ความคิดเห็นที่ 1 แล้วคราวนี้พวกเราจะตาสว่างกันได้รึยังว่า  "พระเจ้าไม่ได้สร้างโลก" จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 19:58:29

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ทราบว่า มีเหตุผลอะไรที่ มุสลิม และคริสเตียน จำเป็นต้องเชื่อตามที่ ศาสตราจารย์ฮอว์คิง พูดล่ะครับ? จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:25:39

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะ  ศาสตราจารย์ฮอว์คิง  เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้าวสรรค์ผลงานที่เป็นคุณประโยชน์แก่ชาวโลกและเห็นได้จริงจากผลงานเค้าด้วย   คำพูดของแกแต่ละอย่างเป็นคำพูดที่มีหลักฐานสนับสนุนว่าเป็นจริงและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกล้วนให้การยอมรับ   แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรล่ะครับ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:30:02

ความคิดเห็นที่ 4 มันเป็นความเชื่อ และเป็นแนวคิดของคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย จะว่าไป เป็นแค่คนที่มีชื่อบ้าง ในยุคนี้เท่านั้น อีกสักสิบปีข้างหน้า คนก็คงไม่ได้สนใจกับบุคคลนี้อีกแล้ว ที่น่าสนใจกว่า คือ ไอสไตน์เนี่ยแหละครับ ยังมีคนเอาคำพูดเขามาใช้หากินทั้งๆที่ เขาก็ไม่ได้พูดแบบที่้ว่าเลยสักนิด น่าตลกมากกว่านะอันนี้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:31:09

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนคุณ wutthitham ไม่ทราบว่า Stephen Hawking เขาอธิบายเหตุผลว่ายังไงครับ ผมอยากทราบ เพราะวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ แล้ว Stephen Hawking พิสูจน์ว่าไงครับ ถึงได้บอกว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างโลก รบกวนคุณ wutthitham อธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับผม จากคุณ : พญานรสิงห์ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:32:58

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่จำเป็นต้องเชื่อเลยครับ เพราะมันแค่แนวคิดของ คน 1 คน ถ้างั้น ไอแซค นิวตัน มีชื่อเสียง และคุณประโยชน์กว่า เป็นคริสเตียน ทำไมไม่เป็นคริสเตียนด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:35:49

ความคิดเห็นที่ 7 นั่นสิครับ เขาว่ายังไง พิสูจน์ยังไง บอกได้ไหม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:36:14

ความคิดเห็นที่ 8 ในปี 1991 ฮอว์คกิ้ง ได้พนันกับเพื่อนนักฟิสิกส์สองคนชาวอเมริกัน KIP THORNE กับ JOHN PRESKILL เรื่อง naked singularity ซึ่ง ฮอว์คกิ้งเชื่อว่า มันมีอยู่แต่เฉพาะในหลุมดำเท่านั้น ไม่สามารถปรากฏข้างนอกได้ ผลปรากฏว่า ต่อมามีผู้ค้นพบ naked singularity จริงๆ ซึ่งในที่สุด ฮอว์คกิ้งก็ยอมรับ และต้องเสียค่าปรับแพ้พนันเป็นค่าเสื้อยืด 2 ตัว ราคา 100 ปอนด์   มีข้อความเขียนว่า NATURE ABHORS A NAKED SINGULARITY พร้อมปั๊มลายมือเพื่อเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ให้แกเพื่อนชาวอเมริกันทั้งสอง จากคุณ : พญานรสิงห์ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:36:29

ความคิดเห็นที่ 9 รูปนี้คือ สัญญาพนันที่มีต่อกัน ประกาศรู้เห็นกันทั่วโลก ไม่ได้แอบพนันกันลับๆซะด้วย จากคุณ : พญานรสิงห์ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:37:46

