไม่มีที่สิ้นสุด ในความเห็นผมคือ ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ ที่มนุษย์สร้างขึ้น มันจะไปบอกสภาวะให้ชัดเจน เหมือนที่เราเข้าไปรู้เองไม่ได้ ยิ่งสภาวะที่เหนือสมมุติด้วยแล้ว คงได้แค่ใกล้เคียงสุดเท่า ตาบอดคลำช้าง จากคุณ : Gun_Panda เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 21:33:54

ความคิดเห็นที่ 19 ใครจะตอบกระทู้ สำรวมกายวาจาใจให้ดีครับ ระวังอริยุปวาท ผมไม่เคยนึกสงสัยหลวงปู่มั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ บางข้อบางเรื่องอ่านแล้วงงสงสัย บางทีอาจจะไม่ขัดก็ได้นะครับ ลองอ่านดูอีกทีดีๆ จขกท เองก็เปิดประเด็นอย่างเดียว ไม่ได้สรุปความเห็นตัวเองว่าคิดอย่างไรเลยนะครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 02:04:51

ความคิดเห็นที่ 20 เราว่า ไม่มีชาวพุทธ ในเมืองไทยจะไม่เตารพ ศรัทธา นับถือ หลวงปู่มั่น  เพียงแต่ในแง่ บท พยัญชนะ หากหวังความถูกต้อง  ก็ควร สอบทาน กับพระบรมครูผู้บัญญัติไว้ การถ่ายทอดบอกสอน แล้วแต่คุณสมบัติของแต่ละคนแต่ละท่าน ที่เห็นนั้น ท่านเซ็นฯ ท่านพยายามรักษาไว้ กล่าวตรงไหน อ้างพุทธพจน์ให้สอบทานได้ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 07:13:41

ความคิดเห็นที่ 21 คคห10 + คคห 11 ธรรม ที่เจ้าชายสิทธ้คถะทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง (๑) เป็น ธรรมชาติ เช่นนั้น  "ที่ไม่เคยมีใคร ค้น พบ ด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" มาก่อน  คือ  "อริยสัจสี่ หรือ ปฏิจจสมุปบาทสานสมุทัย  -- เกิดอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕  คือ "ตัวทุกข์อริยสัจ" (๒) ตาม พระบาลีพุทธภาษิตแปลไทย "โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ" ซึ่ง "ท่านพุทธทาส แปลมาจาก " ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" "รักษา"  "ธรรม  วินัย" สืบมา --- จนมี พระพุทธศาสนา วันนี้ ในถิ่นนี้ -- ^^^ ในกรณีนี้  ได้แก่ "คำว่า "เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่" ^^^^ ข้อนี้ คุณ โขตาน   -- จะให้ ผม -- เอาคำแปล "พระพุทธภาษิต" ของท่านพุทธทาสไปสอบทานกับคำแปลของพระพุทธเจ้า  ที่ "พระป่ารูปใดก็ตาม แปลไว้" บ้างละ ? ---ได้ หรือไม่? (๓) พระธรรมเทศนากัณฑ์แรก  คือ ธัมจักรกัปวัตรสูตร  ทรงแสดง "อริยสัจ" (ใช่หรือไม่?) เป็น  เหตุ  -- ทำให้ -- "บุคคลอื่นจากพระองค์" แรกสุดๆ ในโลกนี้ ฯ  เกิด ทิฏฐิ (ขั้น ดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธองค์ขึ้น) ว่า ---- "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิด (คำบาลีคือ ?  ดู เอง) เป็น ธรรมดา สิ่งนั้น ย่อมมีความดับไปเป้นธรรมดา" --- (๓) พระโกณฑัญญะ  ผู้ แรกก่อนผู้อื่นๆ (นับตั้งนั้น ตราบบัดนี้)  จึง ถูกเอ่ยคำว่า "อัญญา" -- โดยพระบรมศาสดา คือ คำว่า "อัญญาโกณฑัญญะ" (๔) ลองเดาดูไหมว่า ถ้า ชาวพุทธสมัยนี้ ถาม พระอัญญาโกณฑัญญธว่า ---- คำที่ท่านกล่าวออกมานั้น ---- ท่าน เห็น ธรรมะ อะไร?  ระหว่าง อริยสัจสี่ (หรือปฏิจจสมุปบาทสายเกิด สายดับฯ)   กับ   ไตรลักษณ์ ? คุณ การบูร (Camphor)  ----- อาศัย "ธรรม ที่ตรัสคือ "พระธรรมเทศนากัณฑ์แรก  คือ ธัมจักรกัปวัตรสูตร" ---- แล้ว   "มีคำตอบใดตรับ?" ส่วน คุณ โขตาน  จะให้ ผม  ไม่ลองเอาคำสอนของ "พระสายพระป่ารูปใดฯ" ไปสอบทานกับคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างละ ? -- ไหม? ครับ ---  กระทู้นี้ -- ผม อ้างถึง " ข้อความ ฯ ---- เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่   แต่ถูกห่อหุ้มด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน  เมื่อชำระด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว  เป็น ฐิติญาญังจิต  คือ ผู้รู้ว่า สูญจากอาสวะ  และรู้ว่าสูญจากอาสวะก็เป็นบรมสุข พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ---- คุณโขตาน ลอง สอบทานไหม (ตาม กรอบที่ผม เสนอใน คคห นี้) แล้ว คุณโขตาน  (น่าจะในฐานะ  พระป่านิยม) ช่วยแสดง ความเห็นอันสูงส่งที่ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ  + สอดคล้องกับ "พระพุทธภาษิต" -- ธัมจักรกัปวัตรสูตร" --- ว่า --พระ โสดาบัน แรกสุดๆ คือ พระโกณฑัญญะ "ผู้อัญญา -ก่อน ท่านอื่นๆ" ---  จะตอบว่า ---- ท่าน เห็น ธรรมะ อะไร?  ระหว่าง อริยสัจสี่ (หรือปฏิจจสมุปบาทสายเกิด สายดับฯ)   กับ   ไตรลักษณ์ ? --หลังจากฟัง พระธรรมเทศนาอัน นับได้ว่า "กัณฑ์แรกสุดๆ" ฯ                                      สรุป (๑) เจ้าชายสิทธัตถะ  ไม่ได้ ตรัสรู้ ไตรลักษณ์ (แบบของพระพุทธองค์ คือ อนิจจตา ทุกขา อนัตตา - ต่างจากไตรลักษณ์ของ ศาสดาอื่น เขาเสนอไว้คือ อนิจจตา ทุกขา อัตตา) ด้วย อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ --- ด้วย อาสัย สังขารที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสังขารทั้งปวง  คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ -- ในฐานะ วัคควิทู (พระสารีบุตร อัครสาวสกผู้มีปัญญามาก ยังต้อง อาสัย มรรค ตามคำสอนของพระองค์ ฯ) (๒)  เจ้าชายสิทธัตถะ  ตรัสรู้ "ปฏิจจสมุปบาทสาายเกิด สายดับ" หรือ คือ อริยสัจสี่ ฯ (๓) ดังนั้น อนัตตา (องค์หนึ่งของพระไตรลักษณ์) --- เป็น  "ผล"  มาจาก ---- เพราะทรงแจ่มแจ้งแทงตลอดซึ่ง ความจริงอันประเสริฐคือ อริยสัจ หรือ ปฏิจจสมุปบาท ด้วย "อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" ---- อันเป็น พุทธวิสัยหนึ่ง ---- 3 ช้อ ที่ผมเสนอ ใคร เห็นว่า "ผมเสนอเป็น มิจฉาทิฏฐิ" ? คุณ การบูร (Camphor) คุณ โขตาน จะ แสดง คคห ไหม? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 07:41:36

ความคิดเห็นที่ 22 ติดภาระฯ --- ต่อ คืนนี้ ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 08:16:29

ความคิดเห็นที่ 23 ต้องตรวจสอบกับพระไตรปิฎกเสมอครับ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 09:55:39

ความคิดเห็นที่ 24 คุณการบูร สอบทานได้ตามสะดวกครับ ไม่มีปัญหา ผมแค่เตือนให้ระวังสำรวมกายวาจาใจเท่านั้นเองครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 11:08:56

ความคิดเห็นที่ 25 เอาพระไตรปิฎก(ความจำ)มากล่าวอ้างมาสอบทาน กับภาคปฏิบัติ(ความจริง) มากล่าวอ้างกันไม่จบ สมาธิที่ท่านกล่าวไว้ในตำรับตำรานั้น คือชื่อของสมาธิ สมาธิที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นภายในจิต ส่วนหนึ่งในบัญชรธรรมหลวงตามหาบัว .................................................................. โปรดพิจารณาตามคุณ : cantona_z  ด้วยครับ ขอฝากไว้พิจารณาด้วยนะครับ จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 19:51:58

