|
เราอาจจะต้องแปลคำบาลีให้เป็นภาษาไทยให้เข้าใจเห็นชัดเจนก่อน เพราะถ้าใช้ทับศัพท์บ่อยๆ อาจขาดความลึกซึ้งกับสภาพที่เป็นจริง
ภาษาบาลี --> ภาษาไทย "จิต" แปลไทยคือ สภาพรับรู้ ธรรมชาติของสภาพรับรู้ ที่รสเป็นกลาง ดังที่ทราบ สภาพรับรู้นี้เราสัมผัสได้กันทุกคน มันเกิดอยู่ในช่วงเวลานึงๆแล้วแปรเปลี่ยนไป ดับสลายไป วนรอบไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตัวเราของเรา
เป็นพลังงานที่เกิดอยู่ในช่วงขณะๆนึงๆแล้วดับไปและเกิดขึ้นใหม่วนรอบอยู่อย่างนั้นซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัย ตากระทบรูป, หูกระทบเสียง, จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายรับสัมผัส และใจรับธรรมารมณ์ตัวนึกคิดภายใน(เจตสิก)ที่ส่งสืบทอดกันไป(สันตติ)เป็นสายๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือ สภาพรับรู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้(ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก)
"เจตสิก" แปลไทยคือ องค์ประกอบของจิต ตัวปรุงแต่งจิต(สังขารจิต) ไปในรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมกับจิตและดับไปพร้อมกัน เป็นสหชาติธรรม
คล้ายๆ สนามบาสเก็ตบอลว่างๆ แล้วถูกเติมด้วยกล่องลัง ชนิดต่างๆใหญ่เล็กจนเต็มพื้นที่ แล้วยกออกไปทั้งสอง แล้วกลับมาใหม่ อุปมาจิตนั้น คือเป็นสนามบาสเก็ตบอล ส่วนเจตสิกนั้นเป็น กล่องใบเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ในเหล่าเจตสิก มีประกอบด้วย สัญญา เวทนา วิตก วิจาร สติ ฉันทะ วิญญาณ อธิโมกข์ ..เป็นต้น ทั้งนี้มีหลายตัว แต่ยกมาให้พอเห็นภาพเท่านี้ก่อน
สติ(บาลี) ---> การระลึกรู้ หรือความระลึกรู้ (ภาษาไทย) ขึ้นกับโอกาสในการใช้คำ
ดั่งที่ จขกท.ตั้งประเด็นไว้คือ ========= "เวลานั่งมองสิ่งอื่นหรือได้ยินเสียงอื่นก็จะเห็นตัวผู้รู้เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน เคยลองมองตัวผู้รู้ ก็เห็นเหมือนมีผู้รู้อีกคน มอง ตัวผู้รู้ มองซ้ำลงไปอีก เห็นผู้รู้ ซ้อนลงไปเรื่อยๆ
ตัวผู้รู้คืออะไรแน่ ไม่ใช่ความคิด หรือ เป็นความคิด
หรือว่า ผู้รู้คือ สติ" ========= ?
ลักษณะเป็นการซ้อนกันของ จิต(สภาพรับรู้)ปัจจุบัน ที่รับรู้ จิต(สภาพรับรู้อดีต)ที่เพิ่งผ่านพ้นไป(จิตอดีต) รับรู้เกี่ยวกับขันธ์๕ อยู่ในขันธ์๕ หรือ ส่วนใดส่วนนึงองค์ประกอบของขันธ์ที่มี ๕ ชนิด รับรู้โดยจิตและเจตสิก ดั่งที่กล่าวถึงองค์ประกอบไว้ด้านบน
ปัจจุบันผุดขึ้นซ้อนอดีตเสมอ ... และสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะนี้ อีกเดี๋ยวก็กลายเป็นอดีต ในจิตก็เช่นกัน เหมือนกับ ตาน้ำ ณ จุดนึงในกลางบึงน้ำ ที่ซึ่งน้ำผุดวงกระจายขึ้นมากลางบึงน้ำที่ซ้อน ๆ ๆ กัน จากจุดๆนั้น
หากแต่การเห็นจิตในจิต ไม่ใช่การเห็นการซ้อนขึ้นมาแต่เพียงอย่างเดียว
แต่เป็นการเห็นเหตุและปัจจัยด้วยพร้อมๆกันด้วยสัมปชัญญะ สติ สมาธิ จึงเกิดปัญญา เรามักรู้เรื่องที่คิด แต่ไม่รู้ว่ากำลังหลงคิด เมื่อเฝ้ามองอยู่เป็นปัจจุบันขณะ ถึงเหตุปัจจัยนั้นเหมือนบุคคลนั่งอยู่ริมบึงมองเข้าไปเห็นตาน้ำที่กำลังผุดอยู่ ก็จะค่อยๆทำลายความหลง-ภาวะปรุงแต่งจิตที่แฝงอยู่นั้น ไปได้โดยลำดับอินทรีย์
พุทธพจน์ ทรงตรัสว่า ขันธ์๕ อดีต อนาคต ใกล้ ไกล มีความเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คือเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นอิสระจากขันธ์ แต่ไม่ยึดติดกับมัน
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 20:17:03
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 20:13:05
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 20:10:59
แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 55 20:07:19
จากคุณ |
:
ซอนาย (nataraja)
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ต.ค. 55 20:03:59
|
|
|
|
|