ความคิดเห็นที่ 10 “These thoughts did not come in any verbal formulation. I rarely think in word at all. A thought comes, and I may try to express it in words afterward.” “ความคิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในรูปของถ้อยคำ  ข้าพเจ้าไม่ค่อยคิดเป็นถ้อยคำเมื่อเกิดความคิดขึ้นแล้ว  ข้าพเจ้าจึงพยายามอธิบายด้วยถ้อยคำในภายหลัง” ๔   ความว่างภายในอะตอม ถ้า ปรากฏการณ์ยืดหดของเวลามาเกิดขึ้นบนพื้นโลก  มนุษย์จะมองว่าเป็นเรื่องอภินิหาร  หลายคนคงเคยได้ยินว่า ขณะที่องคุลิมาลวิ่งไล่เพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้า  เขาวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่  แต่ก็ไล่ตามพระพุทธเจ้าไม่ทันสักที  ทั้งนี้เพราะเวลาขององคุลิมาลผ่านไปเร็วมากทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อหนึ่งวินาทีสั้นมาก  แม้ว่าระยะทางที่องคุลิมาลวิ่งจะไม่ได้ยืดยาวขึ้น  แต่เวลาในห้วงนั้นระหว่างเวลาของพระพุทธเจ้ากับองคุลิมาลยาวนานไม่เท่ากัน  องคุลิมาลแปลกใจวิ่งตามเท่าไรก็ห่างกันไปทุกที  ตะโกนบอกให้หยุด  พระพุทธเจ้าตอบว่า  เราหยุดแล้ว  ท่านต่างหากยังไม่หยุด  องคุลิมาลนิ่งไปสักครู่  ครุ่นคิดทำความเข้าใจจากคำพูดเพียงเท่านี้  ทำให้เขากลับใจทันที มีการวิเคราะห์กันว่า  พระพุทธองค์หมายถึงการหยุดทำบาปแต่ก็น่าแปลกใจว่า   ความเข้าใจเพียงแค่นั้นเองหรือ  ที่ทำให้องคุลิมาลสามารถตัดกรรมทั้งหมดแล้วบรรลุธรรมได้ฉับพลัน  น่าจะมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่า  นั่นคือปาฏิหาริย์เรื่องการหยุดเวลาที่พระพุทะองค์ทรงแสดงให้องค์คุลิมาลประจักษ์นั่นเอง เรื่อง “เวลา”  นอกจากทฤษฎีสัมพัทธภาพแล้ว  สามารถอธิบายได้ตามทฤษฎีเทอร์โมไดนามิก{๒๗}  และทฤษฎี นี้เองที่เฉลยว่าทำไมเราย้อนอดีตไม่ได้  กฎที่สำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือ  ทุกๆสิ่งในจักรวาลหลังเกิดระเบิดครั้งใหญ่(บิ๊กแบง)  จะมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะที่ยุ่งเหยิงมากขึ้นเสมอ  ยกตัวอย่างเช่น  ร่างกายของมนุษย์  เมื่อเสียชีวิตลงจะเน่าเปื่อยและสูญสภาพอย่างรวดเร็ว  หรือขวดน้ำที่เราเห็นบนโต๊ะเมื่อหล่นลงพื้นมันจะแตกเป็นเศษแก้วกระจายแยกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถ้ามีใครถ่ายวีดีโอไว้  แล้วนำมาเล่นย้อนกลับในจอทีวี  จะเห็นภาพเศษแก้วค่อยๆ รวมตัวกันแล้วก่อรูปร่างเป็นขวด  ย้อนขึ้นไปตั้งอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม  นั่นคือย้อนเวลาด้วยวีดีโอ  แต่ในความเป็นจริงเราทำไม่ได้สรรพสิ่งในจักรวาลจะต้องดำเนินไปในทางที่มีระเบียบน้อยลงเสมอแม้แต่ขบวนการเมแทอลิซึม  กระบวนการย่อยอาหารของเรา ก็อยู่ภายใต้กฎของเทอร์โมไดนามิก  ก้อนเนื้อชิ้นเดียวที่เราเคี้ยวแล้วกลืนลงกระเพาะในเวลาไม่นาน มันจะแตกตัวเป็นโมเลกุลและยุ่งเหยิงอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่ในกระแสเลือดเรา  เราไม่สามารถย้อนเวลาเอา”โมเลกุลเหล่านั้นมารวมกันให้กลับเป็นก้อนเนื้อเหมือนเดิม  เช่นเดียวกับเราไม่สามารถทำไข่เจียวให้กลับมาเป็นไข่ฟองได้อีก {๒๗}ทฤษฎีเทอร์โมไดนามิก (Thermodynamics)  อธิบายถึงหลักวิทยาศาสตร์ของความร้อน มีกฎที่สำคับอยู่ ๔ ข้อ  ข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ”เอนโทรปี” (entropy)  ซึ่งเป็นตัวแปรที่กำหนดขึ้นมาใช้เรียกแทนค่าความยุ่งเหยิงของระบบ  ซึ่งเอนโทรปีจะต้องเพิ่มขึ้นเสมอ  ไม่มีทางลดลง  กฎข้อนี้ของเทอโมไดนามิกจึงทำให้สามารถฟันธงได้ว่าเหตุการณ์ใดสามารถเกิดขึ้นได้และเหตุการณ์ใดไม่มีทางเกิดขึ้น เช่น แก้วตกแตกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจะไม่สามารถกลับมารวมกันกลายเป็นแก้วเดิมได้อีก  เพราะเอนโทรปีจะลดลงในกระบวนการดังกล่าว  ซึ่งเป็นไปไม่ได้  กฎข้อนี้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า  เอนโทรปีของจักรวาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนมีค่าสูงสุด.. อาจจะมีคนค้านว่า  ถ้าอย่างนั้นโรงงานผลิตขวดก็ทำผิดกฎเทอร์โมไดนามิกน่ะสิ  เขาเอาทรายเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบมาอัดแน่นให้กลายเป็นขวดได้  แน่นอน การที่จะทำให้เกิดกระบวนการย้อนกฎเทอร์โมไดนามิกได้ต้องใช้พลังงานสวนเข้าไป  ในการผลิตขวดแก้วต้องใช้พลังงานความร้อนมหาศาลในการหลอมทรายเพื่อให้รวมกันกลายเป็น แต่อย่างไรก็ตาม  ตามกฎของธรรมชาติขวดแก้วจะไม่คงอยู่ตลอดไป  ในระยะเวลานานมากขวดแก้วนั้นก็จะกลายเป็นสภาพเม็ดทรายอีกครั้งในอนาคต   ก็เหมือนกับตัวเราที่มีพลังงานทำให้มารวมตัวกันเป็นรูปเป็นร่าง  แต่ถึงที่สุดตัวเราก็ย่อมสลายกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่ดี ตามกฎของเทอร์โมไดนามิก  ยิ่งเกิดสภาวะไร้ระเบียบเร็วขึ้นเท่าไหร่เวลาก็ผ่านไปเร็วขึ้นเท่านั้น  เวลาจะมีทิศทางเดียวคือไปข้างหน้า   ย้อนกลับไม่ได้  แต่เดินช้าลงได้  และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดรู้จักใช้ประโยชน์จากกฎนี้  ยกตัวอย่างเช่นกบ  กบสามารถจำศีลได้ถึงหกเดือนโดยที่ไม่ต้องกินอะไรเลย  ในความรู้สึกของมนุษย์  การอยู่นิ่งๆ หกเดือนน่าจะเสียชีวิต  แต่ในความรู้สึกของกบซึ่งไปกดอัตราการย่อมสลายทั้งหมดของร่างกาย (เมแทบอลิซึม)  ให้มีอัตราเร็วที่ลดลง  จะทำให้เวลาภายในตัวกบเดินช้าลงไปด้วย  ดังนั้นช่วงที่กบจำศีล   ในความรู้สึกของกาบเป็นเวลาเพียงสองสามเดือน  ไม่ใช่หกเดือนอย่างที่มนุษย์เข้าใจ “จิต” ก็เช่นเดียวกัน  ต้องอยู่ภายใต้กฎของเทอร์โมไดนามิก  จิตโดยปกติจะมีทิศทางไปสู่ความยุ่งเหยิงไม่มีระเบียบเสมอ  ยิ่ง “จิต”ไม่มีระเบียบมากขึ้นเท่าไหร่  เวลาของจิตจะเดินเร็วขึ้นเท่านั้น  ยกตัวอย่าง เช่น คนที่จิตไม่นิ่ง  วู่วาม สับสน คนกลุ่มนี้จะใจร้อน เพราะ “เวลาจิต”  ของเขาเดินเร็วกว่า “เวลานาฬิกา”  ภายนอก  ห้านาทีของเวลาภายนอกเท่ากับสิบนาทีของเวลาภายในจิต  ตรงกันข้ามกับคนที่จิตนิ่ง  อยู่ในสภาวะที่เป็นระเบียบ  เวลาภายในจิตจะเดินช้าเมื่อเทียบกับเวลาภายนอกคนกลุ่มนี้  มีสติ  มีสมาธิ เรื่อง “เวลาจิต”  นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่ว่ากันว่าอัจฉริยะที่สุดในโลกปัจจุบัน  นั่นก็คือ  สตีเฟน ฮอว์คิง  ก็เคยพูดถึง  เพียงแต่ สตีเฟน ฮอว์คิง  ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา  และคำว่าจิตในมุมมองของตะวันตกหมายถึงสมองเท่านั้น  ดังนั้นเวลาสตีเฟน  ฮอว์คิง  พูดถึง “เวลาจิต”  เขาจะใช้คำว่า “เวลาในจินตนาการ” แทน  เขาบอกว่า  “เวลาในจินตนาการคือเวลาที่เป็นจริง  และสิ่งที่เราเรียกว่าเวลาที่เป็นจริงตามเวลานาฬิกานั่นเป็นเพียงเรื่องสมมติที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัตปรากฎการณ์บนโลก  เวลาที่แท้จริงคือเวลาที่ปรากฏอยู่ภายในจิตใจเราเท่านั้น” เราสามารถเข้าถึงความมหัศจรรย์ของเวลาด้วย “จิต”  ทฤษฎีสัมพันธภาพสามารถพิสูจน์ด้วยจิต  แต่จะรู้ได้เฉพาะ  โชคดีที่ธรรมชาติสร้าง “จิต”  และ “สติ” มาให้กับมนุษย์  อันที่จริงจะว่าธรรมชาติลำเอียงก็ได้  เพราะสิ่งมีชีวิตอื่นๆ  บนโลกมีมนุษย์เท่านั้นที่มีสติ  เมื่อธรรมชาติมอบ”สติสัมปชัญญะ”  มาให้มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมจิตอีกที  ทำให้การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าเป็นบุญมหาศาลและมหาศาลเข้าไปอีกพันเท่าเมื่อได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา  ซึ่งชี้ทางค้นพบสัจธรรมความจริงแท้ของจักรวาล  ด้วยการฝึกใช้สติสัมปชัญญะควบคุมจิต  เพื่อให้จิตนิ่ง  จิตที่นิ่งมีสมาธิ  จะทำให้เวลาจิตเดินช้าลงเมื่อเทียบกับเวลานาฬิกาภายนอก  ในขณะที่อัตราเร็วในการเกิดดับของกาย เวทนา แปรผันตามเวลาภายนอก  ดังนั้นในการกำหนดจิตพิจารณาการเกิดดับ  ยิ่งจิตนิ่งเท่าไหร่ก็จะเห็นการเกิดดับเร็วขึ้นเท่านั้น  จนในที่สุดจะพบว่าการเกิดดับซ้อนทับกันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน  นั่นก็คือไม่มีการเกิดดับอีกต่อไป  ณ ขณะนั้นเวลาภายในจิตจะหยุดนิ่งสนิทจะเข้าใจในสรรพสิ่งของทั้งจักวาล  ศาสตร์ไม่ว่าสาขาใดจะเกิดการหยั่งรู้เข้าใจหมด  รวมไปถึงเข้าใจกฎแห่งกรรม  ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา {๒๘}  ฯลฯ  เข้าใจถึงธรรมทุกข้อที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ผ่านภาวนาปัญญาญาณ มีคำถามอีกว่า  การรู้ศาสตร์ทุกศาสตร์ของพระพุทะองค์ทำได้อย่างไร  พระพุทธองค์ทรงเข้าใจในชีววิทยา เคมี โดยที่ไม่เคยมีพื้นฐานทางด้านนี้เลย  เป็นไปได้อย่างไร  ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็เพราะว่าความจริงแท้ของจักรวาลมีเพียงหนึ่งเดียว  เป็นกุญแจดอกสำคัญที่สามารถไขความลับต่างๆในจักรวาลได้ทั้งหมด  ประหนึ่งกุญแจสำคัญดอกเล็กที่นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมค้นพบเกี่ยวกับอะตอมและอิเล็กตรอน  เมื่อนักวิทยาศาสตร์ควอนตัมเข้าใจถึงปรากฏการณ์ของอะตอมอย่างละเอียด  ทำให้นักฟิสิกส์ควอนตัมสามารถเข้าใจในวิชาเคมีได้อย่างถ่องแท้  โดยที่ไม่ต้องเรียนวิชาเคมีมาก่อนเลยแม้แต่นิด {๒๘}หลักปฎิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา  ถือว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง  เป็นพื้นฐานของไตรลักษณ์  อริยสัจ ๔ กฎแห่งกรรม วิปัสสนา ฯลฯ แปลความหมายตามคำได้ว่า “เพราะมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนั้นๆ จึงเกิดขึ้น”  นักวิทยาศาสตร์เข้าถึงอิทัปปัจจัยได้บางส่วน  ทฤษฎีแห่งความยุ่งเหยิง (Chaos Theory)  ถือว่าเป็นทฤษฎีแห่งคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑  ซึ่งเข้ามาแทนที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพความมหัศจรรย์ของทฤษฎีนี้คือสามารถนำไปใช้อธิบายในระบบได้ทุกระบบ(ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น  เพราะทฤษฎีนี้เป็นส่วนหนึ่งของอิทัปปัจจยตา  พระพุทธองค์ทรงค้นพบมาก่อนตั้งสองพันกว่าปี  แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งมาตื่นเต้น)  การอธิบายเรื่องหลักการของอิทัปปัจจยตาเป็นเรื่องไม่ยาก  แต่การฝึกให้เรามีทักษะในการคิดเป็นองค์รวมและเห็นความเชื่อมโยง  มองทะลุปรากฏการณ์ไปสู่สาเหตุที่แท้จริงเป็นเรื่องยาก Chaos Theory สามารถใช้การคำนวณพิสูจน์ได้ทางกายภาพ  แต่ในทางนามธรรม  การพิสูจน์เข้าใจต้องกระทำโดยภาวมยปัญญาที่ได้จากจากวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น  เพราะกระแสแห่งปฎิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตาเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางนาม เช่น ผัสสะทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปทาน อุปทานทำให้เกิดภพ ภพทำให้เกิดชาติ ฯลฯ  ต้องมีกำลังของสติสัมปชัญญะ และขณิกสมาธิในระดับที่สูงพอจึงจะสามารถรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนั้นได้.. เรื่องปาฎิหาริย์ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ  เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจและไม่ยึดติดในประสาทสัมผัสทั้งห้า  สสารและเวลามีขนาดไม่แน่นอนและไม่มีอยู่จริง  ไม่ใช่ความจริงแท้ของจักรวาล  พร้อมทั้งที่จะหลอกให้ระบบประสาทสัมผัสของเราแปลความหมายผิดไปได้เสมอ  จนมองเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ เนื่องจากประสาทสัมผัสที่เห็นชัดเจนที่สุด  ใช้มากที่สุดคือตาการมองเห็นสัมพันธ์กับแสงเสมอ  ที่ใดมืดสนิทเราจะมองไม่เห็นอะไรเลยภาพความจริงที่เราเห็นก็คือภาพที่สมองเราแปลความหมายจากแสงที่สะท้อนจากวัตถุนั้นเข้าตาเรา  การที่เราเห็นหน้าตัวเองในกระจก  ก็เพราะแสงมากระทบที่ผิวหนัง  ทำให้อิเล็กตรอนผิวหนังบนใบหน้าเราสั่นเกิดพลังงานจากใบหน้าเป็นโฟตอนพุ่งไปที่กระจก  หลังจากกระจกได้รับแสงจากใบหน้าเรา อิเล็กตรอนในกระจกก็จะสั่น  และสะท้อนโฟตอนกลับไปที่ตาเราอีกที  แล้วส่งสัญญาณการสั่นนั้นไปที่สมองแปลเป็นภาพขึ้นมาจะเห็นได้ว่า  พลังงานแสงได้เปลี่ยนเป็นพลังงานกล  แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นพลังงานแสงหลายรอบกลับไปกลับมา  มีการเกิดดับๆ หลายหนแต่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเราเข้าใจเป็นว่า  ใบหน้าที่เราเห็นในกระจกคือรูปธรรม  แท้จริงแล้วคือแค่การสั่นของพลังงานรูปหนึ่ง  แล้วสมองเราแปลภาพออกมาเป็นภาพมายา สิ่งแวดล้อมต่างๆ  ที่เรามองเห็นก็เป็นเพราะอนุภาคโฟตอนของแสงตกกระทบวัตถุและอิเล็กตรอนในวัตถุสั่นสะท้อนโฟตอนเข้าตาเราแสงอาทิตย์ที่สาดส่องโลกเปรีบยเสมือนสายฝนโฟตอนที่ตกกระทบพื้นโลกสายฝนโฟตอนเหล่านี้ก็มีแรงกดแรงดันต่อพื้นโลก  เหมือนกับที่เราได้ยินเสียงสายฝนตกกระทบพื้นผิวโลกทั้งหมดวัดเป็นค่าแรงดันได้ถึง ๓๐๐ ล้านตัน อยู่ตลอดเวลา  แต่เหตุที่โลกไม่กระเด็นออกไปก็เพราะสนามแรงโน้มถ่วงจากดวงอาทิตย์มีค่ามากกว่าแรงผลักของโฟตอนมาก เรื่องการสั่นมีปรากฏในพระไตรปิฎก  ภาควิชาอภิธรรมซึ่งกล่าวว่า  จิตของเราเกิดดับอยู่ตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว  การที่เรารับรู้ รูป รส กลิ่น เสียงนี้ไม่ใช่ของจริง  ของจริงคือการเกิดดับของจิตโดยมีองค์ประกอบของจิตที่ต่างกัน  ทำให้เรารับรู้ภาพ กลิ่น เสียงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย  เหมือนกับการแปลภาพของสมองในเวลาฝัน  ขณะที่เรานอนหลับตา  เราได้เห็นภาพต่างๆ ได้กลิ่น ได้ยินเสียงจาการสรรค์สร้างของจิตชัดเจนเหลือเกิน  ทั้งๆ ที่ไม่มีแสงหรือเสียงจริงๆอยู่ในกระบวนการนั้นเลย เพราะคุณสมบัติของแสงร่วมกับประสาทสัมผัสทางตาของเราทำให้เราเห็นจักรวาลอย่างที่เห็น  เห็นดวงจันทร์อย่างที่เป็น  แท้จริงแล้วสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลเป็นเพียงพลังงานรูปหนึ่ง  ถ้าเราไม่ใช้แสงเป็นสื่อในการมองเห็น  เรามองภาพจักรวาลด้วยจิต  จะพบว่าภาพของจักรวาลเป็นคนละเรื่องกับภาพของจักรวาลในทางดาราศาสตร์ที่ถ่ายภาพมาได้เลย วิทยาศาสตร์ฟิสิกส์เป็นวิชาที่ถูกนำมาอ้างอิงในพุทธปรัชญามากที่สุด  ในบรรดาวิทยาศาสตร์ทุกสาขาบนโลกนี้ทั้งเคมี ชีววิทยา ล้วนแล้วต้องอาศัยฟิสิกส์เป็นพื้นฐานทั้งสิ้น  เราจะไม่สามารถมีวิทยาศาสตร์เคมีได้เลยถ้าไม่ได้การค้นพบเรื่องอะตอมในทางฟิสิกส์มาช่วย และเช่นเดียวกัน ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ภายในร่างกายเรา  ทั้งการดูดซึม แรงดันเลือด ม่านตา ฯลฯ และเรื่องต่างๆ ทางชีววิทยา ก็ต้องอาศัยฟิสิกส์มาอธิบาย อาจจะกล่าวได้ว่า  ฟิสิกส์เป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทั้งปวงก็ไม่ผิด  แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น  นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์มีโอกาสเข้าถึงอนัตตาได้มากกว่านักวิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆ  แต่เป็นการเข้าถึงเพียงบางส่วนทางกายภาพซึ่งใช้สมองซีกซ้ายในการทำความเข้าใจ  เมื่อใดก็ตามถ้านักฟิสิกส์หันมาปฏิบัติธรรม  นักฟิสิกส์จะโน้มน้าวความเข้าใจในเชิงรูปธรรมเกี่ยวกับอนัตตา ข้ามฟากมาเป็นอนัตตาในเชิงนามธรรมที่สมองซีกขวาได้ง่ายกว่าคนปกติทั่งไป ดวงดาวต่างๆ ในจักรวาลปัจจุบันมีกำเนิดมาจากมวลสารปฐมภูมิเป็นพลังงานบริสุทธิ์  ไม่มีตัวตน พลังงานบริสุทธิ์นี้เองที่ระเบิดเกิดเป็นจุดกำเนิดของจักรวาล  แล้วต่อมาพลังงานอันเป็นองค์ประกอบหลักของพลังงาน ณ จุดระเบิดเริ่มต้นก็เปลี่ยนไปเป็นสสาร  แล้วจึงพัฒนาการต่อมาจนกระทั่งเกิดเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล เป็นสารประกอบ เป็นสสาร และต่อๆมา จนกระทั่งเป็นสสารของจักรวาล  คู่กับส่วนที่เป็นพลังงานของจักรวาลอยู่ในปัจจุบัน  จักรวาลของเราเริ่มต้นมาจากความว่าง ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙  นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเชื่อว่าสิ่งที่เล็กที่สุดในโลกคืออะตอม  ซึ่งจะแบ่งแยกให้เล็กลงต่อไปอีกไม่ได้อีกแล้ว  แต่กระนั้นก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในขณะนั้นก็ไม่เชื่อว่าอะตอมจะมีจริง  มันเป็นเพียงสิ่งสมมติว่าเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดเท่านั้น  ไม่เคยมีใครเห็นอะตอม  จนเมื่อมีการค้นพบชนิดที่ว่าเกินความคาดหมาย ความรู้สึกของผู้คนสมัยนั้น  เมื่อ เจ.เจ. ทอมป์สัน(Sir. Joseph John Thompson) นักฟิสิกส์ชั้นนำของอังกฤษค้นพบว่า อะตอมมีอยู่จริง  และมีหน่วยที่เล็กกว่าอะตอมที่เรียกว่าอิเล็กตรอนอยู่ในอะตอมด้วย การค้นพบอะตอมและอิเล็กตรอนสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก  เพราะเป็นการทำลายความเชื่อที่มีมานานถึงสองพันกว่าปีที่ว่า  อะตอมเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสสาร  จากผลงานเรื่องนี้ทำให้ เจ.เจ ทอมป์สัน  ได้รับรางวัลโนเบลในปีค.ศ.๑๙๐๖  หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าอะตอมไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุด  ก็มีการค้นหาส่วนประกอบของอะตอมกันอย่างกว้างขวาง  จนในที่สุดในปีค.ศ. ๑๙๓๐  นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่าในอะตอมมีอนุภาคพื้นฐานอยู่ ๔ ชนิด คือ อิเล็กตรอน นิวตรอน โปรตอน และโฟตอน นักวิทยาศาตร์ในยุคนั้นก็ฟันธงอย่างมั่นใจว่า อะตอมประกอบด้วยอนุภาคทั้ง ๔ นี้เท่านั้นไม่น่าแบ่งแยกต่อไปได้อีกแล้ว ถ้านักฟิสิกส์ในปีค.ศ. ๑๙๓๐  สามารถเดินทางข้ามเวลามาในปีค.ศ.๑๙๘๐  คงจะช็อก  เพราะหลังจากนั้นได้มีการค้นพบอนุภาคที่เล็กลงไปจากโปรตอนและนิวตรอนได้อีกนับร้อยชนิด!!!!  “อะตอม”  ที่เคยเชื่อกันมากกว่าสองพันปีว่าแบ่งแยกไม่ได้อีกแล้ว  ประกอบไปด้วยอนุภาคเล็กๆ นับร้อยชนิดอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ค้นพบ นักวิทยาศาสตร์จะบอกว่า ตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่ขนาดเล็กที่สุดในอะตอมแล้ว  แต่เมื่อมีการทดลองหาความจริงลึกลงไปกลับพบว่ามีอนุภาคที่เล็กกว่าลงไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด  จุดสิ้นสุดที่เป็นไปก็คือจุดที่เทคโนโลยีตรวจสอบได้ในขณะนั้น  เรื่องของอะตอมสร้างความมหัศจรรย์ให้กับนักวิทยาศาสตร์มาหลายศตวรรษ นีลส์ โปร์ เจ้าของทฤษฎีเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมเขาเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม  และฟิสิกส์นิวเคลียร์  โบร์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อค.ศ. ๑๙๒๒  กล่าวว่า “ถ้าหากเราต้องการสิ่งเทียบเคียงกับปัญหาในทางทฤษฎีอะตอม...เราต้องหันมาสนใจกับปัญหาด้านญาณวิทยา  ซึ่งนักคิดเช่น พระพุทธเจ้า (พุทธ) และเหลาจื่อ (เต๋า) ได้เผชิญมาแล้ว  เมื่อพยายามที่จะหาเอกภาพระหว่างตัวเราในฐานะผู้แสดงในมหาอุปรากรแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง” จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:43:46

