ความคิดเห็นที่ 1 ในที่นี้จะนำโองการที่ 8 ของซูเราะฮฺ อัลมุมตะหินะฮฺ มาวิเคราะห์ และอธิบายเพื่อให้เห็นถึงหลักคำสอนดังกล่าว ดังนี้ : ตัวบท และความหมายโดยสรุป : อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า : ( لَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ ) (8) سورة الممتحنة “อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดา (ชนต่างศาสนิก) ที่มิได้รุกรานพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม” (60:8) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 06:59:08

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อวิเคราะห์ที่ 1 โองการนี้ได้ใช้ให้ท่านนบี และเศาะหาบะฮฺปฏิบัติดีกับ เผ่าคุซาอะฮฺ และบะนูอัลหาริษ ซึ่งเป็นชนต่างศาสนิกที่ได้ทำสัญญาสงบศึกกับท่านนบี และเหล่าเศาะหาบะฮฺ ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (ดูอัลกุรฎบีย 1985 18 / 59) โองการนี้แม้ว่าจะประทานลงมาเกี่ยวกับกลุ่มคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่บัญญัติของเรื่องนี้ครอบคลุมทุกกลุ่มคนที่มีลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกัน ตามหลัก (กออิดะฮฺ )ของนักอรรถาธิบายอัลกุรอาน (มุฟัสสิรีน) ที่ว่า : " العِبْرَةُ بعُموم اللفْظ لا بخُصوصِ السَّبب " “การพิจารณาอัลกุรอานนั้นให้ พิจารณาถึงความหมายที่ครอบคลุมของถ้อยคำ มิใช่พิจารณาที่สาเหตุ หรือภูมิหลังเป็นการเฉพาะ” (ดูอัสสุยูฏียฺ มปป. 2/28) ดังนั้นโองการนี้จึงสามารถนำมาใช้กับมุสลิมโดยทั่วไปในสองสถานะ คือ : ก.) มุสลิมที่เป็นชนส่วนน้อยของประเทศ ซึ่งชนส่วนใหญ่ต่างศาสนิกมิได้ต่อต้านรุกราน หรือเข่นฆ่า และมิได้ขับไล่ไสส่งออกนอกมาตุภูมิ ข.) มุสลิมที่มิใช่เป็นชนส่วนน้อยของประเทศ แต่มีสัญญาตกลงในข้อกฎหมายที่จะอยู่ร่วมกันกับชนต่างศาสนิกอย่างสันติ มุสลิมที่อยู่ในสองสถานะดังกล่าวจำเป็นต้องปฏิบัติตามบัญญัติของโองการนี้ทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 55 07:18:02 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:00:33

ความคิดเห็นที่ 3 ข้อวิเคราะห์ที่ 2 ชนต่างศาสนิกที่อัลลอฮฺได้กล่าวถึงในโองการนี้ คือ ชนต่างศาสนิกที่ไม่มีพฤติกรรมเป็นภัยร้ายแรงต่อมุสลิม โดยอัลลอฮฺได้ระบุไว้สองประการสำคัญ คือ : 1.) " لم يقاتلوكم في الدين "ไม่ทำสงครามศาสนา หมายถึงไม่คุกคาม หรือต่อต้านในเรื่องสิทธิทางศาสนา 2.) " لم يخرجوكم من دياركم "ไม่ขับไล่ออกจากมาตุภูมิ หมายถึงไม่คุกคามในเรื่องสิทธิของที่อยู่อาศัย สำหรับชนต่างศาสนิกที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อมุสลิมในสองประการข้างต้น อัลลอฮฺได้บัญญัติห้ามการผูกมิตรกับพวกเขาในโองการถัดมา คือ : ( إِنَّمَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ قَاتَلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَأَخْرَجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ وَظَاهَرُوا عَلَى إِخْرَاجِكُمْ أَن تَوَلَّوْهُمْ وَمَن يَتَوَلَّهُمْ فَأُوْلَئِكَ هُمُ الظَّالِمُونَ ) (9) سورة الممتحنة “อัลลอฮฺเพียงแต่ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้รุกรานพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และช่วยเหลือ (ผู้อื่น) ในการขับไล่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขา และผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้นเป็นผู้อธรรม” (60:9) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:02:20