ความคิดเห็นที่ 26 ลองเดาดูไหมว่า ถ้า ชาวพุทธสมัยนี้ ถาม พระอัญญาโกณฑัญญธว่า ---- คำที่ท่านกล่าวออกมานั้น ---- ท่าน เห็น ธรรมะ อะไร?  ระหว่าง อริยสัจสี่ (หรือปฏิจจสมุปบาทสายเกิด สายดับฯ)   กับ   ไตรลักษณ์ ? -------------- ตอบค่ะ..เดาค่ะ ว่า จากบทธัมมจักกัปวัตตนสูตร   "ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่  ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา. =เกิด->ดับ=ไตรลักษณ์ ค่ะ  หากผิดก็ขอคำแนะนำค่ะ เพราะ เพิ่งมาหัดอ่าน อ่าน อย่างไปเรื่อยๆ จดๆ จ่อๆ โน่นที นี่ที ไม่เคยวิเคราะห์น่ะค่ะ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 20:11:23

ความคิดเห็นที่ 27 คคห 26 ตอบค่ะ..เดาค่ะ ว่า จากบทธัมมจักกัปวัตตนสูตรฯ =เกิด->ดับ=ไตรลักษณ์ ค่ะ (๑) คำตอบ แบบ ^^^ นี้ คุณการบูร (Camphor)  "เดา"   ด้วย เหตุ ปัจจัยอะไร หนอ? (๒) ก็ในเมื่อ "ธัมมจักกัปวัตตนสูตรฯ " ---- ตรัส เนื่องด้วย "อริยสัจสี่" ---- มิใช่หรือ? http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3 ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่าง และเสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยสายกลางอันเป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 คืออริยมรรคมีองค์ 8 โดยเริ่มจากทำความเห็นให้ถูกทางสายกลางก่อน เพื่อดำเนินตามขั้นตอนการปฏิบัติรู้เพื่อละทุกข์ทั้งปวง เพื่อความดับทุกข์ อันได้แก่นิพพาน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ตกลง -- ตรงไหนครับ  ที่ = เกิด->ดับ=ไตรลักษณ์ ค่ะ --- ???? หมายเหตุ (๑) สับสน  อะไรหรือไม่? ระหว่าง "อริยสัจสี่"  กับ "อนัตตลักขณสูตร" (๒) อนัตตลักขณะสูตร = พระพุทธองค์ตรัส ว่าด้วย อาการ คือ ลักษณะ ของ สิ่งนั้น (คือ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ เป็น ตัวทุกข์อริยสัจ) ว่า  "ไม่ใช่อัตตา= อนัตตา  - คำปฏิเสธ ว่า มีอัตตา (เพราะ ไม่มีอัตตา ใน ธรรมทั้งปวง/ ธรรมทั้งปวง ได้แก่ สังขตธรรม อสังขตธรรม และ วิราคะธรรม คือ นิพพาน) (๓) ถ้า คุณ การบูร (Camphor)  ไม่สับสน  ฯ        ************************************************     คำตอบ  ที่ สอดคล้องกับ "พระพุทธภาษิต "หนึ่ง"  --- น่าจะ หรือ ควร มีว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา. = "พระพุทธภาษิต ที่ตรัสว่า ทุกข์ (อริยสัจ)  เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์ (อริยสัจ) เท่านั้น ที่ดับไป  นอกจากทุกข์ (อริยสัจ) แล้ว --- หามีอะไรเกิด อะไรดับไม่         ************************************************                 สรุป สั้นๆ แบบ "เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม"                     เมื่อพิจารณา -- ธัมมจักกัปวัตตนสูตรฯ ----                  (อะไร?) เกิด->ดับ = ทุกข์อริยสัจ เกิด  -  ดับ  ครับ คุณ การบูร (Camphor) -----  มีมุมมอง 3 บรรทัดบนอย่างไร ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 09:25:01