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อสำคัญทุสิ่งที่เป็นหลักฐานสนับสนุนแนวคิดของไอน์สไตน์กับฮอว์คิงนั้น  อยู่ในหนังสือ  "จักรวาลในเปลือกนัท"  ลองหาอ่านดู จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:47:01

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่มีคำตอบจาก จขกท แต่เอาบทความ ที่ไม่ได้มาจาก ศาสตรจารย์ฮอวกิ้ง มาลงแทน จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 20:49:11

ความคิดเห็นที่ 14 จขกท. คิดไปเองหรือเปล่า ผมไม่เห็นจะรู้สึกกระทบกระเทือนอะไรตรงไหน ก็แค่ความเชื่อของคนๆ นึง ไม่ต่างจากที่คุณเชื่อ เป็นความเชื่อของพวกปฏิเสธเนรคุณพระเจ้า แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 21:02:39 จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 21:01:43

ความคิดเห็นที่ 15 จะว่าไป จขกท. ก็ขยันดีเหมือนกันนะ วันๆ คิดจะทำลายศรัทธาของคนในศาสนาอื่น เห็นมาหลายกระทู้แล้ว เอาเวลาไปทำของคุณให้ดีเถอะ ถ้าของคุณดีจริงเดี๋ยวคนเค้าก็เลื่อมใสเอง ไม่อยากให้เหนื่อยฟรี ด้วยความปรารถนาดี จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 21:11:44

ความคิดเห็นที่ 16 จริงๆแล้วไอน์สไตน์เป็นคนไม่มีศาสนาต่างหากและเค้าก็ไม่ได้นับถือคริสต์ด้วย จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 21:43:56

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ  wutthitham  .... จะเอาคำพูดใครมาอ้างอิงก็ยกมาให้ครบสิครับ For a parallel to the lesson of atomic theory regarding the limited applicability of such customary idealizations, we must in fact turn to quite other branches of science, such as psychology, or even to that kind of epistemological problems with which already thinkers like Buddha and Lao Tzu have been confronted, when trying to harmonize our position as spectators and actors in the great drama of existence. ทำไมไม่แปลคำว่า "วิทยาศาสตร์สาขาอื่น"ด้วยละครับ จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 21:58:30

ความคิดเห็นที่ 18 จักรวาล ระบสุริยะมีมานานนับหลายพันล้านปี พระเจ้าเพิ่งเกิดมาประมาณพันปีนี่เอง ใครสร้างพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุนย์ หรือมนุษย์สร้างพระเจ้าเทคโนโลยี่ในพันปีก่อนไม่มี  เลยไม่สามารถพิสูจน์จับจริงเท็จตอนนั้นว่าพระเจ้ามีจริงหรือคนผู้นั้นอุปโลกขึ้นมาเอง แต่ถ้ายุคปัจจุบันถ้าใครอ้างว่านี่ฉันเองนะเป็นพระเจ้าหรือผู้สืบพระเจ้า  คงยากที่จะกระทำให้คนเชื่อได้ ปัญญาเท่านั้นที่จะบ่งบอกความจริง  แค่ศรัทธาอย่างเดียวไม่เพียงพอ จากคุณ : เต่ากินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:05:32

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นเอามาก ที่คุณพญานรสิงห์เอาเรื่องแพ้พนันมาลง ก็น่าจะพอเข้าใจอะไรได้แล้วนะครับ จากคุณ : เป็ดจิ๋ว เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:07:38

ความคิดเห็นที่ 20 ความเชื่อทำให้มนุษย์มีพลังต่อสู้กับชีวิต คนตายแล้วจบ ไม่รับรู้ความเชื่อ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:23:01

ความคิดเห็นที่ 21 พระเจ้า เป็นเรื่องของสังคมวิทยา ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศาสนา ....เป็นเครื่องมือการปกครอง เห็นได้ชัดในยุคมืดหรือยุคกลางของยุโรป ศาสนจักรมีอำนาจเหนือผู้ปกครองรัฐ  ...ผู้ปกครองรัฐ ก็ต้องปลูกฝังความเชื่อให้ประชาชน ให้รู้สึกว่าพระเจ้ามีตัวตน มีอภินิหารเหนือปกติมนุษย์ธรรม เพื่อจะอ้างได้ว่าตัวเองมาจากการแต่งตั้งของบุตรแห่งพระเจ้า เพื่อให้ประชาชนยอมรับ....  แม้จะมีคนรู้ทัน คนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นพ่อมด แม่มด เป็นสิ่งชั่วร้ายที่ ประชาชน ต้องช่วยกันกำจัด ....วิทยาศาสตร์ ศาสนาพุทธ มันยากเกินคนปกติจะเข้าใจ เชื่อพระเจ้าดีกว่า ง่ายมาก ไม่ต้องคิดคำนวนสมการคณิตศาสตร์ ไม่ต้องนั่งสมาธิ ค้นหาความจริง อะไรเราไม่รู้ก็โยนให้เป็นฝีมือพระเจ้า เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่ชอบเสรีภาพ ไม่ชอบการรู้ได้ด้วยตัวเอง เราชอบถูกปกครองโดยอำนาจที่เหนือกว่า และไม่พยายามทำความเข้าใจให้มันรกสมอง  แล้วเราก็จะแอบอิงอำนาจนั้นเพื่อความอยู่ดีมีสุขของตัวเอง มันง่าย ใครก็รู้  เราชอบของสำเร็จรูป มากกว่าจะทำเอง ผลมันก็แบบนี้ จากคุณ : หมูลิน เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:36:42

ความคิดเห็นที่ 22 #18 ท่านผู้มีปัญญา แล้วไม่ระบุมาเลยล่ะครับว่าพระเจ้าเกิดตอนไหน และใครเป็นคนสร้างพระเจ้าถ้าปัญญาของท่านแน่จริง แต่อย่าสำคัญตัวเองนักเลย ท่านก็แค่ปุถุชน ที่กิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์ รอเวลาเน่าเปื่อยผุพัง แน่ใจได้อย่างไรว่าปัญญาของท่านไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดมาอีกที จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:36:43

ความคิดเห็นที่ 23 เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:41:26

ความคิดเห็นที่ 24 อธิบาย อจินไตย ได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุย เรื่องพระเจ้านะครับ ถ้าบอกว่าเรื่อง พระเจ้าไม่มีจริง อจิณไตย ก็ไม่มีเช่นกัน เวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มี ดังนั้น อยากเชื่อ  ใครเชื่อมัน อย่มาพิสูจน์ให้ยาก  เพราะทฤษฎบทไม่เหมือนกัน มุสลิม และคริสต์ เชื่อในทฤษฎีบท ของตนเอง ใครไม่เชื่อ ก็เรื่องของท่าน อย่มารุกรานกัน เดวเจอสวนคืน จะพูดมะออก แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 22:46:18 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:43:32

ความคิดเห็นที่ 25 #21 พูดให้ของตัวเองดูดีฝ่ายเดียวอีกแล้ว ของคนอื่นดูแย่ไปเลยด้วยวิธีการเดิมๆ คนอื่นไม่มีปัญญาแต่ฉันมี ของฉันสิเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ของคนอื่นเป็นแค่ความเชื่อ บลาๆๆ แต่ของผมก็ไม่เห็นมีใครไปนั่งขูดต้นไม้ขอหวย ไหว้จอมปลวก และบรรดาสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องเอาอาหารไปเป็นเครื่องเซ่น ไม่จำเป็นต้องปั้นออกมาเป็นรูปร่างให้เห็นไว้กราบไหว้ ฯลฯ และถ้าศาสนาพุทธยากเกินกว่าคนปกติจะเข้าใจได้ แล้วคุณเข้าใจมาได้อย่างไร หรือคุณไม่ปกติ หรือคุณไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เลิกทำเป็นรู้ดีเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งตัวคุณปฏิเสธเถอะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 23:13:45 จากคุณ : Ray of Light เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:11:20