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อวิเคราะห์ที่ 3 อัลลอฮฺได้ระบุถึงองค์ประกอบสำคัญของความสมานฉันท์ระหว่างมุสลิม กับชนต่างศาสนิกไว้สองประการ คือ : 1.) البِرّหมายถึงการปฏิบัติดีต่อกัน คำนี้ปรากฏในอัลกุรอานทั้งหมด 8 ที่ คือ : (2:44, 177, 177, 189, 189 3:92 5:2 58:9) และคำ ในความหมายเดียวกัน มีปรากฏใน(2:224) 2.) القِسْطหมายถึงการให้ความยุติธรรม คำนี้ปรากฏในอัลกุรอานทั้งหมด 15 ที่ คือ : (3:18, 21 4:127, 135 5:8,42 6:152 7:29 10:4, 47, 54 11:85 21:47 55:9 57:25) และคำที่แตกออกไป ซึ่งสื่อความหมายเดียวกัน เช่น: ก. تُقْسِطُوْا(4:3) ข. أقْسِطُوْا (49:9) ค. القاسِطُوْن(72:14, 15) ง. أَقْسَطُ(22:282 33:15) จ. المُقْسِطِيْنَ (5:42 49:9 60:8) ทั้ง البر (การปฏิบัติดี)และ القسط (การให้ความเป็นธรรม) ล้วนเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่มนุษย์พึงหยิบยื่นให้กันและกัน เพื่อความสมานฉันท์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:03:45

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อวิเคราะห์ที่ 4 อัลลอฮฺได้จบโองการนี้ด้วยการชื่นชมผู้ที่ปฏิบัติดี และมีความยุติธรรม ต่อชนต่างศาสนิก ด้วยคำว่า: إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ ) ) “แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม” ประโยคนี้ แม้ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า خَبَرية แต่ความหมายของประโยคมิใช่บอกเล่า แต่เป็นเหมือนคำสั่ง إنْشَائِية กล่าวคือ อัลลอฮฺทรงต้องการให้มุสลิมปฏิบัติดี และมีความยุติธรรมต่อชนต่างศาสนิกที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรัก และแน่นอนความรักของอัลลอฮฺเป็นยอดปรารถนาของมุสลิมทุกคน แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 55 07:20:45 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:05:15

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อวิเคราะห์ที่ 5 การปฏิบัติดี และการมีความยุติธรรมในโองการนี้ไม่ขัดแย้งกับข้อห้ามในเรื่องของ วะลาอ. ( ولاء )ในโองการของอัลลอฮฺที่ว่า : ( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ لاَ تَتَّخِذُواْ الْكَافِرِينَ أَوْلِيَاء مِن دُونِ الْمُؤْمِنِينَ ) ( 144 ) سورة النساء “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร อื่นไปจากผู้ศรัทธาทั้งหลาย” (4:144) ดูโองการที่มีความหมายใกล้เคียงกันใน (3:28 4:89, 139 5:51 9:23 3:118) เนื่องจากสามารถอธิบายได้ดังนี้ คือ 1.) ผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือชนต่างศาสนิกในโองการต่างๆดังกล่าว มิใช่เป็นชนต่างศาสนิกที่กล่าวถึงในโองการอัลมุมตะหินะฮฺ (60:8) แต่เป็นชนต่างศาสนิกที่อัลลอฮฺได้กล่าวถึงในโองการถัดมา อัลมุมตะหินะฮฺ (60:9) 2.) การสร้างความสมานฉันท์ในรูปของ البر และ القسط นั้นแตกต่างจากเรื่องของالولاءกล่าวคือ เรื่องแรกเป็นเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ ที่มุสลิมทุกคนพึงปฏิบัติต่อชนต่างศาสนิก สอดคล้องกับอัลหะดีษที่ท่านร่อซู้ล (ศ้อลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า: " وخا لِق الناسَ بخُلق حَسَن " “และเจ้าจงคบกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกิริยามารยาทที่ดีงาม” (อัตติรมีซีย์ หมายเลข 1987 เป็นหะดีษหะสันศอเฮี้ยะห์) ส่วนเรื่องที่สอง คือ เรื่อง วะลาอฺ นั้นเป็นเรื่องของการเป็นมิตรสนิท ที่มีลักษณะพิเศษของ ความรัก ความเคารพ และการสวามิภักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้บัญญัติห้ามไว้ในหลายโองการที่กล่าวมา (ดูมูฮัมหมัด นุอัยมฺ ยาซีน 1398 หน้า 145) จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:08:45