ความคิดเห็นที่ 28 คคห 25 ความคิดเห็นที่ 25 เอาพระไตรปิฎก(ความจำ)มากล่าวอ้างมาสอบทาน กับภาคปฏิบัติ(ความจริง) มากล่าวอ้างกันไม่จบ ข้อความข้างบน (๑) คุณ chiwat  --- ปฏิเสธ  พระพุทธภาษิต  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา  -- ใช่หรือไม่  ครับ ? (๒) คุณ chiwat  --- เห็น ด้วย ปัญญา อะไร (ตามปัญญา ๓ ที่ตรัสไว้)  ครับ ---- จึง เสนอ ข้อความ ข้างบนนั้น (ไม่ใช่คำถามนะครับ ---- เป็น ความนำ สู่ ข้อที่ ๓) (๓) คุณ chiwat  --- เห็นว่า "คำชั้นสาวก สมัยนี้ --เลอเลศประเสริฐศรี ถูกต้อง "เฉกเช่น  คำ ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" --- รักษา "คำที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ ด้วย  อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" ---- ใช่หรือไม่ครับ? (๔) แอะอะ ก็ อ้างคำว่า "ภาคปฏิบัติ" พระบรมศาสดา  ทรง ไม่เนื่องกับ -- ภาคปฏิบัติ  ขั้น จอมศาสดา  หรือครับคุณ chiwat พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ไม่เนื่องกับ -- ภาคปฏิบัติ  ขั้น จอมศาสดา  หรือครับคุณ chiwat ผู้กล่าวคำว่า "ฐิตภูตัง"  เป็น ผู้ปฏิบัติ ธรรม วินัย --- เฉกเช่น พระเถระครั้งปฐมสังคายนา หรือไม่ ยกไว้ ผม ผู้ตั้งกระทู้นี้ ---- นอกจาก เป็นนักปริยัติ ---- ก็ ยังเป็น นักปฏิบัติ ---- ที่เนื่องกับ "อานาปานสติ  ภาวนา  ตามที่ -- พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" --- รักษา "คำที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ --- ตาม พระบาลีแปลฯ สำนวนแปล "สวนโมกข์"  ฯ แล้ว สอบทาน ผล ที่เกิดจากการปฏบิติ กับ พระสูตร ตามที่ -- พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" --- รักษา "คำที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ --- ตาม พระบาลีแปลฯ สำนวนแปล "สวนโมกข์"  ฯ ส่วนคุณ chiwat จะ เป็น นักปฏิบัติ หรือไม่ ยกไว้ --- ไม่ใช่ ประเด็น ฯ การที่ผม ตั้งกระทู้นี้ขึ้น ก็เนื่องกับ "สัมมาทิฏฐิ ใน ธรรม ที่พระพุทะเจ้าตรัสไว้" ตามที่ -- พระเถระครั้งปฐมสังคายนา" --- รักษา "คำที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ กระทู้นี้ --ก็ไม่เนื่องกับ ข้อความแห่ง คคห 25 --- สมาธิที่ท่านกล่าวไว้ในตำรับตำรานั้น คือชื่อของสมาธิ สมาธิที่แท้จริงนั้นจะเกิดขึ้นภายในจิต แต่เกี่ยวกับ --- ผล ที่เกิด จาก  ศีล สมาธิ ปัญญา แบบ สายพระป่า  ฯ "มิใช่หรือ? ********************************************************                                      สรุป ฐีติภูตัง คือ ?   ตาม ข้อความในหนังสือเล่มนั้น หน้า ๖๙ จากหนังสือ  รำลึกวันวาน (ความในวงเล็บ  ผม เสนอเองเพื่อ มี สัญญาตรงกัน ฯ) เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ ----> (อะไร  ที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วถูก "สาวก" สมัยนี้เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง?") เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ---- > (ดวงเดิม  ดวงไหน ? กำหนดตาม มหานิทานสูตร  และหรือ มหาตัณหาสังขยสูตร + จูฬสุญญตสูตร เป็นที่สุด) เปรียบเหมือน ฐิติภูตัง  คือ จิตดวงเดิม ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ----> ( มีอยู่ เป็นอยู่  สมัยไหน? กำหนดตาม มหานิทานสูตร  และหรือ มหาตัณหาสังขยสูตร + จูฬสุญญตสูตร เป็นที่สุด) คุณ chiwat  จะ ตอบ ไหมครับ? --- ฐีติภูตัง คือ ? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 09:39:47