ความคิดเห็นที่ 26 ก็แค่ความเชื่อของคนๆ นึง จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 00:34:32

ความคิดเห็นที่ 27 ขอแทรกหน่อยนะครับ ผมเป็นคนนึงที่ศึกษาจักรวาลวิทยาและควานตัมระดับเชิงลึก สุดท้ายในทุกสิ่งในเอกภพ ไอแซค นิวตั้น เคยกล่าวไว้จากหนึ่งในหน้าของเอกสารที่พบจากส่วนหนึ่งของการถูกเผา "จักรวาลที่เป็นระบบอันเป็นระเบียบ เกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า" และไอสไตน์เป็นคนยิว เป็นเชื้อสายอิสราเอลที่พระเจ้าทรงอวยพร แม้แต่ ชาล ดาวิน บิดาทฤษฎีวิวัฒนาการ เอกสารบันทึกหน้าที่ 400 ว่าระบุเกี่ยวกับชิ้นส่วนลำดับวิวัฒนาการที่หายไป ว่าไม่สามารถหาต่อการวิวัฒนาการได้ ดาวินคิดว่าพระเจ้าน่าจะสร้างขึ้นมา และในไบเบิลระบุว่า ในพระธรรมโยบ พันธะสัญญาเดิม "โลกถูกแขวนไว้ในห่วงว่างเปล่า" ก็คือโลกอยู่ในจักรวาล แนะนำให้ จขกท ศึกษาทั้ง 2 ด้านอย่างละเอียดด้วยนะครับ จากคุณ : กระต่ายกินแมว เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 00:42:40

ความคิดเห็นที่ 28 อันนี้เสริมให้เล็กน้อย ลองเอาไปคิดดู  โยบ 28:5-6 THSV  "แผ่น?ดินนั้นมีอา?หารออกมา แต่ข้าง?ใต้ก็สับ?สนอย่างถูกไฟไหม้  ก้อน?หินของที่?นั่นเป็นที่?อยู่ของไพลิน และมันมีผงทอง?คำ" พระคัมภีร์ของโยบที่ได้บันทึกไว้มีอายุประมาณ 3500 ปีวัดจาก C-14 ได้บันทึกเกี่ยวกับโครงสร้างภายในของโลก ซึ่งเราพึ่งมาค้นพบช่วงศตวรรษที่ 20 โดย Beno Gutenberg ในปี 1930 ค้นพบชั้น mattle และต่อมา Inge Lehman ในปี 1936 ได้ค้นพบชั้น Core ทั้ง 2 ชั้นประกอบไปด้วยแร่ต่างๆ ทั้งรัตนชาติ และโลหะแต่บนพื้นผิวโลกเต็มไปด้วยพืชและสัตว์อาหารสำหรับมนุษย์พระเจ้ารู้ดีเกี่ยวกับโลกใบนี้และได้มีการบันทึกไว้ 3500 ปีก่อนขณะที่วิทยาการยังไม่ดีเท่าปัจจุบัน และสมัยนี้เครื่องมือคงยากที่จะขุดลงไปแถวปล่องภูเขาไฟครับ จากคุณ : กระต่ายกินแมว เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 00:49:56

ความคิดเห็นที่ 29 แก้นะครับ จากสมัยนี้ เป็น สมัยนั้น จากคุณ : กระต่ายกินแมว เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 00:51:15

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าคุณเข้าใจพวก ทฤษฎีสตริง ห่วงมิติเวลา การพับกันของอวกาศ การกระจายตัวแบบคงที่ ระบบสัมพันธ์การเคลื่อนที่ของหมู่ดาวและดาราจักร การบีบตัวของอนุภาคในสนามจักรวาล ค่าคงที่ของพลังค์ ระบบอนุภาค 20 ชนิด การปฏิภาคของอนุภาคย่อย สปินนิ่งอิเล็กตรอน ทฤษฎีเส้นจักรวาลต่อเนื่อง และอื่นๆ ถ้าเข้าใจอย่างละเอียดค่อยไปยืนยันว่ามันถูกจริง อย่าเอาความรู้ระดับมัธยมปลายมาตีคนอื่นเลยครับ อ้างอิงเอามาให้ถูกจุด ขอเป็นสมการแคลคูลัสด้วยนะครับ จากคุณ : กระต่ายกินแมว เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 01:11:26

ความคิดเห็นที่ 31 ความคิดเห็นที่ 3 MsgStatus(Msv[3], 3); เพราะ  ศาสตราจารย์ฮอว์คิง  เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้าวสรรค์ผลงานที่เป็นคุณประโยชน์แก่ชาวโลกและเห็นได้จริงจากผลงานเค้าด้วย   คำพูดของแกแต่ละอย่างเป็นคำพูดที่มีหลักฐานสนับสนุนว่าเป็นจริงและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกล้วนให้การยอมรับ   แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรล่ะครับ .................................................................................................................................. ถ้าคำพูดทุกคำของแกสามารถเชื่อได้ขนาดนี้ วันนึงแกนึกเคลิ้มบอกว่า "แท้จริงแล้วมีพระเจ้าหนึ่งเดียว เที่ยงแท้ และนิรันดร  และที่เคยกล่าวไปขอพระองค์อภัยแก่ความผิดข้า ณ โมงยามนี้ข้าเชื่อพระองค์หมดใจ"  ทีนี้ท่านยังจะบอกอีกมั้ยว่า 'แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรล่ะคร้าบบบบบบบ' :) ป.ล. สำหรับผมและเชื่อว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าทุกคนในห้องนี้ก็คงรู้สึกเหมือนกันว่า มันไม่เห็นจะกระเทือนอะไรเลย ไม่สั่นคลอนความเชื่อสักนิด ไม่กระทบแม้แต่ปลายขน และแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าเลย คำพูดและลมปากคน ทำอะไรศรัทธาเราไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : Mana--Amen เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 01:16:35

ความคิดเห็นที่ 32 เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? เมื่อมนุษย์เกิดมาได้พบประสบการณ์ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น กลางวัน กลางคืน ร้อน เย็น พระอาทิตย์ขึ้น และตก ความหิว อิ่ม ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนแล้ง น้ำท่วม วาตะภัย ความรัก ความใคร่ ความชอบ ความชัง ความเจ็บปวด ทรมาน การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย การตาย อีกสารพัดประสบการณ์ทั้งเป็นสิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ และเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาณ ดังนั้น มนุษย์พยายามที่จะศึกษาเรียนรู้ ด้วยความพยายามสุดความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็สามารถหาคำตอบได้ในระดับหนึ่ง และในบางอย่างเท่าน้ัน แต่ยังมีความไม่รู้อีกเป็นอันมากที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ การที่มนุษย์ที่โง่เขลา แต่หลงตนว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในโลก เก่งที่สุดในโลก แต่หาคำอธิบายหรือคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และสิ่งแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ ทำให้ความมั่นใจในตนลดลง เกิดความอึดอัด ขัดข้องใจ ไม่เป็นสุข จนต้องหาทางสร้างบางสิ่งบางอย่างโดยสมมุติขึ้นมา เพื่อใช้เป็นคำตอบในสิ่งที่ตนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ให้แก่ตนเอง ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ลดความอึดอัดขัดข้องใจ ของตนให้ลดน้อยลงได้บ้าง ก่อนที่มนุษย์จะอกแตกตาย และเพื่อจะได้รักษาความที่หลงภูมิใจ ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดทีสุดในโลก ดังนั้นเมื่อจนปัญญาและหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้        บรรพบุรุษของมนุษย์ในอดีตจึงคิดสร้างคำว่า พระเจ้า เทพเจ้า        ผีสาง เทวดา นางไม้ เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ อีกมากมาย        ว่าเป็นผู้สร้าง ผู้ลิขิต ผู้กำหนด ผู้ควบคุม        ให้กำเหนิด มนุษย์ สัตว์ และทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ขึ้น        แตกต่างหลากหลายตามแต่ถิ่นฐานที่อาศัยอยู่ต่าง ๆ กันทั่วโลก        และมีการพัฒนาการต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน        เกิดเป็นลัทธิ และ ศาสนาต่าง ๆ มีพระเจ้า เทพเจ้า        หลายองค์บ้าง องค์เดียวบ้าง        ตามแต่พัฒนาการของแต่ละความเชื่อถือ        จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และพิธีกรรมที่หลากหลายตามมา        และเมื่อรวมกับความคิดทางด้านการปกครอง        เพื่อให้สังคมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน        และง่ายต่อการปกครองให้เกิดความสงบเรียบร้อย        จึงสร้างกฏระเบียบ แนวทาง ประพฤติ ปฏิบัติ        โดยมีการให้คุณ ให้โทษ แก่ผู้ฝ่าฝืน และ ทำตาม        โดยสร้างภาพเป็นดินแดนหลังความตายที่เรารู้จักกัน        ว่า นรก และ สวรรค์        แต่มนุษย์สมัยใหม่หน่อย ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า        ก็ได้เรียกสิ่งที่มนุษย์หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้        ด้วยคำที่ทันสมัยขึ้นหน่อยว่า ธรรมชาติ        นี่คือที่มาของคำอธิบายว่า        พระเจ้า คือสิ่งที่ มนุษย์สร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง        ความจริงแล้วมนุษย์เป็นอะไรที่มีขนาดที่เล็กมาก        เมื่อเทียบกับขนาดของโลก ลองนึกภาพ        ถ้าออกไปนอกโลกเช่นนักบินอวกาศ        แล้วมองกลับลงมายังโลกด้วยตาเปล่า        จะมองเห็นเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลกไหม        มนุษย์บนโลก ที่เห็นจะมีขนาด เล็กกว่า        มดปลวก หรือแม้ละอองฝุ่นธุลีเสียอีก        ไม่ต้องพูดเปรียบไปถึงจักวาล หรือ เอกภพเลย        ดังนั้นสติปัญญาของมนุษย์ จึงมีขนาดกระจ้อยร่อย        น้อยนิดมาก ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้มากนัก        แต่มนุษย์ก็มีความหลงตัวหลงตนว่าตนฉลาดที่สุด เก่งที่สุดเสมอ        ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะ มนุษย์นั้นมีความฉลาดน้อยมาก    หรือจะพูดให้ชัดขึ้นอีกว่า มนุษย์นั้นโง่มาก แต่อวดฉลาด ขนาดตัวเองยังไม่รู้จักดีเลย จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 06:04:34