ความคิดเห็นที่ 7 บทส่งท้าย แม้ว่าความขัดแย้งจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน แต่อิสลามก็กำหนดให้มนุษย์หาทางออกด้วยวิธีการที่นำไปสู่ความสมานฉันท์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในหมู่มุสลิมต่อมุสลิมด้วยกัน หรือมุสลิมต่อชนต่างศาสนิก อย่างไรก็ตามสันติภาพ และความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนในสังคมจะต้องตระหนักว่าทุกคนจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ความสุข และความทุกข์ของผู้อื่น ก็คือความสุข และความทุกข์ของพวกเราทุกคนด้วย ขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺได้โปรดประทานความสมานฉันท์ และความสันติสุข แด่เราทุกคน อามีน ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร. อับดุลเลาะ หนุ่มสุข د.عبدالله نومسوك   แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 55 07:10:20 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:10:10

ความคิดเห็นที่ 8 ทั้งหมดนี้อ้างอิงจาก http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=5&id=396 โดย กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติภาพไม่นิยมความรุนแรง http://www.facebook.com/home.php#!/groups/492824780735210/ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 07:12:38

ความคิดเห็นที่ 9 อิสลาม..ความหมายง่ายๆที่ถุกลืม จากคุณ : Jimbovy เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 08:43:50

ความคิดเห็นที่ 10 คำพูดที่สวยงาม ไม่สามารถลบล้างภาพ การกระทำที่โหดร้ายทารุณได้ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 17:48:37

ความคิดเห็นที่ 11 #10 ใครทำอะไรไม่ดี ก็ต้องให้คนนั้นรับไปสิครับ หรือเพราะมันไม่ตรงกับใจคุณที่มีอคติ คุณอยากให้คนไม่ได้ทำ มีความผิดไปด้วย ถามจริงๆ เถอะครับ ไม่รู้สึกละอายใจและกระดากใจบ้างเลยเหรอที่จะยัดเยียดคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้กลายเป็นคนผิดไปด้วย สมมติพี่หรือน้องคุณไปฆ่าใครตาย แต่ศาลบอกว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องของคุณ ลูกหลานของคุณทั้งหมด และตัวคุณต้องรับโทษไปด้วย คุณจะยอมมั้ย ผมว่าเพราะใจคุณเป็นโรคเกลียดอิสลาม อะไรที่เกี่ยวข้องกับอิสลาม โดยเฉพาะคนที่นับถือศาสนานี้ ทุกคนจึงดูเป็นคนไม่ดีในสายตาคุณทั้งหมด ซึ่งโรคที่ว่านี้ ไม่มีใครจะช่วยรักษาให้หายขาดได้ มันมาจากจิตใจที่ไร้ความเป็นธรรม คุณเลือกให้ตัวคุณเป็นโรคนี้เอง จะหายไม่หายจึงอยู่ที่ตัวคุณเอง จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 19:56:41

ความคิดเห็นที่ 12 คห 11 คุณเองก็รู้ความจริงว่าเกิดจากอะไร ไม่มีใครโยนความผิดให้ใครได้หรอก ตราบใดเห็นความผิดเป็นถูก มันไม่ทำให้ความผิดกลายเป็นความถูกไปได้หรอก นอกจาก อคติ หลอกได้แม้กระทั่งตัวเอง  การแก้ไขความผิดจึงไม่สามรถเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครทำให้คนดีกลายเป็นคนเลวได้เพียงเพราะคำพูด นอกจาการกระทำของเขา โดยเฉพาะคนธรรมดาอย่างผมยิ่งไม่สามารถทำได้เลย จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 20:47:06