ความคิดเห็นที่ 29 คคห 14 คุณ P2wichai --- ไม่เข้าใจ  ประเด็น กระทู้นี้ ตรงไหน ครับ ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" ตอบ ตรงตามประเด็รน ไหมครับ? คุณP2wichai จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 09:41:25

ความคิดเห็นที่ 30 ฐีติภูตัง คือ ? -- "ตาม"  ข้อความ ที่คุณ โขตาน เสนอไว้ใน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12754594/Y12754594.html#11 ความคิดเห็นที่ 7 คำนี้ไม่มีในตำรา   หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาตามธรรมที่ท่านปฏิบัติจนรู้เห็น แล้วบัญญัติคำขึ้นมา ....หมายถึงอะไรอย่างหนึ่งที่เป็นแกนกลางในใจของสัตว์ทั้งหลาย จบความนำ ******************************************************** ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 09:44:04

ความคิดเห็นที่ 31 เจอในเวปหนึ่ง http://www.khaothongthin.com/ เนื่องกับ "พระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแปลไทย"  ดังนี้ ---- เธอมีคำตอบเมื่ออ่านพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแปลไทยนั้นว่า "การประกอบตนลุ่มหลงด้วยกามสุข" กับ "ความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ตน" นั่นแหละคือ "สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ฯ คำตอบ ข้างบน (เกิด ดับ) --- "คุณการบูร (Camphor) "  เห็นว่า  เป็นคำตอบแบบไหน? (๑)  เป็นคำตอบแบบ --- "เคี้ยวแล้วคาย" -- "ตามเหตุปัจจัยของผู้ตอบนั้น" (ในฐานะ ผู้ไม่เกี่ยวเนื่องกับ พระพุทธศาสนา โดยทะเบียนบ้าน ฯลฯ) หรือว่า (๒)  เป็นคำตอบแบบ --- "อมแล้วบ้วน" --- "ตามเหตุปัจจัยของผู้ตอบนั้น" (ในฐานะ ผู้ไม่เกี่ยวเนื่องกับ พระพุทธศาสนา โดยทะเบียนบ้าน ฯลฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 10:02:52

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ chiwat  --- ปฏิเสธ  พระพุทธภาษิต  ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษามา  -- ใช่หรือไม่  ครับ ? ขอตอบแทน ผมไม่เห็นว่าคุณ chiwat หมายความว่างั้นครับ หากจะพูดถึงกรณีนั้น ผมว่าลองย้อนกลับมาพระไตรเวอร์ชั่นสวนโมกข์ น่าจะตรงประเด็นกว่าครับ ส่วนประเด็น "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" ตอบว่า สอบทานได้ไม่มีปัญหาครับ ควรสอบทานครับ จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 11:52:10

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณ ท่านเซ็น และ มาสารภาพว่า  เหมือนเด็ก ป4 นั่งเรียน ในมหาวิทยาลัย เลย ก่อนตอบก็อ่านค่ะ แต่ไปไม่ถึง อนัตตลักขณสูตร คือ จริง คิดถึง คำว่า  ทุกขัง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และ ทุกขอริยสัจ ที่มีเหตุให้เกิด และเหคุให้ดับค่ะ ว่าเป็นสิ่งที่ท่านโกณทัญญะเห็น แต่แล้วสมอง มีน ไปจำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้นคืิอเรียกว่าไตรลักษณ์ เลยตอบอย่างนั่น ค่ะ นี่คือที่สับสนค่ะ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ไตรลักษณ์ตคืออะไร  คือ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา  และใน อนัตตลักขณสูตร กล่าวถึง ขันธห้า ว่าเป็นอยัตตา  พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา. จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 13:00:26

ความคิดเห็นที่ 34 ^^^ เพราะยัง สั่งสมความรู้ไม่พอ ถ้า ความเห็น ยังไม่ถูกอีก ท่านเซนฯ บอกต่อได้นะคะ จากคุณ : การบูร (Camphor) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 13:07:29

ความคิดเห็นที่ 35 คห. 29 คุณ P2wichai --- ไม่เข้าใจ  ประเด็น กระทู้นี้ ตรงไหน ครับ ประเด็น กระทู้ "คำชั้นสาวก  สมัยนี้  ต้องสอบทานกับ "คำของพระพุทธเจ้า"  มั๊ย?" ตอบ ตรงตามประเด็น ไหมครับ? ไม่เข้าใจตรง   "คำของพระพุทธเจ้า"  ครับ จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 11:12:03