ความคิดเห็นที่ 33 Faraday ขอบคุณ ที่ถาม ว่า @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ความคิดเห็นที่ 32 MsgStatus(Msv[32], 32); เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ก่อนที่เราจะตอบ Faraday เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน นิยาม คำว่าพระเจ้าตามความเข้าใจ ของ Faraday คืออะไร เอาตามความเข้าใจ ไม่ต้อง ยกหลักฐานอะไรมาอ้างอิง ถ้าไม่ตอบเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันนะ พุดกันในเรื่องเดียวกันหรือไม่ รบกวนตอบด้วยครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 06:22:25

ความคิดเห็นที่ 34 นายฮอล์คิง คือ มนุษย์คนนึง   ในพระคัมภีร์ บอกว่า  "เค้าความคิดในใจของเขา ล้วนชั่วร้ายเสมอ " นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกว่า มนุษย์มีแต่ความคิดชั่วร้าย  ไม่มีใครเลยที่เป็นคนชอบธรรม ฉะนั้น ถ้าขึ้นชื่อว่า  "มนุษย์ "  ล้วนเชื่อถือไม่ได้สักคน จากคุณ : เคราติน เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 06:45:10

ความคิดเห็นที่ 35 ข้อดีประการหนึ่งที่สำคัญของความเชื่อว่ามีพระเจ้าคือ ทำให้มนุษย์มีความกลัวต่อบาป เพราะรู้ว่ามีผู้หนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าเขา สามารถตัดสินชีวิตของเขาได้ เขาจึงไม่กล้าทำบาป ทำร้ายผู้อื่น แล้วเขายังรู้ว่า ถ้าเขาทำความดี พระเจ้าจะทรงให้รางวัลความสุขแก่เขา ความเชื่อเช่นนี้ ทำให้โลกส่วนหนึ่งมีสันติสุข ทำให้มนุษย์เป็นคนดี มีความรักซึ่งกันและกัน ถ้ามนุษย์จำนวนมากไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า โลกก็คงจะสับสนวุ่นวายไม่ต่างจากนรกบนดิน กฎหมายบ้านเมืองอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมความประพฤติของคนเราได้ครบร้อยเปอร์เซนต์ คำพูดของคนๆ หนึ่ง แม้จะเป็นผู้มีความรู้มากมาย ก็ไม่มีผลกระทบต่อคนที่มีความเชื่อมั่นคงได้หรอกครับ คนที่เขาเชื่อมั่นคงในพระเจ้า เขาไม่ได้เชื่อแบบงมงาย เชื่อเพื่อวอนขอสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าเท่านั้น แต่เขารู้ว่าชีวิตของเขามีพระเจ้า พระองค์ทรงประทับอยู่กับเขา ทุกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้าย พระเจ้าทรงดูแลอยู่ เขาไม่ต้องกลัว เพราะมีพระเจ้าทรงเฝ้ามองอยู่ และพระองค์จะทรงให้สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ที่สุดแก่เขาอย่างแน่นอน การที่คนเราจะเชื่อว่ามีพระเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย เพราะถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง สิ่งที่เขาทำโดยอาศัยความเชื่อก็ไม่สูญเปล่า หากแม้พระเจ้าไม่มีจริง ความดีที่เขาทำไปก็ยังมีประโยชน์แก่คนรอบข้าง หากเขาจะต้องไปเกิดอีกชาติ ก็คงได้เกิดในภพที่ดีกว่าเดิม เพราะบุญที่ทำไว้ ก็จัดได้ว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งให้คนทำความดีหนีชั่วก็ได้ แต่คนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ไม่เชื่อในบาปบุญคุณโทษ ถ้าตายไปแล้วพบว่ามีพระเจ้า เขาจะแก้ตัวไม่ได้แล้ว เพราะอย่างน้อยในชีวิตก็ต้องมีคนบอกให้เขารู้เรื่องพระเจ้า แต่เขาได้ปฏิเสธที่จะเชื่อ จากคุณ : Bro.Andreas เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:27:15

ความคิดเห็นที่ 36 ฮอว์คิง บอกว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างจักรวาล เพราะ จักรวาลสามารถเกิดขึ้นมาเองได้ ด้วยกฎทางฟิสิกส์ ไม่มีเหตุการณ์ใดเลย ที่ฟิสิกส์ไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นสิ่งต่างๆ จึงไม่ได้ถูกเสกขึ้นมา แต่มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เรื่องนี้ย่อมเป็นความจริง ที่ประจักษ์ต่อทุกๆคนอยู่แล้ว ตามพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่แต่ละคนมี แต่ด้วยข้อจำกัดของความรู้ ที่แต่ละคนมีนั่นแหละ ที่ทำให้เราไม่รู้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างในจักรวาล เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เขาจึงเชื่อว่าพระเจ้าเป็นคนสร้าง แต่ฮอว์คิง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้ทางฟิสิกส์สูงมากคนหนึ่งในยุคนี้ เขาสามารถอธิบายการเกิดขึ้นของจักรวาลได้ด้วยกฎทางฟิสิกส์ ถึงได้บอกว่า ไม่มีอะไรที่พระเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมา แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 10:58:48 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 10:58:05 จากคุณ : รอเธอโสด เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:57:26

ความคิดเห็นที่ 37 ผมมีปรัชญาง่ายๆ เชื่อว่า ถ้าสรรพสิ่งทีจุดกำเนิด จุดเริ่มต้นจะเป็นอะไร ไม่ได้นอกจากสิ่งที่เป็นพลังงานบางอย่าง ถ้าสรรพสิ่งมาจากความว่างเปล่า ย่อมขัดแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อว่าสรรพสิ่งมาจากพลังงานที่มีเจตจำนงต์ในการสร้าง คือพระเจ้านั่นเอง ถึงใครจะพิสูจน์ได้ว่า จักรวาลกำเนิดด้วยวิธีการใดๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่เบื้องหลังวิธีการนั้นๆ วิธีการจะล้มความเชื่อคริสเตียนได้มีทางเดียวคือ พิสูจน์ว่าไบเบิลผิด หรือ พิสูจน์โดยหาหลักฐานการฟื้นพระชมน์ของพระเยซูคริสต์ว่าผิด # 18 พระคัมภีร์ปฐมกาล เขียนโดยโมเสส ซึ่งเกิดก่อนพระพุทธเจ้าประมาณพันปี แต่จวบจนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครล้มความเชื่อการสร้างโลกในปฐมกาลได้ ในพระคัมภีร์บันทึกว่า พระเจ้าแขวนโลกไว้บนสร้างความว่างเปล่า พระคัมภีร์บันทึกว่าโลกกลม พระคัมภีร์บันทึกวัฎจักรของน้ำ ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลอีก พระคัมภีร์ไม่ได้มีจุดประสงค์เล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ที่บันทึกในพระคัมภีร์ก็ไม่มีที่ผิดพลาด จะเห็นว่าในโลกนี้มีหลายศาสนาในเบื้องต้น ที่อ้างเรื่องพระเจ้าของตน แต่ดูที่ยังดำรงอยู่ และวิทยาศาสตร์ไม่เคยทำลายความเชื่อได้ คือความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของ ศาสนายิว (คริสต์และอิสลามเป็นผลตามมา) # 36 ลองคิดถึงจุดเริ่มแรก คืออะไร สรรพสิ่งย่อมมีจุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นย่อมไม่ว่างเปล่า และจุดเริ่มต้นต้องไม่คงที่ พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าดำรงอยู่ก่อนแล้ว พระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้น ทฤษฎีบิกแบง ต่อให้เป็นความจริง ก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 15:14:46