ความคิดเห็นที่ 13 #12 ผมจะไม่เสียเวลาอธิบายอะไรเดิมๆ อีกแล้วครับ เพราะคุณเป็นโรคเกลียดอิสลามขั้นรุนแรง แต่ผมได้ขอดุอาให้คุณแล้วครับ ผมขอตัวนะครับ จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 55 19:54:10

ความคิดเห็นที่ 14 ต่างก็ทำกิจที่ควรทำในศาสนาของตน อย่าก่อการร้าย อย่ามีพฤติกรรมข่มขู่ อย่าวางระเบิดฯ มีเหตุผลที่เสียสละการกระทำบางอย่าง _เพราะเห็นประโยชน์ของส่วนรวม/เพื่อนบ้าน/สังคม/ประเทศชาติ ฟัง/สำรวจเหตุผลต่างๆของผู้อื่นบ้าง เช่นเรื่อง "ก่อนที่จะเป็นรัฐปัตตานี" (เลิกมอมเมาเยาวชนเรื่องรัฐปัตตานีเสียที) โดยเผยแพร่ในทุกมัสยิด ปอเนาะ ตะติกา? ผู้นับถือศาสนาอิสลามควรหรือไม่ที่ระลึกไว้ในใจเสมอว่า สันติเป็นความหมายที่ดียิ่งของชื่อศาสนาอิสลาม ดังนั้น ควรหรือที่จะทำสิ่งที่สวนทางกับสันติ โดยระวังเรื่อง "the misunderstood religion" (เช่นกระทู้ที่ y12498820 และความคิดเห็นที่ 22,25,28,30 กับกระทู้ที่ y12464127 และความคิดเห็นที่ 69,72 _ผมต้องขออภัย จขกท.ด้วยที่ฟื้นเรื่องนี้ในที่นี้) และเผยแพร่คำสอนที่ว่า มุสลิมเมื่อไปอยู่ในประเทศใด ให้เชื่อฟังผู้ปกครองของประเทศนั้นๆ (โดยธรรม/ใช้ธรรมคือความถูกควรเป็นเครื่องยุติ) ______________ "ความเห็นต่างเรื่องปัญหาหลักในภาคใต้ ก็คือ 1  มีการแยกดินแดนให้ได้  โดยอาศัยอ้างคำสอนจีฮัดของพระเจ้า (ไม่ยอมอ้างคำสอนเรื่องสันติ) และที่ยังไม่หยุดเพราะมีการบิดเบือนมอมเมาเยาวชน ตามโรงเรียนสอนศาสนา ทำให้มีผลผลิตผู้ก่อการร้าย สืบเนื่องก่อทุกข์ก่อโทษจนทุกวันนี้ (อย่างที่อดีตกำนันโตะเดง ว่า คนวางแผนโหดร้ายมาก ที่ทำกับเยาวชนมุสลิมถึงขนาดนี้  _แต่อย่างไรก็ตามผมว่า ในที่สุด พระเจ้าต้องลงโทษคนพวกนี้แน่ เพราะคนบริสุทธิ์ เด็กเล็ก ผู้หญิง คนแก่ คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พลอยโดนลูกหลง บาดเจ็บ พิการ ล้มตายไปด้วย) 2 ไม่มีการให้สติฉุกคิดว่า ดินแดนแถบนี้ ลัทธิถือผีครอบครองมาก่อน ต่อมาก็พราหมณ์/ฮินดู (แม้ปราสาทนครวัดในกัมภูชา ก็ถูกสร้างขึ้นโดยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์) ต่อมาก็พุทธ (เช่น บุโรพุทโธ ที่อินโดเนเซีย) ส่วนอิสลามมาที่หลังเพื่อน (แต่ก็ยังมาปลุกระดมเรื่องจีฮัด) อิสลามจะใช้สิทธิเอาเปรียบศาสนาอื่นในเรื่องนี้หรือ? การย้ายถิ่นฐาน การทำสงครามแผ่ขยายดินแดน ในยุคบรรพกาล