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 33 Faraday ขอบคุณ ที่ถาม ว่า @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ความคิดเห็นที่ 32 MsgStatus(Msv[32], 32); เเล้วอะไรเล่าที่สร้างพระเจ้า? @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ก่อนที่เราจะตอบ Faraday เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน นิยาม คำว่าพระเจ้าตามความเข้าใจ ของ Faraday คืออะไร เอาตามความเข้าใจ ไม่ต้อง ยกหลักฐานอะไรมาอ้างอิง ถ้าไม่ตอบเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันนะ พุดกันในเรื่องเดียวกันหรือไม่ รบกวนตอบด้วยครับ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) [FriendFlock] [Bloggang] เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 06:22:25 ----------------------------------------------------------------- คุณจิมถามมา ขอตอบว่า พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ในโลก และจักวาล รวมถึงกำหนดความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง รวมทั้งข้อสงสัยของปรากฏการต่าง ๆ ในความเห็นที่ 32 กลางวัน กลางคืน ร้อน เย็น พระอาทิตย์ขึ้น และตก ความหิว อิ่ม ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนแล้ง น้ำท่วม วาตะภัย ความรัก ความใคร่ ความชอบ ความชัง ความเจ็บปวด ทรมาน การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย การตาย อีกสารพัดประสบการณ์ทั้งเป็นสิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ และเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาณ รวมถึงตัวผม และ ตัวคุณ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 15:28:22

ความคิดเห็นที่ 39 ฟังเพลงนี้ประกอบเวลาอ่านกระทู้นี้ได้นะครับ จากคุณ : Bro.Andreas เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 15:48:58

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าไม่มีมนุษย์ในโลก จะมีคำว่าพระเจ้าเกิดขึ้นไหมครับ สมมุติว่าโลกนี้ไม่มีมนุษย์อยู่เลย มีแต่สัตว์อื่น ๆ อาศัยอยู่ จะมีคำว่า พระเจ้า เกิดขึ้นในโลกไหมครับ สำหรับผมเห็นว่าจะไม่มีคำว่าพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะมีมนุษย์ในโลกนี้ครับ จึงสร้างคำว่าพระเจ้าขึ้นมา เพราะสัตว์อื่นคงไม่มีความสามารถที่จะคิดสร้างได้แน่นอน จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 16:13:07

ความคิดเห็นที่ 41 คิดแบบนี้ปัญญาอ่อนพอๆ กับบอกว่า ถ้าไม่มีมนุษย์ จะมี คำว่าต้นไหม้ไหมนั่นแหละ เขากำลังพูดอะไรแล้วบอกเรื่องอะไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 16:30:00

ความคิดเห็นที่ 42 อยากให้ "ทบทวน" กาลามสูตร 10 ประการ ใน 4 กระทู้ของท่านเจ้าของกระทู้ ใครที่ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้าดูซะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12796814/Y12796814.html (เชื่อในแขกรับเชิญ ปุถุชนธรรมดา เชื่อในรายการทีวีเพื่อความบันเทิง) คลิป หนัง2012บอกอะใบ้อะไรกับประเทศไทย http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12793506/Y12793506.html (เชื่อในสื่อเพื่อความบันเทิง Action, Sci-Fi ตื่นข่าวมงคลข่าวลือ) ศาสตราจารย์ฮอว์คิงบอก "พระเจ้าไม่ได้สร้างจักรวาล" ผลกระทบต่อผู้นับถือศาสนาทั่วโลก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12793403/Y12793403.html (เชื่อเพราะ ศาสตราจารย์ พูด) ผลวิจัยชี้ “นักวิทยาศาสตร์เกือบสามในสี่เห็นว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์” http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12793193/Y12793193.html (เชื่อเพราะเป็นผลวิจัย เชื่อเพราะเข้ากับตนเองได้) กาลามสูตร 10 ประการ 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา 3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ 4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ 5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก 6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน 7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว 9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ 10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา ธรรมะทั้งหลาย พึงรู้ได้ด้วยตน ต่อเมื่อได้ ศึกษา ปฏิบัติ จนเห็นผล รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะใดๆแล้ว จึง "พูดเท่าที่รู้ และ รู้เท่าที่พูด" พุทธ ดีแบบ พุทธ คริสต์ ดีแบบ คริสต์ อิสลาม ดีแบบ อิสลาม ทั้งสามศาสนา อาจมีดี ร่วมกัน หรือ แตกต่างกัน คนทำไม่ดี ในศาสนาใดๆ ไม่ได้แปลว่า ศาสนานั้นๆ ไม่ดี นั่นเป็นเพราะ ทุกๆศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ในทุกๆศาสนาย่อมประกอบไปด้วย คนดีและคนไม่ดี คนที่ฝึกได้ กับ คนที่ฝึกไม่ได้ การกระทบกระทั่งจึงมีมาเพราะ แม้แต่ ศาสนาที่เราเคารพนับถือ กำลังศึกษาทั้งชีวิตยังรู้ไม่ดีพอ ยังไม่เข้าใจได้ดีพอ "ยังไม่รู้จริง และ รู้แจ้ง .... แค่รู้จำ เท่านั้น" ยังจะไปกระทบศาสนาอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป เพื่ออะไร อย่าพาดพิงศาสนาอื่นที่เราไม่มีความรู้ในศาสนานั้นๆ ในขณะที่ศาสนาพุทธของเราเอง .... เรายังทำได้ไม่ดีพอ เราจึงควรเผยแผ่ ความดีของศาสนาเรา (เท่านั้นพอ)  ไม่ใช่ เผยแผ่ความไม่ดี (ในสายตาเรา) ของศาสนาอื่นๆ ขอบคุณ และ ขออภัย ทุกท่าน ทุกศาสนา จากคุณ : buddy เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 20:15:49

ความคิดเห็นที่ 43 กาลามสูตรน่ะถ้ายกต้องยกทั้งหมดมานะครับ  เพราะพระพุทธเจ้าเองจุดประสงค์ที่ตรัสเนี่ยท่านใช้สูตรนี้เพื่อให้กาลามชนมีความเชื่อในบาป  บุญ  คุณ  โทษนะครับ  และตอนท้ายท่านมีบอกถึง  ความอุ่นใจ  4 ข้อจากการเชื่อเรื่องบาปบุญและชาติก่อนชาติหน้า  ด้วยไปศึกษามาให้ดีก่อนนะครับ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 21:25:54

ความคิดเห็นที่ 44 ท่าน wutthitham เราศึกษามาดีแล้ว แต่เราจะศึกษาเพิ่มเติมอีก ตามคำแนะนำของท่าน เราคงจะ .... "ไม่อวดเก่ง" จนเป็น น้ำเต็มแก้ว เผื่อว่า อาจจะมี ใครสักคน หวังดีเป็นกัลยาณมิตร ชี้ขุมทรัพย์ให้ เราจะได้ไม่ ..... อวด โง่ ทั้งไม่ได้ ความรู้ และ ไม่ได้ กัลยาณมิตร เป็นบุคคล.... เก้อ ยาก ไปดีกว่า ==========> เสียเวลา จากคุณ : buddy เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 22:15:17

ความคิดเห็นที่ 45 ความคิดเห็นที่ 22 คุณจะปิดบังปัญญาคุณแค่นี้ผมไม่ว่าคุณหรอก  พอใจเท่าที่คุณต้องการแค่นี้ก็แล้วแต่คุณ คุณFaraday  ตอบแบบผู้มีปัญญาที่จะคิดนึกด้วยเหตุผลจริง ของจริงย่อมเป็นจริง ใครจะอ้างเหตุผลนอกเหนืออำนาจมนุษย์แล้วเขาสบายใจก็ช่างเขาเถอะถ้าเขามีความสุขระดับนั้น จากคุณ : เต่ากินผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 22:24:48

ความคิดเห็นที่ 46 ในเมื่อท่านบั๊ดดี้รู้ตัวแล้วเราก็อนุโมทนามาด้วยนะที่นี้....สาธุ จากคุณ : wutthitham เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 23:38:15

ความคิดเห็นที่ 47 คห 33 คุณจิมถามหาความหมายของคำว่าพระเจ้า คำตอบอยูใน คห 38 ตอบแล้วตามต้องการ แต่คุณจิมหายไปไหนไม่มาต่อตามที่พูด ไปทำอะไรอยู่ หรือยังคิดไม่ออกให้บอกออกมา จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 06:03:04

ความคิดเห็นที่ 48 พี่จิม ฝากนู๋ มาบอกว่า แน่จริงแจ้งบล้อค  พี่จิมทำไม มะแน่จริงนี่หว่า  พี่จิม ฝากมาเท่านี้นะ ฮาร์ฟฟฟฟ จากคุณ : สวยหน้าใส เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 08:22:39

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 48 พี่จิม ฝากนู๋ มาบอกว่า แน่จริงแจ้งบล้อค  พี่จิมทำไม มะแน่จริงนี่หว่า พี่จิม ฝากมาเท่านี้นะ ฮาร์ฟฟฟฟ จากคุณ : สวยหน้าใส [Bloggang] เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 08:22:39 ฝากคุณนู่ ไปบอกคุณจิมด้วย ใครไปบล็อกคุณจิมเหรอ เรื่องอะไร คุณจิมแม้จะโหด แต่ก็มีสีสรร มีแต่ความหวังดี แม้จะเห็นต่างกัน ขอให้นู๋ สวยมากขึ้น ชอบสำนวนบ้องแบ๊วดี จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 09:37:11