มันเป็นเรื่องธรรมดาด้านมนุษยศาสตร์ มันย่อมควรมีจุดยุติบ้าง มันเป็นเรื่องโลกๆ และปัจจุบันมันก็เป็นประเทศมานานนมแล้ว ยุคที่มีการรบขยายดินแดนอย่างก่อนๆมันพ้นสมัยแล้ว แต่บางกลุ่มในไทย ก็ยังมาใช้ปลุกระดมกันอยู่ได้ (แค่นี้ยังทุกข์ไม่พอ?) ประเทศไทยยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ คนไทยไม่เลือกศาสนาไปอยู่อย่างสันติได้ แบบนี้ไม่ดีหรือ? โรงเรียนสอนศาสนา หรือมัสยิด ควรให้ข้อคิดเสียทีว่า ถ้าทุกลัทธิ ทุกศาสนามีจีฮัดในคำสอน โลกนี้มันจะยุ่งขนาดไหน? (จะเห็นว่า แม้ยุคนี้ยังมีข่าวมีภาพในบางประเทศ ที่มีผู้ถือหิ้วศีรษะที่โดนบั่น) แม้ในคัมภีร์ก็อ้างถึงว่า พระเจ้าทรงมากไปด้วยเมตตา มากไปด้วยการให้อภัย แต่สาวกไม่เอาสองคำนี้ จะเอาจีฮัด แล้วสันติตามคำพระเจ้า เมื่อใดจะเกิด? ขอให้รัฐบาล โรงเรียนสอนศาสนา ไม่ว่าจะตาติกาหรือปอเนาะ  ทุกมัสยิด ให้เห็นความสำคัญของแง่คิดนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ? ถ้าประเทศอื่นยังไม่ทำฯ ประเทศไทยก็นำทำ ให้เป็นตัวอย่างแก่โลกได้  ไม่ต้องรอให้ใครนำหน้าเรื่องสันติก่อนเรา ขอย้ำอีกทีว่า..จะไม่ดีกว่าหรือ? 3 เรื่องยาเสพติด มันมีทุกภาค ไม่เฉพาะภาคใต้ ข่าวจากสื่อต่างๆเต็มไปหมด 4 เรื่องปัญหาไม่เป็นธรรม ก็มีทั่วไป คงจำกันได้ ยุค 14 ตุลา 16 ตำรวจหลายสถานีในกรุงเทพ  ถึงกับถอดเครื่องแบบ ทิ้งสถานี การเดินขบวน ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลขนาดหนัก ก็เพราะความไม่เป็นธรรมนี่แหละ ไม่เฉพาะภาคใต้ 5 ขอสรุปและสนับสนุน ให้มุสลิมไทยเป็นผู้นำเรื่องสังคายนา อะไรที่ไม่ใช่สันติก็เอาออก (เช่นจีฮัด) เพื่อให้เป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่แท้จริง เรื่องการแก้แค้น ไม่จำเป็นต้องสอนในคำภีร์หรอก คนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด เมื่อแพ้กิเลส ก็แก้แค้นกันไปมา ตั้งแต่ก่อนมีศาสนาอิสลามเสียอีก _สันติดีกว่า มีความสุขกว่า จากคุณ : ลาดปลาเค้า  เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 55 05:08:17 " __________ ถ้าไม่มีเรื่องสามจังหวัดภาคใต้ อิสลามก็เป็นหนึ่งในศาสนาทั่วๆไปที่มีในไทย ไม่รู้สึกแปลกๆที่เห็นมุสลิมสวมหมวก หญิงคลุมผม และผมเองก็ไม่ต้องเสียเวลาศึกษาคำสอนอิสลาม พระเจ้า .. จากคุณ : ลาดปลาเค้า เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 55 05:08:25