ความคิดเห็นที่ 50 ชักเริ่มจะเบื่อกับกระทู้พวกนี้จิงๆ.. เพียงแค่ยกความเห็นของฮอว์คิง โดยไม่รู้ว่าเขาอธิบายว่ายังไงด้วยซ้ำไป..ก็เชื่อกันเสียแล้ว ไม่สมกับการชอบอ้างตัวว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญาเลย อ่านจักรวาลในเปลือกนัทแล้ว ตนเองเข้าใจอะไรบ้าง? ขอแสดงความคิดเห็นแย้งนะค่ะ(เบื่อมาก ตอบมาไม่รู้กี่กระทู้แล้ว) เพราะว่าจักรวาลขยายตัว ฮอว์คิงจึงตั้งสมมติฐานว่า มีการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กแบงค์ จึงมีแรงผลักจักรวาลให้ขยายตัว จึงเป็นที่มาของ อนุภาคพระเจ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นอนุภาคแรกที่เป็นจุดกำเนิดจักรวาล โดยเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าอนุภาคนี้มาจากไหน และแรงอะไรที่ทำให้อนุภาคระเบิด จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 00:03:52

ความคิดเห็นที่ 51 ระหว่างเหตุผลของฮอว์คิง กับ เหตุผลของไบเบิ้ล ต้องบอกว่าไบเบิ้ลน่าเชื่อถือกว่า ดังนี้ 1. ไม่รู้อนุภาคเกิดขึ้นได้อย่างไร v.s. ไม่รู้ว่าพระเจ้ามาจากไหน     ข้อนี้เสมอกัน ไม่มีใครน่าเชื่อถือกว่าใคร 2. แรงที่ทำให้อนุภาคระเบิด ไม่รู้มาจากไหน v.s. พระเจ้าทรงตรัส(น่าจะเป็นคลื่นเสียง) และเนรมิตด้วยเดช(เกิดจาก "แรงหรือพลังงาน" ที่พระเจ้าใส่เข้าไป)    ข้อนี้ ไบเบิ้ลมีเหตุผลรองรับมากกว่าของฮอว์คิง 3. หากอนุภาคระเบิดจริง จักรวาลและดวงดาวต้องเคลื่อนตัวแบบสะเปะสะปะ ตามการเคลื่อนที่แบบสุ่ม แต่ของจริงกับมีระเบียบ v.s. ถ้ามีผู้สร้าง จักรวาลก็จะมีระเบียบ     ข้อนี้ ไบเบิ้ลมีเหตุผลกว่า 4. ฯลฯ ขี้เกียจคิดแล้ว จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 00:15:52

ความคิดเห็นที่ 52 เพิ่งรู้ว่าท่านฮอว์คิงสามารถบรรลุสัพพัญญูได้ด้วยการนั่งจินตนาการบนรถเข็น สาธุ อายุยืนๆนะท่านนะ อย่าเพิ่งตาย จากคุณ : TheOwl เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 09:45:20

ความคิดเห็นที่ 53 ขี้เกียจคิดแล้ว จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 00:15:52 -------------------------------------------------- ถูกต้องกับบุคลิกแล้ว เชื่ออย่างเดียวพอ ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา บอกให้เชื่อ ให้อ้อน ให้ทำ ให้สวด ก็ตั้งใจทำไป แล้วได้ขึ้นสวรรค์แน่ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 15:05:21

ความคิดเห็นที่ 54 #53 ที่ไม่คิดแล้ว ก็เพราะว่า สามข้อต้นที่ยกมา มันมีน้ำหนักเพียงพออยู่แล้ว ไม่ได้ขี้เกียจค่ะ แล้วก็ไม่ได้เชื่อแบบงูๆปลาๆ หรือ หลับตาเชื่อโดยไม่คิดด้วย กลับกัน คนที่คิดว่าตนเองมีเหตุผลมีผล เคยคิดบ้างไหมว่าที่จริงคุณอาจ หลับตาเชื่อเพราะโรงเรียนสอนมาอย่างนั้น เพราะฟอยด์กล่าวว่าอย่างนี้,เพราะจิตวิทยาว่าไว้ เพราะนักปรัชญาคิดว่าอย่างนั้นอย่างนี้, "มนุษย์กลัว เลยอุปโลกน์พระเจ้าขึ้นมา" ก็เป็นคำพูดที่หลับตาเชื่อ เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น ไม่ใช่ข้อมูลหลักฐาน แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 55 17:45:55 แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 55 17:39:25 จากคุณ : ดำมอมแมม เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 17:38:22

ความคิดเห็นที่ 55 "มนุษย์กลัว เลยอุปโลกน์พระเจ้าขึ้นมา" ก็เป็นคำพูดที่หลับตาเชื่อ เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น ไม่ใช่ข้อมูลหลักฐาน สำหรับคุณหลักฐานคือ คัมภีร์ ที่มีคนเขียนขึ้นโดยอ้างว่ามาจากพระเจ้า คือที่สุดแห่งหลักฐานที่คุณกล่าวถึง ผมเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ในนั้นยังพิสูจน์ไม่ได้ ครับเชื่อไปก่อน จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 18:06:20

ความคิดเห็นที่ 56 แล้วคุณพิสูจน์ "คำกล่าวของฮอว์คิง" แล้วเหรอครับ?ยังไง? แม้แต่อริสโตเติล ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ๋ ก็ยังเคยกล่าวว่า "วาฬ เป็นปลาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม" ณ ปัจจุบันก็ไม่มีใครบอกว่าอริสโตเติลโง่เลย วิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง/พัฒนาอยู่เสมอครับ ฮอว์คิง วันนี้บอกอย่างนี้ วันหน้าฮอว์คิง(หรือคนอื่นๆที่เก่งกว่า) อาจจะกล่าวเป็นอื่นก็ได้ จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 07:48:23

ความคิดเห็นที่ 57 และระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ที่พูดถึงจักรวาลนอกโลก ผมเลือกที่จะฟังคำพยานของคนไทยที่น่าจะเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ พูดถึงอัศจรรย์ของพระเจ้าทีเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองครับ^^ จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 07:50:36

ความคิดเห็นที่ 58 แล้วก็ไม่ได้เชื่อแบบงูๆปลาๆ หรือ หลับตาเชื่อโดยไม่คิดด้วย กลับกัน คนที่คิดว่าตนเองมีเหตุผลมีผล เคยคิดบ้างไหมว่าที่จริงคุณอาจ หลับตาเชื่อเพราะโรงเรียนสอนมาอย่างนั้น เพราะฟอยด์กล่าวว่าอย่างนี้, เพราะจิตวิทยาว่าไว้ เพราะนักปรัชญาคิดว่าอย่างนั้นอย่างนี้, "มนุษย์กลัว เลยอุปโลกน์พระเจ้าขึ้นมา" ก็เป็นคำพูดที่หลับตาเชื่อ เป็นเพียงแค่ความคิดเห็น ไม่ใช่ข้อมูลหลักฐาน จากคุณ : ดำมอมแมม อย่างที่เข้าใจข้อมูลหลักฐานสูงสุดของคุณคือคัมภีร์ ไบเบิล -------------------------------------------------------------------------------------------- ในปี ๑๖๐๘ กาลิเลโอเริ่มสนใจดาราศาสตร์เมื่อได้อ่านหนังสือ De Revolutionibus Orbium Coelestium(On the Revolutions of the Heavenly Spheres) ของโคเปอร์นิคัส ซึ่งถูกห้ามเผยแพร่ ห้ามอ่าน ห้ามเล่า ห้ามใช้สอน และห้ามใช้เรียนอย่างเด็ดขาด เพราะสถาบันศาสนาแห่งวาติกันมีความเห็นว่าเนื้อหาในหนัง สือเล่มนี้ขัดแย้งและโจมตีคำสอนใน  คัมภีร์ไบเบิล  อันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ไบเบิลบอกว่า ดวงอาทิตย์มีการขึ้นและตก ในขณะที่โลกอยู่นิ่ง แต่โคเปอร์นิคัสกลับระบุว่า โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และหมุนรอบตัวเองได้ด้วย ทำให้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพ ซึ่งถ้าความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็นความจริง เวลาโลกอยู่เหนือดวงอาทิตย์ นั่นหมายความว่าโลกอยู่บนสวรรค์ แล้วพระเจ้าอยู่ที่ใด และเวลาโลกอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ โลกจะอยู่ในนรกใช่หรือไม่ จากคุณ : Faraday เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 14:04:04

ความคิดเห็นที่ 59 คุณFaraday หนังสือไบเบิ้ลเป็นหนังสือ สอนธรรมมะ ชำระจิตใจคนนะครับ ไม่ใช่แบบเรียนวิทยาศาสตร์ คุณมาค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ในไบเบิ้ลแบบนี้ มันก็เหมือน เอาช้อนสั้นมาตัก สปาเกตตี้กิน มันจะไปตักได้ยังไง^^'' -------- การตีความภีร์ศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดๆ เราต้องเข้าใจบริบททางสังคมสมัยนั้น ถ้าสมมติในสมัยปฐมกาล พระเจ้าสั่งให้ผู้บันทึกว่า โลกเกิดจาก ธาตุคาร์บอน ฯลฯ คนส่วนรวมก็ไม่เข้าใจนะครับ^^'' จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 21:56:23

ความคิดเห็นที่ 60 ผมพุทธนะ แต่โคตรเบื่อพวกพุทธยกตนข่มท่านว่ะ เบื่อจริงๆ งานการไม่มีทำกันรึไงเนี่ย เอาเวลาว่างไปปฏิบัติธรรมดีกว่ามั้ง จากคุณ : cantona_z เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 55 00:13:30